กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 706.3 ยามหิมะละลาย
ภายหลังยังเป็นเพราะขุนนางหญิงที่ได้รับคำสั่งจากจวนเทพภูเขาของถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ปรากฎตัว ถึงได้ช่วยคลี่คลายวิกฤตให้กับทุกคน
ชายฉกรรจ์ที่นั่งยองบนพื้นกำลังใช้ก้นปัดดินให้ฝังเพ่ยอาเซียงเห็นขุนนางหญิงผู้นั้นก็รีบลุกขึ้นยืนด้วยความเร็วดั่งฟ้าผ่าไม่ทันยกมือป้องหู เอนหลังพิงต้นไผ่ ปลายเท้าข้างหนึ่งยกขึ้นแตะพื้นดิน ถ่มน้ำลายลงมือแล้วลูบปาดเส้นผมแรงๆ เผยให้เห็นหน้าผากโหนกกว้าง สองมือกอดอกเอ่ยเรียกว่าแม่นาง บอกว่าตนชื่อว่าพี่อาเหลียง ทุกอย่างนี้เขาทำเสร็จในรวดเดียว คล่องแคล่วดุจเมฆคล้อยน้ำไหล
เป็นธรรมชาติขนาดนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าต้องฝึกฝนจนเกิดความชำนาญอย่างแน่นอน
สตรีผู้นั้นไม่สนใจบุรุษ ถามตรงๆ ว่า ‘ในเมื่อเป็นลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อ ทั้งยังเป็นผู้ฝึกกระบี่ เหตุใดถึงออกหมัดรับมือศัตรู เพราะจงใจจะสร้างความอัปยศให้คนเหล่านี้งั้นหรือ?’
สตรีชำเลืองตามองบุรุษที่สะพายกระบี่ไว้บนร่างแล้วถามอีกว่า ‘กล้ามาขโมยหน่อไม้ ขโมยรากไผ่ของที่นี่ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับบัณฑิตแม้แต่น้อย ต้องการถามกระบี่แก่ภูเขาชิงเสินของพวกเรางั้นรึ’
บุรุษผู้นั้นส่ายหน้า ขยับเข็มขัดรัดเอวเบาๆ สายตาเลื่อนมองไปทางอื่น ไม่กล้าสบตากับสตรีผู้นั้น แล้วคลี่ยิ้มเขินอาย
ชายชาตรีบุรุษที่ดีต้องไม่ออกกระบี่ง่ายๆ
ทุกอย่างไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ยออกมาเป็นคำพูด
หลังจากนั้นก็คือการไล่ฆ่าที่อลหม่านโกลาหลครั้งหนึ่ง เจ้าคนที่ชื่ออาเหลียงผู้นั้นวิ่งหนีอุตลุดไปทั่วถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ และนั่นก็สอดคล้องกับคำพูดติดปากที่เขาจงใจพูดให้กำกวมว่า ‘เชื่อหรือไม่ว่าข้าเคยถูกเทพธิดาจำนวนนับไม่ถ้วนไล่จีบ?’ (คำว่าไล่จีบนี้ใช้คำว่า 追 ที่แปลว่าไล่/ตาม แต่ใช้ได้ทั้งความหมายว่าตามจีบ แล้วก็ใช้ในความหมายไล่ล่าก็ได้) พอดี
คาดว่าเขาคงคิดว่าการไล่ฆ่าก็คือการไล่จีบอย่างหนึ่งกระมัง
กระทั่งเขาได้พบกับฮูหยินภูเขาชิงเสินที่ในตำนานเล่าลือกันว่า ‘รูปโฉมงามล้ำ ชอบเปลือยเท้า มวยผมเป็นสีนิล’
แล้วก็มีเรื่องเล่าเรื่องใหม่ที่ไม่อาจเอามาแพร่งพรายให้คนนอกรับรู้เกิดขึ้นอีกเรื่องหนึ่ง ภายหลังผู้คนพากันพูดไปหลากหลาย ไม่อาจหาข้อสรุปที่แน่นอนได้
ส่วนอาเหลียงผู้นั้นก็ค่อนข้างจะถูกชะตากับเพ่ยอาเซียง เพราะหากไม่ตีกันก็คงไม่ได้รู้จักกัน จึงช่วยขโมยต้นไผ่เขียวของภูเขาชิงเสินมาให้เพ่ยอาเซียงท่อนหนึ่ง บอกให้เขานำออกมาจากถ้ำสวรรค์จู๋ไห่
หลิวโยวโจวฟังเรื่องเล่าที่เต็มไปด้วยสีสันตระการตานี้จบก็อดไม่ไหวถามว่า “อาเซียงภายหลังเจ้าก็ได้ย้อนกลับไปที่ภูเขาชิงเสิน ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงท่องราตรีอีกไม่ใช่หรือ? หรือว่าอาเหลียงจะใช้แซ่ตามพวกเจ้าจริงๆ”
เพ่ยอาเซียงกล่าวอย่างอ่อนใจ “ความหมายของเขาก็คือ ไม่ถือสาที่จะเปลี่ยนชื่อแซ่มาเป็นบรรพบุรุษของพวกเรา”
หลิวโยวโจวได้เปิดโลกกว้าง แบบนี้ก็ได้หรือ? ดูเหมือนจะมีเหตุผลอยู่นะ
เพ่ยอาเซียงถือขลุ่ยไม้ไผ่ ลุกขึ้นยืน คิดว่าจะบอกให้ทั้งสองฝ่ายหยุดถามหมัดกันได้แล้ว
หากยังต่อสู้กันแบบนี้ต่อไป ศาลเหลยกงเล็กแห่งนี้อาจจะมีเตียงคนป่วยเพิ่มมาอีกเตียงก็เป็นได้
แม่นางน้อยที่ดื้อดึงคนนั้นล้มลงไปกองอยู่บนพื้นมากถึงเจ็ดครั้งแล้ว
ส่วนหลิ่วซุ่ยอวี๋ก็ออกหมัดจนได้แรงไฟที่แท้จริง ทุกครั้งที่ออกหมัดก็ยิ่งมีแนวโน้มว่าจะทำให้จิตวิญญาณถึงขั้นสมบูรณ์แบบสุดยอดเขาของขอบเขตเก้า ลำพังเพียงแค่กระบวนท่าฟ้าร้องทับซ้อน หากขอบเขตเดินทางไกลทั่วไปโดนเข้าไปสักครึ่งหนึ่ง เวลานี้คงล้มจนมิอาจลุกขึ้นยืนได้แล้ว แล้วยังต้องกระอักเลือดไม่หยุด ซ้ำไม่ได้เรียบง่ายเพียงแค่ได้รับบาดเจ็บทางเส้นเอ็นกระดูกเท่านั้น ยังจะทิ้งต้นตอของโรคเอาไว้ด้วย
ต่อให้เรือนกายขอบเขตเดินทางไกลปูพื้นฐานมาแน่นหนาแค่ไหนก็ไม่อาจต้านทานการโค่นทำลายของผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอดเขาท่านหนึ่งเช่นนี้ได้
ทั้งสองฝ่ายเพียงแค่ถามหมัดกันเท่านั้น
ต่อให้หลิ่วซุ่ยอวี๋จะสามารถอาศัยสิ่งนี้มาเพิ่มปณิธานหมัดให้กับตัวเอง มีหวังที่จะทำให้นางพัฒนารุดหน้าไปอีกขั้น แต่เพ่ยอาเซียงกลับไม่รู้สึกว่าทำเช่นนี้แล้วจะสอดคล้องกับกฎเกณฑ์ของยุทธภพ
คนในยุทธภพ ผู้ฝึกยุทธเต็มตัว เรื่องของการถือหางปกป้องกัน ถึงอย่างไรก็ต้องมีขอบเขตบ้าง
ทำร้ายให้แม่นางน้อยคนหนึ่งที่ขอบเขตต่ำกว่าหนึ่งขั้นบาดเจ็บสาหัส ใช้สิ่งนี้มาเพิ่มโชคชะตาบู๊ส่วนหนึ่งให้กับศาลเหลยกงจังหวัดหม่าหู
น่าอายอย่างมาก
เพ่ยอาเซียงมิอาจเสียหน้ากับเรื่องแบบนี้ได้
ดังนั้นเพ่ยอาเซียงจึงออกเสียงเอ่ยว่า “แค่พอสมควรก็พอแล้ว”
เซี่ยซงฮวาพยักหน้ารับเบาๆ เพ่ยอาเซียงผู้นี้นับว่ายังมีคุณธรรมอยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นหากเขาไม่ออกเสียง นางคงออกกระบี่ไปแล้ว
ถามกระบี่กับศาลเหลยกงโดยตรง ถามต่อคนที่อายุมากที่สุด ลำดับอาวุโสสูงที่สุด
แม้ว่าหลิ่วซุ่ยอวี๋จะยังไม่หายสะใจ แต่กระนั้นก็ยังเก็บหมัดมาอย่างฉุกละหุก ส่วนเผยเฉียนผู้นั้นคล้ายจะหลงลืมตัวเองไปแล้ว ถึงยังปล่อยหมัดส่งออกมา ทว่านางก็คืนสติได้ในทันทีทันใด ฝืนข่มดึงเอาปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์กลับคืนมา แม้เลือดลมในร่างจะซัดเดือด นางก็ยังฝืนทนเก็บหมัดแล้วถอยห่างมาหลายก้าว
หญิงสาวเรือนกายผอมบางยืนโงนเงนจะล้มมิล้มแหล่ ใบหน้าที่ดำน้อยๆ ผิวเนื้อแตกยับ กรอบดวงตาข้างหนึ่งบวมแดงจนน่ากลัว สภาพกระเซอะกระเซิงอย่างยิ่ง นางเอียงศีรษะน้อยๆ ก็มีเลือดสดไหลออกมาจากรูหู
เป็นสตรีเหมือนกัน หมัดขอบเขตเก้าของอีกฝ่ายไม่เบาเลยจริงๆ
สภาพอันน่าสังเวชของเผยเฉียนทำเอาหลิวโยวโจวรู้สึกชาไปทั้งหนังหัว น่าสยดสยองเกินไปแล้ว
เผยเฉียนยกมือขึ้น ใช้หลังมือเช็ดเลือดสดที่ไหลย้อยจากจอนหูมายังข้างแก้ม
หลิ่วซุ่ยอวี๋เริ่มเก็บปณิธานหมัดของทั้งร่างกลับมา มองเผยเฉียนอย่างไม่ปิดบังแววตาชื่นชม พยักหน้ายิ้มเอ่ยว่า “ครั้งนี้ข้าไม่ได้ชนะ เจ้าไม่ได้แพ้ พวกเราถือว่าเสมอกัน วันหน้ารอให้เจ้าฝ่าทะลุขอบเขตเมื่อไหร่ค่อยมาถามหมัดอีกครั้ง เจ้ามาหาข้าที่จังหวัดหม่าหู หรือไม่ข้าก็ไปหาเจ้าที่ภูเขาลั่วพั่ว ล้วนได้หมด”
เผยเฉียนกุมหมัดคารวะขอบคุณ เพียงแต่ไม่ได้เอ่ยอะไร คล้ายในใจมีเรื่องอยากจะพูด
จวี่สิงพบว่าในฝ่ามือของตัวเองโชกไปด้วยเหงื่อ หันหน้าไปมองเฉามู่ที่ยืนกอดไม้เท้า นางก็ยิ่งเหงื่อแตกท่วมหัว
เฉามู่สัมผัสได้ถึงสายตามองประเมินของเขาจึงหันหน้าไปเค้นรอยยิ้มให้เขา
จวี่สิงโมโหทันใด เอ่ยว่า “พี่หญิงเผยบาดเจ็บขนาดนี้แล้ว ยิ้ม เจ้ายังยิ้ม ทำไมเจ้าไม่ยิ้มให้ปากฉีกไปถึงรูหูเลยเล่า…”
ไม่รอให้จวี่สิงเอ่ยจบก็โดนเซี่ยซงฮวาเขกมะเหงกใส่ ก่อนเอ่ยสั่งสอนว่า “เฉามู่เป็นแม่นางน้อยคนหนึ่ง เวลานางร้องไห้เจ้าก็ว่า เวลานางยิ้มเจ้าก็ว่า หรือว่าจะให้นางทำตัวเป็นน้ำเต้าตันเลียนแบบเจ้ากัน หา?”
จวี่สิงทอดถอนใจอย่างเศร้าสร้อยหนึ่งที “นางโง่ขนาดนั้น จะเรียนรู้ไปจากข้าได้อย่างไร”
เซี่ยซงฮวาพลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงพูดกับจวี่สิงด้วยสีหน้าจริงจัง “ขอโทษเฉามู่ซะ ในจดหมายอิ่นกวานบอกกับเจ้าว่าอย่างไร หากทำผิดแล้วยอมรับผิดจึงจะถือว่าเป็นวีรบุรุษ รู้ผิดแล้วแก้ไขจึงจะถือว่าเป็นลูกผู้ชายที่แท้จริง ใช่หรือไม่?”
เฉามู่อึ้งตะลึงไปพักหนึ่ง ดีนักนะ อาจารย์รู้จักยกเอาใต้เท้าอิ่นกวานมากำราบตนแล้ว ต่อให้ไม่ยินยอมพร้อมใจ แต่กระนั้นก็ยังฝืนใจเอ่ยอย่างขุ่นเคืองว่า “ขอโทษแล้วกัน ขอโทษก็ได้”
เซี่ยซงฮวายกมือขึ้นทำท่าจะเขกหัวเขาอีกรอบ “ให้มันจริงใจหน่อย!”
จวี่สิงเห็นว่าเฉามู่ส่ายหน้าอย่างแรงด้วยท่าทางเซ่อซ่า เขาก็ใจอ่อนทันใด จึงฝืนใจเอ่ยเบาๆ ว่า “ข้าขอโทษ”
มารดามันเถอะ เขินจะแย่แล้ว
เฉามู่คลี่ยิ้มกว้าง
อยู่ดีๆ เซี่ยซงฮวาก็นึกถึงอีกประโยคหนึ่งบนจดหมายขึ้นมา ก่อนหน้านี้รู้สึกว่าอิ่นกวานหนุ่มทำอะไรจู้จี้จุกจิกละเอียดลออเหมือนสตรีเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเขียนถ้อยคำที่ความหมายใหญ่โตเช่นนี้กับเด็กสองคนตัวเท่าก้น เป็นเรื่องที่เร็วเกินไป เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหตุใด เวลานี้กลับรู้สึกว่าไม่ควรรังเกียจว่าเขาเขียนบอกไว้เร็วเกินไป แต่ควรหงุดหงิดที่ถ้อยคำที่อิ่นกวานหนุ่มเขียนไว้ในจดหมายน้อยเกินไป หลักการเหตุผลที่คล้ายคลึงกับคำกล่าวว่า ‘เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามยังไม่มากพอ เซียนกระบี่ใหญ่ยังต้องรู้จักเปลี่ยนแปลงขนบธรรมเนียมประเพณีด้วย’ หากอีกฝ่ายจะเขียนให้มากหน่อย นางก็ไม่รังเกียจจริงๆ
เชื่อว่าต้องรอให้เด็กสองคนอย่างจวี่สิงและเฉามู่ได้เดินอยู่บนเส้นทางของชีวิตในอนาคตเสียก่อน ถึงจะตระหนักได้ว่าถ้อยคำอย่างคำว่า ‘เซียนกระบี่ใหญ่ต้องรู้จักเปลี่ยนแปลงขนบธรรมเนียมประเพณี’ นี้แบกรับความหวังที่อิ่นกวานมีต่อพวกเขาไว้มากเท่าไรกันแน่
ยืนอยู่บนขั้นบันไดที่ห่างจากลานกว้างของศาลเหลยกงมาไกล เพ่ยอาเซียงยิ่งมองเผยเฉียนก็ยิ่งรู้สึกว่าต้องมองนางเสียใหม่ บนเส้นทางการเรียนวรยุทธที่พิถีพิถันในการหว่านไถหนึ่งส่วนเก็บเกี่ยวหนึ่งส่วนเป็นที่สุดนี้ ยิ่งเป็นผู้มีพรสวรรค์อายุน้อย ในเรื่องของการขัดเกลาเรือนกายก็ยิ่งง่ายที่จะทิ้งภัยแฝงใหญ่ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการเดินขึ้นสู่ที่สูงในยุทธภพไว้มากที่สุด
ปรมาจารย์วิถีวรยุทธขัดเกลาเรือนกาย ถามหมัดกันและกัน ส่วนใหญ่ล้วนมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือสามารถเพิ่มพูนปณิธานหมัด ปรับเปลี่ยนแก้ไขวิชาหมัดให้สมบูรณ์แบบมากขึ้น แต่ก็กลัวอาการบาดเจ็บในแต่ละครั้งที่หากเส้นเอ็นและกระดูกยังไม่ประสานตัวหายดีอย่างสมบูรณ์ก็มักจะทิ้งต้นตอของโรคเล็กๆ น้อยๆ ที่ยากจะสังเกตเห็นเอาไว้มากมาย พอขอบเขตสูงขึ้น ปัญหาก็ยิ่งใหญ่ ยกตัวอย่างเช่นขั้นแรกของขอบเขตปลายทางที่เรียกว่าลมปราณโชติช่วง หากฟ้าดินเล็กร่างกายมนุษย์มีเส้นเอ็น กระดูก เส้นชีพจรจำนวนมากที่เป็นดั่งขุนเขาสายน้ำที่ปริแตก ลมปราณจะยังโชติช่วงสมบูรณ์อีกได้อย่างไร?
ตัวเพ่ยอาเซียงเองก็เคยเสียเปรียบครั้งใหญ่มาก่อน แม้ว่าจะมีชื่อที่มีกลิ่นอายของสตรีเข้มข้น แต่วิชาหมัดของเพ่ยอาเซียงกลับขึ้นชื่อเรื่องความดุดัน ในอดีตนิสัยของเขาพยศยากจะกำราบยิ่งกว่านี้ การที่ยอมกลายมาเป็นผู้ถวายงานคนที่สามของสกุลหลิว แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะเพ่ยอาเซียงละโมบในเงินเทพเซียนน้อยนิดนั้น ในฐานะผู้ฝึกยุทธเต็มตัว เขาย่อมไม่สนใจของนอกกายเป็นที่สุด แต่หลักๆ แล้วเป็นเพราะกังวลเรื่องหนทางถอย เรื่องการสืบทอดควันธูปของลูกศิษย์มากกว่า อย่าเห็นว่าเพ่ยอาเซียงมีรูปโฉมเป็นคนหนุ่มดุจคุณชายผู้หล่อเหลาสง่างาม แท้จริงเขาอายุมากแล้ว เทียบกับหวังฟู่ซู่ตาเฒ่าของอุตรกุรุทวีปแล้วก็อายุมากพอๆ กัน ตอนที่เพ่ยอาเซียงอายุน้อยมีศัตรูมากเกินไป หวังฟู่ซู่ก็เป็นแค่คนหนึ่งในนั้นเท่านั้น
เพ่ยอาเซียงถือเป็นคนที่รู้ความทุกข์ยากของตัวเองดี เพราะเขาเลื่อนเป็นคืนความจริงที่เป็นขั้นที่สองของผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบแล้วก็จริง แต่น่าเสียดายที่รากฐานของปราณโชติช่วงปูมาแย่เกินไป ทุกวันนี้เพ่ยอาเซียงได้แต่ฝืนรวบรวมกำลังใจขึ้นมาเฮือกหนึ่ง เพื่อไม่ให้ตัวเองต้องสิ้นหวังกับ ‘เทพมาเยือน’ เท่านั้น
ดังนั้นหลายปีมานี้บางครั้งที่ชี้แนะลูกศิษย์ผู้สืบทอดสามคนซึ่งมีหลิ่วซุ่ยอวี๋เป็นคนหนึ่งในนั้น เพ่ยอาเซียงจึงมักจะบอกให้พวกเขาจดจำข้อหนึ่งเอาไว้ นอกจากจะแสวงหาความสูงส่งแล้ว วิชาหมัดยังแสวงหาความยิ่งใหญ่ด้วย ต้องให้ความองอาจกล้าหาญเป็นดั่งขุนเขาสายน้ำ ยกตัวอย่างเช่นลองเรียนรู้ดูจากเซียนกระบี่ของอุตรกุรุทวีปที่ออกเดินทางไกลดูบ้าง แต่นอกจากหลิ่วซุ่ยอวี๋แล้ว ลูกศิษย์ผู้สืบทอดอีกสองคน และยังมีลูกศิษย์ของลูกศิษย์ผู้สืบทอดอีกเจ็ดคน เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครเข้าใจความหมายของเพ่ยอาเซียงได้อย่างแท้จริง ไม่มีใครคิดจะไปขัดเกลาเรือนกายและปณิธานหมัดที่กำแพงเมืองปราณกระบี่เลย
บางคนรู้แต่แสร้งไม่รู้ ไม่ใคร่จะยินดีพาตัวไปตายที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ เหตุผลก็เรียบง่ายมาก ขนาดเซียนกระบี่ยังตาย ผู้ฝึกยุทธอยู่ที่นั่นก็มีแต่จะตายเร็วยิ่งกว่า ส่วนใหญ่แค่ออกจากหัวกำแพงเมืองก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะมีจุดจบที่ไปแล้วไปลับไม่กลับมา บางคนก็คิดว่าตนเองเดินมาสุดปลายทางของวิถีวรยุทธแล้ว จึงเริ่มหันมาเสพสุขดื่มด่ำกับชีวิต หันไปมุ่งมั่นถ่ายทอดวิชาความรู้ให้กับลูกศิษย์รุ่นที่สามของศาลเหลยกงจังหวัดหม่าหูแทน ใช้ถ้อยคำที่ไพเราะว่าช่วยอาจารย์ปู่อย่างเพ่ยอาเซียงแตกกิ่งก้านสาขา วิชาหมัดสยบทั้งทวีป แน่นอนว่าก็มีบางคนที่ไปเป็นแม่ทัพบู๊ในราชสำนักโลกมนุษย์ ต้องการช่วยจักรพรรดิฮ่องเต้สยบและรวบรวมโชคชะตาบู๊ของหนึ่งแคว้นมา มิอาจปลีกตัวไปได้จริงๆ ลูกศิษย์ใหญ่ของเพ่ยอาเซียงก็คือคนที่อยู่ในสภาพการณ์เช่นนี้
หลายๆ ครั้งเลือกแล้วเลือกอีก กว่าจะรับเอาลูกศิษย์ที่เป็นที่ภาคภูมิใจสองสามคนมาได้ ทุ่มเทจิตใจอบรมปลูกฝังอยู่นานหลายปีหลายสิบปี ถ่ายทอดสัจธรรมแห่งวิชาหมัดให้ แต่พอกาลเวลาเคลื่อนผ่าน พวกลูกศิษย์ก็ล้วนมีชีวิตเป็นของตัวเอง นานวันเข้าก็เหลือเพียงแค่ความเป็นอาจารย์และศิษย์กันในนามเท่านั้น ต่อให้เป็นสายวิชาหมัด ระหว่างอาจารย์และศิษย์ก็มีแต่จะยิ่งเดินยิ่งไกลห่างจากกัน ต่อให้ส่วนลึกในใจของลูกศิษย์เหล่านั้นจะยังเคารพอาจารย์ แต่เพราะชีวิตไม่เป็นของตัวเอง หมัดไม่มีอิสระเสรี เพ่ยอาเซียงจึงมักจะเสียดายอยู่นิดๆ แต่ก็ไม่ถึงขั้นเสียใจหรือผิดหวังมากนัก
สายศาลเหลยกงจังหวัดหม่าหูของตน นอกจากหลิ่วซุ่ยอวี๋ที่สามารถรับผิดชอบงานส่วนหนึ่งเพียงลำพังได้แล้ว ยังมีลูกศิษย์คนสุดท้ายที่ยังเป็นเพียงเด็กหนุ่มอยู่อีกคนที่มีความสามารถมากพอจะสืบทอดควันธูปและวิชาความรู้ของเขาได้
ในความเป็นจริงแล้วครั้งนั้นที่เจอกับอาเหลียงในถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ อันที่จริงอีกฝ่ายได้บอกกับเพ่ยอาเซียงมานานแล้วว่าให้หัดใจใหญ่หน่อย ถึงอย่างไรก็ต้องได้เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบแน่อยู่แล้ว อย่าเอาแต่เบิกตากว้างมองดูขอบเขตนี้ มันไม่มีทางหนีไปไหนแน่ ให้ลองมองทัศนียภาพที่สูงกว่ายิ่งใหญ่กว่าให้มาก อย่างยอดเขาของภูเขาสุ้ยซานนั้นให้ลองไปปีนดู ลองไปมองดูที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ไปเที่ยวเล่นที่อุตรกุรุทวีปดูสักครั้ง แวะไปเยือนถ้ำสวรรค์เทียนอวี๋ดูบ้าง…
น่าเสียดายที่เพ่ยอาเซียงในเวลานั้นไม่ได้คิดอะไรมาก แน่นอนว่าก็ต้องโทษเจ้าอาเหลียงชาติสุนัขผู้นั้นที่อยู่ดีๆ ก็เปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่น ดวงตาสองข้างสาดประกาย ลูบปากพูดถึงเรื่องหุ่นของเทพธิดาบางคนอย่างเคลิบเคลิ้มเสียอย่างนั้น
เพ่ยอาเซียงถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า ชีวิตคนมักจะต้องเจอกับหมัดหมัดหนึ่งพุ่งเข้าใส่อย่างไม่ทันตั้งตัวอยู่เสมอ ไม่หนักไม่เบา แต่มักจะทำให้คนไม่มีแรงตั้งกระบวนท่ารับ นี่คงเป็นความรู้สึกไร้เรี่ยวแรงอย่างที่คนพูดกันกระมัง
ผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบ ไม่มีสิ่งใดที่จะยกเว้นได้
เพ่ยอาเซียงเก็บความคิดนี้กลับมา ยิ้มเอ่ยว่า “เผยเฉียน หากไม่ถือสาที่สถานที่คับแคบ ช่วงนี้ก็สงบใจพักรักษาบาดแผลอยู่ที่นี่เถอะ”
แม่นางน้อยที่บอกว่าตัวเองคือ ‘ลูกศิษย์เปิดขุนเขา’ ของภูเขาลั่วพั่วคนนี้ ไม่เสียแรงที่เป็นขอบเขตเดินทางไกลซึ่งเคยแข็งแกร่งที่สุดมา ‘แค่’ ห้าครั้ง รากฐานปูมาได้ดีเยี่ยมจนน่าเหลือเชื่อ
คิดจะพักรักษาตัวที่นี่ย่อมใช้เวลาไม่นานมาก
เพ่ยอาเซียงยิ่งสงสัยใคร่รู้ในภูเขาลั่วพั่วแห่งแจกันสมบัติทวีปเสียแล้วว่า อาจารย์ที่ช่วยถ่ายทอดวิชาหมัด ช่วยขัดเกลาเรือนกายให้กับเผยเฉียนคือเทพเซียนจากฝ่ายใดกันแน่ หรือว่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าบางคนของแจกันสมบัติที่ไม่ใช่ซ่งจ่างจิ้ง? ความเป็นไปได้ที่จะเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางมีน้อยมาก ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางที่เพ่ยอาเซียงจะไม่เคยได้ยินชื่อของอีกฝ่ายมาก่อน ปรมาจารย์ขอบเขตสิบของใต้หล้าไพศาล เมื่อเทียบกับผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนแล้วมีน้อยกว่ามากจริงๆ ยกตัวอย่างเช่นอุตรกุรุทวีปที่เป็นเพื่อนบ้านก็มีแค่สามคนอย่างหวังฟู่ซู่ กู้โย่วและผู้ฝึกยุทธแซ่หลี่เท่านั้น ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าคนหนึ่งจะเกี่ยวพันกับการไปการอยู่ของการโคจรโชคชะตาบู๊ของหนึ่งแคว้น จึงยากที่จะเก็บซ่อนอำพรางตัวได้ลึกนัก
หลังจากถามหมัดไปแล้ว คนที่ทำให้เพ่ยอาเซียงปวดหัวก็คือเซียนกระบี่หญิงเซี่ยซงฮวาผู้นั้น
ไม่ว่าจะมองอย่างไรอีกฝ่ายก็ไม่เหมือนว่ามาเยือนด้วยเจตนาอันดี
เผยเฉียนที่เงียบงันมาโดยตลอด ในที่สุดก็เปิดปากพูด “ผู้น้อยยังเหลือหมัดสุดท้ายที่อยากจะขอความรู้จากผู้อาวุโสหลิ่ว”
หลิ่วซุ่ยอวี๋ยื่นนิ้วสองนิ้วออกมานวดคลึงจุดไท่หยางสองข้างเบาๆ
เซี่ยซงฮวาลังเลเล็กน้อย ก่อนถามว่า “เผยเฉียน เจ้าคิดดีแน่แล้วหรือ?”
เผยเฉียนพยักหน้ารับ หันตัวมองมาทางเซี่ยซงฮวา นางคลี่ยิ้มกว้างสดใส “ออกแค่หมัดเดียวเท่านั้น”
ส่วนหลิ่วซุ่ยอวี๋หันไปมองอาจารย์ที่อยู่ด้านหลัง
เพ่ยอาเซียงคิดแล้วก็เอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ให้แม่นางน้อยอยู่ที่นี่ต่ออีกสักสี่ห้าวันเถอะ”
ความนัยในคำพูดของเขาก็คือให้หลิ่วซุ่ยอวี๋ไม่ต้องสนใจลำดับอาวุโสสูงต่ำและความต่างของขอบเขตแล้ว
แต่เพ่ยอาเซียงก็รวมเสียงให้เป็นเส้น เอ่ยเตือนลูกศิษย์ว่า “จำไว้ว่าสามารถออกหมัดหนักหน่อยได้ แต่ห้ามทำร้ายไปถึงรากฐานวิถีวรยุทธของฝ่ายตรงข้ามเด็ดขาด”
ทั้งไม่ยินดีจะผูกปมแค้นกับภูเขาลั่วพั่ว ยิ่งเป็นเจตจำนงเดิมในฐานะของผู้อาวุโสที่เป็นผู้ฝึกยุทธ
หลิ่วซุ่ยอวี๋ยิ้มตอบ “ไหนเลยจะตัดใจทำอย่างนั้นได้ลง ต้นกล้าที่ดีขนาดนี้ ยิ่งใต้หล้ามีมากเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น”
เผยเฉียนมองไปทางหลิ่วซุ่ยอวี๋แล้วกุมหมัดเอ่ยว่า “ผู้น้อยรู้ดีว่าเป็นข้าที่ไร้มารยาท จึงต้องเอ่ยขออภัยต่อผู้อาวุโสหลิ่ว…”
จากนั้นก็หันไปมองเพ่ยอาเซียง “และปรมาจารย์เพ่ยแล้ว”
หลิ่วซุ่ยอวี๋พยักหน้าให้ “ถ้าอย่างนั้นพวกเรามาแลกกันคนละหมัด ถือว่าเจ้ามอบของขวัญพบหน้าให้ ส่วนข้าก็จะรับของขวัญไว้แทนศาลเหลยกงแห่งจังหวัดหม่าหู”
เซี่ยซงฮวากลั้นยิ้ม เอ่ยกับเด็กทั้งสองว่า “หัดเรียนรู้ไว้ให้มาก พี่หญิงเผยของพวกเจ้าต่างหากถึงจะมีมาดของบุคคลยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง”
จวี่สิงผงกศีรษะ “ข้าอยากเรียนย่อมเรียนได้ แต่คนบางคนกลับบอกได้ยากแล้ว”
เฉามู่กระตุกชายแขนเสื้อของเซี่ยซงฮวาเบาๆ พูดเสียงสั่นว่า “อาจารย์ ข้ารู้สึกกลัวนิดๆ แล้ว”
จากนั้นเผยเฉียนก็หยุดฝีเท้า ทำท่าทางที่ประหลาดมากท่าหนึ่ง นางยกฝ่ามือขึ้นตบหน้าผากตัวเองเบาๆ