กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 694.1 โลกมนุษย์มีโอสถทองเพิ่มอีก
ใต้หล้าแห่งที่ห้า ช่องโพรงแห่งหนึ่งบนม่านฟ้าที่เปิดอ้ามีนักพรตหนุ่มสองคนเดินออกมา คนหนึ่งสวมกวานดอกบัว อีกคนหนึ่งสวมชุดถ้ำเซียนสวรรค์ สวมกวานหย่วนโหยว สวมรองเท้าอวิ๋นลวี่ปักลายเมฆ มองดูเหมือนทั้งสองฝ่ายอายุไม่ต่างกันเท่าใด ฝ่ายแรกเป็นผู้พิทักษ์มรรคาให้ฝ่ายหลังในนาม แต่อันที่จริงเพราะคร้านจะออกไปสังหารเทวบุตรมารนอกโลกที่ฟ้านอกฟ้าต่างหาก
นักพรตจากใต้หล้ามืดสลัวจำเป็นต้องสวมชุดที่ตัดเย็บตามระเบียบ มิอาจล้ำเส้นได้แม้แต่นิดเดียว ทว่าวัตถุสองอย่างเช่นกวานหย่วนโหยวและรองเท้าอวิ๋นลวี่กลับเป็นข้อยกเว้น ไม่ได้ยึดติดกับสายเต๋า สำนักหรือชาติกำเนิด ขอแค่ได้รับทำเนียบวงศ์ตระกูลจากลัทธิเต๋า นักพรตก็สามารถสวมกวานเต๋าและรองเท้าอวิ๋นลวี่นี้ได้ เล่าลือกันว่าเป็นกฎที่มรรคาจารย์เต๋าตั้งเอง นักพรตเต๋าต้องมานะฝึกตน ออกเดินทางไกลไปเยือนขุนเขาสายน้ำ บำเพ็ญตบะสร้างคุณธรรม แสวงหาความสะอาดบริสุทธิ์
หลังจากที่ม่านฟ้าเปิดออก นักพรตหนุ่มสวมกวานดอกบัวก็เริ่มปลุกเสกตราผนึกให้กับประตูใหญ่ด้านหลังของตน ใช้ปลายนิ้ววาดยันต์ลงบนความว่างเปล่า
นอกจากสำนักตระกูลเซียนใหญ่หลายสิบแห่งซึ่งมีป๋ายอวี้จิง อารามเสวียนตูและตำหนักสุ้ยฉูเป็นหนึ่งในนั้นแล้ว สำนักที่เหลือทุกแห่งล้วนมีจำนวนรายชื่อที่แน่นอนในการส่งคนเข้ามาฝึกตนหาประสบการณ์ในใต้หล้าใหม่แห่งนี้ นับแต่นี้ไปก็มาแตกกิ่งก้านสาขาในฟ้าดินต่างบ้านต่างเมือง ก่อสำนักตั้งพรรคเป็นผู้ปกครองด้วยตัวเอง
ครั้งนี้ลัทธิขงจื๊อเป็นผู้ออกแรงบุกเบิกใต้หล้าแห่งที่ห้าเพียงลำพัง ตามหลักแล้วก็ควรจะให้ศาลบุ๋นได้ยึดครองพื้นที่แห่งนี้ไปฝ่ายเดียว ใต้หล้าแห่งอื่นอย่างมากก็แค่มาช่วยเป็นกำลังเสริมเท่านั้น แต่ว่าทางฝั่งของศาลบุ๋นแผ่นดินกลางกลับอนุญาตให้ใต้หล้ามืดสลัวและใต้หล้าบงกชมาเปิดประตูที่นี่กันคนละบาน ผู้ฝึกตนที่ขอบเขตต่ำกว่าห้าขอบเขตบนขึ้นไป ภายในเวลาหนึ่งร้อยปีต่างก็ได้รับอนุญาตให้ทยอยเข้ามาเยือนที่แห่งนี้ได้ แต่จำนวนคนต้องห้ามเกินสามพันคน หากคนเต็มเมื่อไหร่จะต้องปิดประตูทันที หนึ่งร้อยปีให้หลังค่อยคลายตราผนึกอีกครั้ง ส่วนถึงเวลานั้นสภาพการณ์จะเป็นอย่างไรก็ต้องรอให้สามฝ่ายอย่างศาลบุ๋น ป๋ายอวี้จิงและดินแดนพุทธะสามแห่งปรึกษากันให้ดีเสียก่อน
นักพรตน้อยคนหนึ่งเดินออกมาจากประตูใหญ่บานนั้น เขากวาดตามองไปรอบด้าน ตรงเอวห้อยกลองป๋องแป๋งห้าสีเอาไว้อันหนึ่ง ด้านหลังแบกน้ำเต้าสีทองขนาดใหญ่ยักษ์ไว้เอียงๆ
นักพรตหนุ่มที่สวมกวานหย่วนโยวคารวะนักพรตน้อย ฝ่ายหลังกลับโบกมือ พูดเหมือนคนแก่ว่า “ไม่ได้อยู่สายเดียวกัน อีกทั้งอาจารย์ของเจ้าและอาจารย์ของข้าต่างก็เป็นศัตรูคู่แค้นกัน ทุกวันนี้ยังทะเลาะกันอยู่ในถ้ำสวรรค์เหลียนฮวา หากพวกเราสองคนสนิทกันจะดูไม่เหมาะสม วันหน้าหากต้องกลายมาเป็นศัตรู ต้องฆ่าแกงกันเอาเป็นเอาตายกลับจะลงมือได้ไม่ง่ายนัก”
นักพรตที่ใช้มือวาดยันต์ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ถึงอย่างไรก็ไม่ได้อยู่ในป๋ายอวี้จิง พวกเราคุยกันได้ไม่มีปัญหา หากมีคำถามก็ถามได้ตามสบาย”
นักพรตน้อยจึงถามว่า “เหตุใดศาลบุ๋นถึงยอมให้ผู้ฝึกตนจำนวนหกพันคนของสำนักอื่นเข้ามาช่วงชิงโชควาสนากับตัวเองในที่แห่งนี้? หากอริยะของลัทธิขงจื๊อคอยจับตามองอยู่ตลอด ต่อให้ป๋ายอวี้จิงของพวกเจ้าสามารถใช้วิธีการหลบๆ ซ่อนๆ ย้ายตัวคนที่ต้องการมาที่นี่ได้ แต่ถึงอย่างไรจำนวนคนก็มีจำกัด ยิ่งไม่กล้าขยับขยายพื้นที่อิทธิพลอย่างกำเริบเสิบสาน เวลานานเข้า คิดดูแล้วผู้ฝึกตนของใต้หล้าไพศาลที่สามารถหยัดยืนในก้าวแรกได้อย่างมั่นคงย่อมต้องช่วงชิงฟ้าอำนวยดินอวยพรคนสามัคคีไปได้ก่อน ใต้หล้าอีกสองแห่งที่เหลือจะยังมาแย่งชิงถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลทั้งหลายที่เหมาะแก่การฝึกตนกับใต้หล้าไพศาลได้อย่างไร?”
คนทั้งสามก็คือเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิง ลู่เฉิน ศิษย์น้องเล็กของเขาที่มีชื่อสามัญว่าเถียนซานชิง ทว่าในทำเนียบของป๋ายอวี้จิงกลับใช้อีกชื่อหนึ่ง ยามอยู่ด้านนอก ฉายาของเขาจะตัดแซ่ทิ้งไป เหลือแค่ชื่อว่าซานชิง ‘ซานชิง’ ผู้นี้ก็คือลูกศิษย์คนสุดท้ายของมรรคาจารย์เต๋า รวมถึงคนที่มาถึงเป็นคนสุดท้ายคือเซาฮว่อถงจื่อที่มาจากอารามกวานเต๋าของตงไห่ เมื่อพื้นที่มงคลดอกบัวที่ ‘ฟ้าดินเชื่อมติด’ กับถ้ำสวรรค์เหลียนฮวาถูกแบ่งออกเป็นสี่ส่วน นักพรตเฒ่าตงไห่ก็เอาไปแค่ส่วนเดียว ส่วนหนึ่งให้ภูเขาลั่วพั่ว อีกสองส่วนที่เหลือแบ่งเป็นยกให้ลู่ไถเพื่อยั่วโมโหลู่เฉินโดยเฉพาะ อีกแห่งหนึ่งยกให้กับ ‘นักพรตหนุ่มแห่งภูเขาไท่ผิง’ ที่แปลงกายมาจากเผ่าปีศาจ สุดท้ายถึงได้ยกตลอดทั้งพื้นที่มงคล ‘บินทะยาน’ มายังใต้หล้ามืดสลัวเพื่อถกเถียงอภิปรายปัญหากับมรรคจารย์เต๋าด้วยตัวเอง
ลู่เฉินย้อนถาม “ใต้หล้าไพศาลมีเมธีร้อยสำนัก สถานที่แห่งอื่นมีไหม?”
นักพรตน้อยเอ่ย “ปรมาจารย์มหาปราชญ์ใช่คนที่อ่านตำราเล่าเรียนหนังสือจนโง่หรือไม่ พอแก่แล้วก็เลยเลอะเลือนไปบ้าง? หรือว่าอยากจะแอบอู้ ตนไม่มีเวลามาจัดการได้ไหวก็เลยให้คนอื่นช่วยเสียเลย?”
ลู่เฉินยิ้มเอ่ยอย่างเนิบนาบ “บัณฑิตพิถีพิถันในเรื่องการปฏิบัติให้ครบถ้วนทั้งฝึกบำเพ็ญตน ปกครองเรือนดูแลบ้านเมือง ทั้งยังไม่คิดว่าตัวเองเป็นฮ่องเต้ที่เอาแต่เสวยสุข ตระกูลยากจน พอหิวก็แค่ไปตกปลาหาผลไม้มาเติมท้องให้อิ่มเท่านั้น ครอบครัวคนทั่วไป ต้องการอ่างใบใหญ่ไว้เลี้ยงปลา ความรู้จึงอยู่แค่เรื่องการหาเหยื่อตกปลา คอยดูแลไปทีละตัว คอยสังเกตว่าพวกมันเป็นหรือตาย เจ็บไข้ได้ป่วยหรือไม่ เป็นสุขเมื่อพวกมันมีชีวิตสุขสบาย เป็นทุกข์เมื่อพวกมันตาย ตระกูลคนรวยหากมีสระน้ำหลายไร่ เรื่องที่จะสนใจอย่างแท้จริงก็ไม่ได้อยู่ในเรื่องของการป้อนอาหารแล้ว แต่จะกำชับพวกข้ารับใช้ว่าอย่าลืมซื้อปลาปล่อยปลา ความสุขของตัวเองมีเพียงแค่การชื่นชมดูปลา ตกปลาเท่านั้น รอกระทั่งเจ้ามีทะเลสาบผืนใหญ่ ความบันเทิงจะอยู่ที่ตรงไหน? ก็หนีไม่พ้นการปล่อยไปตามธรรมชาติ อาจมีบางครั้งที่ปั้นเหยื่อเพื่อตกปลาตัวใหญ่บ้าง เรื่องที่เป็นกังวลอย่างแท้จริงอยู่ที่การเปลี่ยนแปลงทิศทางไหลของแม่น้ำลำธาร ภัยแล้งภัยน้ำท่วมจากธรรมชาติ ศาลบุ๋นของใต้หล้าไพศาลค่อนข้างจะไม่เหมือนที่อื่น ความต่างนั้นอยู่ที่ว่าปล่อยให้คนนอกมาผ่าไม้ไผ่ทำเป็นคันเบ็ดตกปลาริมน้ำบ้านตัวเองได้”
นักพรตน้อยขมวดคิ้ว “ช่วยพูดให้ฟังง่ายกว่านี้ได้หรือไม่?”
ลู่เฉินยิ้มกล่าว “ท้องฟ้าลดตัวลงต่ำหน่อยได้หรือไม่ ผืนดินยกขึ้นสูงอีกได้หรือไม่? คนเราไม่ต้องฝึกตนก็ไม่ต้องตายได้หรือไม่?”
นักพรตน้อยไม่ยินดีจะพูดจาเหลวไหลกับเจ้าลัทธิสามท่านนี้ จึงกระโดดสองทีแล้วบ่นว่า “ได้ยินว่าซิ่วไฉเฒ่ามาทำงานใช้แรงงานอยู่ที่นี่ ทำไมยังไม่มาทักทายข้าอีกเล่า”
ลู่เฉินยิ้มกล่าว “หากซิ่วไฉเฒ่ามาจริงๆ ข้าก็คงได้แต่หลบเลี่ยงเขาแล้วล่ะ”
นักพรตน้อยเอ่ย “ซิ่วไฉเฒ่าก็แค่สอดคล้องกับมรรคาของฟ้าดินเท่านั้น วิธีการต่อสู้ของเขาไม่ได้เรื่อง”
ซานชิงพูด “ศิษย์พี่เล็กย่อมไม่กลัว แต่วันหน้าคนสามพันคนมาฝึกตนอยู่ที่นี่คงต้องเจออุปสรรค ฝึกตนได้อย่างลุ่มๆ ดอนๆ อยู่ตลอดเวลาแล้วล่ะ”
นักพรตน้อยพยักหน้ารับอย่างแรง เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง “นิสัยที่แย่ที่สุดของซิ่วไฉเฒ่าผู้นี้ก็คือเจ้าคิดเจ้าแค้น วิญญูชนต้องสำรวมระมัดระวังตน นั่นเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยมีอยู่เลย! ซิ่วไฉเฒ่าเดินขึ้นฟ้าในก้าวเดียว ไม่เคยได้ยศนักปราชญ์วิญญูชนมาก่อน”
ปีนั้นตอนที่อยู่บนมหาสมุทรระหว่างใบถงทวีปและแจกันสมบัติทวีป นักพรตน้อยเซาฮว่อยืนนิ่งให้ตีแต่โดยดี เขายื่นมือออกมา ถูกซิ่วไฉเฒ่าที่ใช้เหตุผลว่าคานบนไม่ตรงคานล่างเอียงเอากิ่งไม้ต่างไม้บรรทัดมาตีมือสั่งสอนเขาอย่างแรงไปรอบหนึ่ง
ลู่เฉินสร้างความมั่นคงให้กับประตูใหญ่ได้แล้วก็หันหน้าไปมอง นับหมื่นปีที่ผ่านมา ฟ้าดินแห่งนี้โคจรได้ด้วยตัวเองโดยที่ไม่มีใครมาผลักดัน ดวงอาทิตย์ดวงตะวันฉายแสงด้วยตัวเอง ดวงดาวขับเคลื่อนโคจรเป็นลำดับด้วยตัวเองโดยที่ไร้มนุษย์
วันหน้าจะเป็นอย่างไรก็บอกได้ยากแล้ว
ลู่เฉินพลันยิ้มกล่าว “สมกับคำกล่าวที่ว่าบทกวีป๋ายเหย่ไร้เทียมทาน เป็นความภาคภูมิใจที่สุดในโลกมนุษย์จริงๆ”
ต่อให้ถูกมหามรรคาสยบกำราบ ลู่เฉินตอนนี้จึงเป็นขอบเขตบินทะยานหลังจากที่ ‘ขอบเขตถดถอย’ แต่ถึงอย่างไรขอบเขตบินทะยานทั่วไปก็มิอาจทัดเทียมได้ บวกกับที่ในจุดที่ห่างไปไกลอย่างถึงที่สุด บัณฑิตคนนั้นถือกระบี่เซียนอยู่ในมือ พลังอำนาจยามออกกระบี่น่าตะลึงเกินไป ลู่เฉินจึงยังพอจะมองเบาะแสออกได้บ้าง แค่มองดูจากที่ไกลๆ ก็พอแล้ว หากขยับเข้าไปใกล้ย่อมง่ายที่จะก่อให้เกิดปัญหา เพราะถึงอย่างไรข้างกายป๋ายเหย่ก็มีซิ่วไฉเฒ่าอยู่ด้วย ส่วนลู่เฉินก็มีความแค้นกับลูกศิษย์ที่ศิษย์ไฉเฒ่าภาคภูมิใจที่สุด ศิษย์พี่ใหญ่ช่วงชิงบนมหามรรคากับฉีจิ้งชุน แต่คนที่ไม่ได้ผลประโยชน์อะไรที่สุดกลับศิษย์น้องอย่างเขาคนนี้ ช่วยไม่ได้ ห้านครสิบสองหอเรือนของป๋ายอวี้จิง เวลาปกติก็เป็นเขาที่ว่างงานมากที่สุด อีกทั้งศิษย์พี่รองยังนิสัยแย่เกินไป ดังนั้นงานเหนื่อยงานหนักในช่วงเวลาสำคัญจึงมักจะเป็นลูกศิษย์คนเล็กอย่างเขาลู่เฉินที่เป็นคนทำ โชคดีที่ทุกวันนี้ศิษย์น้องเล็กมีศิษย์น้องแล้ว ลู่เฉินหวังว่าคนหนุ่มสวมกวานหย่วนโหยวข้างกายผู้นี้จะเติบโตเร็วๆ หน่อย วันหน้าจะได้ไม่ต้องให้ตนคอยช่วยเหลืออีก
นักพรตน้อยชำเลืองตามองลู่เฉิน เอ่ยว่า “มิน่าเล่าถึงได้ทำตัวดีขนาดนี้ เพราะกังวลว่าอยู่ที่นี่ถูกมหามรรคาสยบ จากนั้นก็จะถูกคนผู้นั้นฟันกระบี่ใส่อีกหลายทีใช่หรือไม่?”
ลู่เฉินยิ้มกล่าว “ดังนั้นถึงได้บอกอย่างไรล่ะว่าคนบนภูเขาย่อมมีแผนการอันยอดเยี่ยม”
นักพรตเฒ่าคนหนึ่งเดินออกมาจากประตูใหญ่บานนั้น นักพรตน้อยรีบไปหลบอยู่กับซานชิง นักพรตซุนผู้นี้ เขาไปมีเรื่องด้วยไม่ได้จริงๆ
ใต้หล้ามืดสลัวในทุกวันนี้ถึงคราวเต๋าเหล่าเอ้อร์เป็นผู้เฝ้าพิทักษ์แล้ว ภาระหน้าที่สำคัญในการเปิดประตูครั้งนี้จึงมอบให้กับลู่เฉินและซุนไหวจงแห่งอารามเสวียนตู ลู่เฉินกับเจ้าอารามผู้เฒ่าไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีเท่าใดนัก แต่ก็ไม่ถือว่าเลวร้าย พอจะเข้ากันได้อยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นหากนักพรตซุนกับศิษย์พี่ลู่เฉินมาอยู่ด้วยกัน ก็อย่าหวังถึงสงบสุขของใต้หล้าแห่งใหม่นี้เลย ถึงเวลานั้นเมื่อรวมกับบัณฑิตที่ใครห้ามก็ไม่ฟังคนนั้น พอโทสะถูกกระตุ้นให้บังเกิด วางมิตรภาพกับอารามเสวียนตูลงชั่วคราว บวกกับมีซิ่วไฉเฒ่าคอยกระพือไฟปลุกปั่น คาดว่าป๋ายเหย่ต้องพกกระบี่ตรงไปยังใต้หล้ามืดสลัว เต๋าเหล่าเอ้อร์กับนักพรตซุนทำลายขุนเขาสายน้ำของใต้หล้าแห่งใหม่ไปมากเท่าไหร่ ใต้หล้ามืดสลัวก็ต้องคืนกลับมาเท่านั้น
นักพรตซุนเพิ่งจะเดินข้ามประตูบานใหญ่มาก็เลิกคิ้วขึ้น ร้องเอ๊ะหนึ่งที “นี่เพิ่งผ่านไปนานเท่าไรเอง? ขอบเขตหยกดิบคนแรกก็ถือกำเนิดขึ้นมาแล้วหรือ? นี่ต้องมีพรสวรรค์ที่ดีแค่ไหนถึงจะสร้างวีรกรรมยิ่งใหญ่นี้สำเร็จได้? ร้ายกาจ ร้ายกาจ ราวกับว่าฟ้าดินเพิ่งเปิดใหม่ก็มีโชควาสนานี้ติดกายแล้ว ได้รับความโปรดปรานจากฟ้าดินแห่งนี้ การเดินไปบนมหามรรคาก็สามารถพิสูจน์มหามรรคาได้อย่างแท้จริง”
ไม่ใช่ว่าผู้ฝึกตนคอขวดก่อกำเนิดคนใด หรือตัวอ่อนที่จะต้องได้เป็นห้าขอบเขตบนในบ้านเกิดของตัวเองคนใดก็ตามที่พอมาถึงใต้หล้าแห่งนี้แล้วก็จะสามารถเลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบนได้ ผู้ฝึกลมปราณทุกคนที่มาที่นี่ล้วนต้องถูกใต้หล้าแห่งนี้สยบกำราบ อย่างมากสุดก็ได้แต่ค่อยๆ ปรับตัวให้สอดคล้องกับการโคจรของมหามรรคาในที่แห่งนี้ก่อนถึงจะมีหวังฝ่าทะลุขอบเขต
นักพรตซุนหันหน้าไปมองคนหนุ่มที่สวมกวานหย่วนโยว ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ถูกคนชิงตัดหน้าไปก่อน รสชาติเป็นอย่างไร?”
ซานชิงคารวะนักพรตซุนอย่างนอบน้อมก่อน จากนั้นจึงเอ่ยว่า “ผู้น้อยมิกล้าช่วงชิงลิขิตสวรรค์กับมหามรรคา”
นักพรตซุนยิ้มเอ่ย “โอกาสพลาดไปแล้วย่อมไม่มาเยือนอีก ตอนนี้สามารถเอ่ยถ้อยคำสบายๆ ที่ฟังดูผ่อนคลายได้ วันหน้าก็จะรู้เองว่าอะไรที่เรียกว่าช้าไปก้าวเดียวก็ช้าไปทุกก้าว ในยุคบรรพกาลยังเป็นเช่นนี้ คิดจริงๆ หรือว่าทุกวันนี้จะไม่มีเรื่องของการมาก่อนก็ได้ก่อนอีกแล้ว?”
นักพรตน้อยพยักหน้า “ใช้สถานะของผู้ฝึกกระบี่เป็นขอบเขตหยกดิบคนแรก เป็นเหตุให้ผู้ฝึกกระบี่ทุกคนต่างก็ได้พึ่งใบบุญไปด้วย การลุกผงาดของกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ยิ่งเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้แล้ว”
นักพรตซุนชำเลืองตามองเจ้าลูกกระต่ายผู้นั้น “พูดจาเหลวไหลอะไร?”
นักพรตน้อยอับอายจนพานเป็นโกรธ “คนโง่คนตาบอดก็รู้ว่าผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบคนแรกของฟ้าดินจะต้องได้รับการปกป้องจากวิถีสวรรค์ นี่คือคำพูดเหลวไหลหรือ? คำพูดเหลวไหลเจ้าพูดได้ แต่ข้าพูดไม่ได้หรือไง?”
นักพรตซุนขยับมาข้างกายนักพรตน้อยในชั่วพริบตา ยื่นมือไปกดศีรษะของฝ่ายหลัง ให้เหตุผลว่า “ขอบเขตของข้าผู้เป็นนักพรตสูง พูดจาเหลวไหลพูดจาเหมือนผายลมล้วนถือเป็นถ้อยคำแห่งสัจธรรมเป็นโองการศักดิ์สิทธิ์”
นักพรตน้อยไม่อาจหลบเลี่ยงฝ่ามือนั้นได้ รู้สึกเพียงว่าขุนเขากดลงมาเหนือหัว มึนหัวตาลาย จิตวิญญาณสั่นสะเทือน โชคดีที่นักพรตซุนสะบัดศีรษะของอีกฝ่ายออก นักพรตน้อยเดินโซเซไปหลายก้าว นักพรตซุนยิ้มเอ่ย “เห็นแก่ที่อาจารย์ของเจ้ากล้าถกเถียงปัญหากับมรรคาจารย์เต๋า ข้าผู้เป็นนักพรตก็จะไม่ถือสาเรื่องที่เจ้าแอบตัดกิ่งท้อแล้ว”
ลู่เฉินมองไปยังที่ตั้งของนครแห่งนั้น เอ่ยว่า “สี่ด้านแปดทิศล้วนมีการวาดแผนที่ภูมิศาสตร์อย่างละเอียดรัดกุม ผู้ฝึกกระบี่ที่มาภายหลังแค่ทำไปตามขั้นตอน แบ่งออกเป็นวางวัตถุสยบความชั่วร้ายคว้าชัยชนะไว้ระหว่างขุนเขาสูงตระหง่านและแม่น้ำลำคลองสายใหญ่ ให้เป็นตราประทับแห่งขุนเขาสายน้ำ เมื่อเป็นเช่นนี้ความเร็วในการขยับขยายจะเร็วเกินไปหรือไม่? ไม่พูดถึงว่าวันหน้าจะเป็นอย่างไร พูดถึงแค่ว่าในระยะเวลาสั้นๆ หนึ่งร้อยปีก็จะกลายเป็นกองกำลังที่ใหญ่ที่สุดของใต้หล้าแห่งนี้ ขีดจำกัดเพียงหนึ่งเดียวมีเพียงจำนวนของประชากรในนครที่ตามไม่ทันเท่านั้น แต่เมื่อรอให้ประตูบานใหญ่สามบานของใต้หล้าไพศาลเปิดออก ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่างและคนธรรมดาจำนวนนับไม่ถ้วนพากันกรูเข้ามา ขอแค่โชคของผู้ฝึกกระบี่อายุน้อยกลุ่มนี้ดีพอ จุ๊ๆ อนาคตของผู้ฝึกกระบี่ก็ไร้ขีดจำกัดจริงๆ”
แต่ลู่เฉินก็รู้ดีว่า นอกจากความประทับใจของผู้ฝึกกระบี่ต่อทักษินาตยทวีปที่ค่อนข้างดีแล้ว ทัศนคติที่มีต่อใบถงทวีปและฝูเหยาทวีปล้วนถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องย่ำแย่อย่างมาก เป็นเหตุให้นครแห่งนั้นต้องไม่ยินดีให้รับคนของสามทวีปนี้จากใต้หล้าไพศาลมากเกินไปอย่างแน่นอน
คาดว่านี่ก็คือการโคจรของลมและน้ำ ตาต่อตาฟันต่อฟัน แต่หากพวกผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์เจ้าคิดเจ้าแค้นมากเกินไป ภายในเวลาหนึ่งร้อยปีดีแต่จะทำอะไรโดยใช้อารมณ์ สยบกำราบผู้ฝึกตนและชาวบ้านของสามทวีปอย่างกำเริบเสิบสาน ฟ้าอำนวยมีแต่จะโคจรไม่แน่นอน สุดท้ายก็จากไปไกลอย่างเงียบเชียบ