กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 689.3 พบเจอในยุทธภพทักทายว่าลำบาก
เมืองแยนจือแคว้นไฉ่อี ชายหนุ่มหญิงสาวคู่หนึ่งที่จับคู่กันเดินทางลงใต้มาหาประสบการณ์ที่แจกันสมบัติทวีปไปเยี่ยมเยือนอวี๋เวิงเซียนเซิงมาแล้วก็บอกลาจากไป
อู๋ซั่วเหวินที่มีฉายาว่าอวี๋เวิงเซียนเซิงกับลูกศิษย์ของเขาสองคนที่เป็นพี่น้องกันอย่างจ้าวซู่เซี่ยและจ้าวหลวนเพิ่งจะเดินทางกลับจากการเดินทางไปเที่ยวเยือนขุนเขาใต้แห่งใหม่ของนครมังกรเฒ่ามาได้ไม่นาน ไม่อย่างนั้นแขกสองคนที่เดินทางไกลมาเยือนครั้งนี้ คาดว่าคงจะต้องคลาดกันไปแล้ว
ฝนเม็ดเล็กโปรยปรายเพิ่งจะหยุดตกไป สตรีสวมหมวกผ้าคลุมหน้า ส่วนบุรุษสะพายงอบไม้ไผ่ไว้บนแผ่นหลัง หลังบอกลากับชายชราลัทธิขงจื๊อแล้วก็ออกมาจากตรอกเล็ก
พวกเขาก็คืออวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ย
ในบรรดาสหายของสำนักศึกษา ตอนนี้นอกจากพวกเขาสองคนที่ไม่ได้ศึกษาเล่าเรียนอยู่ที่สำนักศึกษาซานหยาของเมืองหลวงต้าสุยแล้ว หลินโส่วอีเองก็ออกจากสำนักศึกษาไปนานแล้วเหมือนกัน บอกว่าเขาจะไปเที่ยวชมการขุดเจาะลำน้ำใหญ่ ส่วนหลี่ไหวก็ไปเที่ยวที่อุตรกุรุทวีปกับเผยเฉียน แม้แต่หลี่เป่าผิงที่หลังจากเดินทางกลับจากเมืองหลวงต้าหลีมายังสำนักศึกษาก็ติดตามเจ้าขุนเขาเหมาพร้อมเพื่อนร่วมชั้นเรียนอีกหลายสิบคนเดินทางไกลไปเยือนสถานศึกษาหลี่จี้ของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ดังนั้นในบรรดากลุ่มคนที่ปีนั้นไปขอศึกษาต่อยังต้าสุย บวกกับชุยตงซานที่ออกไปจากสำนักศึกษาเร็วกว่าใคร ทุกวันนี้กลับไม่มีใครอยู่ที่เมืองหลวงต้าสุยเลยสักคนเดียว เกี่ยวกับเรื่องการเดินทางไปเยือนสถานศึกษาของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เจ้าขุนเขาเหมาเคยถามความเห็นของอวี๋ลู่กับเซี่ยเซี่ยมาก่อน เซี่ยเซี่ยได้รับจดหมายฉบับหนึ่งจากชุยตงซานจึงปฏิเสธอาจารย์ผู้เฒ่าไปอย่างละมุนละม่อม เซี่ยเซี่ยกลัวเด็กหนุ่มชุดขาวไปถึงกระดูกจริงๆ ไม่ว่าชุยตงซานจะสั่งความนางแบบใด นางก็ล้วนมองมันเป็นเหมือนโองการอย่างหนึ่ง
อวี๋ลู่ไม่มีความคิดเห็นใดๆ ต่อศาลบุ๋น สถานศึกษาสำนักศึกษาของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง จึงถือโอกาสนี้เดินทางลงใต้มาพร้อมกับเซี่ยเซี่ย หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเรื่องไม่คาดฝันกับเซี่ยเซี่ยที่เดินทางไปเพียงลำพัง ในสายตาของอวี๋ลู่ นิสัยของเซี่ยเซี่ยยังคงเหมาะกับการฝึกตนอยู่บนภูเขาชั่วคราว ไม่เหมาะกับการเดินทางไกลไปข้างนอกเพียงลำพัง
ดังนั้นถึงท้ายที่สุดในบรรดากลุ่มคนของปีนั้นจึงดูเหมือนว่าคราวนี้จะมีเพียงหลี่เป่าผิงคนเดียวเท่านั้นที่ไปเยือนทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง
เขากับเซี่ยเซี่ย คนหนึ่งคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทอง คนหนึ่งคือผู้ฝึกลมปราณขอบเขตประตูมังกร ต่างคนต่างก็ติดอยู่ตรงคอขวด
เนื่องจากอวี๋ลู่จับคู่เข่นฆ่ากับผู้อื่นเพื่อขัดเกลาวิถีวรยุทธมาน้อยเกินไป ต่อให้จะกลายเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเจ็ดนานแล้ว แต่ก็ไม่อาจฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตร่างทองได้เสียที
ก่อนหน้านี้อยู่ที่ภูเขาลั่วพั่ว อวี๋ลู่เคยขอความรู้จากอาจารย์จู ได้ประโยชน์มามากมาย ดังนั้นจึงมีการเดินทางครั้งนี้เกิดขึ้น เขาคิดว่าจะไปเยือนซากปรักสนามรบแต่ละแห่งของแจกันสมบัติทวีปให้ครบถ้วนสักรอบ
ส่วนเซี่ยเซี่ยก็เพราะก่อนหน้านี้ถูกตะปูกักมังกรพันธนาการมานานหลายปี รากฐานมหามรรคาจึงได้รับความเสียหายในระดับหนึ่ง หลายปีมานี้นางตั้งใจซ่อมแซมเรือนกายอย่างระมัดระวังมาโดยตลอด แต่นี่ยังไม่ใช่กุญแจสำคัญ สาเหตุที่ทำให้เซี่ยเซี่ยหยุดค้างอยู่ที่คอขวดไม่อาจฝ่าทะลุขอบเขตได้เป็นเพราะ ‘จิตมาร’ ของนางเข้มข้นเกินไป ในใจมีเงื่อนตายมากเกินไป สำนักถูกทำลาย บ้านเมืองล่มสลาย หลังจากนั้นกลายเป็นนักโทษลี้ภัย ระหว่างทางถูกสตรีอดีตเหนียงเนียงของต้าหลีใช้เวทลับตอกตะปูกักมังกรตรึงไว้ในสามจิตเจ็ดวิญญาณ พลังต้นกำเนิดเสียหายอย่างใหญ่หลวง ผลคือสุดท้ายยังได้มาเจอกับชุยตงซานที่นิสัยยากจะคาดเดา หลังออกมาจากบ้านเกิด สภาพการณ์ที่นางต้องพบเจอเรียกได้ว่าเต็มไปด้วยอุปสรรคนานัปการ ไม่อย่างนั้นด้วยคุณสมบัติในการฝึกตนที่ถือว่าโดดเด่นของเซี่ยเซี่ย ตอนนี้นางก็น่าจะได้เป็นเซียนดินโอสถทองคนหนึ่งแล้ว
คอขวดของนางกับอวี๋ลู่คือด่านใหญ่สองด่านพอดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับในด้านพลังการสู้รบแล้ว ต่างก็แบ่งเป็นธรณีประตูที่ใหญ่ที่สุดสำหรับผู้ฝึกยุทธเต็มตัวและผู้ฝึกตน
หากผู้ฝึกยุทธเต็มตัวเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตเดินทางไกลเมื่อไหร่จะสามารถทะยานลมได้ และหากจับคู่สังหารกับผู้ฝึกลมปราณขึ้นมา คนหนึ่งก็เรียกว่าฟ้า ส่วนอีกคนเป็นแค่ดิน
ส่วนผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่งจะสามารถสร้างโอสถทองได้หรือไม่ ความหมายนั้นยิ่งใหญ่จนแทบไม่อาจหาคำใดมาบรรยายได้
ในฐานะแคว้นผู้ปกครองดั้งเดิมของสกุลซ่งต้าหลีในประวัติศาสตร์ ราชวงศ์สกุลหลูเคยเป็นผู้พิชิตแห่งอุดรทิศของแจกันสมบัติทวีปอย่างมิต้องสงสัย และตอนที่เซี่ยเซี่ยอายุน้อยก็ถูกทางสำนักอบรมปลูกฝังเป็นผู้ฝึกตนที่ในอนาคตจะได้เป็นห้าขอบเขตบนคนหนึ่ง
ในฐานะรัชทายาทของราชวงศ์สกุลหลูในอดีต สำหรับเรื่องบนภูเขาบ้านตัวเอง อวี๋ลู่จึงพอจะเข้าใจอยู่บ้าง เกี่ยวกับ ‘เซี่ยเซี่ย’ ก็เคยมีคำกล่าวอย่างหนึ่งที่แพร่หลายบอกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับเฮ้อเสี่ยวเหลียงแห่งสำนักโองการเทพแล้ว นางก็ขาดแค่เรื่องของโชควาสนาเท่านั้น
แต่ทุกวันนี้คนทั้งสองกลับต่างกันราวฟ้ากับเหว
เฮ้อเสี่ยวเหลียงเป็นเจ้าสำนักแห่งหนึ่งในอุตรกุรุทวีป ขอบเขตหยกดิบ มีความหวังบนมหามรรคา ป๋ายฉางเซียนกระบี่ใหญ่แห่งอุตรกุรุทวีปเคยกล่าวว่าจะทำให้ชีวิตนี้เฮ้อเสี่ยวเหลียงไม่อาจเลื่อนสู่ขอบเขตบินทะยานได้ บอกว่าเซียนกระบี่ใหญ่ท่านนี้จะออกกระบี่ขัดขวาง ไม่อย่างนั้นเฮ้อเสี่ยวเหลียงเจ้าสำนักชิงเหลียงก็ถูกกำหนดไว้แล้วว่าต้องได้กลายเป็นผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานแน่นอน
หันกลับมามองเซี่ยเซี่ย ตอนนี้กลับไม่ได้เป็นแม้กระทั่งผู้ฝึกตนโอสถทอง
อวี๋ลู่เป็นคนเรียบง่ายสบายๆ เขาไม่ร้อนใจกับการที่ต้องเดินเอื่อยเฉื่อยอยู่บนเส้นทางวิถีวรยุทธ แต่เซี่ยเซี่ยกลับเป็นคนมีนิสัยชอบเอาชนะ อารมณ์ของนางในช่วงหลายปีมานี้จะเป็นอย่างไร ไม่ต้องบอกก็พอรู้ได้
ตรงมุมหัวเลี้ยวของตรอก เซี่ยเซี่ยหันกลับไปมองตรอกเล็กแล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “จ้าวหลวนผู้นั้นใช่หรือไม่ใช่?”
อวี๋ลู่ยิ้มบางๆ “อย่าถามข้า ข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น มองอะไรไม่ออกทั้งนั้น”
เซี่ยเซี่ยถลึงตาใส่รัชทายาทผู้สิ้นแคว้นที่บนร่างแบกรับโชคชะตาบู๊ครึ่งหนึ่งของแคว้นเอาไว้ “นอกจากทำตัวแกล้งโง่แล้ว เจ้ายังทำอะไรเป็นอีกบ้าง?”
อวี๋ลู่หัวเราะร่า “ไม่เป็นแล้วล่ะ”
เซี่ยเซี่ยกล่าว “จ้าวหลวนผู้นี้มีพรสวรรค์ในการฝึกตนดีเยี่ยม ความกังวลที่อาจารย์อู๋แสดงออกมาบนสีหน้าใช่ว่าจะไร้เหตุผล เขาควรจะช่วยวางแผนหาสถานะทำเนียบวงศ์ตระกูลให้จ้าวหลวนได้แล้ว อย่างอื่นของอาจารย์อู๋นั้นไม่ต้องพูดถึง แต่ความใจกว้างแค่นี้เขาไม่ขาดไปแน่ ไม่มีทางอาลัยอาวรณ์สถานะอาจารย์และศิษย์ในนามแล้วปล่อยให้จ้าวหลวนเสียเวลาอย่างเปล่าประโยชน์อยู่ล่างภูเขาไปทั้งอย่างนี้ ในเมื่อทุกวันนี้จ้าวหลวนเป็นขอบเขตถ้ำสถิตแล้ว จะกลายเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลย่อมไม่ยาก ที่ยากก็คือการกลายเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักตระกูลเซียนใหญ่ อย่างเช่น…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เซี่ยเซี่ยก็จ้องอวี๋ลู่ตาค้าง เรื่องของการคิดทุกอย่างให้รอบคอบ อวี๋ลู่ถนัดกว่านางมากนัก นางจำต้องยอมรับในเรื่องนี้
อวี๋ลู่จึงรับคำต่อว่า “ภูเขาเมฆาเรืองหรือไม่ก็ตำหนักฉางชุน หรือไม่ก็ศาลบรรพจารย์ของเกาะจูไชภูเขาหลังอ๋าว อนาคตของภูเขาเมฆาเรืองดีกว่า แล้วก็สอดคล้องกับนิสัยของจ้าวหลวน น่าเสียดายที่เจ้าและข้าต่างก็ไม่มีหนทาง ตำหนักฉางชุนนั้นปลอดภัยมั่นคงมากที่สุด แต่จำเป็นต้องขอให้เว่ยซานจวินช่วยเหือ ส่วนหลิวจ้งรุ่นแห่งภูเขาหลังอ๋าว ต่อให้เป็นเจ้ากับข้าก็ยังพูดคุยได้ง่าย คิดจะทำเรื่องนี้ให้สำเร็จไม่ยาก แต่ก็กลัวอีกว่าจะถ่วงรั้งความสำเร็จบนเส้นทางการฝึกตนของจ้าวหลวน เพราะถึงอย่างไรหลิวจ้งรุ่นเองก็เพิ่งจะเป็นโอสถทอง เมื่อเป็นเช่นนี้ขอร้องคนอื่นไม่สู้ไม่ขอร้องคนกันเอง โอสถทองครึ่งตัวอย่างเจ้าช่วยถ่ายทอดมรรคาให้จ้าวหลวนดูเหมือนว่าจะเพียงพอแล้ว แต่เจ้ากลัวความยุ่งยาก ยิ่งกลัวว่าจะเป็นการวาดงูเติมขา ถึงเวลานั้นกลับจะช่วยให้เสียเรื่อง กลายเป็นว่าทำให้อาจารย์ชุยไม่สบอารมณ์”
เซี่ยเซี่ยกล่าวอย่างขุ่นเคือง “อ้อมไปอ้อมมา สุดท้ายพูดก็เหมือนไม่พูดอยู่ดีไม่ใช่หรือ?”
อวี๋ลู่ยิ้มกล่าว “อย่างน้อยที่สุดก็รู้ว่าไม่ต้องทำอะไร ไม่ถือว่าที่ข้าพูดไปเสียเปล่า เจ้ารับฟังอย่างเสียเวลาหรอกกระมัง”
เซี่ยเซี่ยไม่เอ่ยอะไรอีก โต้เถียงกับอวี๋ลู่น่าเบื่อจะตายไป
เมื่อเทียบกับความคิดของเซี่ยเซี่ยที่อยู่บนตัวจ้าวหลวนที่มีรูปโฉมโดดเด่น พรสวรรค์ก็ดีเยี่ยมยิ่งกว่าแล้ว อันที่จริงอวี๋ลู่ให้ความสนใจจ้าวซู่เซี่ยที่ฝึกหมัดมากกว่า
เซี่ยเซี่ยกล่าว “จ้าวซู่เซี่ยผู้นั้นมีสัญญาฝึกหมัดห้าแสนครั้งกับเฉินผิงอัน ตอนนี้ยังขาดอีกหนึ่งแสนแปดหมื่นครั้ง เจ้าเป็นผู้ฝึกยุทธมองออกหรือไม่ว่าปณิธานหมัดของจ้าวซู่เซี่ยมีมากหรือน้อย?”
อวี๋ลู่ตอบ “ไม่มากเท่าใดจริงๆ”
เซี่ยเซี่ยขมวดคิ้ว “จะถือว่าเป็นการฝึกหมัดอย่างคร่ำครึจนถึงทางตันหรือไม่?”
อวี๋ลู่ส่ายหน้า “จะพูดแบบนี้ก็ไม่ได้”
เซี่ยเซี่ยกล่าวอย่างกังขา “ในเมื่อก่อนหน้านี้เฉินผิงอันตั้งใจมาเยือนที่นี่ อีกทั้งยังสอนวิชาหมัดให้จ้าวซู่เซี่ย จะแค่สอนท่าเดินนิ่งให้เขา จากนั้นก็ไม่สนใจอะไรอีกจริงๆ หรือ? นี่ไม่เหมือนนิสัยของเขาเลยนะ”
อวี๋ลู่ยิ้มเอ่ย “วางใจเถอะ เฉินผิงอันต้องมีแผนการของตัวเองเป็นแน่”
เซี่ยเซี่ยพูด “ไปที่ภูเขาลั่วพั่ว?”
อวี๋ลู่ส่ายหน้า “ไม่แน่เสมอไป”
หลังจากนั้นท่ามกลางม่านราตรีอวี๋ลู่ก็พาเซี่ยเซี่ยไปหยุดพักเท้าที่วัดโบราณผุผังแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ริมชายแดนเชื่อมต่อระหว่างแคว้นไฉ่อีกับแคว้นซูสุ่ย
เซี่ยเซี่ยปลดหมวกม่านลง กวาดตามองไปรอบด้าน ถามว่า “ที่นี่คือที่พักที่เฉินผิงอันเล่าให้เจ้าฟังในปีนั้น ที่บอกว่าจะต้องมีผีสาวงามปรากฎตัวน่ะหรือ?”
อวี่ลู่ก่อกองไฟ ยิ้มกล่าว “หากจะด่าว่าผู้ชายล้วนไม่มีใครดีก็พูดมาตรงๆ เถอะ ข้าจะรับไว้แทนเฉินผิงอันด้วยทีเดียว”
ดังนั้นคำพูดที่เซี่ยเซี่ยครุ่นคิดมานานพักใหญ่จึงไม่ได้เอาออกมาใช้
อวี๋ลู่วางไม้เท้าเดินป่าพาดขวางไว้บนหัวเขา แล้วเริ่มเปิดผลงานของปัญญาชนเล่มหนึ่ง
เซี่ยเซี่ยนั่งกอดเข่า จ้องนิ่งไปที่กองไฟ “หากจำไม่ผิด ช่วงแรกเริ่มสุดที่เดินทางไปทัศนศึกษา ดูเหมือนเจ้ากับเฉินผิงอันจะชอบเฝ้ายามตอนกลางคืนมาก?”
อวี๋ลู่พูดกลั้วหัวเราะเบาๆ “ไม่รู้ว่าเฉินผิงอันคิดอย่างไร แต่หากพูดถึงแค่ตัวข้าเองก็ไม่ได้ชอบอะไรเท่าไรหรอก แต่กลับไม่เคยมองว่ามันเป็นงานที่ยากลำบากอะไร เรื่องเดียวที่ค่อนข้างน่ารำคาญก็คือดึกดื่นค่ำคืนหลี่ไหว…พูดได้ไหม?”
เซี่ยเซี่ยเอ่ย “พูดมาเถอะ ข้าฟังแล้วเดี๋ยวก็ลืม”
อวี๋ลู่กล่าว “หลี่ไหวขี้ขลาด แล้วก็ไม่ค่อยสนิทกับข้าเท่าไร ดังนั้นหากข้าเป็นคนเฝ้ายาม เขาจะลากข้าไปไกลๆ หากไปทำเรื่องอย่างการปล่อยน้ำที่เขาพูดให้ฟังดูดีก็ยังไม่ค่อยเท่าไร แต่หากปล่อยปุ๋ย เขาทั้งไม่ยอมให้ข้าเข้าใกล้ แต่ก็กลัวว่าข้าจะอยู่ห่างเกินไปด้วย ต้องคอยถามข้าว่ายังอยู่หรือไม่ ตอบกลับไปคำหนึ่ง เขาก็ทำธุระของตัวเองต่อ มีครั้งหนึ่งข้ารำคาญเขามากจริงๆ ก็เลยไม่ได้ตอบกลับ ผลคือเขายกกางเกงร้องไห้มาตามหา พอเห็นว่าข้ายืนอยู่ที่เดิมก็ยกกางเกงเดินด่ากลับไป ภาพนั้นค่อนข้างจะ…ไม่น่าหวนนึกถึง ยังดีที่ตอนนั้นหลี่ไหวเป็นแค่เด็กตัวใหญ่เท่าก้น”
เซี่ยเซี่ยเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “น่าขยะแขยงจริงๆ”
อวี๋ลู่โยนกิ่งไม้แห้งกิ่งหนึ่งเข้าไปในกองไฟ ยิ้มกล่าวว่า “ทุกครั้งที่เฉินผิงอันเป็นคนเฝ้ายาม เวลานั้นเป่าผิงใจใหญ่ ต่อให้ฟ้าถล่มลงมา มีอาจารย์อาน้อยของนางอยู่ นางก็สามารถหลับได้สนิท และตอนนั้นเจ้ากับหลินโส่วอีก็เป็นผู้ฝึกตนแล้ว จึงง่ายที่จะทำจิตใจให้สงบ มีเพียงข้าที่ไม่เคยหลับสนิท จึงมักจะได้ยินหลี่ไหวจี้ถามเฉินผิงอันว่า หอมหรือไม่ หอมหรือไม่…”
เซี่ยเซี่ยเอ่ย “ช่างเถิด ข้าขอร้องเจ้าช่วยเปลี่ยนเรื่องพูดทีเถอะ”
อวี๋ลู่ใช้กิ่งไม้ดันริมขอบของกองไฟ กิ่งไม้ในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิส่วนใหญ่จะมีความชื้นมาก มักจะมีเสียงกิ่งไม้ระเบิดแตกดังขึ้นเป็นระยะ แล้วก็จะมีหยดน้ำแทรกซึมออกมาจากกิ่งไม้ แต่หากเป็นกิ่งไม้แห้งของช่วงเข้าฤดูใบไม้ร่วง จะติดไฟได้ง่าย อีกทั้งยังไร้เสียง
ใบหน้าอวี๋ลู่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม พูดพึมพำกับตัวเองว่า “เฉินผิงอันจึงตอบไปประโยคหนึ่งว่า หากเป็นสวนผักป่าก็ดีน่ะสิ แต่ก็ง่ายที่จะเรียกหมาให้มากิน”
เซี่ยเซี่ยกลอกตามองบน
อวี๋ลู่เงยหน้ามองเซี่ยเซี่ย ยิ้มเอ่ย “ข้ารู้สึกว่าเรื่องที่น่าสนใจไม่ได้มีเพียงเรื่องนี้ ระหว่างเส้นทางที่ไปขอศึกษาต่อมักมีเรื่องหยุมหยิมแบบนี้เกิดขึ้นอยู่เสมอ ดังนั้นอย่าไปโทษที่หลี่ไหวจะสนิทสนมกับเฉินผิงอันมากที่สุด พวกเราไม่อาจเปรียบเทียบได้ หลินโส่วอีก็ยังไม่ใช่ข้อยกเว้น หลินโส่วอีปากบอกว่าไม่รำคาญหลี่ไหว แต่คนที่ในใจไม่รำคาญจริงๆ อันที่จริงกลับมีแค่เฉินผิงอันเท่านั้น”
เซี่ยเซี่ยหัวเราะอย่างฉุนๆ “ข้าจะไม่พอใจเรื่องนี้ทำไม?!”
อวี๋ลู่มองไปทางประตูใหญ่ของวัดโบราณ เสียงแอดดังขึ้น ต้นฤดูใบไม้ผลิอากาศเย็นเล็กน้อย ลมหนาวพัดผ่านห้องโถงชวนให้คนขนลุก รองเท้าปักลายที่เปื้อนดินโคลนคู่หนึ่งข้ามผ่านธรณีประตูเข้ามา
เจ้าของรองเท้าปักลายคู่นั้นคือเด็กสาวอายุสิบสองสิบสามปีใบหน้ากลมดวงตารูปทรงผลซิ่ง ในมือถือโคมไฟเร่งรีบเดินทาง
อวี๋ลู่พลันหัวเราะ เคยมีบทเรียนมาก่อน แม่นางน้อยที่เป็นหนึ่งในสี่พิฆาตของแคว้นซูสุ่ยผู้นี้จึงมีพัฒนาการขึ้นแล้ว
ด้านหลังเด็กสาวมีสตรีหน้าตางดงาม รวบผมเป็นมวยสูง เรือนกายสูงโปร่งท่าทางเย็นชาเดินตามมา ลักษณะดูคล้ายคุณหนูในตระกูลใหญ่ที่หลงทางอยู่ท่ามกลางราตรีพร้อมกับสาวใช้
เด็กสาวคนนั้นชำเลืองตามองไม้เท้าเดินป่าที่อวี๋ลู่วางพาดขวางไว้บนหัวเข่า เป็นไม้ไผ่สีเขียวธรรมดา แต่พอเห็นแล้วกลับทำให้นางหนังตากระตุก นางพลันหยุดเดิน ถามว่า “คุณชายท่านนี้รู้จักเฉินผิงอันหรือไม่?”
อวี๋ลู่พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “เหมือนว่าจะรู้จักอยู่จริงๆ”
เด็กสาวที่มีชื่อจริงว่าเหวยเว่ยกระทืบเท้าแล้วหมุนตัวเดินจากไปทันที
ส่วนสตรีที่เรือนกายสูงโปร่งผู้นั้นก็ยิ่งเผ่นหนีหัวซุกหัวซุน เห็นได้ชัดว่าหวาดกลัวมือกระบี่ชุดเขียวที่ชื่อเฉินผิงอันผู้นั้นอย่างถึงที่สุด
ค่ำคืนหนึ่งผ่านไปอย่างสงบ
อวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ยพากันไปเยือนสถานที่เขาเขียวน้ำใสแห่งหนึ่ง จากนั้นก็ไปหมู่บ้านวารีกระบี่ของแคว้นซูสุ่ย
สุดท้ายไปเยือนซากปรักสนามรบแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ริมชายแดนราชวงศ์จูอิ๋ง ท่ามกลางภาพบรรยากาศการเดินทางข้ามผ่านแดนของกองทัพหยินที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกร พวกเขาเจอกับชายหนุ่มหญิงสาวคู่หนึ่งที่ถือว่าเป็นคนบ้านเดียวกันได้ครึ่งตัว คือลูกจ้างร้านสองคนของร้านตระกูลหยาง ผู้ฝึกยุทธหญิงสาวที่มีชื่อเล่นว่าแยนจือ ซูเตี้ยน และสือหลิงซานศิษย์น้องข้างกายนางที่มองบุรุษทุกคนบนโลกด้วยสายตาป้องกันโจรขโมย
เพราะสือหลิงซานออกเดินทางมาครั้งนี้ ทุกวันต้องคอยระมัดระวังตัว ด้วยกลัวว่าเจ้าตะพาบเจิ้งต้าเฟิงผู้นั้นจะพูดจาเป็นดั่งคำทำนาย กลายเป็นว่าเขาจะต้องเรียกบุรุษคนใดว่าศิษย์พี่เขยจริงๆ ดังนั้นสือหลิงซานที่อึดอึดอยู่นานจึงได้แต่ใช้ท่าไม้ตายที่เจิ้งต้าเฟิงถ่ายทอดให้ เขาไปหาอวี๋ลู่ที่รูปโฉมหล่อเหลาเกินกว่าเหตุเป็นการส่วนตัว บอกว่าอันที่จริงตนคือลูกชายของซูเตี้ยน ไม่ใช่ศิษย์น้องอะไร ผลคือถูกซูเตี้ยนที่หูดีปล่อยหมัดต่อยให้เขากระเด็นไปไกลเจ็ดแปดจั้ง น่าสงสารเด็กหนุ่มที่ล้มคว่ำหน้าทิ่ม เป็นนานก็ยังไม่อาจลุกขึ้นมาได้
——