กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 699.6 ต้องการถามหมัด
ผู้เฒ่าถามหลี่ไหว “เป็นวิญญูชนหรือนักปราชญ์ของสำนักศึกษาหรือ?”
หลี่ไหวกล่าว “หวังว่าจะได้เป็น”
สุดท้ายผู้เฒ่าถามเด็กสาวที่เรือนกายผอมบาง แต่คำพูดคำจาข่มขู่คนให้หวาดกลัว “คงไม่ได้เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตทะยานลมในตำนานหรอกกระมัง?”
เผยเฉียนเอ่ย “ขาดอีกนิดหน่อย”
ผู้เฒ่าหัวเราะดังลั่น “ข้าจะยืนนิ่งไม่ขยับ ให้เจ้าถามหมัดก่อนสามครั้ง ขอแค่เจ้าฆ่าข้าให้ตายไม่ได้ พวกเจ้าสามคนล้วนต้องตาย”
เผยเฉียนเอ่ยเสียงหนัก “ขอผู้อาวุโสโปรดพูดคุยกันดีๆ อย่าได้บีบบังคับผู้อื่นมากเกินไปโดยการให้ทางเลือกที่ไม่ใช่ทางเลือกเช่นนี้”
ผู้เฒ่าหุบยิ้ม บิดหมุนข้อมือ “ดี ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะต่อยเจ้าสามที หากรับไหว สามหมัดผ่านไป ขอแค่เจ้าล้มแล้วยังลุกขึ้นมาได้ ข้าก็จะยอมให้พวกเจ้าสามคนได้มีชีวิตรอด”
เผยเฉียนเดินก้าวยาวๆ ไปข้างหน้า “ออกหมัด”
หลี่ไหวพลันเอ่ยว่า “พวกเรามาจากยอดเขาสิงโต”
ผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “ดีมาก ข้าคือแขกผู้มีเกียรติของจวนเทียนจวิน แล้วยังไงต่อ? มีประโยชน์ไหม?”
เผยเฉียนงอสองเข่าลงเล็กน้อย เท้าหนึ่งเหยียบไปข้างหน้า แยกมือตั้งท่าหมัด
ผู้เฒ่าหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังก้อง “รู้จักๆ คือวิชาหมัดเขย่าขุนเขาของเจ้าเศษสวะกู้โย่ว ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่งกลับหน้าไม่อายใช้ยันต์ลอบทำร้ายเซียนกระบี่จี เจ้าเศษสวะเฒ่าไม่รับลูกศิษย์ เพียงแค่ทิ้งวิชาหมัดไร้ค่าที่ทุกคนสามารถเรียนได้ไว้เล่มหนึ่ง ถ่วงรั้งลูกศิษย์ของคนอื่น ทำร้ายคนไม่เบา!”
ผู้เฒ่าร่างกำยำพลันพุ่งมาหยุดเบื้องหน้าเด็กสาวในเสี้ยววินาที ปล่อยหมัดหนึ่งต่อยเข้าที่หน้าผากของฝ่ายหลัง
ร่างของเผยเฉียนแค่เหวี่ยงสะบัดไปเล็กน้อย แต่เท้ากลับไม่ถอยแม้แต่ก้าวเดียว
จากประสบการณ์ในยุทธภพ เดิมทีเผยเฉียนควรจะต้องตัวปลิวออกไป โซเซลุกขึ้นยืนแล้วค่อยรับหมัดที่สอง
ทว่า ณ เวลานี้ ณ ที่แห่งนี้ เผชิญหน้ากับคนผู้นี้ เผยเฉียนกลับไม่ยินดีจะถอยให้
ผู้เฒ่าร่างกำยำที่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองคำรามก้องอย่างเดือดดาล ก่อนจะปล่อยหมัดรัวติดกันสองครั้ง หมัดหนึ่งต่อยลงบนหน้าผากเด็กสาว อีกหมัดหนึ่งต่อยเข้าที่ลำคอของฝ่ายหลัง
สามหมัดจบสิ้น
ผู้เฒ่าถอยกรูดอย่างว่องไวปานสายฟ้าแลบ ไปยืนเคียงบ่ากับแม่ทัพบู๊คนนั้น สีหน้ามืดทะมึน
เผยเฉียนเพียงแค่ยืนนิ่งไม่ขยับ นางยกมือขึ้นช้าๆ ใช้นิ้วโป้งปาดเช็ดเลือดกำเดา
ผู้เฒ่ามองเห็นว่าด้านหลังของคนทั้งสามมีคนบนเส้นทางเดียวกันที่สีหน้าสงบนิ่งผ่อนคลายเดินมา เขาถึงได้ผ่อนลมหายใจโล่งอก
อีกฝ่ายก็เป็นปรมาจารย์ใหญ่ขอบเขตเจ็ดเช่นเดียวกับเขา แต่อีกฝ่ายมีอายุน้อยกว่า วิชาหมัดสูงกว่า ทว่าเขากับฮ่องเต้เป็นสหายกันมานานแล้ว ถึงได้ยอมแหกกฎออกจากภูเขามาให้การช่วยเหลือ
แล้วนับประสาอะไรกับอยู่ที่อุตรกุรุทวีป ออกหมัดสังหารผู้ฝึกตนบนภูเขาได้ จะมีผู้ฝึกยุทธเต็มตัวสักกี่คนที่ไม่ยินดี?
เผยเฉียนถ่มเลือดทิ้ง หันหน้าไปมองบุรุษวัยกลางคนที่ลมหายใจทอดยาวผู้นั้น
คนผู้นั้นยิ้มถาม “แม่นางน้อย เจ้าเองก็เป็นขอบเขตร่างทองเหมือนกัน ใช่หรือไม่?”
เผยเฉียนเงียบไม่ตอบ
คนผู้นั้นพูดต่อ “แม่นางน้อยเจ้ามิอาจทะยานลมเดินทางไกลได้ สหายสองคนของเจ้าต่อให้ทะยานลมหนีไปได้ พวกข้าก็แค่ต้องเอาตาข่ายฟ้าดินที่ใช้รับมือกับเซียนซือโอสถทองก่อนหน้านี้ออกมาใช้อีกรอบเท่านั้น จะมีอะไรยากกัน เจ้าอ้อนวอนผู้อาวุโสฟู่หลิ่นเถอะ ขอให้เขาเว้นชีวิตเจ้าก็พอ ทิ้งของทุกอย่างเอาไว้ ข้าได้แต่ช่วยพวกเจ้าเพียงเท่านี้แล้ว แต่ผู้ฝึกยุทธจะต้องถูกทำลายวรยุทธ ผู้ฝึกตนจะต้องถูกสะบั้นสะพานแห่งความเป็นอมตะหรือไม่ ข้าไม่กล้ารับรองกับพวกเจ้า ถึงอย่างไรข้าก็เป็นแค่คนนอกคนหนึ่ง”
หลี่ไหวเอ่ยอย่างระอาใจ “คำพูดแบบนี้อย่าไปเชื่อเชียว”
เผยเฉียนพยักหน้า “เจ้าก็ไม่โง่นี่นะ”
หลี่ไหวยิ้มกว้าง
เหวยไท่เจินรู้สึกพูดไม่ออกอยู่บ้าง
ไม่มีใครกลัวใครเลยจริงๆ
นางได้วางแผนสำหรับผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดเอาไว้แล้ว นางจะเรียกสมบัติหนักสองชิ้นซึ่งได้ทั้งโจมตีและป้องกันที่นายหญิงมอบให้ออกมา ต่อให้ต้องทุ่มสุดชีวิตก็ต้องคุ้มครองส่งคนทั้งสองออกไปจากที่นี่ให้จงได้
คนผู้นั้นพลันเอ่ยว่า “หากเจ้ารับหมัดข้าสองหมัด ข้าจะให้พวกเพื่อนๆ เจ้าจากไปก่อน”
หลี่ไหวกล่าว “อันนี้ก็อย่าเชื่อ”
เผยเฉียนเอ่ย “คนหนึ่งกินข้าวไม่อิ่ม อีกคนหนึ่งยึดความได้เปรียบทั้งหมดไปครองแล้วยังจะออกอุบายหลอกเด็กรุ่นหลัง พวกเจ้าเป็นผู้ฝึกยุทธจริงๆ หรือ?”
เผยเฉียนถามเองตอบเอง “ข้ารู้สึกว่าพวกเจ้าล้วนไม่คู่ควร”
เผยเฉียนไม่สนใจบุรุษวัยกลางคนที่อยู่ด้านหลังอีก นางจ้องผู้เฒ่าผมขาวที่มีชื่อว่าฟู่หลิ่นคนนั้นเขม็ง “ข้าจะใช้วิชาหมัดเขย่าขุนเขาถามหมัดกับเจ้าแค่หมัดเดียว!”
ผู้เฒ่าสีหน้าเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างไม่แน่นอน
ก่อนหน้านี้ปล่อยหมัดออกไปสามครั้ง เวลานี้แขนทั้งแขนปวดร้าวไปหมดแล้ว
ทันใดนั้นปณิธานหมัดมหาศาลทั่วร่างของเผยเฉียนก็เหมือนดวงตะวันจันทราที่ลอยสูงไปเคียงคู่กันอยู่บนนภา
ลมปราณวุ่นวายอย่างถึงที่สุด เหวยไท่เจินจำต้องรีบคุ้มกันหลี่ไหวเอาไว้
เผยเฉียนก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างเนิบช้า มือทั้งสองกำหมัดแน่น กัดฟันเอ่ย “ข้าเรียนหมัดมาจากอาจารย์พ่อ อาจารย์พ่อเรียนหมัดมาจากวิชาเขย่าขุนเขา หมัดเขย่าขุนเขามาจากผู้อาวุโสกู้! วันนี้ข้าจะใช้หมัดเขย่าขุนเขาถามหมัดกับเจ้าด้วยขอบเขตเดียวกัน แต่เจ้ากลับไม่กล้ารับอย่างนั้นรึ?!”
ในรัศมีร้อยจั้งที่มีเผยเฉียนเป็นจุดศูนย์กลาง พื้นดินสะเทือนเลือนลั่นประหนึ่งเสียงฟ้าคำรณดังอื้ออึง ฝุ่นตลบปลิวคลุ้ง ทหารทั้งหลายถึงขั้นถือดาบไม่อยู่ เสื้อเกราะสั่นกระเทือนส่งเสียงดัง
บุรุษวัยกลางคนผู้นั้นก้าวถอยหลังหลายก้าวคล้ายตั้งใจแต่ก็คล้ายไม่เจตนา
ส่วนผู้เฒ่าผมขาวที่เผชิญหน้ากับเผยเฉียนมีสีหน้าเขียวคล้ำ ทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด ภายใต้การจับจ้องของคนมากมาย จะให้เขาก้มหัวยอมรับผิดกับเด็กสาวต่างถิ่นคนหนึ่ง วันหน้าจะยังมีชีวิตอยู่ในยุทธภพได้อย่างไร?! แต่หากจะบอกว่ารับหมัดของอีกฝ่ายได้อย่างปลอดภัยไร้ปัญหา ผู้เฒ่ากลับไม่มีความมั่นใจเลยแม้แต่น้อย
เจ้าคิดแล้วไม่เข้าใจ ก็อย่าคิดให้มากความ
เผยเฉียนยกเท้าหนึ่งเหยียบลงบนพื้น เพียงชั่วพริบตาร่างก็หายวับไปจากที่เดิม
ผู้คนรอบด้านต่างยืนกันได้ไม่มั่นคง
เหวยไท่เจินหมายจะยืนมือไปจับไหล่หลี่ไหวตามจิตใต้สำนึก แต่กลับค้นพบว่าคุณชายหลี่กลับไม่จำเป็นต้องรับการประคองจากนางแม้แต่น้อย สองเท้าของเขาปักหลักยืนนิ่งราวกับขุนเขาอย่างไรอย่างนั้น
แต่หลี่ไหวกลับเป็นห่วงเผยเฉียนจนไม่รู้สึกตัว
เหวยไท่เจินเพ่งสายตามองไปก็ต้องค้นพบด้วยความตะลึงพรึงเพริดว่ารอบชายแขนเสื้อของหลี่ไหวคล้ายจะสีเส้นสีทองเล็กๆ จำนวนนับไม่ถ้วนล้อมวนอยู่ คอยช่วยต้านทานปณิธานหมัดอันเปี่ยมล้นของเผยเฉียนที่ไหลทะลักสู่ฟ้าดินอย่างที่มองไม่เห็น
ตำแหน่งที่ฟู่หลิ่นยืนอยู่เกิดเสียงดังประหนึ่งกลองสายฟ้าที่ถูกตีอย่างหนัก
ผู้เฒ่าผมขาวนอนกองอยู่บนพื้น น่าจะถูกหมัดนั้นของเด็กสาวต่อยเข้าที่หน้าผาก นางออกหมัดเร็วเกินไป อีกทั้งยังสับเปลี่ยนองศาการออกหมัดในฉับพลัน หมัดหนึ่งที่ปล่อยไปนี้ถึงสามารถทำให้ปรมาจารย์ขอบเขตเจ็ดอย่างฟู่หลิ่นนอนแน่นิ่งอยู่ที่เดิม อีกทั้งศีรษะที่รับหมัดหนักหน่วงรุนแรงที่สุดยังจมลงไปในพื้นดินเล็กน้อย
เผยเฉียนหมุนตัวกลับ เริ่มหันไปเผชิญหน้ากับผู้ฝึกยุทธวัยกลางคนที่มีท่าทีว่าจะถอยร่นแล้ว
ร่างของนางทรุดลงต่ำไปหลายส่วน นั่นคือใช้กระบวนท่าหมัดยอดเขาของอาจารย์จ้งมาดันปณิธานหมัดวานรที่จูเหลี่ยนถ่ายทอดให้ ปรับกระดูกสันหลังทั้งเส้นของนางให้กลายเป็นมังกรใหญ่
เผยเฉียนพลันมองไปยังหลี่ไหวคล้ายต้องการถามความเห็นของเขา
หลี่ไหวพยักหน้าเอ่ยเสียงหนัก “ออกหมัดใส่เขาได้ตามสบาย คนผู้นี้ความคิดชั่วร้ายยิ่งกว่า ต่อยให้ร่อแรปางตายเลยก็ได้ วันหน้าหากอาจารย์พ่อของเจ้าด่าเจ้าด้วยเรื่องนี้ ข้าจะโวยวายกับอาจารย์พ่อเจ้าว่าจะไปผูกคอตาย”
สายตาของเผยเฉียนเย็นชา แต่ปากกลับยกยิ้ม
คำพูดของหลี่ไหว นางน่าจะฟังเข้าหูแล้ว
เหวยไท่เจินรู้สึกว่าภาพเหตุการณ์นี้ชวนขนลุก น่ากลัวอย่างมาก
เผยเฉียนปล่อยกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าออกไปหนึ่งหมัด
เพียงแค่หมัดเดียว ไม่ต้องปล่อยสิบหมัดยี่สิบหมัดที่เหลือตามไป
บุรุษวัยกลางคนผู้นั้นก็ปลิวกระเด็นออกไปหลายสิบจั้งอย่างไม่มีเรี่ยวแรงให้เอาคืน ร่างร่วงกระแทกลงพื้นหนักๆ
เผยเฉียนยืนอยู่ที่เดิม กวาดตามองรอบด้าน “เข้ามากันให้หมด!”
นอกจากตำแหน่งที่หลี่ไหวกับเหวยไท่เจินยืนอยู่ ในรัศมีร้อยจั้ง พื้นดินปริแตก ปณิธานหมัดซัดปั่นป่วนทะยานขึ้นฟ้า
หางตาของเผยเฉียนเหลือบไปเห็นผู้ฝึกลมปราณบนฟ้ากลุ่มหนึ่งที่ทำท่าหมายมั่นปั้นมือ
นางจึงทะยานตัวขึ้นสู่ท้องฟ้า
ประหนึ่งแสงกระบี่เส้นหนึ่งที่พุ่งออกไปจากโลกมนุษย์
วงกลมใหญ่มหึมาเหมือนหอเรือนกลางอากาศที่พลันล้มครืนแล้วร่วงลงมา
หลี่ไหวรีบโอบกอดหีบหนังสือและไม้เท้าเดินป่าของเผยเฉียนเอาไว้ด้วยความไวดุจฟ้าผ่ากะทันหันจนคนไม่ทันยกมือป้องหู
หากร่วงมากระแทกโดนพวกมันพัง หลังจบเรื่องเผยเฉียนจะไปหาเรื่องใคร? ไม่หาเรื่องเขาแล้วจะมีใครได้อีกเล่า
เผยเฉียนลอยตัวอยู่กลางอากาศ ประกบสองนิ้วแตะไปที่ข้างขมับของตัวเอง แสดงให้ผู้ฝึกตนกลุ่มนั้นรู้ว่าเชิญร่ายเวทตระกูลเซียนได้เต็มที่
เหวยไท่เจินอดไม่ไหวเอ่ยเสียงสั่นว่า “คุณชายหลี่ ไหนบอกว่าแม่นางเผยเพิ่งเป็นขอบเขตร่างทองอย่างไรเล่า?”
ต่อให้เหวยไท่เจินจะไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ แต่เผยเฉียนเพิ่งจะอายุยี่สิบกว่าปีก็เป็นขอบเขตเดินทางไกลแล้ว จะให้นางหาเหตุผลอะไรมาบอกตัวเองว่านี่ไม่ใช่เรื่องประหลาดอีก?
ถึงอย่างไรเผยเฉียนก็ไม่ใช่เฉาสือผู้ฝึกยุทธแห่งทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางคนนั้นนะ นางเป็นเพียงแค่แม่นางน้อยร่างบอบบางที่เดินสะพายหีบไม้ไผ่ส่ายไปส่ายมาอยู่ข้างกายเหวยไท่เจินเท่านั้นเอง
หลี่ไหววางหีบไม้ไผ่ลงเบาๆ แหงนหน้ามองเผยเฉียน คิดแล้วก็เกาหัวเอ่ยว่า “ข้าไม่ใช่เฉินผิงอันสักหน่อยที่พูดอะไรเผยเฉียนก็เชื่อฟังทั้งหมด เผยเฉียนทำอะไรเขาก็พูดอย่างนั้น”
จากนั้นหลี่ไหวก็กลั้นหัวเราะพูดว่า “ไม่เสียแรงที่เป็นใต้เท้าเจ้าประมุขคนใหม่ของพวกเรา เทพธิดาเหวย หากเจ้ายินดี ข้าสามารถช่วยแนะนำเจ้าให้นางได้”
เหวยไท่เจินหันมองหลี่ไหวแวบหนึ่ง คุณชายหลี่ยังคงใจใหญ่เหมือนอย่างเคย
เผยเฉียนทะยานลมเดินทางไกล เรือนกายล่องลอยไม่หยุดนิ่ง มีหลายครั้งที่ไปยืนอยู่ด้านหลังหรือไม่ก็ข้างกายเทพเซียนบนภูเขา ทั้งไม่เอ่ยอะไร แล้วก็ไม่ปล่อยหมัด
สุดท้ายสองเท้าเผยเฉียนเหยียบอยู่บนความว่างเปล่า บนฟ้าพลันเกิดริ้วกระเพื่อมน่าตะลึงที่แผ่เป็นวงใหญ่ออกไปรอบด้านอย่างต่อเนื่อง แล้วก็มองไม่เห็นเรือนกายของเด็กสาวอีก ดูเหมือนว่านางจะไปยังจุดที่สูงที่สุดของม่านฟ้าแล้ว
รอกระทั่งเผยเฉียนพลิ้วกายลงบนพื้น
ผู้คนบนพื้นดินก็เหมือนนกที่แตกรังกันไปนานแล้ว
เผยเฉียนไม่เอ่ยอะไรสักคำ สะพายหีบไม้ไผ่ขึ้นหลัง ถือไม้เท้าเดินป่า เอ่ยว่า “เดินทางกันต่อ”
หลังจากผ่านไปอีกหนึ่งปี ในที่สุดก็มาถึงยอดเขาสิงโต
เหวยไท่เจินรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก ในที่สุดนางก็ไม่ต้องคอยอกสั่นขวัญแขวนอีกแล้ว
เพียงแต่ว่านายหญิงไม่ได้อยู่บนภูเขา
เผยเฉียนอยู่บนภูเขานานถึงครึ่งปี บางครั้งก็จะลงมาจากภูเขาบ้าง
ครึ่งปีต่อมาเผยเฉียนก็แยกกับหลี่ไหว จากไปเพียงลำพัง หลี่ไหวจะย้อนกลับไปยังแจกันสมบัติทวีป แต่นางกลับมุ่งหน้าไปเยือนธวัลทวีปที่อยู่ทางเหนือสุดของใต้หล้าไพศาลเพียงคนเดียว
เหตุผลก็คืออาจารย์พ่อมีความประทับใจที่ธรรมดามากต่อทวีปแห่งนั้น ดังนั้นนางจึงต้องการไปเลื่อนสู่ขอบเขตยอดเขาที่นั่น แต่ครั้งนี้คงจะเลื่อนขอบเขตเร็วนักไม่ได้แล้ว การฝ่าทะลุขอบเขตสองขั้นก่อนหน้านี้ตามแต่ใจเกินไป ภัยแฝงมีไม่น้อย ต้องค่อยเป็นค่อยไป มีความเป็นไปได้ว่าขอบเขตจะหยุดชะงักอยู่ที่เดิมนานแปดปีสิบปี ไม่อย่างนั้นคงยากที่จะหยัดยืนได้อย่างมั่นคงในขอบเขตถัดไป
อาหารมื้อสุดท้ายที่เผยเฉียนกินในร้านที่ตั้งอยู่ตีนเขาของยอดเขาสิงโต หลี่หลิ่วกลับมา คนทั้งครอบครัวบวกกับเผยเฉียนอีกคนกินข้าวร่วมโต๊ะกัน
สตรีรู้สึกว่าสายตาของบุตรชายไม่ค่อยดีเท่าไร แต่ก็ไม่แย่นัก
หลี่ไหวเห็นสายตาของมารดาที่มองเผยเฉียนและรอยยิ้มบนใบหน้าของมารดา เหงื่อก็แตกท่วมหัว ครั้งก่อนหน้านี้ท่านแม่เคยพูดเรื่องนี้กับเขาเป็นการส่วนตัว หลี่ไหวที่แต่ไหนแต่ไรมายามอยู่ในบ้านล้วนฟ้าไม่กลัวดินไม่เกรง เกือบจะลงไปคุกเข่าขอร้องไม่ให้ท่านแม่มีความคิดเช่นนี้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นเขาจะต้องออกบวชแน่แล้ว เพราะหากเขาอยู่ในบ้านต่อก็มีความเป็นไปได้ว่าอาจถูกเผยเฉียนซ้อมตาย
ตอนที่เผยเฉียนออกมาจากเมืองเล็กตรงตีนเขา หลี่เอ้อเพียงแค่ผงกศีรษะให้เด็กสาว ไม่ได้ออกมาส่ง
สตรีออกเรือนแล้วขยิบตา หลี่หลิ่วจึงผลักน้องชาย เดิมทีหลี่ไหวไม่ได้คิดอะไร แค่รู้สึกเสียใจที่ต้องจากลากันบ้างเท่านั้น ผลคือต้องเดินตามเผยเฉียนมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ เวลาเดินขาก็ก้าวไม่ค่อยจะออก
เดินอยู่บนถนนใหญ่ เผยเฉียนเอ่ยว่า “บันทึกขุนเขาสายน้ำที่ถูกเจ้าเก็บซ่อนเอาไว้เล่มนั้น ข้าเคยอ่านแล้ว ข้าไม่เป็นไร”
หลี่ไหวไม่รู้จะตอบอย่างไร เพียงถอนหายใจแล้วอืมรับหนึ่งที
เผยเฉียนกล่าว “ไม่ต้องไปส่งแล้ว วันหน้ามีโอกาสค่อยพาเจ้าไปท่องเที่ยวด้วยกันใหม่ ถึงเวลานั้นพวกเราสามารถไปเยือนทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางได้”
หลี่ไหวพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงตามนี้”
เผยเฉียนก้าวยาวๆ ไปข้างหน้า หันหลังให้หลี่ไหว โบกมือเบาๆ
หลี่ไหวหยุดยืนอยู่ที่เดิมโบกมือลานาง
ดูเหมือนว่าเผยเฉียนแอบเติบโตโดยไม่บอกกล่าวเขาอีกแล้ว จากแม่นางน้อยผิวคล้ำเปลี่ยนมามีรูปร่างที่สตรีอายุยี่สิบคนหนึ่งสมควรมีแล้ว
ในสถานที่หนึ่งที่เงียบสงบห่างไกล เผยเฉียนพลันดีดร่างขึ้นสูงทะยานลมเดินทางไกลจากไปเงียบๆ
พ่อครัวเฒ่าบนภูเขาลั่วพั่วคือขอบเขตเดินทางไกล และแจกันสมบัติทวีปก็มีโชคชะตาบู๊จำกัด ที่นั่นมีทั้งอาจารย์พ่อและซ่งจ่างจิ้งแล้ว อีกอย่างผู้อาวุโสหลี่เอ้อก็ถือว่าเป็นคนของแจกันสมบัติทวีป ดังนั้นเว้นเสียจากว่าเผยเฉียนได้เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตยอดเขาแล้ว ไม่อย่างนั้นนางก็ไม่มีทางกลับบ้านเร็วนัก
ไม่ว่าตนจะชอบจดบัญชีของจูเหลี่ยนมากแค่ไหน แต่นั่นก็เป็นพ่อครัวเฒ่าของภูเขาลั่วพั่วบ้านตน ไม่ว่าจะช่วงชิงโชคชะตาบู๊กับใครก็ไม่มีทางช่วงชิงกับจูเหลี่ยนเด็ดขาด และพ่อครัวเฒ่าก็ยิ่งไม่มีทางแย่งชิงกับนาง แต่เขาเป็นผู้ดูแลใหญ่ ต้องปกป้องดูแลภูเขาลั่วพั่วไม่อาจเดินทางจากไปไกลได้ ดังนั้นเผยเฉียนจึงยินดีจะไปให้ไกลสักหน่อย มาเยือนอุตรกุรุทวีปแล้วก็ไปเยือนธวัลทวีปต่อ ถึงอย่างไรอาจารย์พ่อก็ยังไม่ได้กลับมาบ้าน เมื่อไหร่ที่ได้ยินว่าอาจารย์พ่อกลับจากกำแพงเมืองปราณกระบี่มายังใต้หล้าไพศาลแล้ว นางค่อยกลับไป หลายปีมานี้อาจารย์พ่อสอนนางมากมายหลายเรื่อง แต่เรื่องป้อนหมัดกลับเคยทำแค่ครั้งเดียวเท่านั้น แบบนี้จะได้อย่างไร
อาจารย์พ่อไม่ได้มีลูกศิษย์แค่คนเดียว แต่เผยเฉียนมีอาจารย์พ่อแค่คนเดียว
ก่อนที่อาจารย์พ่อจะกลับมาบ้าน เผยเฉียนยังต้องการจะถามหมัดกับเฉาสือด้วย!
——