กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 714.1 เฉินสืออี
สองมือของเฉินผิงอันถือมีด ไม่ได้รีบร้อนลงมือ
เผชิญหน้ากับ ‘คนวัยเดียวกัน’ ที่ติดอันดับสิบคนรุ่นเยาว์ ควรจะต่อสู้อย่างไร นี่มีความรู้ซุกซ่อนอยู่
ต้องรู้ว่าสิบคนแรกนั้น ไม่มีการแบ่งลำดับก่อนหลัง
และเขาก็เป็นคนที่อยู่ในอันดับที่สิบเอ็ด
ส่วนแม่นางหน้ากลมสวมชุดผ้าฝ้ายตรงหน้าผู้นี้ไม่ว่าจะเป็นตัวตนที่แท้จริง การสืบทอดจากอาจารย์ ประวัติความเป็นมา ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนยังคงเหมือนมีเมฆหมอกล้อมวน เหมือนยังซ่อนตัวอยู่ในดวงจันทร์ ในเมื่อนางกล้ามาที่นี่ก็ต้องมั่นใจว่าจะสามารถจากไปได้โดยที่ยังมีชีวิตอยู่ ไม่อย่างนั้นเจ้าหมาแก่หลงจวินก็ไม่มีทางปล่อยให้นางทำอะไรโดยใช้อารมณ์แน่นอน
ดังนั้นจะทำให้นางตกใจจนหนีไปไม่ได้เด็ดขาด
ต้องให้นางวางใจ อีกทั้งยังปลดปล่อยฝีมืออย่างเต็มที่หวังจะสังหารตนให้ได้
แล้วนับประสาอะไรกับที่คนที่อยู่ในสิบอันดับ หากไม่สามารถสังหารคนที่อยู่แค่อันดับสิบเอ็ดได้ ก็ฟังไม่ขึ้นเท่าใดนัก แพร่ออกไปแล้วก็ยิ่งไม่น่าฟัง
เฉินผิงอันเดินไปหานางช้าๆ มีดสั้นคู่หนึ่งพลิกตลบว่องไวอยู่ระหว่างนิ้วและหลังมือของเขา
แสงมีดตัดสลับ ลำแสงเป็นเส้นๆ ไหลริน เพราะความเคลื่อนไหวนั้นรวดเร็วเกินไป แสงมีดมีมากเกินไป ประกายแสงล้อมวนห่อหุ้มกันอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายจึงเหมือนดวงจันทร์เล็กๆ น่ารักสองดวงที่อยู่ในมือของเฉินผิงอัน
เซอเยว่เห็นว่าคนหนุ่มไม่ได้รีบร้อนจะลงมือก็เป็นฝ่ายรอให้เขาเริ่มก่อนอย่างอดทน
นางสงสัยใคร่รู้เป็นอย่างยิ่งว่าอีกฝ่ายจะใช้วิธีการใดมาเปิดฉาก จะเป็นยันต์ที่ใช้เป็นเวทอำพรางตา หรือเป็นกระบี่บินของผู้ฝึกกระบี่ที่ขนาดเซียนกระบี่ในกระโจมเจี่ยเซินก็ยังต้องฝืนกล้ำกลืนความลำบาก? หรือจะเป็นหมัดของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวขอบเขตยอดเขา?
เซอเยว่ได้ยินเรื่องเล่าลือมหัศจรรย์พันลึกของอิ่นกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่ผู้นี้มาไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังมีคำกล่าวสองอย่างที่ทำให้เซ่อเยว่ซึ่งไม่ค่อยชอบจดจำเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเองจดจำได้อย่างแม่นยำอย่างที่หาได้ยาก
ในและนอกกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไกลอาเหลียงใกล้อิ่นกวาน ใต้โซ่วเฉินเหนืออิ่นกวาน
ส่วนลูกเล่นลวดลายของเฉินผิงอันในเวลานี้ เซอเยว่แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น เพราะหากจะพูดถึงเรื่องวิชาอภินิหารในการ ‘เล่นดวงจันทร์’ ของคนในใต้หล้า เมื่ออยู่ต่อหน้านางก็ล้วนเป็นเรื่องตลกชวนขบขันทั้งสิ้น
ในอดีตเจ้าอารามดอกบัวปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ที่เป็นหนึ่งในเพื่อนบ้านของนางก็แค่อาศัยว่าอายุมากกว่าหน่อย ถึงได้เปรียบนางไปเล็กน้อยเท่านั้น
นางเพียงแค่ขยับเส้นสายตา มองซ้ายที มองขวาที ยังคงรู้สึกว่าอิ่นกวานหนุ่มที่มีชื่อเสียงเลื่องระบือไปทั้งใต้หล้าเปลี่ยวร้างแห่งนี้ยังคงเหมือนในอดีตที่นางมองเห็นเขาไกลๆ ก่อนจะเดินทางขึ้นเหนือ รูปโฉมไม่เลว แต่ก็แค่ไม่เลวเท่านั้น ไม่ได้ดูงดงามหล่อเหลาอย่างเนื้อหนังมังสาของเจียงซ่างเจิน
แน่นอนว่าบุรุษรูปโฉมคมคายหรือไม่ ไม่สำคัญ สตรีเองก็ใช้หลักการเดียวกัน
เคยมีเพื่อนบ้านบนฟ้าผู้หนึ่งบอกว่าขอแค่พบเจอคนที่ใช่ ในดวงตาทั้งคู่ก็จะมองเห็นทัศนียภาพที่งดงามที่สุด ต่อให้อยู่กันคนละฟากฟ้า ก็ประหนึ่งตะวันจันทราที่หันเข้าหากันอยู่ไกลๆ สายตาที่คอยเฝ้ามองจะไม่แปรเปลี่ยนไปชั่วนิจนิรันดร์
น่าเสียดายที่เซอเยว่ไม่ได้สนใจเรื่องความรักระหว่างชายหญิงอะไรเลยจริงๆ ความรักความลุ่มหลงความจริงใจอะไรนั่น แค่คิดนางก็ยังนึกภาพไม่ออกเลย
เฉินผิงอันก้าวเดินเนิบช้าพลางถามหยั่งเชิงอย่างเอื่อยเฉื่อยด้วยสีหน้าสงสัยใคร่รู้ไปด้วย “ก่อนหน้านี้บนฟ้ามีภาพเหตุการณ์ผิดปกติ ดวงจันทร์หายไปดวงหนึ่ง เป็นเหตุให้แม้แต่ทางฝั่งของข้าก็ยังรับสัมผัสทางจิตได้ คงไม่ใช่ว่าถูกแม่นางเซอเยว่เก็บเข้ามาไว้ในชายแขนเสื้อหรอกกระมัง? หากเป็นเช่นนี้จริง พวกเราจะต่อสู้กันอย่างไร ข้าก็แค่ร่างอยู่ในฟ้าดินเล็กบนหัวกำแพงเมือง แต่แม่นางเซอเยว่กลับอยู่ในฟ้าดินกว้างใหญ่ของดวงจันทร์…แล้วนับประสาอะไรกับที่ข้าอยู่แค่อันดับสิบเอ็ดเท่านั้น ห่างจากสิบอันดับแรกอย่างพวกเจ้าอยู่หนึ่งก้าวก็ต่างกันราวฟ้ากับเหวแล้ว ความรู้ความเข้าใจตัวเองน้อยนิดแค่นี้ ข้ายังพอจะมีอยู่บ้าง”
แม่นางหน้ากลมไม่ได้บอกว่าพระจันทร์ดวงนั้นหายไปไหน แต่เอ่ยว่า “หากเจ้าไม่ยินดีจะสู้ ข้ายังไงก็ได้ เดิมทีข้าก็มาเพื่อชมทัศนียภาพอยู่แล้ว เป็นเจ้าที่บีบคั้นคนอื่น ร่ำร้องจะฆ่าแกงกับข้าให้ได้”
เป็นสหายรักกับเจียงซ่างเจินของใบถงทวีปผู้นั้น ล้วนเป็นพวกหน้าไม่อายทั้งสิ้น
และยามที่บุรุษทำตัวหน้าไม่อายขึ้นมา ก็ไม่เกี่ยวข้องว่าอายุมากหรือน้อยจริงๆ เสียด้วย
ทั้งสองฝ่ายยังอยู่ห่างกันอีกประมาณสามสิบจั้ง เพียงแต่ว่าสำหรับขอบเขตของทั้งสองฝ่ายแล้ว นี่เรียกว่าใกล้ในระยะประชิด หากจะบรรยายว่าห่างกันเพียงแค่เสี้ยวเดียวก็ไม่เกินจริงไปแม้แต่น้อย
เฉินผิงอันหยุดยืนนิ่งขณะอยู่ห่างไปยี่สิบจั้ง พลันกำด้ามมีดแน่น ปลายมีดหันไปด้านหลัง ราวกับว่าต้องการแสดงความเป็นมิตรกับสตรี ยิ้มบางๆ ถามว่า “แม่นางเซอเยว่ เจ้าเป็นแขก เจ้าบอกมาเถอะว่าพวกเราจะต่อสู้กันอย่างไร มาปรึกษาให้ได้แบบแผนกันก่อนดีไหม? ให้เจ้าเป็นคนตัดสินใจทั้งหมด ไม่อย่างนั้นย่อมง่ายที่จะทำลายความปรองดอง”
เซอเยว่แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เพียงแค่มองมีดสองเล่มของอีกฝ่ายนานหน่อย ก่อนเอ่ยว่า “มีดดี คมกริบ แต่กลับเก็บงำประกายอย่างลึกล้ำ มีชื่อว่าอะไร?”
เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้มกล่าว “เก็บมาได้จากข้างทาง ไม่มีค่าพอให้พูดถึง ไม่อาจเทียบวิธีการใหญ่เทียมฟ้าที่รวบเอาดวงจันทร์ดวงโตมาหลอมเป็นชะตาฟ้าของแม่นางเซอเยว่ได้ น่าเสียดายที่ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสหลงจวินกังวลว่าข้าจะถามมรรคาฝึกหมัดอย่างไม่ตั้งใจ จึงช่วยตัดขาดฟ้าดินให้กับข้า เลยไม่ได้เห็นภาพเหตุการณ์อันน่าตื่นตาตื่นใจนี้กับตาตัวเอง”
เซอเยว่เอ่ย “แม้ว่าเจ้าจะจงใจแสร้งทำเป็นอ่อนแอให้เห็นอยู่ตลอดเวลา ทว่าจิตสังหารที่เข้มข้นของเจ้านั้นกลับเก็บซ่อนไว้ไม่อยู่ เจ้าไม่ควรปล่อยให้แสงมีดมารวมตัวกันเป็นรูปลักษณ์ของดวงจันทร์โดยไม่ทันระวังเช่นนี้ แน่นอนว่าข้าเดาว่านี่เป็นการกระทำจากความตั้งใจของเจ้า อิ่นกวานอย่างเจ้าออกจากหัวกำแพงเมืองไปเข่นฆ่า ไม่ว่าจะรายละเอียดน้อยใหญ่ใดๆ ยามอยู่ในสนามรบล้วนถูกเรียบเรียงและรวมเล่มขึ้นมานานแล้ว ข้าสามารถเอามาอ่านได้ และเฝ่ยหรานผู้นั้นก็ชอบเอามาเปิดอ่านแกล้มสุราเป็นที่สุด”
เฉินผิงอันหยุดเดินอีกครั้ง กล่าวอย่างจนใจว่า “หรือว่าจะเป็นดั่งคำว่ามือถืออาวุธ จิตสังหารก็เกิดขึ้นได้เองจริงๆ? ต้องโทษที่ข้าฝึกฝนจิตใจได้ไม่ดีพอ ยิ่งต้องเลื่อมใสในแววตาที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแม่นางเซอเยว่ ส่วนพี่เฝ่ยหรานท่านนั้น หากเขาเลื่อมใสข้าขนาดนี้ เซอเยว่หลังจากเจ้าประมือกับข้าไปแล้วก็ช่วยนำความไปบอกกับเขาทีว่า ให้เขาเปลี่ยนมาใช้แซ่เฉินของข้าเสียเลยเถอะ”
สีหน้าของเซอเยว่เหยเกเล็กน้อย
เฉินผิงอันพลันกระจ่างแจ้งได้ในฉับพลัน “เจ้าคนหน้าไม่อายเฝ่ยหรานผู้นั้นใช้นามแฝงแซ่เฉินจริงๆ หรือ? ก่อนหน้านี้มาเป็นแขกที่นี่ก็ไม่เห็นจะบอกกล่าวข้าก่อนสักคำ หยิบฉวยไปเองโดยไม่ถามไถ่ก็คือโจรนะ ไร้อายรธรรมสิ้นดี!”
ไม่ได้พูดคุยกับคนนอกมานานหลายปีเหลือเกินแล้ว
คิดถึงยิ่งนัก
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงยินดีจะแหกกฎเพื่อนางเป็นพิเศษ
การต่อสู้ในวันนี้พูดให้มากก่อน นี่จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ต่อให้ได้พูดมากขึ้นอีกแค่ประโยคเดียวก็ยังสามารถช่วยขับไล่เงามืดมากมายให้ตนได้อยู่ดี
จิตใจที่ต้องทนทรมานกับการที่แม่น้ำแห่งกาลเวลาแทบจะหยุดนิ่งเช่นนั้น เฉินผิงอันไม่อยากพบเจออีกเป็นครั้งที่สองแล้วจริงๆ
มีดสั้นในมือของเขาเล็กและแคบเหมือนกริช ได้มาจากการเข่นฆ่าในหุบเขาของอุตรกุรุทวีป ตอนนั้นเฉินผิงอันถูกนักฆ่าของภูเขาเกอลู่กลุ่มหนึ่งดักสังหาร
เป็นการพบเจอกันบนทางแคบครั้งหนึ่ง หลังจากการเข่นฆ่าที่อันตรายผ่านพ้นไป เฉินผิงอันที่ไม่ค่อยเชื่อว่าตัวเองมีโชคจึงให้สุยจิ่งเฉิงช่วยเก็บของเชลยศึกมา หนึ่งในนั้นก็คือมีดสั้นคู่นี้ที่นางค้นเจอ พวกมันสองเล่มแบ่งออกเป็นสลักคำว่า ‘น้ำค้างรุ่งอรุณ’ กับ ‘แสงสายัณห์’ อันที่จริงไม่เพียงเฉินผิงอันกับสุยจิ่งเฉิงเท่านั้นที่แรกเริ่มมองของไม่ออก เข้าใจผิดคิดว่ามันเป็นมีดทั่วไป แม้แต่สตรีนักฆ่าของภูเขาเกอลู่ที่เป็นเจ้าของมีดเก่าก็ยังดูสมบัติหนักตระกูลเซียนคู่นี้ไม่ออกเหมือนกัน ภายหลังเฉินผิงอันได้ไปเจอกับสหายรักหลิวจิ่งหลง อีกฝ่ายที่อ่านตำราเบ็ดเตล็ดมานับไม่ถ้วนถึงได้เปิดเผยความลับสวรรค์ให้ฟัง หลิวจิ่งหลงไม่เพียงแต่ถ่ายทอดวิชาหลอมที่บันทึกอยู่ในตำราให้แก่เฉินผิงอัน ยังบอกอีกว่า ‘ร่างจริง’ ของมีดเล่มหนึ่งในนั้นแกะสลักคำว่า ‘จู๋ลู่’ (มาจากคำว่าจู๋ลู่เทียนเซี่ย หมายถึงเหล่าผู้กล้ารวมตัวกันช่วงชิงอำนาจจากฟ้า หรือแปลตรงตัวได้ว่าขับไล่กวาง) หรือก็คือ ‘กริชเฉาจื่อ’ ที่บันทึกไว้ในตำราประวัติศาสตร์ และคำว่าเฉาจื่อนั้นก็คือเฉาโม่ที่เฉินผิงอันคิดว่าจะเอามาใช้เป็นนามแฝงใหม่ล่าสุดยามออกท่องยุทธภพในวันหน้า
วันหน้าไม่ว่าจะไปเยือนใต้หล้าเปลี่ยวร้างหรือหวนกลับใต้หล้าอันเป็นบ้านเกิด ยามรับมือกับศัตรูที่เป็นผู้ฝึกตนซึ่งต่ำกว่าห้าขอบเขตบนทั้งหมด เฉินผิงอันจะทำให้อีกฝ่ายไม่รู้แม้กระทั่งว่าตัวเองตายอย่างไร
ส่วนพวกคนตายเหล่านี้จะได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริง รู้ชื่อจริงของเขาหรือไม่ ก็ต้องดูที่อารมณ์ของเฉินผิงอันแล้ว
แน่นอนว่าก่อนจะเป็นเช่นนั้นได้เขาต้องออกไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่เสียก่อน
‘เฉาจื่อ’ เฉาโม่ คือบุคคลอันดับหนึ่งในรายชื่อนักฆ่าของตำราประวัติศาสตร์เล่มหนาใหญ่
อีกทั้งยังมีสถานที่สามแห่งที่เสียไปเพราะพ่ายแพ้ในการรบ แต่สุดท้ายเฉาโม่ก็กอบกู้กลับคืนมาได้
นี่เป็นนิมิตหมายที่ดีปานใด!
ต้องรู้ว่าอยู่บนหัวกำแพงเมืองของกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ เฉินผิงอันเคยแพ้มาก่อนสามครั้งจริงๆ
ถ้าอย่างนั้นก็ถือเสียว่าเขาที่เป็นผู้เยาว์ขอพึ่งใบบุญผู้อาวุโสเฉาท่านนั้นก็แล้วกัน สรุปก็คือเฉินผิงอันจะไม่ยอมให้ ‘จู๋ลู่’ ในมือต้องถูกฝุ่นกลบอีกเด็ดขาด
กริชเฉาจื่อที่อยู่ในมือฝั่งขวาของเฉินผิงอันเวลานี้ได้รับการบันทึกชื่อในตำราประวัติศาสตร์ด้วยชื่อ ‘จู๋ลู่’ ถ้าอย่างนั้นอีกเล่มหนึ่งที่เหลืออยู่ในมือ ในเมื่อไม่มีบันทึกในประวัติศาสตร์ เฉินผิงอันก็ถือโอกาสเอาชื่อของภูเขาเกอลู่มาตั้งให้มัน ชื่อว่าเกอลู่ก็แล้วกัน
ขับไล่กวาง (จู๋ลู่) ก่อน แล้วค่อยสังหารกวาง! (เกอลู่)
ในเรื่องของการตั้งชื่อ
ตนถนัดอยู่มากจริงๆ
เซอเยว่กล่าว “สรุปว่าจะสู้กันหรือไม่?”
ตอนแรกที่เซอเยว่อยู่ในใบถงทวีปแล้วเผชิญหน้ากับเจียงซ่างเจินที่ ‘ใบหลิวหนึ่งใบสังหารเซียนเหริน’ ผู้นั้น มองดูเหมือนว่าไม่มีเรี่ยวแรงให้ตอบโต้แม้แต่น้อย นอกจากจะเป็นเพราะพลังพิฆาตและขอบเขตของเซอเยว่ด้อยกว่าอีกฝ่ายแล้ว ก็ยังเป็นเพราะความตั้งใจเดิมของสตรีหน้ากลมคือไม่คิดจะโรมรันพัวพันอยู่กับเจียงซ่างเจิน ในสายตาของเซอเยว่ การฝึกตนบนมหามรรคา เรื่องของการต่อสู้ไม่ได้มีความหมายใดๆ และการต่อสู้ที่ถูกกำหนดมาแล้วว่าไม่อาจสู้อีกฝ่ายได้ก็มีแต่จะยิ่งทำให้เซอเยว่รู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่านใจ หากหลบเลี่ยงได้ก็จะหลบเลี่ยง ส่วนการต่อสู้ที่ถูกกำหนดมาแล้วว่านางสามารถเอาชนะได้ง่ายๆ นั้น สตรีชุดผ้าฝ้ายก็ยิ่งไม่มีความสนใจเลยสักนิด ดังนั้นในใต้หล้าไพศาลแห่งนั้น ตลอดทางที่นางเดินทางไกลอยู่เพียงลำพัง ตั้งแต่ต้นจนจบจึงลงมือน้อยครั้งมาก
เพียงแต่ว่าวันนี้เผชิญหน้ากับ ‘อันดับที่สิบเอ็ดอิ่นกวาน’ หนึ่งในสิบคนรุ่นเยาว์เช่นเดียวกับตนผู้นี้
เซอเยว่บังเกิดใจเห็นแก่ตัวอยู่บ้างจริงๆ
อยู่ในใบถงทวีปถูกเจียงซ่างเจินไล่ฆ่าหมื่นลี้ก็ยังฆ่านางไม่ได้ ก่อนจะจากไป เขายังเอ่ยประโยคหนึ่งในใจกับนางด้วย ‘ความหวังดี’ ซึ่งมันเกี่ยวพันไปถึงรากฐานมหามรรคาของเซอเยว่
คล้ายจะเป็นคำทำนายซึ่งมาจากบัญชาของสวรรค์ ดูเหมือนว่ารอคอยให้นางมาถึงใบถงทวีปและเจียงซ่างเจินจะเป็นคนเปิดเผยมันกับนาง
เซอเยว่ไม่ถนัดเรื่องการพูดคุย แต่กลับไม่ใช่คนโง่อย่างแน่นอน คำพูดประโยคนั้นของเจียงซ่างเจิน แรกเริ่มเซอเยว่ไม่เห็นเป็นจริงเป็นจัง แต่พอฟังแล้วในใจนางก็เกิดความหวาดผวาขึ้นเสี้ยวหนึ่ง ไม่ต้องสงสัยเลยว่านั่นคือการชี้ไปยังมหามรรคาซึ่งลี้ลับมหัศจรรย์อย่างถึงที่สุด
คำพูดของเจียงซ่างเจินคล้ายบทกวีเซียนท่องเที่ยว คล้ายบทย่างเท้าบนความว่างเปล่าที่ไม่สมบูรณ์แบบของใต้หล้าไพศาล
หวังนั่งเรือขึ้นฟ้าคราม ต้องมีความสมบูรณ์ชดเชยเงินที่ขาด ทั้งต้องมีห้าทะเลสาบแสงจันทร์ส่อง ซื้อสุราสี่สมุทรริมเมฆขาว
ตอนนั้นเจียงซ่างเจินไม่ได้เอ่ยอะไรมากกว่านี้ ทว่าคำพูดของเขาก่อนหน้านั้นพูดถึงอิ่นกวานเฉินผิงอันบ่อยๆ มองดูเหมือนการเล่นปริศนาทายคำ เซอเยว่ก็เลยคิดว่าจะลองมาเสี่ยงดวงที่นี่ดู
ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยของเซอเยว่ในเวลาปกติ มีหรือจะมีความอดทนมากมายเช่นนี้ต่อเฉินผิงอัน
หากไม่จากไปตั้งนานแล้ว ป่านนี้ก็คงลงมือและจากไปนานแล้ว
เพียงแต่ว่าหากหลังจบเรื่องแล้วเซอเยว่รู้ความจริงล่ะก็ ไม่แน่อาจจะคิดอยากเอาดวงจันทร์ทุ่มเข้าใส่เจ้าคนแซ่เจียงผู้นั้นอย่างแน่นอน
เพราะโชควาสนามหามรรคาอยู่ที่อิ่นกวานเป็นการพูดจาส่งเดชของเจียงซ่างเจินล้วนๆ เขาก็แค่ต้องการใช้สถานะสองอย่างที่สำคัญซึ่งเป็นทั้ง ‘พี่น้องสหายรัก’ ของเฉินผิงอัน แล้วก็เป็นทั้งผู้ถวายงานของภูเขาลั่วพั่วมาทำตัวเป็นผู้เฒ่าจันทราดูสักครั้ง จะได้มีน้องสะใภ้เป็นของตัวเองสักที
ดังนั้นถึงได้จงใจดึงเอา ‘คนวัยเดียวกัน’ สองคนที่อยู่ห่างกันหนึ่งแสนแปดพันลี้มาเจอกัน ทว่าจุดที่เจียงซ่างเจินร้ายกาจอย่างแท้จริงนั้นอยู่ที่ว่าคำทำนายนั้นเป็นความจริง นี่เกี่ยวพันไปถึงเรื่องลับใหญ่เทียมฟ้าอย่างหนึ่งของใบถงทวีป ในประวัติศาสตร์เคยมีแค่สวินยวนอดีตเจ้าสำนักกุยหยกและตู้เม่าบรรพบุรุษผู้กอบกู้ความรุ่งโรจน์ของสำนักกุยหยกครึ่งตัวเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้
เล่าลือกันว่าใบถงทวีปเคยเป็นต้นอู๋ถงที่สูงเชื่อมฟ้าต้นหนึ่ง
มีต้นไม้สูงต้นนี้ แน่นอนว่าย่อมต้องขาดแสงจันทร์ที่สาดส่องลอดกิ่งใบถง (ชื่อเซอเยว่หมายถึงแสงจันทร์)
ต้นไม้อยู่ใกล้แผ่นฟ้า ดวงจันทร์มาเยือนโลกมนุษย์ ทั้งต้นไม้และดวงจันทร์ต่างก็อยู่บนโลกมนุษย์ครึ่งหนึ่ง อยู่บนฟ้าครึ่งหนึ่ง
แรกสุดที่เซอเยว่เลือกขึ้นฝั่งที่ใบถงทวีป ไม่ได้ไปที่ฝูเหยาทวีปหรือนาตยทวีป เดิมทีก็เป็นคำสั่งของโจวมี่อยู่แล้ว หลังจากที่เจ้าอารามดอกบัวกายดับมรรคาสลาย ก็ยังมีคนดวงจันทร์คนใหม่โผล่ขึ้นมาบนโลกได้อยู่ดี ส่วนเรื่องที่โจวมี่ให้เซอเยว่ช่วยตามหาหลิวไฉนั้น อันที่จริงเป็นเพียงเรื่องเสริมเท่านั้น
ทว่าปัญหานั้นอยู่ที่เจียงซ่างเจินแอบบอกเป็นนัยแก่เซอเยว่ว่ามหามรรคาของนางเกี่ยวพันกับเฉินผิงอัน นี่เป็นเรื่องเท็จอย่างแน่นอน เป็นการพูดจาเหลวไหลจริงแท้แน่นอนของเจียงซ่างเจิน
ดูเหมือนว่าเจียงซ่างเจินมักจะใช้เรื่องจริงเรื่องหลอก เรื่องเท็จเรื่องแท้เช่นนี้มารับมือกับสตรีบนโลกอยู่เสมอ สุดท้ายกลับดันสามารถทำให้สตรีทุกคนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นความจริงไปเสียได้
ดังนั้นในความเป็นจริงแล้ว หลังจากที่เจียงซ่างเจินจากเซอเยว่มาไกล ในใจเขาก็หัวเราะดังลั่นอย่างสาสมใจ พี่น้องคนดี ข้าโจวเฝยทำได้เพียงช่วยเจ้าถึงตรงนี้แล้ว ถือว่าช่วยหาแม่นางหน้ากลมคนหนึ่งให้เจ้าได้พูดคุยในต่างบ้านต่างเมืองก็แล้วกัน
ส่วนเรื่องที่ว่าเซอเยว่จะได้รับโชควาสนานี้หรือไม่ จะสามารถชดเชยส่วนที่ขาดบนมหามรรคาได้หรือไม่ เจียงซ่างเจินก็ยิ่งหลุดหัวเราะพรืด เกี่ยวผายลมอะไรกับข้าด้วย
ข้าผู้อาวุโสแขนขาเล็กบอบบางเช่นนี้ อุตส่าห์ทำได้ถึงขั้นนี้แล้ว เจ้าพวกคนที่นั่งดูงิ้วอยู่ไกลๆ ทั้งหลายก็จงถลกแขนเสื้อลงสนามรบมาเข่นฆ่าให้ข้าผู้อาวุโสแต่โดยดีเถอะ!
อีกอย่างภูเขาทัวเยว่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างจะกลายเป็นการใช้ตะกร้าไม้ไผ่สานตักน้ำหรือไม่ ตัดชุดแต่งงานให้คนอื่นเช่นนี้ แม่นางน้อยหน้ากลมจะไม่เหลือทั้งน้ำในตะกร้า ไม่เหลือทั้งดวงจันทร์หรือไม่ ล้วนบอกได้ยาก
เพราะตอนที่ตาเฒ่าสวินยังมีชีวิตอยู่บนโลกเคยได้ทำการอนุมานถึงเรื่องนี้อยู่บ้าง เขาคาดเดาว่าคำทำนายนี้ บางทีอาจมีความเกี่ยวข้องกับป๋ายเหย่ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจที่สุดบนโลกมนุษย์
เซอเยว่ไปหาป๋ายเหย่?
หรือโจวมี่ไปหาป๋ายเหย่เพื่อต่อรอง?
เจียงซ่างเจินแค่คิดก็รู้สึกว่าสนุกแล้ว
เอาเป็นว่าต่อให้แม่นางน้อยไม่อาจทำให้มหามรรคาสมบูรณ์ได้ แต่ข้าเจียงซ่างเจินใจกว้างขนาดนี้ อุตส่าห์ส่งสตรีอย่างเจ้าไปให้พี่น้องสหายรักเฉินแล้ว ยังไม่พอใจอีกหรือ?!
เฉินผิงอันไหนเลยจะรู้เรื่องวกวนอ้อมค้อมพวกนี้
หากเซอเยว่พูดถึงเจียงซ่างเจิน ต่อให้จะมีแค่ประโยคครึ่งประโยค ไม่แน่ว่าเฉินผิงอันอาจจะพอเดาได้บ้าง
น่าเสียดายที่สตรีหน้ากลมสวมชุดผ้าฝ้ายไม่ใคร่จะยินดีเปิดปากเอ่ยถึงเจียงซ่างเจินที่พร่ำเรียกนางว่า ‘น้องสะใภ้’ เท่าใดนัก ถึงอย่างไรนั่นก็เป็นถ้อยคำที่ชวนให้นางสะอิดสะเอียน
ตอนนี้เฉินผิงอันมีสีหน้าลำบากใจ หยุดเท้าห่างไปสิบก้าว แล้วถามขึ้นอีกครั้งว่า “จะไม่ตกลงกฎกติกากันให้เรียบร้อยก่อนค่อยลงมือจริงๆ หรือ? พบเจอกันครั้งแรก ไม่เคยมีความแค้นความอาฆาตใดๆ ต่อกัน ออกหมัดเบาไปก็ไร้ความหมาย เวทคาถาหนักไปก็อาจมีคนบาดเจ็บล้มตาย”
เซอเยว่ถามอย่างใคร่รู้ “เมื่อก่อนเวลาเจ้าต่อสู้กับคนอื่นก็ชอบพูดพล่ามแบบนี้หรือ?”
“ข้าไม่ชอบหรอก เมื่อก่อนไม่ชอบมากๆ เลย”
เฉินผิงอันเก็บรอยยิ้ม สองมือถือมีด ปลายมีดพุ่งไปด้านหน้า
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ตอนที่เฉินผิงอันประมือเอาชีวิตกับหม่าขู่เสวียนในบ้านเกิด เคยสอนอีกฝ่ายว่าควรวางตัวเป็นคนเช่นไร
ชายแขนเสื้อกว้างใหญ่สองข้างของชุดคลุมอาคมสีแดงสดของเฉินผิงอันประหนึ่งมีเส้นด้ายที่รัดปมเชือกด้วยตัวเอง รัดปากชายแขนเสื้อเอาไว้ คนหนุ่มค้อมเอวเล็กน้อย เรือนกายงองุ้ม เส้นสายตามองขึ้นไปด้านบนเล็กน้อย “แต่พวกเจ้าทำให้ข้าไม่ชอบมาโดยตลอด ข้าจะทำอย่างไรได้?! แม่นางเซอเยว่ ไม่สู้เจ้าช่วยสอนข้าหน่อยเป็นไรว่าควรจะทำเรื่องที่ตัวเองชอบอย่างไร?!”
เซอเยว่มองสีหน้าและแววตาของคนหนุ่ม “เลิกพูดมากเสียที หนึ่งก้านธูป เชิญมาฆ่าข้าได้เลย”
เซอเยว่ยกข้อมือขึ้น ประกบสองนิ้วเข้าด้วยกัน แสงจันทร์มารวมตัวกันเหมือนแสงโคมไฟ นางโบกเบาๆ หนึ่งครั้งแสงจันทร์ก็กระจายไปทั่วกำแพงเมืองปราณกระบี่ ใช้มันเป็นตัวจับเวลาหนึ่งก้านธูปให้กับสองฝ่าย ทันใดนั้นแสงจันทร์ก็แผ่เต็มหัวกำแพงเมือง ก่อนจะค่อยๆ มืดสลัวลงด้วยความเร็วที่ทั้งสองฝ่ายสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ราวกับว่าแสงจันทร์จะไปจากโลกมนุษย์อีกครั้ง คนธรรมดาไม่รู้ตัว ทว่าเซียนเหรินสามารถสังเกตเห็น สามารถคำนวณเวลาได้
เฉินผิงอันยิ้มจนตาหยี แต่เขากลับยืดตัวตรงขึ้นมาอีกครั้งแล้ว “แขกจากแดนไกลต้องการ เจ้าบ้านก็มิกล้าไม่ให้”
ต่อให้เซอเยว่จะนิสัยดีแค่ไหนก็ยังรำคาญคนผู้นี้เสียแล้ว เห็นๆ กันอยู่ว่าอีกฝ่ายพยายามเก็บซ่อนอย่างยากลำบาก ทว่าจิตสังหารในใจกลับยังเข้มข้นรุนแรงถึงเพียงนั้น กลิ่นอายความดุร้ายอำมหิตหนาหนักปานนั้น แต่กลับยังคลี่ยิ้มให้เห็น ประหนึ่งคนรู้จักได้กลับมาพบเจอกัน เหมือนสหายรักที่ได้พูดคุยเรื่องเก่าๆ ในวันวานกันกระนั้น
นางเอ่ยเสียงเย็น “มีใจคิดฆ่าคน แต่กลับปั่นหัวให้ข้าออมแรงยามลงมือต่อสู้ เจ้าคนนี้ไม่พิถีพิถันเอาเสียเลย”