CatNovel
  • หน้าหลัก
  • แทงหวย24
  • มังงะ
  • นิยายทั้งหมด
Advanced
  • หน้าหลัก
  • แทงหวย24
  • มังงะ
  • นิยายทั้งหมด
  • โดจิน
  • นิยายทั้งหมด
  • จบแล้ว
  • นิยายวาย Yaoi
ตอนก่อน
ตอนต่อไป
สล็อตเว็บตรง

กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 693.4 น้ำยังไม่ลด หินยังไม่ผุด

  1. Home
  2. กระบี่จงมา Sword of Coming
  3. บทที่ 693.4 น้ำยังไม่ลด หินยังไม่ผุด
ตอนก่อน
ตอนต่อไป

ต่อมาคือชายฉกรรจ์ร่างกายหนาใหญ่ แต่ท่าทางกลับขลาดกลัว “ท่านพระอาจารย์ ข้าเป็นคนฆ่าสัตว์ ชาติหน้าไปเกิดใหม่จะยังได้เป็นคนอีกไหม?”

ภิกษุเฒ่าถาม “ทุกวันที่ปลิดชีวิตขายเนื้อ ทำไปเพื่ออะไร?”

ชายฉกรรจ์รู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย ตอบเสียงเบาว่า “หาเงินเลี้ยงดูครอบครัว”

ภิกษุเฒ่าคลี่ยิ้ม “แบมือมา ข้าจะช่วยดูให้เจ้า”

สุดท้ายชายฉกรรจ์จึงจากไปด้วยรอยยิ้ม

คนต่อมาไม่ได้มาเพื่อให้ดูลายมือ เพียงแค่ถามภิกษุเฒ่าว่า ฝ่าซือเรียกแทนตัวเองคำแล้วคำเล่าว่าข้า เหตุใดถึงไม่แทนตนว่า ‘ผินเซิง’ ? ดูเหมือนว่านี่จะไม่สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ของลัทธิพุทธเท่าใดกระมัง?

ภิกษุเฒ่าตอบว่า ข้ามีเงินมาก มีพระธรรมน้อยนี่นา

คนผู้นั้นไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี แต่กลับรู้สึกว่าน่าสนใจ จึงจากไปด้วยความพึงพอใจ

สตรีผู้หนึ่งยืนเขินอายอยู่หน้าประตู ภิกษุเฒ่ายิ้มเอ่ย “สีกาไม่จำเป็นต้องถอดรองเท้า”

สตรีออกเรือนแล้วแต่อายุยังน้อยผู้นั้นถามว่าบุตรชายใช่เมล็ดพันธ์บัณฑิตหรือไม่ ในอนาคตจะได้สอบติดซิ่วไฉหรือไม่

ภิกษุเฒ่ายิ้มพลางผายมือออกมา สตรีกลับหน้าแดงก่ำ ยื่นมือออกไปแล้วก็หดกลับมาอีก ภิกษุเฒ่าชำเลืองตามองฝ่ามือนาง แล้วก็วางมือตัวเองลงเช่นกัน ยิ้มกล่าวว่า “ในสายตาเจ้ามีบุรุษ แต่ในใจข้าไร้สตรี เพียงแต่คำพูดประเภทนี้ ข้าพูดได้ ภิกษุทั่วไปกลับฟังไม่ได้ ยิ่งทำไม่ได้ นี่ก็เหมือนหลักการเหตุผลบางอย่างระหว่างพวกเจ้าแม่สามีลูกสะใภ้ที่เจ้าฟังได้ แต่นางกลับฟังไม่ได้ นางฟังได้ แต่เจ้ากลับฟังไม่ได้ ส่วนใหญ่แล้วหลักการเหตุผลสองอย่างมักจะเป็นหลักการเหตุผลที่ดีทั้งคู่ แค่ต้องดูว่าใครตัดใจได้ก่อน และใครยิ่งตัดใจได้มากกว่ากัน”

สตรีตกตะลึงพรึงเพริด แต่ก็พยักหน้ารับเบาๆ คล้ายกระจ่างแจ้งแล้ว จากนั้นสีหน้าของนางก็คล้ายจะลำบากใจ ที่บ้านค่อนข้างจะยากจน นางสามารถรับได้ เพียงแต่สามีของนางกลับชวนให้กลัดกลุ้มอยู่ไม่น้อย ไม่ใช่ว่าสามีเข้าข้างแม่ตัวเองมากมายอะไร เพียงแต่ว่ายามอยู่กับตนเขามักจะทอดถอนใจ อันที่จริงต่อให้เขาเอ่ยประโยคที่ชวนให้อบอุ่นใจแค่คำเดียว นางก็ไม่ถึงขั้นทำให้เขาลำบากใจอย่างแท้จริง

ภิกษุเฒ่ายิ้มกล่าว “รู้วิธีการอยู่ร่วมกันที่เป็นดั่งน้ำเส้นเล็กไหลยาว เพียงแต่ยังต้องการวิธีที่แก้ปัญหาซึ่งเป็นดั่งไฟลามขนคิ้วหรือ?”

สตรีพยักหน้ารับอย่างแรง ยิ้มหวานราวบุปผาผลิบาน

ภิกษุเฒ่าเอ่ย “มีขนบธรรมเนียมของตระกูลแบบใด ก็มีลูกชายหญิงแบบนั้น สามีของเจ้านิสัยไม่เลว ก็แค่…”

สตรีรีบโบกมือ

ภิกษุเฒ่าหัวเราะหึหึ เปลี่ยนหัวข้อพูดว่า “เพียงแต่สุภาษิตบอกว่าเลือกหมูต้องดูเล้า สตรีแต่งงานออกเรือน บุรุษสู่ขอภรรยา เรื่องของวาสนาการแต่งงานล้วนไม่ต่างกันสักเท่าไร ครอบครัวของเจ้าก็ถือว่าพอจะมีกิน อีกทั้งยังมีครบทั้งบุตรชายหญิง ถ้าอย่างนั้นก็จงสงบใจสั่งสอนอบรมบุตรให้ดี อย่าให้วันหน้าบุตรสาวของบ้านอื่นต้องเจอแบบเจ้า แล้วก็อย่าให้วันหน้าบุตรสาวบ้านเจ้ากลายเป็นแม่สามีในสายตาของเจ้า เรื่องนี้พอจะทำได้อยู่บ้าง การที่พูดแบบนี้ เพราะคิดว่าเจ้าน่าจะคิดแบบนี้มานานแล้ว หากเปลี่ยนเป็นความคิดอื่นของสตรีบ้านอื่น ข้าคงไม่กล้าพูดแบบนี้แน่นอน”

สตรียอบตัวคารวะ เอ่ยขอบคุณแล้วจากไป เพราะว่าสวมรองเท้าเข้ามาในห้อง นางจึงไม่ลืมเอ่ยขออภัยภิกษุเฒ่าหนึ่งคำ

ภิกษุเฒ่ายิ้มกล่าว “ควรจะขอบคุณเจ้าแทนคนสามครอบครัวนั้นต่างหาก”

จากนั้นคุณชายตระกูลร่ำรวยหล่อเหลาอายุน้อยคนหนึ่งก็มาเยือน หลังจากให้เงินแล้วก็เริ่มถามภิกษุเฒ่าว่าเหตุใดต่อให้รู้หลักการเหตุผลในตำรามากเท่าไรก็ล้วนไร้ประโยชน์อยู่ดี

ภิกษุเฒ่ายิ้มกล่าว “คำสอนอริยะปราชญ์ในตำราลัทธิขงจื๊อของพวกเจ้าก็เคยพร่ำพูดด้วยความหวังดีมานานแล้วไม่ใช่หรือ บอกว่าถามได้แต่การปลูกไถ อย่าถามถึงผลผลิต ผลกลับกลายเป็นว่าพอปิดหนังสือลงก็เอาแต่ถามผลลัพธ์ ไม่ถามถึงขั้นตอน สุดท้ายบ่นว่าหลักการเหตุผลในตำราเหล่านี้มีมากมายนับไม่ถ้วน แต่ก็ยังไม่อาจช่วยให้มีชีวิตที่ดีได้ แบบนี้คงไม่ค่อยดีกระมัง? อันที่จริงมีชีวิตที่ดีมาก แต่กลับยังบอกว่าไม่ดี แบบนั้นจะยิ่งไม่ดีกว่าเดิมหรือไม่?”

สุดท้ายภิกษุเฒ่าถาม “เจ้ารู้หลักการเหตุผลจริงๆ หรือ?”

คนหนุ่มผู้นั้นเริ่มจะโมโห “ข้าจะไม่รู้หลักการเหตุผลได้อย่างไร? ข้าเคยเรียนหนังสือ เคยอ่านตำราของร้อยเมธีมามากมาย อ่านเยอะกว่าคัมภีร์ที่เจ้าเคยอ่านมาเสียอีก!”

ภิกษุเฒ่าส่ายหน้า “เจ้าอ่านตำรามามาก แต่เจ้าไม่รู้ สรุปคือเมื่อเปรียบเทียบกับคนที่ไม่เคยเรียนหนังสือแล้วยังรู้น้อยกว่าเสียอีก”

คนหนุ่มผู้นี้มีชีวิตสุขสบายมาจนเคยชินแล้ว อีกทั้งยังเป็นคนที่ดื้อดึงคนหนึ่ง “ข้ารู้! เจ้าจะทำอะไรข้าได้?”

ภิกษุเฒ่าจึงเล่นถามตอบกับเขา พูดย้ำว่าเจ้าไม่รู้

แน่นอนว่าภิกษุเฒ่าไม่คิดจะเสียเวลากับเขาอยู่อย่างนี้ เพราะมันถ่วงเวลาการหาเงิน จึงบอกให้ลูกค้าคนถัดไปเข้ามาในห้อง ไม่ถ่วงรั้งกิจการทั้งสองด้าน

อยู่ดีๆ คนหนุ่มก็เงียบเสียงไป บอกว่าข้าไม่รู้

ภิกษุเฒ่าที่กำลังพูดคุยกับคนอื่นจึงตอบกลับว่า เจ้าไม่รู้ว่าตัวเองรู้กับผายลมอะไร

คนหนุ่มที่ก่อนหน้านี้แอบฟังบทสนทนาของคนในห้องจากลานบ้านตลอดเวลาพลันหัวเราะเสียงดังลั่น “ฮ่า เจ้าลาหัวโล้น เจ้าเองก็สร้างวจีกรรมแล้ว!”

ภิกษุเฒ่ามองเขาอย่างอึ้งตะลึง

“ครอบครัวเจ้าเป็นพ่อค้ามาทุกรุ่นคน กว่าจะบ่มเพราะเมล็ดพันธ์บัณฑิตแบบเจ้าออกมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย หวังว่าเจ้าจะสร้างชื่อเสียงให้กับวงศ์ตระกูล ความคิดของตัวเจ้าเองไม่มั่นคง ปรารถนาอยากให้ได้รับความโปรดปรานจากผู้สูงศักดิ์โดยบังเอิญ พวกผู้อาวุโสคอยช่วยสร้างเส้นสายความสัมพันธ์ให้ เจ้าจึงรู้สึกลำพองใจ หลังจากโชคดีสอบติด ยามอยู่ต่อหน้าคนอื่นสีหน้าเป็นธรรมชาติ แต่พออยู่ลับหลังคนอื่นกลับดีใจอย่างบ้าคลั่ง ระหว่างที่เดินทางไกลได้ยินเรื่องรักเรื่องใคร่ของเทพหญิงริมลำคลองมามากมาย จึงร้องเรียนไปทางศาลที่ดูแล แต่ไม่ได้รับการสนใจ เจ้าเลยแต่งเรื่องหยาบโลน ถามเพื่อนร่วมชั้นว่าท่วงทำนองการเขียนเป็นอย่างไร ทำลายชื่อเสียงของเทพหญิง กล่าวโทษเอาผิดเทพหญิง โชคดีที่เจ้าพอจะมีบุญกุศลปกป้อง อีกทั้งเทพแห่งผืนดินยังเห็นแก่บรรพบุรุษของเจ้าที่คอยเปิดโรงทานแจกโจ๊กทุกครั้งที่เกิดภัยพิบัติผู้คนอดอยากหิวโหย ทำบุญทำทานให้กับคนยากไร้ แต่กลับไม่เคยหวังสิ่งตอบแทนจากใจจริง จึงพยายามช่วยขอร้องแทนเจ้าอย่างสุดกำลัง ต่อให้มืดและสว่างจะมีความต่าง คนและเทพจะไม่เหมือนกัน แต่กระนั้นก็ยังอยากจะละเมิดกฎมาเข้าฝันเจ้า ทว่าพอเห็นว่าเจ้ายังคงหลงระเริงอยู่เหมือนเดิมโดยไม่รู้ว่าพวกบรรพบุรุษต้องเจ็บปวดเพียงไหน ด้วยความโมโห เทพแห่งผืนดินจึงไม่สนใจเจ้าอีก แต่เจ้ากลับไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย ศาลบรรพชนในบ้านถูกเจ้ารื้อคานด้วยมือตัวเองนานแล้ว”

“ถอยแล้วถอยอีก ข้าไม่พูดภาษาพระธรรมที่เจ้าฟังไม่เข้าใจแม้แต่น้อย แค่พูดเรื่องที่เจ้าจะเข้าใจ หากข้าสร้างวจีกรรมจริงๆ ปากเจ้าใจเจ้าล้วนด่าข้าว่าลาหัวโล้น บาปกรรมจะไม่ยิ่งมากกว่าข้าหรอกหรือ ในเมื่อเจ้ารู้หลักการเหตุผลมากมายขนาดนั้น ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะพูดแค่รากฐานในการหยัดยืนของบ้านเจ้า คิดดูแล้วเจ้าก็น่าจะรู้เรื่องของการค้าขายมากกว่า เอาวจีกรรมของข้าไปแลกเปลี่ยนกับวจีกรรมของเจ้า ข้าขาดทุน เจ้าเองก็ขาดทุน การค้านี้เจ้าคิดว่ามันคุ้มค่าจริงๆ หรือ? ได้กำไรอะไร? ในเมื่อเจ้ารู้หลักการเหตุผลมากมาย รบกวนเจ้าช่วยสอนข้าบ้างสิ?”

“เจ้าแค่กลัวข้ารู้เรื่องเลวๆ ที่เจ้าทำได้อย่างไร เรื่องมาถึงขั้นนี้ เอ่ยมาถึงตรงนี้ ยังคงไม่คิดว่าตัวเองรู้หรือไม่รู้ สรุปแล้วเจ้ารู้อะไรบ้าง?”

คนหนุ่มพลันเปลี่ยนจากท่านั่งเป็นหมอบกราบ ขอร้องภิกษุเฒ่าให้ช่วยเขาพ้นจากทะเลแห่งความทุกข์

ภิกษุเฒ่าเอ่ย “ขอร้องคนอื่นไม่สู้ช่วยเหลือตัวเอง”

“ทรัพย์สินเงินทองบนโลกใบนี้ไม่เคยมีความต่างว่าสกปรกหรือสะอาด มีเพียงใจคนเท่านั้นที่มักจะแบ่งขาวดำอยู่เสมอ”

คนหนุ่มผู้นั้นเพียงแค่นั่งคุกเข่าโขกหัว อ้อนวอนไม่หยุด

ภิกษุเฒ่าเอ่ยอย่างเดือดดาล “รู้แค่ว่าใต้หล้านี้ไม่มีเรื่องผิดเรื่องถูก มีเพียงจุดยืนเท่านั้นหรือ? ลองดูเถอะว่าเจ้าจะลำพองใจลอบคิดว่าตนฉลาดไปได้อีกสักกี่ปี! ไปเสวยสุขของเจ้าเอาเถอะ!”

คนถัดมา

ยังคงเป็นคนต่างถิ่นที่เดินทางมาท่องเที่ยวที่นี่ ดูจากใบหน้าอายุประมาณสามสิบปี รูปหน้าคมคาย เขายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ภิกษุ น้ำแกงไก่นี้ของเจ้า…รสชาติประหลาดไปสักหน่อย”

ภิกษุเฒ่ายิ้มกล่าว “ประสกแค่พูดตรงๆ ว่าไม่อร่อยก็พอแล้ว เพราะว่าในหลายๆ ครั้งมีแต่จะทำให้คนขี้โมโหยิ่งโมโหกว่าเดิม ทำให้คนทุกข์ใจยิ่งทุกข์ใจกว่าเดิม”

คนผู้นั้นวางเงินลงหนึ่งเม็ด “ข้าเชื่อว่าฝ่าซือมีพระธรรมอยู่จริง เพียงแต่ว่าความหงุดหงิดรำคาญใจของคนอื่น ในเมื่อต่างก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ไยไม่ถ่ายทอดวิชาเล็กๆ ที่เห็นผลได้ในทันที แบบนั้นจะไม่ยิ่งเผยแพร่พระธรรมได้มากกว่าเดิมหรอกหรือ?”

ภิกษุเฒ่าส่ายหน้า “เป็นโรคร้ายรีบร้อนใช้ยา มีร้านยามีหมอมากมายเพียงนั้น จะยังต้องการข้าไปอีกทำไม หากเป็นเวลาปกติไม่มีอะไรทำก็กินข้าวให้มากหน่อยก็พอแล้ว”

คนผู้นั้นรู้สึกยังไม่หายอยาก ยังอยู่ไกลเกินกว่าจะคลี่คลายข้อสงสัยได้

ภิกษุเฒ่ากลับยิ้มเอ่ยแล้วว่า “เรื่องน่าหงุดหงิดเล็กๆ ของคนธรรมดาทั่วไป เล็กเท่าไร? เจ้ารู้สึกว่าพระธรรมในใจข้า ใหญ่แค่ไหน? จะใช้แล้วเห็นผลได้ในทันทีจริงๆ หรือ? ข้าไม่ต้องพูดถึงความหงุดหงิดรำคาญหรือพูดถึงพระธรรมว่าเป็นอย่างไรด้วยซ้ำ เพียงแค่พูดว่าประสกเจ้าสามารถเดินทางมาไกลเป็นหมื่นลี้ เดินมานั่งลงที่นี่ จากนั้นก็เอ่ยประโยคนี้กับข้า เจ้าต้องผ่านสุขทุกข์พบพรากมามากน้อยแค่ไหน? ในใจของประสกยังไม่มีเรื่องหงุดหงิดเล็กๆ เกิดขึ้นมาใหม่ แต่เรื่องนี้หากมองไปให้ไกลสักหน่อยก็คงไม่ถือว่าเล็กแล้วกระมัง?”

คนผู้นั้นหลุดหัวเราะพรืดอย่างไม่เห็นด้วย ส่ายหน้าเอ่ยว่า “สิ่งที่ข้าพบเห็นและเคยได้ยินมา สิ่งที่เรียนรู้และบรรลุมา สิ่งที่คิดสิ่งที่คำนึงในชีวิตนี้ ไม่ใช่เพื่อมาเล่นทายคำปริศนากับฝ่าซือในวันนี้”

ภิกษุเฒ่าโบกมือ “ถ้าอย่างนั้นก็ไปที่อื่นเถิด”

ภายในหนึ่งวัน คนที่มาเยือนบ้านหลังนี้มีมากมาย ผู้คนเบียดเสียด ครึกครื้นมากเป็นพิเศษ

คนสุดท้ายของวันนี้ นึกไม่ถึงว่าจะเป็นเจ้าอารามวัยกลางคนของอารามป๋ายอวิ๋น อารามเต๋าขนาดเล็กของเมืองหลวงต้าหลี

นับจากด้านหลังมาเป็นคนที่สอง คือภูตตนหนึ่งที่จำแลงร่างกลายเป็นคน

ภิกษุเฒ่ารู้ เจ้าอารามวัยกลางคนก็ต้องรู้เช่นกัน

เมื่อครู่นี้ภิกษุเฒ่าเอ่ยกับภูตไปสามประโยค

“ในเมื่อมีจิตใจเป็นมนุษย์ ก็คือมนุษย์แล้ว”

“ฟ้าดินกว้างใหญ่ไหม? ก็แค่หนึ่งคือข้า หนึ่งคือเขา”

“เรื่องราวในใต้หล้านี้มีเยอะไหม? ก็แค่หนึ่งคือการได้และเสียของสิ่งที่จับต้องได้จริง อีกหนึ่งคือความรู้สึกในใจ”

ก่อนที่นักพรตวัยกลางคนจะถอดรองเท้าก็ไม่ได้หมอบคำนับอย่างลัทธิเต๋า แต่พนมสิบนิ้วด้วยพิธีคารวะแบบลัทธิพุทธ

ภิกษุเฒ่ายิ้มกล่าว “เจ้าอารามไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินหนึ่งตำลึงนั้น ในสายตาของข้า มองเห็นแค่แสงธรรมที่อยู่ในใจของสรรพชีวิตซึ่งมีหลากหลายอารมณ์เท่านั้น มองไม่เห็นอย่างอื่นแล้ว ไม่มีภูตผีอะไรทั้งนั้น”

นักพรตวัยกลางคนยิ้มอย่างเข้าใจ พยักหน้ารับเบาๆ

ภิกษุเฒ่าเอ่ยต่อว่า “ข้ากลัวว่าจะเข้าใจพระธรรมผิดไป ยิ่งเอ่ยภาษาธรรมผิด ไม่กลัวที่จะสอนคนอื่นว่าพระธรรมดีที่ตรงไหน กลัวก็แต่ว่าสอนคนอื่นว่าก้าวแรกควรเดินอย่างไร ก้าวต่อไปก็จะต้องเดินอย่างนั้น ยากและลำบาก ในใจเณรน้อยมีพระธรม แต่ไม่แน่เสอว่าจะพูดภาษาธรรม ภิกษุพูดภาษาธรรมได้ แต่ไม่แน่เสมอไปว่าในใจจะมีพระธรรม”

นักพรตวัยกลางคนเอ่ยสองประโยค

ตื่นรู้ฉับพลันนั้นมาจากการค่อยๆ ตื่นรู้

การค่อยๆ ตื่นรู้นั้นมุ่งไปยังการตื่นรู้ฉับพลัน

ภิกษุเฒ่าก้มหน้าพนมสิบนิ้ว “อามิตตาพุทธ ประเสริฐยิ่งแล้ว ประเสริฐยิ่ง”

……

ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เซียนเหรินคนหนึ่งเดินเข้าไปในถ้ำสวรรค์แห่งหนึ่ง

ใต้ฝ่าเท้าของเซียนเหรินคือกระจกทองสัมฤทธิ์โบราณที่มีขนาดร้อยจั้ง แต่ด้านบนวางเก้าอี้ไว้สิบสองตัวเหมือนศาลบรรพจารย์แห่งหนึ่ง

เมื่อเซียนเหรินท่านนี้ปรากฏตัวก็เปิดค่ายกลกระจกโบราณ ภายในเวลาหนึ่งก้านธูป เงาร่างทั้งหลายก็พากันปรากฏตัว หลังนั่งลงแล้วก็เห็นว่ามีมากหลายสิบคน เพียงแต่ว่าใบหน้าล้วนพร่าเลือนเห็นไม่ชัด

ทว่าเก้าอี้สองตัวที่อยู่ด้านหน้าสุดกลับยังไม่มีคนนั่ง

ทุกคนเงียบงันไม่ส่งเสียง เพียงแค่พูดคุยกันด้วยเสียงในใจ

คนที่เก้าอี้ตำแหน่งต่ำที่สุดเปิดปากพูดก่อนว่า “สำนักฉงหลินของพวกเราต้องช่วยผลักดันอย่างลับๆ หรือไม่?”

เซียนเหรินที่เป็นเจ้าของสถานที่แห่งนี้หัวเราะเสียงเย็นเอ่ยว่า “โง่เง่า ลับๆ? จะลับได้อย่างไร?! เจ้าคิดว่าอริยะในศาลบุ๋นพวกนั้นเป็นคนโง่กันหมดหรือ?”

เซียนซือที่มาจากสำนักฉงหลินคนนั้นเงียบกริบเป็นจักจั่นในหน้าหนาว รีบลุกขึ้นยืนอย่างตระหนกลน เอ่ยขออภัยทุกคน

จากนั้นทุกคนก็ไม่ใช้เสียงในใจพูดคุยกันอีก

เซียนหันไปพูดกับเจ้าสำนักฉงหลินว่า “บอกกับสวี่เซวี่ยน สิ่งที่เขาต้องการยิ่งใหญ่เกินไป ด้วยขอบเขตของเขาในทุกวันนี้ไม่มีคุณสมบัติพอจะพูดถึงเรื่องนี้ อย่าให้เขาไปหาเรื่องเฮ้อเสี่ยวเหลียงแห่งสำนักชิงเหลียงนั่นอีก”

ฝ่ายหลังพยักหน้ารับคำสั่ง

เซียนเอ่ยว่า “หลุมน้ำลู่เกิดการเปลี่ยนแปลงจริงๆ ด้วย โชคดีที่พวกเราไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับหลุมน้ำลู่มากนัก นอกจากนี้แล้วน่านน้ำมหาสมุทรของแจกันสมบัติทวีปและอุตรกุรุทวีปต่างก็มีภาพเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้น”

คนผู้หนึ่งยิ้มกล่าว “พวกเราไม่ใช่สำนักอวี่หลงเสียหน่อย แค่นั่งดูงิ้วเฉยๆ ก็พอแล้ว”

ตามมาด้วยเสียงหัวเราะหยันที่ฟังดูแก่ชรา “ข้าอยากจะรู้นักว่าเฉินฉุนอันจะยึดครองคำว่าผู้รอบรู้ไปคนเดียวได้อย่างไร”

เซียนเหรินไม่สนใจบุญคุณความแค้นของคนพวกนี้ เขามองไปยังบุคคลผู้หนึ่งที่แต่งกายเป็นสตรีนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามตน ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ทางฝั่งของแจกันสมบัติทวีป เป็นถิ่นของเจ้า เจ้าไม่มีอะไรจะพูดบ้างหรือ?”

ข้อมือของสตรีมีด้ายแดง นางยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไม่มีเรื่องอะไรให้พูดจริงๆ”

เซียนเหรินถาม “ใครไปตรวจสอบทีว่าหนังสือเล่มนั้นใครเป็นคนเขียน? หากเอาตัวมาให้พวกเราใช้งานได้ย่อมดีที่สุด”

คนหนึ่งในนั้นเอ่ยว่า “ข้าไปเอง”

สตรียิ้มเอ่ย “เป็นจมูกหมาจริงๆ”

คนผู้นั้นเอ่ยอย่างเฉยชา “หากเจ้าไม่มีศิษย์พี่ที่ดี ป่านนี้คงตายไปนานแล้ว”

สตรีส่ายข้อมือเบาๆ “น่าเสียดายที่ข้ามี”

เซียนเหรินของที่แห่งนี้เอ่ยว่า “คุยเรื่องเป็นการเป็นงานกันต่อ!”

สตรีเอ่ย “ข้าจะลองดู ให้หลิวเสี้ยนหยางไปที่ภูเขาตะวันเที่ยงก่อนสักรอบหนึ่ง”

……

ด่านชายแดนต้าหลี เด็กกลุ่มหนึ่งกำลังเล่นสนุกกัน ในที่สุดก็มองเห็นว่าห่างไปไกลมีฝุ่นคลุ้งตลบ พวกเขาพลันกระโดดโลดเต้นร้องตะโกนทันที

ม้าเร็วตัวหนึ่งควบตะบึงผ่านไป

พวกเด็กๆ วิ่งไล่ตามไปตามเนินเขา

ทหารที่อยู่บนหลังม้าหันหน้ามามอง ใช้หมัดทุบหน้าอกเบาๆ

……

ภูเขาทัวเยว่แห่งใต้หล้าเปลี่ยวร้างเกิดสั่นสะเทือนเบาๆ จากนั้นความเคลื่อนไหวก็รุนแรงมากขึ้นทุกขณะ แทบจะเกิดปรากฏการณ์ภูเขาทั้งลูกพลิกคว่ำ

ก่อนที่ค่ายกลใหญ่ของภูเขาทัวเยว่จะเปิดออก ขุนเขาทั้งลูกทรุดตัวลงต่ำไปหลายสิบจั้ง ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ อีก

บนหัวกำแพงเมืองของกำแพงเมืองปราณกระบี่ คนชุดแดงผู้หนึ่งหลับตานั่งนิ่งเหมือนคนตาย แต่จู่ๆ เขาก็ลุกขึ้นยืน พูดกลั้วหัวเราะเสียงดังว่า “อาเหลียง มีเวลาว่างก็มาเป็นแขกบ้างสิ!”

ตอนก่อน
ตอนต่อไป

ความคิดเห็นทั้งหมดของ "บทที่ 693.4 น้ำยังไม่ลด หินยังไม่ผุด"

ใส่ความเห็น ยกเลิกการตอบ

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

*

*

  • อ่านนิยาย
  • แทงหวย24

© 2020 cat-novel.com
เว็บอ่านนิยาย นิยาย pdf เว็บ “cat-novel.com” เว็บอ่านนิยายสนุกๆ เพลิดเพลินไปกับนิยายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น นิยายวาย, นิยายจีน, นิยายรัก, แฟนตาซี, กำลังภายใน, ผจญภัย สุดยอดวิชากำลังภายใน อัพเดททุกวัน พร้อมรองรับการอ่านบนมือถือ คอมพิวเตอร์ ไอแพด หรือแท็บเล็ต อ่านได้ตลอดเวลา ไม่มีโฆษณา อ่านนิยายฟรีต้อง เว็บ ”cat-novel.com”
นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์