กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 715.1 ออกสองกระบี่
ในมือของเฉินผิงอันถือธงเซียนกระบี่ที่ได้รับการซ่อมแซมให้สมบูรณ์แล้วเอาไว้ เขานำไปปักตรงจุดที่สูงชันอันตรายที่สุดของป๋ายอวี้จิง
ในฟ้าดินของบ้านตัวเอง จุดที่สายตาของเฉินผิงอันมองไปเห็น ทุกอย่างล้วนชัดเจนแจ่มแจ้ง ประหนึ่งคนธรรมดาที่มองตัวอักษรซึ่งแกะสลักบนหน้าผาอยู่ใกล้ๆ
ดูเหมือนว่าเซอเยว่จะชื่นชอบเสื้อเกราะน้ำค้างหวานไฉ่อีเจ็ดสีชิ้นนั้นเป็นพิเศษ
‘ผู้ฝึกตนเซอเยว่’ เพียงหนึ่งเดียวบนหัวกำแพงเมืองที่ปรากฏกายด้วยรูปโฉมเดิมใช้วิชาอภินิหารรวบรวมแสงจันทร์ขึ้นมา แล้วสวมเสื้อเกราะวิเศษมหัศจรรย์ที่คล้ายว่าได้หลอมรวมสายรุ้งยุคบรรพกาลเอาไว้ลงบนร่างอีกครั้ง นางแหงนหน้ามองอิ่นกวานหนุ่มที่เหมือนกับว่าจะสวมภูษาสวรรค์ของลัทธิเต๋า
เสื้อเกราะบนร่างเปล่งประกายแสงระยิบระยับ ประหนึ่งเข็มขัดหลากสีพลิ้วไสวบนร่างของนางฟ้าภาพจิตรกรรมฝาผนังของวัดพุทธตามการวาด ‘แบบตระกูลอู๋’
เซอเยว่รอคอยให้ริ้วคลื่นปราณกระบี่เหล่านั้นกระจายลงมาระหว่างฟ้าดินอย่างเงียบเชียบ เมื่อมาเจอกับแสงจันทร์ของนางก็เกิดการคุมเชิงกันในจุดต่างๆ ประหนึ่งกองกำลังสองฝ่ายที่ทหารของแต่ละฝ่ายต่างก็มีมากนับล้านนาย
ป๋ายอวี้จิงจำลองที่เป็นหยกขาวตระหง่านง้ำ ประหนึ่งจะ ‘ทัดเทียมกับความสูงของแผ่นฟ้า’ เบื้องใต้ฝ่าเท้าของเฉินผิงอัน สมบัติตระกูลเซียนชิ้นนี้ อันที่จริงเซอเยว่คุ้นเคยดียิ่งนัก มันมาจากดวงจันทร์ที่เป็นเพื่อนบ้านของเจ้าอารามดอกบัว เคยเป็นของตกทอดจากยุคโบราณ น่าจะเป็นเพราะปีศาจเฒ่าตนนั้นต้องการแสดงความเป็นมิตรต่อบรรพบุรุษใหญ่ของภูเขาทัวเยว่จึงมอบมันให้เป็นของขวัญพบหน้าแก่ลูกศิษย์คนสุดท้ายของภูเขาทัวเยว่ หลังจากหลีเจินพ่ายแพ้แล้วร่างดับสูญไป ก็ได้ถูกเฉินผิงอันที่ตอนนั้นยังไม่ได้เป็นอิ่นกวานเก็บเอาไป เห็นได้ชัดว่าได้รับการชี้แนะจากยอดฝีมือ ถึงได้ถูกหล่อหลอมอย่างสมบูรณ์
คืออริยะลัทธิเต๋าที่ในอดีตเฝ้าพิทักษ์ม่านฟ้าของกำแพงเมืองปราณกระบี่หรือ? ทว่าการชี้แนะลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อคนหนึ่งให้หลอมวัตถุที่สร้างขึ้นเลียนแบบป๋ายอวี้จิง จะไม่สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ของลัทธิเต๋าเกินไปหรือไม่?
เซอเยว่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังตามหาร่างจริงของตนอย่างยากลำบาก นางจึงยังคงแบ่งสมาธิไปคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้ มิน่าเล่าอาจารย์โจวถึงได้บอกว่าแท้จริงแล้วนางเป็นคนเกียจคร้านเกินไป
แต่วันนี้เซอเยว่คิดว่าจะตั้งใจให้มากขึ้นอีกหน่อย เพราะนางเริ่มโมโหแล้วจริงๆ
บนหัวกำแพงเมือง ร่างแยกแสงจันทร์ในแต่ละตำแหน่งของเซอเยว่เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์หลากหลาย เซียนกระบี่แต่ละท่านเรียกกระบี่บินออกมา ผู้ฝึกยุทธก็ปล่อยหมัดต่อยเข้าใส่ป๋ายอวี้จิง ร่างจริงของปีศาจใหญ่ทะยานร่างขึ้นสูง บ้างก็ใช้เรือนกายใหญ่โตมโหฬารพุ่งชนเข้าใส่ป๋ายอวี้จิง บนแนวเส้นที่เรือนกายเหล่านั้นทะยานไปด้านหน้า ริ้วคลื่นปราณกระบี่จากธงเซียนกระบี่พลันมัดปมเชือกอยู่ตามจุดต่างๆ จากนั้นก็ถักทอกันขึ้นเป็นตาข่ายขนาดใหญ่ เส้นด้ายก็คือปราณกระบี่เล็กละเอียดนับพันนับหมื่นเส้นของกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกครึ่งหนึ่งนี้ เห็นได้ชัดว่าหากคิดจะเขย่าคลอนป๋ายอวี้จิงก็ต้องใช้เรือนกาย กระบี่บิน วิชาหมัดหรือไม่ก็วิชาอภินิหารมาฝ่าทลายปราณกระบี่อันเปี่ยมล้นที่มีอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่งให้ได้เสียก่อน
พลังอำนาจกร้าวแกร่งดุดัน อีกทั้งล้วนไม่ใช่เวทอำพรางตาอะไร นี่จึงเป็นเหตุให้เซอเยว่คนเดียวลงมือคล้ายมีกองทัพใหญ่จัดขบวนทัพร่วมแรงกันโจมตีป๋ายอวี้จิงทั้งแห่ง
ส่วน ‘เซอเยว่’ ที่อยู่ในรูปลักษณ์เดิมนั้นก็ทะยานลมขึ้นสูง ชุดไฉ่อีเจ็ดสีบนร่างพุ่งชนตาข่ายปราณกระบี่ให้แหลกลาญไปตลอดทาง หมายจะขยับเข้าใกล้เฉินผิงอัน
เฉินผิงอันที่เป็น ‘ขอบเขตหยกดิบ’ คลี่ยิ้มอย่างสง่างาม ยกมือข้างหนึ่งขึ้น ร่ายตราประทับอาคมห้าอสนีที่ประกายแสงศักดิ์สิทธิ์แวววาวเจิดจ้าตรงฝ่ามือออกมาอย่างเป็นทางการ ตราประทับพลันขยายใหญ่โตดุจขุนเขา เสี้ยววินาทีถัดมาก็ดิ่งฮวบลงไปเบื้องล่าง ทับซ้อนเข้ากับจุดสูงของป๋ายอวี้จิงพอดี
เป็นเหตุให้ร่างของเฉินผิงอันที่อยู่ยอดบนสุดของป๋ายอวี้จิงขยับไปอยู่ยอดบนสุดของตราประทับอาคมอีกที
ตรงชายคาตวัดงอนของหอเรือนสูงประหนึ่งถนนหนทางในโลกมนุษย์มีบัณฑิตขี่วัวสีขาว ตรงเขาวัวห้อยตำราเอาไว้
หมื่นอาคมมารวมตัวกัน แสงสายฟ้าตัดสลับ ม่านฟ้าคล้ายกับมีทัณฑ์สวรรค์ก่อตัวรออยู่
หากไม่เป็นเพราะอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่ว่าจะนำไปวางไว้ในใต้หล้าแห่งใดก็ตาม คาดว่าภูตผี วัตถุหยินทั้งหลายที่ขอบเขตต่ำกว่าเซียนดินลงไป เห็นป๋ายอวี้จิงแห่งนี้ เห็นคาถาอสนีเห็นทัณฑ์สวรรค์ เห็นเทพที่อยู่บนฟ้าผู้นี้ เกรงว่าเพียงแค่เห็นก็ต้องอกสั่นขวัญบิน จิตแห่งมรรคาแตกกระเจิดกระเจิงไปแล้ว
เฉินผิงอันที่เหมือนเป็นทั้งเซียนแห่งป๋ายอวี้จิง แล้วก็เหมือนเป็น ‘เทพ’ แม้ว่าจุดที่สายตามองไปจะเป็น ‘เซอเยว่’ ที่สวมเสื้อเกราะวิเศษไฉ่อี แต่จิตใจของเขาออกสำรวจตรวจตรารอบด้านของฟ้าดินอยู่นานแล้ว
ในมือของเฉินผิงอันถือธงเซียนกระบี่ ก้าวออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เหยียบลงบนตราประทับอาคมเต็มเท้า มือซ้ายถือธง มือขวาประกบสองนิ้ว หันหน้าเข้าหาพื้นดิน เขียนตัวอักษรลงไปเบาๆ
แม้จะเรียกว่าตราประทับอาคมเวทอสนี ทว่าเวทอสนีที่ถูกมองเป็นผู้นำแห่งหมื่นอาคมกลับได้รับการกล่าวขานที่ไพเราะว่าเป็นผู้สร้างพันหมื่นอย่างสมชื่อ เมื่อตราประทับนี้ปรากฏออกมา ลอยตัวอยู่บนม่านฟ้าสูง ภาพบรรยากาศที่คาถาอาคมสร้างขึ้นจึงไม่ได้มีเพียงแค่สายฟ้าอย่างเดียวเท่านั้น
สายฟ้าหลายต่อหลายเส้นพุ่งแลบแปลบปลาบออกมาจากตราประทับอาคม ประหนึ่งมีเทพกรมสายฟ้าแห่งสรวงสวรรค์หกสิบตนที่พร้อมใจกันถือแส้แล้วฟาดโบยลงมายังพื้นดินโลกมนุษย์
สายฟ้าสีทองแต่ละเส้นพุ่งปลาบลงสู่โลกมนุษย์จากสี่ด้านแปดทิศ มีการหักเหเล็กน้อย สุดท้ายก็ผ่าลงบนร่างของปีศาจใหญ่แต่ละตนที่กำลังพุ่งชนป๋ายอวี้จิง แสงจันทร์แตกสลายกลายเป็นผุยผง ก่อนจะหายวับไปไม่เหลือร่องรอย
ตราประทับห้าอสนีที่จำแลงมาจากฝ่ามือของเฉินผิงอัน ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในคุกเป็นเทวบุตรมารนอกโลกซวงเจี้ยงเป็นผู้ชี้แนะให้ ส่วนคนเย็บผ้าเหนี่ยนซินก็ช่วยถ่ายโอน ‘ถ้ำสวรรค์’ ของตราประทับอาคมห้าอสนี ย้ายจากศาลภูเขาไปยังยอดเขาของ ‘ขุนเขา’ แห่งหนึ่งที่อยู่บนเส้นทางลายมือของเฉินผิงอัน
ตราประทับอาคมมีทั้งหมดหกด้าน ถูกซวงเจี้ยงเรียกว่า ‘ตราประทับหกเต็ม’ อีกชื่อหนึ่งคือ ‘ตราประทับจันทร์เต็มดวง’ นอกจากด้านบนสุดที่ทั้งอักษรฟ้าขาดหายเหลือเพียงด้านที่ว่างโล่งแล้ว ตัวอักษรด้านใต้ตราประทับล้วนแกะสลักเป็นอักษรฉงเหนี่ยวทั้งสิ้นสิบหกตัว
รวบรวมห้าอสนี บงการหมื่นคาถา กำจัดห้าช่องโหว่ แกนกลางฟ้าดิน
ดังนั้นตำแหน่งที่ ‘แส้สายฟ้า’ ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาลสิบหกเส้นผุดออกมาก็คือการจำแลงของตัวอักษรโบราณสิบหกตัวนี้ ตัวอักษรฉงเหนี่ยวทุกตัวที่อยู่ด้านล่างตราประทับ คล้ายกับเป็นจุดศูนย์กลางบัญชาการของหน่วยสายฟ้าหนึ่งหน่วย
ที่เหลืออีกสี่ด้าน แกะสลักสิ่งศักดิ์สิทธิ์หลับตาสามสิบหกตนที่ยังไม่ได้ ‘แต้มนัยน์ตาให้ลืมตา’ ตัวอักษรสามสิบหกตัว เก้าตัวมีความหมายยิ่งใหญ่มาก เป็นเหตุให้ภาพที่แกะสลักล้วนเป็นภาพของผู้ที่เคยทำหน้าที่ควบคุมฟ้าอำนวยอย่างเทพสายฟ้า เจ้าแม่ฟ้าแลบ พ่อปู่วาโย เทพพิรุณ เสมียนเมฆา แม่ทัพวิญญาณ ขุนนางเทพหญิงแห่งสวรรค์ เป็นภาพที่เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของความเก่าแก่
และตัวอักษรที่เฉินผิงอันเขียนในเวลานี้ก็คือการแกะสลักอักษรฟ้าให้ตราประทับอาคม ‘โดยพลการ’
ของตกแต่งในห้องหนังสือของล่างภูเขา สิ่งที่ใช้บรรจุแท่นฝนหมึกก็มีกล่องฟ้าดิน ตราประทับห้าอสนีบนภูเขาที่ตกมาอยู่ในมือของเฉินผิงอันเพราะวาสนานำพาชิ้นนี้ เดิมทีควรมีการแกะสลักทั้งตัวอักษรฟ้าและดิน
เฉินผิงอันต้องการตรวจสอบและชดเชยช่องโหว่ให้กับตราประทับชิ้นนี้ เสริมตัวเองลงไปบนตราประทับด้านที่ว่างเปล่า
เถ้าแก่รองอ่านหนังสือมาไม่มาก แต่กลับแกะสลักตราประทับมาไม่น้อยจริงๆ
พระจันทร์เต็มดวงแล้วกลายเป็นจันทร์เสี้ยว แล้วอย่างไร? หัวใจดั่งตราประทับพระจันทร์สองชิ้น จันทร์เป็นเสี้ยวแล้วก็กลับมากลมเต็มดวง เดิมทีการโคจรของมหามรรคาก็อยู่ระหว่างเต็มและไม่เต็มอยู่แล้ว
ข้าหยัดยืนอยู่บนหัวกำแพงเมืองเพียงลำพังมานานหลายปีก็ยังไม่เคยตีโพยตีพายโทษคนอื่นทุกวันเสียหน่อย ไม่ว่าจะหลอมกระบี่ วาดยันต์ ฝึกหมัด ฝึกจิตใจล้วนไม่ถ่วงเวลาให้เสียเปล่า
แม้แต่ตัวอักษรสามแสนตัวก็ยังหลอมเสร็จหมดแล้ว แล้วก็เพราะว่าบันทึกขุนเขาสายน้ำเล่มนั้นมีเนื้อหาน้อยนิดแค่นี้ ไม่อย่างนั้นต่อให้เป็นสามล้านคำ สิบล้านคำ เฉินผิงอันก็ยังจะไล่หลอมไปทีละตัวอยู่ดี!
ในอนาคตขอแค่มีโอกาสก็จะใช้นามแฝงว่าเฉาโม่ ออกท่องไปทั่วใต้หล้า
วิถีแห่งยันต์ ข้าเองก็เดินเข้าสู่เส้นทางของอาจารย์หล่อหลอมในเบื้องต้นแล้ว
รอบด้านของป๋ายอวี้จิงจำลองบนหัวกำแพงเมือง ร่างจริงของปีศาจใหญ่พุ่งเข้าชนหมายเขย่าคลอนสิ่งปลูกสร้างใหญ่โตโอฬารที่ ‘ผสานมรรคา’ กับกำแพงเมืองปราณกระบี่เช่นเดียวกันนี้ ปล่อยให้แส้สายฟ้าแต่ละเส้นที่มีพลานุภาพน่าครั่นคร้ามฟาดโบยลงมาบนร่าง แสงจันทร์ปริแตกแล้วก็กลับมาเติมเต็มอีกครั้ง ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ราวกับว่าไม่มีความเสียดายใดๆ ราวกับว่าขอแค่เขย่าคลอนป๋ายอวี้จิงได้เพียงน้อยนิด ก็จะสามารถสั่นคลอนจิตวิญญาณและจิตแห่งมรรคาของเฉินผิงอันได้แล้ว
ยิ่งมีเซอเยว่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองและเดินทางไกลหลายคนป่ายปีนขึ้นไปบนหอเรือนสูงนครใหญ่ของป๋ายอวี้จิง ความเร็วนั้นราวกับบิน ประหนึ่งวานรป่ายปีนหน้าผา
ยังมีกายธรรมร่างทองที่เฉินผิงอันไม่รู้ประวัติความเป็นมาอีก แต่ละตนร่างสูงร้อยจั้ง ในมือถือศาสตราวุธเทพคอยทุบทำลายป๋ายอวี้จิงอย่างบ้าคลั่ง
จิตของเฉินผิงอันขยับไหวเล็กน้อย แล้วก็ต้องขมวดคิ้วเบาๆ อย่างอดไม่อยู่ ทรัพย์สมบัติของเซอเยว่ผู้นี้เยอะเกินไปหน่อยหรือไม่ อายุไม่เยอะเท่าไรเลยนะ แต่วิธีการกลับมีมากมายขนาดนี้ แม่นางคนหนึ่ง มองดูเหมือนเป็นคนซื่อ แต่แท้จริงแล้วกลับมีกลอุบายไม่เบา ยามเดินท่องยุทธภพคงไม่มีสหายกระมัง
เจ้ามีวิชาอภินิหารเวทคาถาของเจ้ามากมายดุจขนวัว ข้าเองก็มีความสามารถที่ตัวเองพอชำนาญอยู่บ้าง
เฉินผิงอันขว้างธงเซียนกระบี่ในมือลงไปปักบนพื้นดินอย่างแรง ความเร็วนั้นราวสายฟ้าแลบ ร่วงดิ่งจากป๋ายอวี้จิงไปยังโลกมนุษย์ ทั้งธงและตราประทับอาคมต่างก็เป็นวัตถุที่ผ่านการหล่อหลอม แน่นอนว่าไม่มีอุปสรรคใดๆ ธงทะลุผ่านไปได้เพียงแค่ชั่วพริบตาเดียว
หล่นลงกลางนครใหญ่แห่งหนึ่งของป๋ายอวี้จิงจำลอง
ธงเซียนกระบี่ปักตรึงลงบนพื้นดินใจกลางนครเรียบร้อย ธงรบชูขึ้นสูง ทหารม้ามารวมตัวกัน
จากนั้นเซียนกระบี่แต่ละท่านที่ซ่อนตัวอยู่ในธงก็พากันเผยกาย เดินออกมาจากธง แล้วจึงเป็นดั่งดาวตกที่สาดยิงออกไป บ้างก็ขี่กระบี่ บ้างก็ถือกระบี่ รับผิดชอบคอยดักสังหารผู้ฝึกยุทธเซอเยว่ที่ไต่ขึ้นมาบนป๋ายอวี้จิง
ครั้งนี้พลังอำนาจในการออกกระบี่ของเซียนกระบี่ เมื่อเทียบกับตอนที่หลีเจินร่ายใช้ครั้งแรกสุดแล้ว ถือว่ามีมาดเซียนกระบี่มากกว่าหลายส่วนจริงๆ
ความคิดจิตใจส่วนใหญ่ของเฉินผิงอันไปอยู่กับเรื่องของการเสริมตราประทับให้สมบูรณ์มากกว่า
อันที่จริงเฉินผิงอันได้หลอมสี่ตัวอักษรให้กับตราประทับชิ้นนี้เพื่อเป็นอักษรเทียนไว้นานแล้ว
เพียงแต่ว่าไม่ได้ทุ่มเทสมาธิอย่างจริงจังมาโดยตลอด ไม่ได้ใช้วิธีเปิดภูเขาใน ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’
ดังนั้นการที่เขาเขียนตัวอักษรในเวลานี้จึงทำให้ ‘ตราประทับห้าอสนี’ ชิ้นนี้ปรากฏตัวบนโลกอย่างสมบูรณ์แบบเป็นครั้งแรก
ในขณะที่มือของเฉินผิงอันเขียนตัวอักษร จิตใจชักนำไป พื้นผิวของตราประทับก็มีเศษผงหลุดออกมาเหมือนเกล็ดหิมะใสแวววาวปลิวปราย สุดท้ายปรากฏเป็นตัวอักษรสี่คำว่า ‘น้ำลดหินผุด’
ตัวอักษรลอยขึ้นมา แรกเริ่มยังไม่ได้ดูใหญ่มากนัก ขนาดเท่าแค่ฝ่ามือ เมื่อเทียบกับด้านบนสุดของตราประทับที่เป็นเหมือนพื้นที่ราบกว้างขวางบนขุนเขาแล้วก็สามารถมองข้ามไปได้เลย เฉินผิงอันก้มหน้าลงมองตัวอักษรสี่ตัวนั้น ความมหัศจรรย์อย่างแรกของอักขระนี้อยู่ที่ว่าปีนั้นหลังจากที่เฉินผิงอันเผชิญหน้ากับความยากลำบากและต้องเสียเปรียบครั้งใหญ่ ครานี้ถือว่าได้บุกเบิกโฉมหน้าใหม่ เขาเลือกที่จะเขียนอักขระยันต์ตามลำดับขีดอักษรแบบถอยหลัง บวกกับที่ตบะขอบเขตหยกดิบที่ยืมใช้จากฟ้าดินชั่วคราว สุดท้ายถึงทำให้เขียนอักขระสำเร็จได้ไม่ยาก เรียกได้ว่าทำเสร็จได้ในรวดเดียว
มองดูตัวอักษรสี่ตัว เฉินผิงอันก็ยิ้มจนตาหยี เขารู้สึกอารมณ์เบิกบานและปลาบปลื้มอย่างแท้จริง
ราวกับว่ามหามรรคาสูงส่งยาวไกล อยู่ห่างจากบางคนที่สูงส่งเหนือใครแล้วก็ยังคงได้แต่มองไปไกลๆ มิอาจอาจเอื้อม ทว่าในเมื่อวันนี้เขาเฉินผิงอันสามารถเขียนตัวอักษรสี่คำนี้ได้ ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าการเดินไปบนเส้นทางสายนี้ต่ออีกสิบปี ร้อยปี พันปี เมื่อเทียบกับเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ที่พายเรือแจวในปีนั้นแล้ว ก็มีแต่จะขยับเข้าใกล้ได้มากกว่าเดิม ขยับเข้าใกล้ในทุกๆ วัน และสักวันหนึ่งเมื่อออกเดินทางไกลไปในใต้หล้า ก็ไม่จำเป็นต้องคอยแหงนหน้ามองป๋ายอวี้จิงที่แท้จริงอีกแล้ว
สักวันหนึ่งจะขี่กระบี่เดินทางไกล ไปเป็นแขกที่ใต้หล้ามืดสลัว ทัดเทียมอยู่กับยอดสูงของป๋ายอวี้จิง
เดิมทีเซอเยว่ที่สวมชุดไฉ่อีบินทะยานเข้าหาเฉินผิงอันและตราประทับอาคมห้าอสนีที่อยู่บนจุดสูงพลันเปลี่ยนความคิด หดย่อขุนเขาสายน้ำพันลี้ภายในก้าวเดียว หมายจะลงมือกับธงเซียนกระบี่ที่เป็นใจกลางของค่ายกลใหญ่ชิ้นนั้น
เฉินผิงอันบนฟ้าที่เสริมตราประทับให้สมบูรณ์แบบเรียบร้อยแล้วหัวเราะ แล้วก็แบ่งสมาธิเลียนแบบเซอเยว่ผู้นั้นเช่นกัน
การที่เขาเลือกจะผสานมรรคา แม้ว่าจะต้องสูญเสียจิตหยินจิตหยางไป มหามรรคาได้รับความเสียหายอย่างใหญ่หลวง แต่เฉินผิงอันกลับไม่ได้รู้สึกผิดหวังกับเรื่องนี้เท่าใดนัก
ข้ายังคงเป็นข้า
เฉินผิงอันยังคงเป็นเฉินผิงอัน
ข้าอยู่ในใจของข้ามาเนิ่นนาน ทุกเวลาล้วนเหมือนตัวข้าอยู่ที่บ้านเกิด
บรรพบุรุษเสื้อเกราะน้ำค้างหวานของสำนักการทหารซึ่งมองดูคล้ายชุดคลุมอาคมมากกว่าบนร่างของเซอเยว่ชิ้นนั้นทำให้เฉินผิงอันรู้สึกว่าต้องมองมันเสียใหม่ แล้วก็ได้มีความรู้เพิ่มเติมซึ่งถือเป็นเรื่องน่ายินดีที่ไม่คาดฝัน จงขุยเคยบอกว่าเสื้อเกราะน้ำค้างหวานเจ็ดตัวที่รวมซีเยว่เป็นหนึ่งในนั้น จุดที่ลี้ลับมหัศจรรย์ที่สุดนั้นอยู่ที่ว่าได้ครอบครองวิชาอภินิหารที่คล้ายกับวิชาแห่ง ‘ชะตาชีวิต’ ของผู้ฝึกกระบี่
ส่วนเสื้อเกราะวิเศษของเซอเยว่นั้น ขอแค่เซอเยว่ขยับเข้าใกล้นครที่มีธงเซียนกระบี่ปักอยู่ ก็จะมีนางฟ้าเจ็ดตนที่ไล่สีจำแลงออกมาจากเข็มขัดเจ็ดสี สุดท้ายกลายเป็นรุ้งเส้นหนึ่งที่พาดขวางกลางอากาศ จุดเริ่มต้นคือตำแหน่งที่เซอเยว่ทะยานลม สุดท้ายไปหล่นลงบนธงเซียนกระบี่ พอสายรุ้งกับธงกระแทกชนกัน เส้นแสงเจิดจ้าพร่าตาก็สาดกระเซ็นไปสี่ทิศ พลังอำนาจกลับเหมือนแม่น้ำใหญ่ที่ไหลลงสู่มหาสมุทร ต่อเนื่องไม่ขาดสาย ลมปราณโดยรอบธงกระเพื่อมขึ้นเป็นระลอกดั่งคลื่นลูกยักษ์ตีกระทบหินโสโครก ปราณวิญญาณและปราณกระบี่รวมกัน ทำให้ธงเซียนกระบี่ถึงขั้นเริ่มสั่นสะเทือน
หลังจากแบ่งสมาธิเลียนแบบเซอเยว่ ก็มี ‘เฉินผิงอัน’ คนหนึ่งมายืนอยู่บนยอดของธง มือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งทำมุทราอยู่เบื้องหน้าตัวเอง ใบหน้าประดับรอยยิ้ม สายตามองทะลุสายรุ้งไปยังสตรีที่ทะยานลมข้ามผ่านสายรุ้งเข้ามา ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ป๋ายอวี้จิงเล็กๆ แห่งนี้ของข้า ห้านครสิบสองหอเรือน มีเพียงประตูบานนี้ที่ไม่เปิด เชิญแม่นางเซอเยว่ไปชมทัศนียภาพที่อื่นจะดีกว่า”