กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 695.1 ขอบเขตยอดเขาที่อยู่ในจุดสูงที่สุด
ท่ามกลางสายฝนที่เทกระหน่ำ บุรุษคนหนึ่งเดินออกมาจากกระท่อมริมลำคลอง แม้จะเดินอยู่กลางม่านฝน แต่เสื้อผ้ากลับไม่เปียก
จั่วโย่วยืนอยู่ริมลำคลอง ฝนเม็ดใหญ่เท่าเมล็ดถั่วเหลืองตีกระทบบนผิวลำคลองถี่กระชั้น ส่งเสียงดังชวนหนวกหู
ม่านฝนผนวกเข้ากับม่านรัตติกาล ฟ้าดินจึงยิ่งดูมืดครึ้มหนาหนัก
ยามที่สำนักใบถงรุ่งเรืองอย่างถึงที่สุด มีอาณาบริเวณกว้างขวาง ในรัศมีหนึ่งพันสองร้อยกว่าลี้ล้วนเป็นถิ่นของสำนักใบถง ประหนึ่งราชวงศ์ในโลกมนุษย์แห่งหนึ่ง ที่สำคัญคือมีปราณวิญญาณเปี่ยมล้นเหมาะแก่การฝึกตน ทว่าหลังเกิดการเปลี่ยนแปลงในครั้งนั้น เมื่อต้นไม้ล้มฝูงวานรก็แตกฮือ กองกำลังใต้อาณัติสิบกว่าแห่งทยอยกันออกห่างจากสำนักใบถง เป็นเหตุให้อาณาบริเวณของสำนักใบถงลดลงฮวบฮาบ มีทางเลือกอยู่สามทาง หนึ่งคือสร้างภูเขาขึ้นมาเป็นของตัวเอง เปลี่ยนจากการลงนามสัญญาขุนเขากับศาลบรรพจารย์สำนักใบถงช่วงแรกเริ่มสุด เปลี่ยนจากผู้อยู่ใต้อาณัติมาเป็นพันธมิตร ยึดครองพื้นที่ฮวงจุ้ยมงคลแห่งหนึ่งที่สำนักใบถงในอดีตแบ่งมาให้ แต่กลับไม่ต้องจ่ายเงินเทพเซียนสักก้อน นี่ยังนับว่ามีคุณธรรมมากแล้ว อีกอย่างก็คือสำนักตระกูลเซียนหันไปเข้าร่วมกับสำนักกุยหยกโดยตรง หรือไม่ก็ไปทำสัญญากับราชวงศ์ใกล้เคียง รับหน้าที่เป็นผู้ถวายงานผู้ประคับประคองมังกร
ฝนค่อยๆ ซาลง กระท่อมริมลำคลองมีแขกสามคนมาเยือน คนหนึ่งคือเซียนเหรียนสวมชุดคลุมสีม่วง ก็คือฟู่หลิงชิงเจ้าสำนักใบถงที่เคยประมือกับจั่วโย่วมาหลายครั้ง ขอบเขตเซียนเหริน ถือเป็นคนที่ฝืนฝ่าคอขวดขอบเขตหยกดิบ เป็นเหตุให้มหามรรคาเสียหาย ชีวิตนี้ได้แต่หยุดอยู่ที่ขอบเขตเซียนเหรินแล้ว การฝ่าทะลุขอบเขตของฟู่หลิงชิงเป็นการกระทำที่จำใจ หากไม่ทำเช่นนี้ หากสำนักใบถงไม่มีเซียนเหรินที่แข็งแกร่งคนหนึ่งเฝ้าพิทักษ์ย่อมไม่อาจรักษากิจการบรรพบุรุษที่โงนเงนใกล้จะล้มมิล้มแหล่นี้เอาไว้ได้ นี่แสดงให้เห็นว่านิสัยของฟู่หลิงชิงแตกต่างจากตู้เม่าบรรพจารย์ผู้กอบกู้ความรุ่งโรจน์อย่างสิ้นเชิง
ข้างกายฟู่หลิงชิงมีชายหนุ่มหญิงสาวคู่หนึ่งติดตามมาด้วย สตรีสวมเสื้อปักดิ้นสีทอง สวมกระโปรงสีชมพูเข้ม ด้านนอกห่มคลุมด้วยกระโปรงเซียงสุ่ยชุดเซียนมังกรสาวที่เหมือนมีไอเมฆหมอกจางๆ ล่องลอย สวมรองเท้าปักลายบุปผาที่มาจากพื้นที่มงคลร้อยบุปผา มีนามว่าอวี๋ซิน
ส่วนบุรุษหนุ่มที่สง่างามเปี่ยมเสน่ห์มีนามว่าหลี่หวานย่ง สะพายกระบี่ยาวเล่มหนึ่ง กระบี่มีชื่อว่า ‘ชือจ้วน’ คือสมบัติหนักที่ใช้ในการโจมตีซึ่งมีน้อยจนนับนิ้วได้ของสำนักใบถง
อวี๋ซินกับผู้ฝึกกระบี่หลี่หวานย่ง บวกกับตู้เหยี่ยนและฉินสุ้ยหู่ ถูกขนานนามว่าเป็นผู้กอบกู้สี่คนในบรรดาคนรุ่นเยาว์ของใบถงทวีป เติบโตอย่างรวดเร็ว ล้วนเป็นวัตถุดิบชิ้นสำคัญลำดับหนึ่งในการฝึกตน นี่ก็คือรากฐานของสำนักใหญ่แห่งหนึ่ง
ต่อให้ทุกวันนี้พลังต้นกำเนิดของสำนักใบถงจะเสียหายอย่างหนัก ไม่พูดถึงเรื่องฟ้าอำนวยดินอวยพร พูดถึงแค่ผู้ฝึกตน เรื่องเดียวที่แพ้ให้กับสำนักกุยหยก แท้จริงแล้วก็แค่เพราะพวกเขาขาดเจียงซ่างเจินเจ้าประมุขที่มีความหวังบนมหามรรคา กับเหวยอิ๋งเจ้าสำนักเจินจิ้งสำนักเบื้องล่างที่พรสวรรค์ดีเยี่ยมก็เท่านั้น ไม่พูดถึงเจียงซ่างเจินและเหวยอิ๋ง อันที่จริงด้านอื่นๆ สำนักใบถงก็ยังคงไม่ห่างจากสำนักกุยหยกสักเท่าไร ส่วนพวกผู้ถวายงาน เค่อชิงที่แยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทางนั้น ก่อนหน้านี้คนที่สามารถย้ายเก้าอี้ออกมาจากศาลบรรพจารย์สำนักใบถงได้ ขอแค่พวกอวี๋ซินสี่คนเติบโตได้อย่างราบรื่น มีสองคนที่เลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้กระบี่หลี่หวานย่ง ในอนาคตก็สามารถย้ายกลับมาโดยไม่ทำลายความปรองดอง
เจ้าสำนักฟู่หลิงชิงมาหยุดยืนอยู่ข้างกายจั่วโย่ว เอ่ยเรียกคำหนึ่งว่าอาจารย์จั่ว
จั่วโย่วพยักหน้ารับ
ฟู่หลิงชิงเอ่ยว่า “รวมสำนักใบถงของพวกเราด้วยแล้ว เรือข้ามทวีปตระกูลเซียน เรือยันต์ทั้งหมดของหนึ่งทวีป วัตถุจื่อชื่อและวัถตุฟางชุ่นทั้งหมดของผู้ฝึกลมปราณ ล้วนถูกทางสำนักศึกษาเอาไปใช้หมดแล้ว เริ่มทำการบรรทุกพาพวกชาวบ้านเดินทางเลียบมหาสมุทรออกจากบ้านเกิดไปหลบภัย ส่วนสำนักตระกูลเซียนบางส่วนที่พยายามออมกำลังไว้ปกป้องตัวเอง ไม่ยินดีทุ่มหมดหน้าตัก ก็ถือเป็นเรื่องที่เลี่ยงได้ยาก หลังจากที่พวกนักปราชญ์และวิญญูชนในสำนักศึกษาตักเตือนไปแล้วก็บอกได้แค่ว่าพอจะดีขึ้นบ้างเล็กน้อย แต่สถานการณ์ใหญ่ยังคงยากจะเปลี่ยนแปลงอยู่เหมือนเดิม ทว่าเจียงซ่างเจินได้เริ่มคลายตราผนึกของพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาเพื่อรับชาวบ้านในอาณาเขตของสำนักกุยหยกเข้าไปภายในแล้ว ส่วนค่ายกลใหญ่ซื่อเซี่ยง (สัตว์เทพทั้งสี่) ก็สามารถเปิดใช้ได้ทุกเมื่อ เพื่อต้านทานฟ้าอำนวยดินอวยพรที่อาจถูกกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจเปลี่ยนแปลง”
พูดถึงเจียงซ่างเจินและพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาของเขา ฟู่หลิงชิงก็รู้สึกเลื่อมใสไม่น้อย หากมีมนุษย์ธรรมดาจำนวนมากกรูเข้าไปข้างใน ปราณวิญญาณฟ้าดินจะต้องค่อยๆ ถูกแบ่งแยกและกลืนกิน พื้นที่มงคลที่เดิมทีเป็นระดับสูงต้องกลายมาเป็นพื้นที่มงคลระดับกลาง และการที่ ‘ขอบเขตถดถอย’ ประเภทนี้ ก็ไม่เหมือนกับการถามมรรคาของผู้ฝึกตน เรียกได้ว่าแทบไม่มีทางให้หวนย้อนกลับ เพราะระดับขั้นสูงต่ำของพื้นที่มงคล แท้จริงแล้วก็คือปราณวิญญาณที่ทุ่มจ่ายด้วยเงินเทพเซียน หากปราณวิญญาณถูกชาวบ้านธรรมดาที่มีนับแสนนับล้านแบ่งไปจนหมดสิ้น อย่างมากสุดก็แบ่งเป็นอายุขัยของแต่ละคนที่เพิ่มมากขึ้นซึ่งแต่ละคนก็ได้ไปน้อยนิดจนแทบมองข้ามไปได้ แต่สำหรับผู้ฝึกตนที่อยู่ในพื้นที่มงคลแล้ว จะเหมือนกับม่านฟ้าลดตัวลงต่ำ การสยบของมหามรรคายิ่งนานก็ยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งนานผลสำเร็จบนมหามรรคาก็ยิ่ง ‘ลดต่ำ’ ลงเรื่อยๆ
ดังนั้นหากลองเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น เปลี่ยนเป็นฟู่หลิงชิงที่เป็นผู้ดูแลพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา ลำพังเพียงแค่เรื่องของการรั้งโชควาสนาเอาไว้ให้กับผู้ฝึกตนในท้องถิ่นก็คงต้องร้อนใจจนจนหัวหูไหม้ ลำบากใจเป็นทบทวีแล้ว
อีกทั้งในประวัติศาสตร์ของภูเขาและสำนักของใบถงทวีปก็ขึ้นชื่อเรื่องเคยชินในการกวาดหิมะหน้าประตูเป็นที่สุด (เปรียบเปรยว่าสนใจแต่เรื่องของตนเอง ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของคนอื่น)
ยกตัวอย่างจนถึงทุกวันนี้ใบถงทวีปก็ยังไม่มีเรือข้ามทวีปแม้แต่ลำเดียว หันกลับมามองแจกันสมบัติทวีปแห่งเล็กๆ แค่นครมังกรเฒ่าก็ยังมีเรือข้ามฟากอยู่หลายลำ นอกจากนี้ก็ไม่เคยมีเซียนกระบี่ที่เดินทางไปหาประสบการณ์ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ และการเลือกสถานที่ของสำนักเบื้องล่างในใต้หล้าไพศาลก็จะไม่มีทางเลือกใบถงทวีป เป็นต้น
จั่วโย่วกล่าว “ในที่สุดเจียงซ่างเจินก็ทำเรื่องที่คนทำเสียที”
ทำเรื่องที่คนทำ
หากรู้ว่าจะเป็นอย่างนี้ตั้งแต่แรก ตอนนั้นที่ขี่กระบี่เดินทางไกลผ่านนครเซิ่นจิ่งของราชวงศ์ต้าเฉวียน ยามที่จั่วโย่วถามกระบี่ก็น่าจะเกรงใจกันกว่านี้สักหน่อย
ฟู่หลิงชิงไม่ได้รับคำ เพราะถึงอย่างไรทุกวันนี้เจียงซ่างเจินก็เป็นเจ้าสำนักของสำนักกุยหยก แม้ว่าผู้ที่ขอบเขตสูงที่สุดจะยังคงเป็นอดีตเจ้าสำนักสวินยวน แต่ตามกฎบนภูเขาแล้ว ในนามก็ถือว่าเจียงซ่างเจินได้เป็นผู้นำตระกูลเซียนของหนึ่งทวีปได้อย่างสมศักดิ์ศรีแล้ว ก็เหมือนฟู่หลิงชิงในอดีต ฟู่หลิงชิงรู้ดีว่ายามที่วิถีทางโลกสงบสุข ชื่อเสียงจอมปลอมนี้ยังพอสร้างประโยชน์แก่สำนักได้บ้าง แต่ท่ามกลางกลียุควุ่นวายที่ฟ้าพลิกแผ่นดินคว่ำเช่นนี้ ชื่อเสียงนี้กลับสำคัญอย่างมาก
ฟู่หลิงชิงเปลี่ยนเรื่อง เอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “หากมีเรือข้ามฟากขุนเขาของแจกันสมบัติทวีปมาช่วยย้ายชาวบ้านให้เข้าไปอยู่ในภูเขาใหญ่ได้รับการปกป้องก็จะสะดวกกว่าเดิมมาก”
จั่วโย่วส่ายหน้า “นอกจากสกุลซ่งต้าหลีที่มั่นใจว่าจะต้องฮุบกลืนหนึ่งทวีปได้แล้ว ก็มีไม่กี่ราชวงศ์หรอกที่กล้าติดหนี้ก้อนใหญ่เพื่อสร้างเรือข้ามฟากขุนเขาเช่นนี้”
เรือข้ามฟากที่น่าเหลือเชื่อเหล่านั้นคือการเอาขุนเขาสายน้ำของพื้นที่หนึ่งมาหลอมจริงๆ ขนาดของมันใหญ่ยิ่งกว่าเรือข้ามทวีปของบนโลกเสียอีก เป็นเพราะว่ามีกองกำลังของสายหลักและสายรองสำนักโม่มาช่วยออกแรงเสริม สกุลซ่งต้าหลีถึงได้มีโอกาสสร้างสำเร็จ
ฟู่หลิงชิงเอ่ยอย่างสะท้อนใจ “หลังจากน้ำลดหินผุดแล้วถึงได้รู้ว่าเจ้าผู้ครองแคว้นมีความกล้าหาญเหนือกว่าเซียนซือบนภูเขาเสียอีก น่าเสียดายที่ไม่มีโอกาสได้ไปเยี่ยมเยือนอดีตฮ่องเต้พระองค์นั้นอีกแล้ว”
ความเห็นแก่ตัว ความปรารถนาส่วนหนึ่งก็สร้างวีรกรรมยิ่งใหญ่ที่สามารถกอบกู้คลื่นลมมรสุมได้
ผู้ฝึกตนบนภูเขาของตลอดทั้งใต้หล้าไพศาลในเวลานี้ แท้จริงแล้วต่างก็มองเห็น ‘ญาณที่ทราบเหตุการณ์ล่วงหน้า’ จากการที่ราชครูชุยฉานแห่งแจกันสมบัติทวีปร่วมมือกับสกุลซ่งอยู่ในสายตา แล้วก็จดจำไว้ในหัวใจ
สำหรับเรื่องนี้จั่วโย่วทั้งไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ
จั่วโย่วกับชุยฉานมีความแค้นส่วนตัวระหว่างศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนักในอดีต แต่จั่วโย่วยังไม่ถึงขั้นเอาความแค้นส่วนตัวมาลบล้างเรื่องส่วนรวม มองข้ามสิ่งที่ชุยฉานกระทำ ไม่อย่างนั้นตอนที่ ‘ศิษย์พี่ศิษย์น้อง’ ได้กลับมาพบกันอีกครั้งที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ชุยตงซานก็คงไม่เพียงแค่ถูกหนึ่งกระบี่ฟันให้ออกจากหัวกำแพงเมืองอย่างเรียบง่ายแค่นั้น
หลี่หวานย่งเอ่ยเสียงเบา “น่าเสียดายที่อริยะผู้มีรูปปั้นอยู่ในศาลบุ๋นซึ่งนั่งพิทักษ์ม่านฟ้าไม่ได้มีพลังการสู้รบที่แท้จริงอะไร”
กองกำลังสองขั้วของลัทธิขงจื๊อ หนึ่งอยู่มืดหนึ่งอยู่สว่าง เจ็ดสิบสองสำนักศึกษาของลัทธิขงจื๊อ เจ้าขุนเขาที่เป็นอริยะของลัทธิขงจื๊อเจ็ดสิบสองท่าน ก่อกำเนิด หยกดิบ เซียนเหริน มีครบทั้งสามขอบเขต
นอกจากนี้ก็คืออริยะผู้มีรูปปั้นในศาลบุ๋นอีกหลายคนที่นั่งเฝ้าพิทักษ์ม่านฟ้าคอยตรวจตราใต้หล้า ที่เหลือก็ยังมีอริยะศาลบุ๋นอีกส่วนหนึ่งที่ไปอยู่ในแม่น้ำแห่งกาลเวลา คอยตามหาบุกเบิกถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลให้หลอมรวมเข้ามาอยู่ในอาณาเขตของใต้หล้าไพศาล ยกตัวอย่างเช่นใต้หล้าแห่งที่ห้าที่เพิ่งบุกเบิกใหม่ล่าสุดแห่งนี้ นอกจากนี้ก็มีอริยะปราชญ์ส่วนหนึ่งที่ติดตามหลี่เซิ่งไปคอยต้านทานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาลห่างไกลที่รับมือได้ยากอย่างถึงที่สุด คอยปกป้องตลอดทั้งใต้หล้าไพศาลไม่ให้ถูกทำลายอย่างลับๆ เจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาและผู้อำนวยการของสถานศึกษาในแต่ละสถานที่ การทิ้งตัวลงมาจากม่านฟ้าของอริยะปราชญ์ผู้มีรูปปั้นตั้งบูชาเหล่านี้ ส่วนใหญ่แล้วคนบนโลกมักจะไม่ค่อยรับรู้ ไม่เคยมีบันทึก ผู้ฝึกตนบนภูเขาก็ยังไม่รู้ แล้วนับประสาอะไรกับคนธรรมดาล่างภูเขา
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มที่ถูกขนานนามให้เป็นฟู่หลิงชิงคนที่สองผู้นี้ ในอดีตตอนที่ยังเป็นเด็กหนุ่มไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ เคยโต้เถียงกับจั่วโย่วซึ่งๆ หน้า เกือบจะถูกจั่วโย่วทำลายจิตแห่งกระบี่ หากไม่เป็นเพราะเจ้าสำนักรับกระบี่แทนเขา อีกทั้งยังมีอวี๋ซินที่ขอร้องแทนเขา ผู้กอบกู้สี่คนของสำนักใบถงในทุกวันนี้ คาดว่าคงไม่มีเรื่องของเขาหลี่หวานย่งแล้ว
สิ่งที่หลี่หวานย่งพูดคือเรื่องจริง อริยะที่มีรูปปั้นในศาลบุ๋นซึ่งเฝ้าพิทักษ์ทุกทวีปของใต้หล้าไพศาลมีหน้าที่คอยตรวจสอบผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนในทวีป โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องคอยจับตามองผู้ฝึกตนใหญ่บนยอดเขาขอบเขตเซียนเหรินและขอบเขตบินทะยาน วาดพื้นที่ให้เป็นดั่งกรงขัง ไม่เคยลงไปเยือนโลกมนุษย์ เป็นอย่างนี้ปีแล้วปีเล่า แค่หลุบตาลงต่ำมองแสงไฟในโลกมนุษย์เท่านั้น ปีนั้นตู้เม่าขอบเขตบินทะยานของใบถงทวีปออกจากสำนักข้ามทวีปไปยังนครมังกรเฒ่าของแจกันสมบัติทวีปก็ต้องได้รับอนุญาตจากอริยะที่พิทักษ์ม่านฟ้าเสียก่อน
ฮว่อหลงเจินเหรินแห่งอุตรกุรุทวีปออกจากสำนักเดินทางไกลก็เช่นกัน ขอบเขตบินทะยานของแต่ละทวีปที่คำร้องถูกปฏิเสธกลับมาก็มีอยู่ไม่น้อย
ดังนั้นบรรพบุรุษของภูเขาทัวเยว่ถึงได้ยิ้มเอ่ยว่าผู้แข็งแกร่งที่อยู่บนยอดเขาสูงสุดของใต้หล้าไพศาลไม่มีอิสระแม้แต่น้อย คำกล่าวนี้ไม่ใช่คำพูดเลื่อนลอยอย่างแน่นอน
ใต้หล้าไพศาลพันธนาการผู้แข็งแกร่งเป็นที่สุด ส่วนผู้แข็งแกร่งในลัทธิขงจื๊อก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง จุดจบของอริยะปราชญ์ผู้มีรูปปั้นในศาลบุ๋นก็คือหลักฐานชิ้นใหญ่ที่สุด
หลักการเหตุผลบางอย่างที่ทำให้คนลำบากใจล้วนหล่นลงบนตัวของลัทธิขงจื๊อก่อนใคร ถึงจะสามารถทำให้เทพเซียนผู้เฒ่าขอบเขตบินทะยานทั้งหลายอดทนข่มกลั้นเอาไว้ได้ ร้องทุกข์ทำได้ แต่หลังจากร้องทุกข์แล้วก็รบกวนช่วยรักษากฎระเบียบต่อไป เมื่อเป็นเช่นนี้ถึงจะได้ไม่ต้องเป็นคนบนยอดเขาที่พอลงจากภูเขาไปแล้ว แค่จามหนึ่งทีหรือกระทืบเท้าหนึ่งครั้งก็ทำให้ขุนเขาสายน้ำพันลี้ในโลกมนุษย์สั่นสะเทือนไม่สงบแล้ว
ฟู่หลิงชิงเดือดดาลอย่างหนัก “หลี่หวานย่ง! ระวังคำพูดด้วย!”
หลี่หวานย่งหน้าซีดขาวเล็กน้อย
น้อยครั้งนักที่เจ้าสำนักผู้สุภาพอ่อนโยนจะโมโหเช่นนี้
จั่วโย่วเอ่ย “ไม่ต้องทำให้ข้าดูหรอก”
ฟู่หลิงชิงอัดอั้นจนเกือบจะบาดเจ็บภายใน
สำหรับอริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊อแล้ว เจ้าสำนักของสำนักใบถงท่านนี้เคารพนับถือพวกเขาจากใจจริง
แล้วนับประสาอะไรกับที่อริยะปราชญ์ของศาลบุ๋นเหล่านี้ยังใช้การที่ร่างดับมรรคาสลายมาเป็นค่าตอบแทน การที่พวกเขาหวนกลับมายังโลกมนุษย์จึงมีความหมายอย่างใหญ่หลวง ปกป้องพื้นที่ของหนึ่งทวีป สามารถทำให้ผู้ฝึกตนของแต่ละทวีปได้ยึดครองฟ้าอำนวยดินอวยพร พยายามลดทอนระดับพลังการโจมตีทั้งก่อนและหลังที่เผ่าปีศาจแห่งใต้หล้าเปลี่ยวร้างขึ้นฝั่งมาให้ได้มากที่สุด ทำให้ค่ายกลใหญ่ของหนึ่งทวีปและค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขาของภูเขาใหญ่แต่ละลูกเกิดเป็นฟ้าดินที่เชื่อมโยงกัน ยกตัวอย่างเช่น ‘ร่มสวรรค์อู๋ถง’ ค่ายกลใหญ่ของสำนักใบถงที่เมื่อเทียบกับปีนั้นที่จั่วโย่วมาถามกระบี่เพียงลำพัง ก็นับว่าแข็งแกร่งกว่าเดิมมาก
จั่วโย่วเอ่ย “สิ่งที่หลี่หวานย่งพูด แม้จะไม่น่าฟัง แต่กลับเป็นความจริง คนเราย่อมมีช่วงเวลาที่พละกำลังหมดลง อริยะปราชญ์ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น พวกเราต่างก็เหมือนกัน”
อริยะปราชญ์ผู้มีรูปปั้นซึ่งพิทักษ์ม่านฟ้าทิศเหนือของใบถงทวีปซึ่งในอดีตอนุญาตให้ตู้เม่าออกไปจากอาณาเขตโดยพลการ ทุกวันนี้ก็ได้ลงมายังโลกมนุษย์ของฝูเหยาทวีปเหมือนกับอริยะปราชญ์ท่านอื่นๆ ไม่มีถ้อยคำฮึกเหิมห้าวหาญใดๆ มีเพียงความเงียบงันเท่านั้น
เพียงแต่ว่าเรื่องราวบนโลก หากซับซ้อนหน่อย ก็คือใช้สถานะผู้บรรยายผู้ถ่ายทอดความรู้เอ่ยถึงความชอบและความผิดของแต่ละฝ่าย ตำหนิกล่าวโทษกันเอง ในนามบอกว่าต้องการอธิบายหลักการเหตุผล แต่แท้จริงแล้วคือโต้เถียงกันเพื่อเอาชนะ ดังนั้นจึงง่ายที่จะเป็นเหมือนเป็ดคุยกับไก่ ต่างคนต่างมีเหตุผล แต่หากง่ายหน่อยก็หนีไม่พ้นว่ากันไปตามสถานการณ์ ทั้งสองฝ่ายล้วนยินดียอมรับว่ามนุษย์มิใช่เทพเจ้าล้วนทำความผิดกันได้ เมื่อใช้เหตุผลเช่นนี้ถึงจะสามารถขัดเกลากันและกัน เดินไปร่วมกันบนมหามรรคาได้
เห็นได้ชัดว่าหลี่หวานย่งค่อนข้างประหลาดใจ รู้สึกสงสัยใคร่รู้มากเป็นพิเศษ เซียนกระบี่ที่หยิ่งยโสอย่างถึงที่สุดผู้นี้ถึงขั้นพูดแทนตนด้วยคำพูดดีๆ ด้วยหรือ
จั่วโย่วมองผู้ฝึกกระบี่หนุ่มแวบหนึ่ง “ในบรรดาคนทั้งสี่ เจ้าเป็นคนที่พร้อมยอมตายก่อนใคร ดังนั้นคำพูดบางอย่างสามารถพูดได้ แต่อย่าลืมล่ะว่าต้องเป็นการบรรยายความในใจ หาใช่การบ่น โดยเฉพาะเป็นผู้ฝึกกระบี่”
หลี่หวานย่งไม่ชอบฟังคำพูดประเภทนี้มากที่สุด รู้สึกแค่ว่าจั่วโย่วคนนี้อยู่สูงกว่าผู้อื่นจึงใช้ถ้อยคำยิ่งใหญ่มาข่มคนอื่น ข้าหลี่หวานย่งจะออกกระบี่อย่างไรยังต้องให้เจ้าจั่วโย่วที่เป็นคนนอกมาวิจารณ์ด้วยหรือ?
อวี๋ซินรู้สึกร้อนใจเล็กน้อย กลัวว่าหลี่หวานย่งจะเอ่ยอะไรด้วยความโมโหอีก ดังนั้นนางจึงรีบใช้เสียงในใจบอกเตือนหลี่หวานย่งว่าถ้อยคำบางอย่างของผู้อาวุโสจั่วโย่ว ฟังแล้วแค่ปล่อยผ่านหูไปก็พอ
หลี่หวานย่งไม่กล้าเถียงจั่วโย่วซึ่งๆ หน้า แต่คำว่า ‘ผู้อาวุโส’ ที่อวี๋ซินเอ่ยมานั้นกลับทำให้คนหนุ่มกลัดกลุ้มใจอย่างยิ่ง
ผู้อาวุโสอะไรกัน!