กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 698.1 ถึงขนาดนั้นแหละ
เฉินผิงอันหยุดการฝึกหมัด หันตัวไปทางนอกหัวกำแพงเมือง
ห่างออกไปร้อยจั้งกว่า มีแขกที่ไม่คาดคิดคนหนึ่งขี่กระบี่มาหยุดลอยอยู่กลางอากาศ
อันดับหนึ่งในร้อยเซียนกระบี่ของภูเขาทัวเยว่ นามแฝงว่าเฝ่ยหราน ชอบปรากฏตัวด้วยฐานะมือกระบี่ชุดเขียว
เฝ่ยหรานยิ้มเอ่ย “เป็นหมัดที่ดี”
เฉินผิงอันพยักหน้า “อย่าแอบขโมยเรียนล่ะ ต้องมียางอายบ้าง”
เฝ่ยพรานผู้นี้เป็นคนบนเส้นทางเดียวกับโซ่วเฉิน ไม่มีมาดของผู้ฝึกกระบี่เลยแม้แต่น้อย
เฝ่ยหรานส่ายหน้า “เรียนไม่ได้จริงๆ”
ก่อนหน้านี้เขาติดตามปีศาจใหญ่เชี่ยอวิ้นไปที่ใต้หล้าไพศาล ใช้คุณความชอบในกระโจมทัพแลกเปลี่ยนเอาเกาะหลูฮวาแห่งหนึ่งมาจากภูเขาทัวเยว่ การเลือกของเฝ่ยหรานค่อนข้างอยู่เหนือการคาดการณ์ของทุกคน ไม่อย่างนั้นด้วยสถานะของเขา อันที่จริงคิดจะครอบครองที่ตั้งเก่าของสำนักอวี่หลงครึ่งหนึ่งยังไม่ยาก ดังนั้นกระโจมทัพหลายแห่งจึงเดาเอาว่าการที่เฝ่ยหรานถูกใจถ้ำแห่งวาสนาของเกาะหลูฮวา ก็มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าที่นั่นจะมีความพิเศษไม่เหมือนใคร คิดไม่ถึงว่าจั่วโย่วจะค้นพบถ้ำแห่งนั้นระหว่างทาง จากนั้นก็ถูกเฝ่ยหรานเก็บตกของดีไปได้
เฉินผิงอันมองเฝ่ยหรานแวบหนึ่งก่อนจะขยับเส้นสายตาไปทางอื่น ห่างออกไปหลายสิบลี้นอกหัวกำแพงเมือง หิมะใหญ่เท่าขนห่านตกลงมาอย่างยิ่งใหญ่งดงาม น่าเสียดายที่ถูกหลงจวินผู้นั้นขัดขวางมันจึงไม่ตกมาถึงหัวกำแพงเมือง
เฝ่ยหรานมองตามเส้นสายตาของอิ่นกวานหนุ่มไป เห็นหิมะใหญ่ที่กำลังตกก็หันกลับมายิ้มกล่าว “ตอนที่ข้าเป็นเด็กเคยไปขอศึกษาหาความรู้กับอาจารย์โจว ชอบพลิกเปิดบทบวงสรวงและบทรวมกลอนเซียนท่องเที่ยวที่มาจากใต้หล้าไพศาล แล้วก็คอยจินตนาการถึงความงดงามตระการตาเหล่านั้น น่าเสียดายก็แต่อาจารย์โจวตาสูง ยามที่รวบรวมบทกวีมักจะคัดเลือกเอาเฉพาะถ้อยคำที่ไพเราะลี้ลับ อะไรที่ไม่เข้าตาเขาล้วนถูกตัดทิ้งหมด หนึ่งในนั้นมีกลอนขับขานหิมะที่ดึงเอามาประโยคเดียวว่า อู่ติงถือกระบี่อยู่บนเมฆเรืองรอง ปราบปรามอวี้หลงสามล้านให้ล่าถอย”
เฝ่ยหรานพูดคุยกับอิ่นกวานหนุ่มด้วยภาษาทางการของใต้หล้าไพศาลสำเนียงถูกต้อง
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “กลอนบทเต็มคือ อู่ติงถือกระบี่อยู่บนเมฆเรืองรอง พิชิตธารดวงดาวยึดเมืองหลวง ปราบปรามอวี้หลงสามล้านให้ล่าถอย เกล็ดนับไม่ถ้วนหลุดลอยปลิวปรายบนฟ้า จิ้งจอกเฒ่าทงเทียนของพวกเจ้าตัวนั้นแค่เลือกเอาไปท่อนเดียว ปัญหาไม่มากนัก แต่สายตากลับไม่แน่เสมอไปว่าจะสูงสักเท่าไร ก็แค่ไม่ต่ำเท่านั้น”
เฝ่ยหรานพยักหน้า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ได้รับการสั่งสอนแล้ว”
บนสนามรบครั้งหนึ่งก่อนหน้านี้ เฉินผิงอันกับเฝ่ยหรานเคยประมือกันครั้งหนึ่ง ทั้งประลองจิตใจทั้งประลองกำลังกันอย่างละนิดหน่อย แต่ไม่ได้แบ่งแพ้ชนะ แล้วนับประสาอะไรกับที่ทั้งสองฝ่ายไม่ถือว่าจับคู่เข่นฆ่ากันบนสนามรบอย่างแท้จริง เพราะตอนนั้นแต่ละฝ่ายต่างก็เก็บซ่อนทางหนีทีไล่ไว้อีกมาก
สำหรับในใจของเฉินผิงอันแล้ว พวกคนอย่างเฝ่ยหราน ฉีโซ่วนี้ มีพลังพิฆาตที่ซ่อนแฝงสำหรับใต้หล้าไพศาลมากที่สุด ไม่เพียงแค่เพราะพวกเขาเชี่ยวชาญการเข่นฆ่าบนสนามรบเท่านั้น หลังจากผ่านสงครามใหญ่ครั้งนี้ไป เฉินผิงอันได้เข้าใจหลักการเหตุผลข้อหนึ่งอย่างแท้จริง พลังสังหารของเซียนกระบี่รุนแรงอย่างถึงที่สุดจริง เวทคาถาของปีศาจใหญ่ก็สูงอย่างถึงที่สุด ทว่าเมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์ใหญ่ที่หอบหุ้มเอาไว้ ล้วนเบาบางเล็กจ้อยทั้งคู่
ส่วนเฝ่ยหราน ฉีโซ่ว ขอแค่พวกเขายินดีทุ่มเทแรงกายแรงใจก็สามารถช่วยกระโจมทัพใหญ่แห่งต่างๆ และพวกปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างตรวจสอบหาช่องโหว่ ถึงขั้นที่ว่าสุดท้ายสามารถเปลี่ยนแปลงขนบธรรมเนียมประเพณี ปรับเปลี่ยนนิสัยใจคอผู้คน ทำให้อาณาเขตของใต้หล้าไพศาลที่ถูกเผ่าปีศาจยึดครองเปลี่ยนฟ้าผลัดดินตามความหมายในระดับลึกอย่างแท้จริง ตอนนี้เรื่องที่เฉินผิงอันเป็นกังวลที่สุดก็คือกระโจมทัพใหญ่แต่ละแห่งได้ทำการศึกษาวิเคราะห์ขั้นตอนการกรีฑาทัพลงใต้ของกองทัพม้าเหล็กต้าหลีแห่งแจกันสมบัติทวีปอย่างละเอียดแล้ว ควรจะอุดช่องโหว่ซ่อมแซมขุนเขาสายน้ำ รวบรวมซื้อใจคนอย่างไร เมื่อเข้าใจปรุโปร่งแล้วก็ค่อยเอากลับมาใช้กับฝูเหยาทวีปหรือไม่ก็ใบถงทวีป
ก็เหมือนเด็กหนุ่มมู่จีในกระโจมเจี่ยเซินที่ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ แต่กลับทำให้เฉินผิงอันเกิดใจอยากสังหารมากกว่าเอาตัวอ่อนเซียนกระบี่ทั้งหลายอย่างหลีเจิน หลิวป๋ายมารวมกันเสียอีก
มู่จีที่ขอบเขตไม่สูงเคยมาบนหัวกำแพงเมือง มาอยู่ข้างกายหลงจวิน หมายจะขอทบทวนกระดานหมากสถานการณ์รบกับใต้เท้าอิ่นกวาน หวังขอความรู้จากใจจริง วางตัวเป็นผู้น้อยที่ปฏิบัติต่อผู้อาวุโสอย่างมีมารยาท เพียงแต่ว่าเฉินผิงอันไม่ได้สนใจ
มีหลงจวินอยู่ข้างกายย่อมสังหารอีกฝ่ายไม่สำเร็จแน่นอน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ยังจะมีอะไรให้ต้องพูดคุยกันอีก พูดมากไปย่อมเกิดข้อผิดพลาด เพราะถึงอย่างไรปณิธานของมู่จีนั้นก็ไม่ได้อยู่ที่การฝึกตนเป็นอมตะ
เฝ่ยหรานหันปลายกระบี่ใต้ฝ่าเท้าไปอีกทาง ราวกับว่าแค่ต้องการมาชมทัศนียภาพยามหิมะตกเป็นเพื่อนอิ่นกวานหนุ่มเท่านั้น
เฉินผิงอันเปิดปากเอ่ยว่า “อาจารย์โจวผู้นั้นถูกใต้หล้าเปลี่ยวร้างของพวกเจ้าขนานนามให้เป็นมหาสมุทรแห่งความรู้ เพียงแต่ว่าโชคของเขาไม่ค่อยดีเท่าไร ดันไปมีชื่อแซ่เดียวกับเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาแห่งหนึ่งของอุตรกุรุทวีป ได้ยินมาว่านิสัยของอริยะลัทธิขงจื๊อท่านนั้นไม่ใคร่จะดีนัก วันหน้าเจ้าบอกให้หลิวป๋ายไปบอกอาจารย์ตัวเองทีว่าระวังโจวเหวินไห่ (เหวินไห่ มหาสมุทรแห่งความรู้) จะถูกอริยะโจวฆ่าตาย ถึงเวลานั้นโจวมี่สังหารโจวมี่จะกลายเป็นเรื่องตลกที่เล่าขานต่อกันไปนานนับพันปี”
เฝ่ยหรานไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขาส่ายหน้าเอ่ยว่า “ดูท่าแล้วหลีเจินคงจะพูดไม่ผิด เจ้าเป็นคนน่าเบื่อจริงๆ”
เจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อคนหนึ่งคิดจะสังหารอาจารย์เหวินไห่ที่อยู่บนบัลลังก์อันดับสองงั้นหรือ? แน่นอนว่าทุกวันนี้อยู่อันดับสามแล้ว เพราะเซียวสวิ้นนำโครงกระดูกปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานใต้บ่อมาหลอมเป็นเก้าอี้แล้ววางไว้ตรงตำแหน่งสูงอันดับที่สองของบ่อโบราณโดยพลการ เพียงแต่ว่าทั้งอาจารย์โจวและหลิวชาต่างก็ไม่ถือสาเรื่องนี้
เฉินผิงอันสาวเท้าเดินเนิบช้า เพียงแต่ว่าไม่ได้เดินนิ่งปล่อยหมัดต่อ เฝ่ยหรานเองก็ขี่กระบี่ติดตามเขาไป เส้นทางใต้ฝ่าเท้าคือเส้นทางสองสายที่แตกต่าง เพียงแต่ว่ามุ่งไปในทิศทางเดียวกัน
เฉินผิงอันถามชวนคุย “จิ้งจอกเฒ่าทงเทียนตนนั้นร่างจริงคืออะไร? บันทึกลับของคฤหาสน์หลบร้อนไม่เคยมีบันทึกไว้ แล้วก็ไม่เคยมีโอกาสได้ถามเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส”
แม้ว่าโจวมี่จะได้รับการขนานนามจากใต้หล้าเปลี่ยวร้างว่าจิ้งจอกเฒ่าทงเทียน แต่เฉินผิงอันมั่นใจว่าปีศาจใหญ่ที่บัลลังก์อยู่สูงเป็นอันดับสองตนนั้นต้องไม่ใช่จิ้งจอกฟ้าอะไรนั่นแน่นอน
โจวมี่เหมือนบัณฑิตมากเกินไป ดังนั้นร่างจริงและชื่อจริงของมันจึงเป็นเรื่องที่เฉินผิงอันอยากถามมาโดยตลอด แต่เขามีเรื่องมากมายให้ต้องทำ ภายหลังก็ไม่มีโอกาสได้ถามแล้ว
เฝ่ยหรานกล่าว “หลีกเลี่ยงการเอ่ยนามของผู้อาวุโส”
เฉินผิงอันเอ่ย “ไม่ได้ถามชื่อจริงของโจวมี่จากเจ้าสักหน่อย”
เฝ่ยหรานกล่าว “อาจารย์โจวต้องมีชื่อจริงแซ่จริงอะไรบางอย่างที่ไม่นำมาใช้แน่นอน แต่กลับไม่ใช่ชื่อที่แท้จริงของเขา”
เฉินผิงอันตอบกลับไปว่า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ได้รับการสั่งสอนแล้ว”
แน่นอนว่าอีกฝ่ายอาจจะพูดส่งเดชไปเรื่อย เพราะถึงอย่างไรหากไม่เป็นเพราะเฝ่ยหรานรู้สึกเบื่อหน่ายก็คงไม่มาเดินเตร็ดเตร่อยู่ที่นี่
เฉินผิงอันถาม “จางลู่ผู้นั้นได้ไปถามกระบี่ที่ฝูเหยาทวีปหรือไม่?”
ฝูเหยาทวีปมีสำนักของผู้ฝึกกระบี่อยู่แห่งหนึ่ง หยั่งรากลึกล้ำ จำนวนคนมีไม่มาก ทว่าพลังการต่อสู้ของแต่ละคนล้วนไม่น้อย ในประวัติศาสตร์ไม่เคยมีใครมาหาประสบการณ์ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่
เฝ่ยหรานส่ายหน้า “จางลู่เฝ้าอยู่ที่ซากปรักของประตูใหญ่แห่งนั้นตลอดเวลา วันๆ เอาแต่นั่งกอดกระบี่งีบหลับ การเลือกของเขาไม่ค่อยเหมือนพวกเซียนกระบี่อย่างเซียวสวิ้น ลั่วซานและจู๋อานเท่าไร”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นก็ยังดี”
ไม่อย่างนั้นเฉินผิงอันต้องเสียดายมากแน่ที่เอาเหล้ามอบให้อีกฝ่าย
เฝ่ยหรานยิ้มกล่าว “หลงจวินและภูเขาทัวเยว่ต่างก็ไม่มีทางมอบ ‘หนึ่งในหมื่น’ ให้เจ้าได้เลื่อนเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางและผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบในเวลาเดียวกัน ข้าเดาเอาว่าหลังจากที่เจ้าเป็นขอบเขตยอดเขา หรือไม่ก็คอขวดขอบเขตก่อกำเนิดแล้ว หลงจวินจะต้องเรียกผู้อาวุโสอีกท่านหนึ่งที่ขอบเขตเท่าเทียมกันมา ไม่ใช่หลิวชาก็เป็นวานรเฒ่าตัวนั้น ให้พวกเขามาทำลายหัวกำแพงเมืองที่เจ้าอยู่ พยายามทำลายร่างกายและจิตแห่งกระบี่ของเจ้า สรุปก็คือจะไม่มีทางให้การฝ่าทะลุขอบเขตของเจ้าผ่อนคลายเกินไปนัก ยิ่งป้องกันไม่ให้เจ้าเสียสติไปจริงๆ จนกลายเป็นว่ายอมสละกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกครึ่งนี้ทิ้ง เอาแต่คิดจะหนีตายไปในใต้หล้าเปลี่ยวร้างลูกเดียว ดังนั้นจึงถูกกำหนดมาแล้วว่าเจ้าจะไม่มีทางไปได้ถึงภูเขาแสนลี้ของเฒ่าตาบอดได้แน่นอน”
“ไม่ต้องให้เจ้าเดา หลีเจินก็ต้องบอกแบบนี้กับกระโจมเจี่ยจื่ออยู่แล้ว ข้าล่ะแปลกใจนัก ข้ามีความแค้นอะไรกับเขานักหนาถึงได้ตามตอแยข้าไม่เลิกราเช่นนี้ สมองของหลีเจินผู้นี้ ไม่ควรตั้งใจฝึกกระบี่ให้ดีแล้วค่อยมาถามกระบี่กับข้าด้วยความองอาจสักครั้งหนึ่งหรอกหรือ?”
เฉินผิงอันสอดสองมือรองไว้ใต้ท้ายทอย แหงนหน้าน้อยๆ มองม่านฟ้า “ส่วนผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบก็ช่างเถิด ไหนเลยจะกล้าเพ้อฝัน ข้าเลื่อนเป็นขอบเขตยอดเขาได้อย่างไร เจ้ารู้ชัดเจนดี อีกอย่างได้รับโชคชะตาบู๊สองส่วนมาจากใต้หล้าเปลี่ยวร้างของพวกเจ้า คนต่างถิ่นที่มาเป็นแขกที่นี่อย่างข้าก็รู้สึกผิดในใจมาโดยตลอด อยากจะเอาคืนกลับไปยิ่งนัก น่าเสียดายที่ทำไม่ได้ เฝ่ยหรานเจ้ามีชื่อเสียงยิ่งใหญ่ขนาดนี้ในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ไม่มีสหายที่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอดเขาสักคนสองคนบ้างเลยหรือ? ต้องทนเห็นข้าใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรีอยู่ที่นี่ เจ้าทนได้หรือ? หากเปลี่ยนมาเป็นข้าคงทนไม่ไหวจริงๆ ไม่สู้กันสักตั้งก็ต้องมาด่าที่ด้านล่างหัวกำแพงเมืองสักคำสองคำ”
เฝ่ยหรานยิ้มเอ่ย “ไม่มีเพื่อนที่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าจริงๆ แต่ขอบเขตสิบกลับมีอยู่คนหนึ่ง แต่เขาไปที่ฝูเหยาทวีปแล้ว ที่ถ้ำซานสุ่ยมีสงครามเลวร้ายรออยู่ ฉีจิ้งถี โจวเสินจือแห่งแผ่นดินกลางต่างก็เฝ้าอยู่ที่นั่น ดูเหมือนว่าที่ถ้ำซานสุ่ยจะยังมีคนรู้จักของใต้เท้าอิ่นกวานอยู่สองคนด้วย ผู้ฝึกยุทธวัยเดียวกัน เฉาสือ อวี้เจวี้ยนฟู”
คงเป็นเพราะต้องฝึกหมัด อิ่นกวานหนุ่มผู้นี้จึงไม่ได้พกดาบพิฆาตเล่มนั้นมานานแล้ว เพียงแต่ว่าปิ่นที่ปักอยู่บนมวยผมของเขากลับทำให้คนยากจะมองข้ามไปได้
เพราะขนาดหลงจวินยังไม่สามารถทำลายมันให้สิ้นซากได้ ก็เหมือนกับชุดคลุมอาคมสีแดงสดบนร่างของเฉินผิงอันที่ต่างก็เป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตที่ผ่านการหลอมใหญ่มาแล้ว
เฉินผิงอันเปลี่ยนท่าเป็นเอาสองมือไพล่หลัง “เฉาสือเป็นขอบเขตเก้าแล้วใช่ไหม?”
เฝ่ยหรานยิ้มกล่าว “เรื่องนี้ข้าไม่รู้แล้ว เส้นแนวรบของฝูเหยาทวีปเส้นนั้น ข้าไม่เคยถามถึงมาก่อน”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ทั้งบนและล่างภูเขาของฝูเหยาทวีปมีสงครามใหญ่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในยุคสมัยที่มองโดยภาพรวมแล้ววิถีทางโลกสงบสุข อาจจะไม่ได้ดูสงบมั่นคงเหมือนน้ำตายในบ่ออย่างใบถงทวีปนัก แต่เวลาเจอกับกลียุค จิตใจคนกลับกลายเป็นว่าหนักแน่นยิ่งกว่าใบถงทวีป
เฝ่ยหรานเอาเหล้าหมักตระกูลเซียนกาหนึ่งของสำนักอวี่หลงออกมาแล้วยกหันมาทางอิ่นกวานหนุ่ม
เฉินผิงอันโบกมือ บอกเป็นนัยแก่เฝ่ยหรานว่าเชิญเขาดื่มตามสบาย จากนั้นก็สะบัดชายแขนเสื้อ ด้านในว่างเปล่า วิชาอภินิหารจักรวาลในชายแขนเสื้อที่มีเฉพาะผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบน เฉินผิงอันรู้มาอย่างตื้นเขิน เอกสารของคฤหาสน์หลบร้อนก็มีบันทึกถึงอย่างคร่าวๆ ถึงอย่างไรเฉินผิงอันก็อยู่ว่างไม่มีอะไรทำ แม่น้ำแห่งกาลเวลาที่ไหลรินบนร่างของเขาช้าเกินไป เขาจึงตั้งใจลองศึกษามันดูจนพอจะมีเค้าโครงคร่าวๆ บ้างแล้ว น่าเสียดายที่เฉินผิงอันอยู่บนหัวกำแพงเมืองไม่มีสิ่งของใดให้เอามาใส่มันได้ ไม่อย่างนั้นแม้แต่สิ่งมีชีวิตก็สามารถใส่ไว้ในนั้นได้ นี่จึงเป็นเหตุให้วิชาตระกูลเซียนอย่างจักรวาลในชายแขนเสื้อและวิชาอภินิหารมองขุนเขาสายน้ำผ่านฝ่ามือคือสองวิชาเซียนที่เฉินผิงอันติดใจพะวงถึงมานานหลายปี
หิมะใหญ่ที่ตกลงมาก่อนหน้านี้ เฉินผิงอันเก็บหิมะบางส่วนมาสะสมไว้ในชายแขนเสื้อบ้างเหมือนกัน เขารู้สึกดีใจเหมือนยามที่ได้กินเกี๊ยวตอนปีใหม่ แค่รอให้เฉินผิงอันปั้นตุ๊กตาหิมะเรียงแถวกันบนหัวกำแพงเมืองให้เสร็จเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าเนื่องจากอยู่ห่างจากหลงจวินมาไม่ไกล จึงถูกแสงกระบี่เส้นหนึ่งของชุดคลุมสีเทาปั่นทำลายจนเละ เร็วไม่มาช้าไม่มา รอกระทั่งเฉินผิงอันใช้หิมะที่สะสมไว้เป็นทุนทรัพย์ปั้นตุ๊กตาหิมะเรียงแถวเสร็จเรียบร้อย กระบี่นั้นของหลงจวินก็เพิ่งจะมาถึง
เจ้าตะพาบเฒ่าผู้นี้ อย่าให้ตกมาอยู่ในกำมือของเขาได้เด็ดขาดเชียว ไม่อย่างนั้นเขาจะทำลายจิตวิญญาณของอีกฝ่ายจนสิ้น จากนั้นก็มอบให้สือโหรวเอาไปสวมไว้บนร่าง เป็นเพื่อนกับคราบร่างเซียนของตู้เม่า
เฉินผิงอันยกฝ่ามือขึ้น กลางฝ่ามือพลันมีห้าอสนีมารวมตัวกัน เส้นสายบนลายมือก็คือขุนเขาสายน้ำ ยิ้มเอ่ยว่า “หากยังไม่ไป ข้าคงต้องส่งแขกแล้ว ปิ่นปักผมชิ้นนี้ของข้าไม่มีอะไรให้พวกเจ้าต้องวางแผนเล่นงานหรอก บอกให้กระโจมเจี่ยจื่อวางใจได้ ไม่ได้ซ่อนความลี้ลับอะไรไว้ทั้งนั้น”
เฝ่ยหรานลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าเอ่ย “ข้าจะช่วยนำความไปบอกแทนเจ้าก็แล้วกัน”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ยว่าเจ้าไปได้ จากนั้นห้าอสนีวิชาต้นตำรับก็ถูกขว้างออกไป
เฝ่ยหรานเพียงแค่หลบเลี่ยง ไม่ได้เรียกกระบี่ออกมา
ข้าอุตส่าห์หวังดีอยากมอบสุราให้จากใจจริง แต่เจ้ากลับตอบแทนกลับคืนด้วยห้าอสนีดั้งเดิม ช่างเป็นการปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างมีมารยาทที่ดีจริงๆ
เฝ่ยหรานยังมีอารมณ์บอกลาอิ่นกวานหนุ่ม ก่อนจะขี่กระบี่จากไปอย่างเนิบนาบ นิสัยของเฝ่ยหรานนั้น แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยร้อนรนกับเรื่องอะไรอยู่แล้ว
เฉินผิงอันพลันหันไปมองเฝ่ยหราน ถามว่า “ในรวบรวมบทกวีที่โจวมี่คัดเลือกเอามา เจ้าเคยอ่านเจอกลอนเซียนท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมประโยคหนึ่งหรือไม่? โดยทั่วไปแล้วนี่ควรจะถูกวางไว้ในบทนำหรือไม่ก็ท้ายเล่ม”
เฝ่ยหรานหยุดชะงัก ยิ้มกล่าว “ยินดีจะฟังคำอธิบายอย่างละเอียด”
เฉินผิงอันเอาสองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ ก้าวเดินเนิบช้า แล้วท่องบทกวีเซียนท่องเที่ยวบทนั้นเสียงดัง
‘ข้าอยู่อาศัยบ้านโบราณหมื่นปีในโลกมนุษย์ ดวงตะวันลอยสูงเหนือกำแพงตะวันออก ลืมตารบกวนฝันงดงามของผู้อื่น สั่งแสงจันทร์ให้ร่วงหล่นมาภายใน รั้งเมฆผืนหนึ่งริมขอบฟ้า อิงแอบแนบแขนเสื้อสนริมธาร’
‘เมามายขี่กวางขาวขับฉิวเขียว เซียนพบเจอข้าขอสุราหมัก แขวนกวานบนกิ่งกุ้ยของตำหนักสวรรค์ มือคว้าจินอูมาทำเป็นเตาถ่าน น่าสงสารเซียนเหรินฝันพันปี ฝันเห็นข้าผิดต่อชีวิตอมตะ’
เฝ่ยหรานฟังแล้วก็มีสีหน้าเหยเก
เฉินผิงอันหันหน้ามาพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ยืนอึ้งอยู่ทำไม ไม่เคยฟังก็รีบท่องเอาไว้สิ วันหน้าก็ให้โจวเหวินไห่อาบน้ำผลัดเสื้อผ้าก่อน จากนั้นค่อยคัดลอกลงไปในบันทึก เอาไว้เป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมที่สุดของกวีเซียนท่องเที่ยวแห่งใต้หล้า”
เฝ่ยหรานยิ้มกล่าว “ความคล้องจองนี้ไม่ค่อยพิถีพิถันเกินไปหรือไม่? ใต้เท้าอิ่นกวานอย่ารังแกกันเพราะเห็นข้าไม่ใช่บัณฑิตเลย”
เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าเสียดาย “ใต้หล้าไพศาลมีประวัติศาสตร์ยาวนาน ภาษากลาง ภาษาทางการ ภาษาท้องถิ่นมีตั้งมากมาย เจ้าจะเข้าใจเรื่องคำคล้องจ้องท่วงทำนองได้อย่างไร แรงบันดาลในใจการแต่งกลอนก็เหมือนปณิธานหมัด ผู้ที่มีความคิดมีปณิธานย่อมมีพลังอำนาจน่าครั่นคร้าม ดั่งหมัดที่ต่อยลงมาแสกหน้า บัณฑิตรุ่นหลังเห็นกลอนเหมือนเห็นหมัด เหมือนถูกต่อยแสกหน้าเลยล่ะ”
เฝ่ยหรานคลี่ยิ้ม
——