กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 719.5 ทำเอาใต้หล้าไพศาลตกใจสะดุ้งโหยง
ก่อนที่เฉินยวนจีจะจากไป นางเอ่ยถามว่า “เฉาฉิงหล่าง ขอถามเรื่องหนึ่งได้ไหม อาจารย์ของเจ้าอยู่ขอบเขตที่เท่าไรบนวิถีวรยุทธ?”
เฉาฉิงหล่างส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้มบางๆ “แม่นางเฉินย่อมสามารถถามได้ เพียงแต่ว่าข้าในฐานะที่เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์กลับไม่อาจพูดเรื่องนี้ได้”
เฉินยวนจีเห็นดวงตาที่กระจ่างใสของคนหนุ่มลัทธิขงจื๊อก็ไม่รู้สึกหงุดหงิด กลับกันยังพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม กุมหมัดแล้วขอตัวลาจากไป
อยู่ดีๆ เฉาฉิงหล่างก็นึกถึงบ้านเกิดขึ้นมา นึกถึงบ้านบรรพบุรุษในตรอกเก่าโทรม คิดถึงโรงเรียน ตรอกจ้วงหยวนที่เจริญรุ่งเรืองคึกคัก เมืองหลวงของแคว้นหนันเยวี่ยน และยังมีคนต่างถิ่นที่เป็น ‘เจ๋อเซียน’ ของพื้นที่มงคลดอกบัวเช่นเดียวกับอาจารย์ อาจารย์ลู่ ลู่ไถ
อาจารย์ของตน อาจารย์จ้ง แน่นอนว่าล้วนเป็นผู้มีพระคุณยิ่งใหญ่ของเฉาฉิงหล่าง
อันที่จริงอาจารย์ลู่เองก็เป็นคนที่เฉาฉิงหล่างคิดถึงพะวงหาอย่างมาก
ภายหลังเดินทางไกลไปถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่จึงได้รู้มาจากอาจารย์ว่า อันที่จริงอาจารย์ลู่คือลูกหลานสกุลลู่ ผู้นำของสำนักหยินหยาง
ได้พบเจอกับอาจารย์บนเรือข้ามฟากเกาะกุ้ยฮวา จากนั้นก็รู้จักกันที่ภูเขาห้อยหัว เป็นการสานสัมพันธ์ที่ใหญ่เทียมฟ้าซึ่งสามารถทำให้อาจารย์มอบ ‘เงินฝนธัญพืชหนึ่งเหรียญให้เปล่าๆ’ ได้
สุดท้ายภายใต้โชควาสนานำพา ทั้งสองฝ่ายจึงนั่งเรือปลาวาฬกลืนสมบัติข้ามทวีปไปด้วยกัน เดินทางไกลไปถึงใบถงทวีป ไม่เพียงแต่สู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กัน ยังร่วมเป็นร่วมตายกัน กลายเป็นสหายสนิทที่มองข้ามเรื่องเงินๆ ทองๆ ไปได้เลย
จางซานเฟิง สวีหย่วนเสีย ลู่ไถ จงขุย หลิวจิ่งหลง
ท่านทั้งหลายเหล่านี้ล้วนเป็นคนที่อาจารย์ของตนมองเป็นผู้ร่วมเส้นทางและเป็นสหายรักในวัยเดียวกัน สวีหย่วนเสียที่เป็นจอมยุทธพเนจรนั้นสามารถนับเป็นผู้อาวุโสครึ่งตัวได้
ส่วนเพื่อนร่วมบ้านเกิดอย่างหลิวเสี้ยนหยางกลับต่างไปจากพวกเขาเล็กน้อย อาจารย์ไม่เคยปฏิเสธว่าตัวเองมองหลิวเสี้ยนหยางเป็นพี่ใหญ่ มองเจ้าขี้มูกยืดน้อยของตรอกหนีผิงเป็นน้องชาย ล้วนเป็นญาติของอาจารย์
อันที่จริงหลังจากที่อาจารย์ของตนออกไปจากพื้นที่มงคลดอกบัว ลู่ไถกับอาจารย์จ้งก็คือคนที่ช่วยกันดูแลตนมากที่สุด
หากไม่ได้รับการชี้แนะสั่งสอนจากพวกเขา บางทีเขาอาจจะกัดฟันผ่านชีวิตในแต่ละวันมาได้เหมือนกัน แต่จะต้องยากลำบากกว่านี้มากนัก
เพียงแต่ว่าอาจารย์ลู่ที่เฉิดฉายไม่เป็นสองรองใครผู้นั้น กลับติดตามพื้นที่มงคลดอกบัวส่วนหนึ่งไปยังใต้หล้ามืดสลัวแล้ว
เฉาฉิงหล่างไม่รู้ว่าชีวิตนี้ตนจะยังมีโอกาสได้กลับมาพบเจอกับอาจารย์ลู่อีกครั้งหรือไม่
ตอนนั้นอาจารย์พูดคุยกับเฉาฉิงหล่างอยู่ในศาลาบนหน้าผาสังหารมังกร อาจารย์ดื่มเหล้าพลางพูดสัพยอกว่าลองมาย้อนนึกดู ปีนั้นลู่ไถพกสมบัติอาคมติดตัวไปด้วยชิ้นหนึ่ง แล้วยังมีวิชาตระกูลเซียนให้เอาออกมาใช้อย่างไม่หมดไม่สิ้น มีมาดของลูกหลานที่เป็นทายาทสายตรงของสกุลลู่อยู่มากจริงๆ มีเพียงเรื่องของขอบเขตเท่านั้นที่ต่ำเกินไปหน่อย คนหนุ่มสาวมากพรสวรรค์ที่มีชาติกำเนิดจากตระกูลเซียนชนชั้นสูงหลายคนในแผ่นดินกลางล้วนเพิ่มขอบเขตได้เหมือนดื่มน้ำเปล่าอย่างไรอย่างนั้น ยกตัวอย่างเช่นผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนนามว่าไหวเฉียนที่ได้เจอกันโดยบังเอิญในอุตรกุรุทวีป ดังนั้นในอนาคตหากได้พบเจอกับลู่ไถอีกจะต้องเอาเรื่องนี้มาพูดกระเซ้าเขาให้ดีๆ สักรอบ ทำไม เพราะว่ากลัวความสูง แม้แต่การเลื่อนตบะขอบเขตให้ ‘สูงขึ้น’ ก็ยังกลัวไปด้วยหรือ?
อันที่จริงน้อยครั้งนักที่อาจารย์จะนินทาคนอื่นลับหลัง ทว่าหากเล่าให้ลูกศิษย์หรือนักเรียนอย่างพวกเขาฟัง ส่วนใหญ่ก็มักจะพูดถึงเรื่องสหาย เรื่องที่เล่าก็ล้วนเป็นเรื่องในอดีตที่ทำให้อาจารย์ยิ้มอย่างชอบใจ จะไม่มีทางดื่มเหล้าดับทุกข์เด็ดขาด
สุดท้ายเฉาฉิงหล่างก็เกิดความรู้สึกที่มาจากใจจริง เขาบอกว่าหากไม่ใช่เพราะรู้ว่าอาจารย์ลู่คือบุรุษผู้องอาจ ไม่อย่างนั้นก็คงเข้าใจผิดคิดว่าอาจารย์ลู่เป็นสตรีที่ปลอมตัวออกมาท่องในยุทธภพแล้ว
ไม่รู้ว่าเหตุใดตอนที่พูดถึงเรื่องนี้อาจารย์กลับมีสีหน้าปั้นยาก ยังยื่นมือมากดศีรษะของเฉาฉิงหล่าง เอ่ยสั่งสอนเขาอย่างที่หาได้ยาก บอกว่าอายุน้อยๆ ก็ใคร่ครวญเรื่องแบบนี้แล้ว วันหน้ากลับไปถึงภูเขาลั่วพั่วก็อยู่กับพวกจูเหลี่ยนและเจิ้งต้าเฟิงให้น้อยๆ หน่อย วันหน้าหากข้าจับได้ว่าเจ้ากล้าแอบอ่านหนังสือเทพเซียนพวกนั้น อาจารย์จะไปตัดไม้ไผ่มาจากภูเขาพีอวิ๋น เอามาทำเป็นไม้บรรทัดลงโทษไว้เพื่อเจ้าโดยเฉพาะเลยเชียว…
น้อยครั้งนักที่เฉาฉิงหล่างจะไม่อ่านหนังสือ คืนนี้กลับเป็นข้อยกเว้น เขาปิดตำราลงแล้วเริ่มหลับตาทำสมาธิ
ไม่รู้ว่าเหตุใด เฉาฉิงหล่างมักจะรู้สึกว่าอีกไม่นานอาจารย์ก็จะกลับมาบ้านเกิดแล้ว
พวกหมี่อวี้สามคนกลับมาจากพื้นที่มงคลดอกบัวแล้ว ราบรื่นอย่างมาก เพ่ยเซียงเลือกพื้นที่ฮวงจุ้ยดีเยี่ยมแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่บนชายแดนของแคว้นซงไล่ ขุนเขาสายน้ำเงียบสงบ อีกทั้งยังได้ยึดครองเส้นทางมังกรที่ซ่อนแฝงอยู่เส้นหนึ่ง ดังนั้นเพ่ยเซียงที่ได้รับความยินดีอย่างไม่คาดฝันจึงรับปากว่าแคว้นหูจะเอาเงินฝนธัญพืชอีกแปดร้อยเหรียญมาเพิ่มให้เป็น ‘ค่าตั้งถิ่นฐาน’ ก้อนแรก แต่เงินฝนธัญพืชเหล่านี้ เมื่อผ่านมือของคนทำบัญชีไปแล้ว ภูเขาลั่วพั่วจำเป็นต้องทุ่มให้กับพื้นที่มงคลรากบัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานที่ที่นางเลือก อย่างน้อยที่สุดต้องได้ปราณวิญญาณที่จำแลงมาจากเงินเทพเซียนห้าส่วน
ทุกวันนี้เพ่ยเซียงพอจะเข้าใจเส้นทางการคำการค้าและขนบธรรมเนียมประเพณีของภูเขาลั่วพั่วคร่าวๆ แล้ว จะทำตัวเจ้าแง่แสนงอน ทำอะไรคลุมเครือไม่ได้เลยจริงๆ จะต้อง ‘ปฏิบัติต่อคนอื่นด้วยความจริงใจ’ อย่างแท้จริง มีอะไรก็พูดอย่างนั้น ไม่จำเป็นต้องรักหน้าตา
ดังนั้นพอกลับมาถึงภูเขาลั่วพั่ว เหวยเหวินหลงจึงคิดบัญชีร่วมกับเพ่ยเซียงอยู่ในห้องบัญชี
ตั้งราคาสูงเทียมฟ้านั่งลงต่อรองราคากัน นี่ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับเพ่ยเซียง กลับกันยังทำให้นางสบายใจได้มาก สุดท้ายทั้งสองฝ่ายต่างก็เบิกบานใจ แคว้นหูของเพ่ยเซียงเพิ่มราคาเป็นหนึ่งพันเหรียญเงินฝนธัญพืช ปราณวิญญาณในสถานที่ที่นางเลือกแบ่งไปได้แค่สามส่วนเท่านั้น ไม่อย่างนั้นจะส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงโชคชะตาขุนเขาสายน้ำของพื้นที่มงคลดอกบัวมากเกินไป พอพูดถึงเรื่องนี้ เหวยเหวินหลงที่พูดคุยปรึกษาเรื่องการค้าดีๆ มาโดยตลอดกลับเลือกใช้ถ้อยคำที่รุนแรงดุดันอย่างที่หาได้ยาก บอกว่าหากเพราะด้วยเรื่องของเงินทองเป็นเหตุให้พื้นที่มงคลเกิดความวุ่นวาย แล้วทำให้โชคชะตาและสถานการณ์แคว้นของสี่แคว้นในใต้หล้าเปลี่ยนแปลงไปไม่แน่นอนเพราะเหตุนี้ เจ้าขุนเขาไม่มีทางละเว้นใครแน่ เจ้าเพ่ยเซียง ข้าเหวยเหวินหลง หรือแม้แต่จูเหลี่ยนเองก็ยังต้องถูกตำหนิถูกลงโทษ ไม่ว่าใครก็อย่าคิดว่าจะหนีได้พ้น!
อันที่จริงเพ่ยเซียงได้ผลลัพธ์อย่างที่ตนต้องการแล้ว แน่นอนว่าย่อมไม่มีความเห็นต่าง ในความเป็นจริงแล้วนางถึงขั้นเตรียมใจไว้แล้วว่าต้องจ่ายเงินพันเหรียญฝนธัญพืช แต่จะได้ส่วนแบ่งปราณวิญญาณมาแค่สองส่วนเท่านั้น
การที่ยินดีจ่ายเงินฝนธัญพืชเพิ่มเป็นพันเหรียญนี้ นอกจากจะมีสองความหมายคู่อย่างการ ‘สวามิภักดิ์’ และถือเป็น ‘ของขวัญมาเยี่ยมเยือน’ แล้ว เพ่ยเซียงก็ไม่ใช่คนโง่ นางมองออกว่าพื้นที่มงคลรากบัวแห่งหนึ่งเลื่อนจากพื้นที่มงคลระดับกลางมาเป็นพื้นที่มงคลระดับบน เป็นเรื่องที่ง่ายดายยิ่ง เป็นจุดที่สถานการณ์ใหญ่มุ่งไปหาอยู่แล้ว แคว้นหูมาตั้งรกรากอยู่ที่นี่ย่อมได้รับผลประโยชน์ไม่น้อย สามารถได้พึ่งใบบุญอยู่ที่นี่นานร้อยปีพันปี
สหายฉางมิ่งมาเยี่ยมเยือนจูเหลี่ยนพ่อบ้านใหญ่เป็นการส่วนตัว
หลังจากคนทั้งสองทักทายปราศรัยกันไปแล้ว และพอถึงเวลาที่ต้องพูดถึงคุณค่าที่แท้จริงของแคว้นหู คนทั้งสองต่างก็เงียบงันกันไปก่อนครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดขึ้นมาพร้อมกันว่า “โชคชะตาบุ๋น”
วันนี้จ้งชิวมาหาจูเหลี่ยนเพื่อดื่มเหล้าด้วยกัน พ่อครัวเฒ่าจึงทำกับแกล้มสองสามจาน
คนทั้งสองพูดคุยกันไม่จำเป็นต้องปิดบังเรื่องใด ทั้งเป็นคนบ้านเดียวกัน ยิ่งเป็นคนบนเส้นทางเดียวกัน
ดังนั้นก่อนที่จ้งชิวจะจากไปจึงได้ลุกขึ้นยืนประสานมือขอบคุณจูเหลี่ยน
จูเหลี่ยนจึงรับพิธีการใหญ่นี้ไว้อย่างผึ่งผาย
เพราะถึงอย่างไรแคว้นหูก็อาศัยกำลังของเขาคนเดียวในการย้ายมาที่ภูเขาลั่วพั่ว วันหน้าโชคชะตาบุ๋นของใต้หล้าในพื้นที่มงคลรากบัวจะเพิ่มมาอีกสี่ห้าส่วนหรือเจ็ดปวดส่วน ใครที่ยินดีจะได้เห็นมากที่สุด? แน่นอนว่าต้องเป็นจ้งชิวอาจารย์ผู้เป็นราชครูของหนึ่งแคว้น แต่กลับเป็นห่วงเป็นใยอาณาประชาราษฎร์
ตอนที่จูเหลี่ยนลุกขึ้นยืนส่ง เพียงเอ่ยประโยคเดียวว่า “จะทำให้อาจารย์จ้งรู้สึกเสียใจภายหลังที่มาอยู่ภูเขาลั่วพั่วไม่ได้”
จ้งชิวส่ายหน้า “ต่อให้ตายก็ไม่เสียใจภายหลัง ต่อให้ตายก็ยังไม่เสียใจภายหลัง!”
จูเหลี่ยนตบป้าบลงบนแผ่นหลังของจ้งชิว ด่าขำๆ ว่า “พูดจาอัปมงคลอะไรกัน?!”
จ้งชิวหัวเราะดังลั่นพลางเดินจากไป ในใจของอาจารย์ผู้เฒ่าเปี่ยมไปด้วยความเปรมปรีดิ์
จูเหลี่ยนรู้สึกว่าจ้งชิวผู้นี้สามารถเป็นอริยะปราชญ์ที่แท้จริงคนหนึ่งอยู่ในใต้หล้าไพศาลแห่งนี้ได้แล้ว
ทุกครั้งที่หมี่อวี้ออกมาเดินเล่นผ่อนคลายอารมณ์ สุดท้ายมักจะชอบมานั่งอยู่บนขั้นบันไดบนสุด เขาจะนั่งอยู่คนเดียวเงียบๆ พักหนึ่ง เพียงเท่านี้อารมณ์หงุดหงิดงุ่นง่านก็จะลดน้อยลงไป
ส่วนการนั่งแทะเมล็ดแตงข้างโต๊ะหินริมหน้าผาเป็นเพื่อนหมี่ลี่น้อยทุกวัน นั่นคือการทำเพื่อความเบิกบานใจ หรือบางครั้งที่เจอกับหน่วนซู่น้อยที่ดูเหมือนว่าจะยุ่งวุ่นวายอยู่ตลอดเวลาบนทางโดยบังเอิญ หมี่อวี้ก็จะมีความสุขมากเช่นกัน
ใต้เท้าอิ่นกวานเคยพูดจาน่าเชื่อถืออยู่ในคฤหาสน์หลบร้อน บอกว่าเจ้าหมี่อวี้กับภูเขาลั่วพั่วของข้า มหามรรคาสอดคล้องกันมาตั้งแต่เกิด วันหน้าหากมีโอกาสต้องไปเป็นแขกที่นั่นบ่อยๆ
จากนั้นอิ่นกวานหนุ่มก็จะยิ้มตาหยี ใช้นิ้วโป้งถูกับนิ้วชี้เบาๆ บอกเป็นนัยแก่ลูกพี่ใหญ่ของคฤหาสน์หลบร้อนว่า ทุกครั้งที่เซียนกระบี่ใหญ่หมี่ไปเป็นแขกที่ภูเขาลั่วพั่ว อย่าลืมแสดงความจริงใจด้วย
เวลานี้หมี่อวี้ยิ้มกล่าว “ใต้เท้าอิ่นกวานหนอใต้เท้าอิ่นกวาน การที่ปีนั้นไม่ยินดีให้ข้าเป็นผู้ถวายงานของภูเขาลั่วพั่วก็ไม่ใช่เพราะโลภในของขวัญที่จะต้องพกมาเยือนในแต่ละครั้งหรอกหรือ?”
จูเหลี่ยนเดินช้าๆ มานั่งลงข้างกายหมี่อวี้ ยื่นส่งเหล้าหมักข้าวเหนียวผลผลิตจากร้านตระกูลต่งกาหนึ่งไปให้ ทางฝั่งของภูเขาลั่วพั่วแห่งนี้ ทุกปีจะได้เหล้าหมักข้าวเหนียวมาโดยที่ไม่ต้องจ่ายเงินเป็นจำนวนไม่น้อย
หมี่อวี้เปิดกาเหล้า จิบเหล้าหนึ่งคำ รสชาติอ่อนนุ่ม เหนือกว่าตรงที่รสสัมผัสคงค้างยาวนาน หมี่อวี้ยิ้มเอ่ย “มิน่าเล่าภูเขาลั่วพั่วถึงได้มีขนบธรรมเนียมเช่นนี้”
นับจากเหวยเหวินหลงที่เป็นดั่งปลาได้น้ำ มาถึงเขาที่เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม จนไปถึงคืนนี้ที่ได้เห็นกับตาและได้ยินเฉาฉิงหล่างพูดคุยกับเฉินยวนจีกับหู
จูเหลี่ยนดื่มเหล้าอึกใหญ่ไปแล้วก็เช็ดมุมปาก พยักหน้าเอ่ย “เจ้าขุนเขาคนหนึ่ง ขนบธรรมเนียมประจำสำนักอย่างหนึ่ง”
ต่อให้ไม่พูดถึงภูเขาลั่วพั่ว พูดถึงแค่เซียนกระบี่อายุน้อยของอุตรกุรุทวีปที่หมี่อวี้ก็รู้จัก ฉีจิ่งหลงเจ้าสำนักกระบี่ไท่ฮุย สหายรักที่สนิทที่สุดของคุณชายบ้านตนคนนั้น
แม้จะบอกว่ามีข่าวลือว่าคนผู้นี้ถูกหวงถงบรรพจารย์ผู้คุมกฎขัดขวางไม่อนุญาตให้เขาไปเข้าร่วมสนามรบที่นครมังกรเฒ่าของแจกันสมบัติทวีป โดยใช้ข้ออ้างว่า ‘เจ้าสำนักของสำนักกระบี่ไท่ฮุยคนหนึ่งใช่ว่าจะตายไม่ได้ เพียงแต่ตอนนี้จะตายอีกไม่ได้แล้วจริงๆ’ ขณะเดียวกันตัวของเซียนกระบี่หวงถงเองกลับมุ่งหน้าไปยังสนามรบของทวีปอื่น ฉีจิ่งหลงเองก็ไม่ได้อยู่ฝึกตนที่ศาลบรรพจารย์หรือยอดเขาเพียนหราน แต่นำผู้ฝึกกระบี่เซียนดินบ้านตนพกกระบี่ออกจากสำนัก จับมือกับสำนักใหญ่ๆ หลายแห่งที่มีความสัมพันธ์อันดีกับสำนักกระบี่ไท่ฮุยมาหลายยุคหลายสมัยก่อน จากนั้นค่อยร่วมกับผู้ฝึกตนมากมายที่ปณิธานสอดคล้องกัน พร้อมใจกันเดินทางไปเยือนสถานที่ต่างๆ ที่เกิดความโกลาหลวุ่นวาย หากใช้เหตุผลคุยกันไม่รู้เรื่องก็ค่อยออกกระบี่ แต่ถ้าออกกระบี่เมื่อไหร่จะไม่มีทางใจอ่อนเด็ดขาด
จะไม่ยอมให้อุตรกุรุทวีปเกิดต้นตอของความวุ่นวายภายในใดๆ ป้องกันไม่ให้พวกผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่บ้างก็ซ่อนตัว บ้างก็วิ่งพล่านไปทั่วได้กระพือลมจุดไฟ ปล่อยให้หายนะลุกลามไปเด็ดขาด
เป็นคนแบบไหนก็มีสหายแบบนั้น จะใช้คำกล่าวนี้มาพูดถึงเฉินผิงอันเจ้าขุนเขาบ้านตนหรือพูดถึงหลิวจิ่งหลงก็ได้ทั้งสิ้น
หมี่อวี้กลับคืนมามีสีหน้าท่าทางที่ว่าในกลุ่มบุปผาข้าไร้ศัตรูอีกครั้ง เขาเอ่ยเบาๆ ว่า “แม่นางสุย สุยจิ่งเฉิงผู้นั้นล่ะ?”
สุยจิ่งเฉิงผู้นั้น พอเจอกับหน่วนซู่และหมี่ลี่น้อยก็ดีกับพวกนางมากจริงๆ เห็นพวกนางเป็นดั่งบุตรสาวของตัวเองอย่างไรอย่างนั้น ไม่เพียงแต่พลิกแพลงหาวิธีเอาของขวัญมามอบให้ แต่ละชิ้นยังคัดเลือกมาด้วยความตั้งใจ ยิ่งยินดีที่จะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับแม่นางน้อยทั้งสอง อีกทั้งยังไม่รู้สึกอึดอัดขัดเขินแม้แต่น้อย การปรากฎตัวของสุยจิ่งเฉิงทำให้หลายวันมานี้หน่วนซู่และหมี่ลี่น้อยมีเสียงหัวเราะมากเป็นพิเศษ หมี่ลี่น้อยยังถึงกับมาขอให้อวี๋หมี่และพ่อครัวเฒ่าช่วยเป็นการส่วนตัว ช่วยให้แม่นางสุยหาเหตุผลเหมาะๆ สักสิบกว่าข้อไปบอกศิษย์พี่หรงช่างว่าพรุ่งนี้ไม่เหมาะให้ลงจากภูเขา
สตรีสาวโตเต็มวัยผู้หนึ่งทำได้ถึงขั้นนี้ ยังจะเพราะอะไรอีกเล่า?
จูเหลี่ยนหัวเราะหึหึ “เหตุใดต้องพูดให้กระจ่าง”
จูเหลี่ยนดื่มเหล้าหมดแล้วก็เอ่ยเนิบช้าว่า “ลูกผู้ชายพูดแค่เรื่องถูกผิดไม่พูดถึงผลได้ผลเสีย วีรบุรุษแท้จริงพูดถึงธรรมะและอธรรม ไม่พูดถึงความสำเร็จหรือล้มเหลว อริยะปราชญ์พูดถึงหมื่นชาติภพ ไม่พูดถึงภพชาติเดียว!”
หมี่อวี้พยักหน้า แล้วก็ส่ายหน้า
ใต้เท้าอิ่นกวานไม่ได้เป็นเช่นนี้ทั้งหมด
จูเหลี่ยนยิ้มเอ่ย “แน่นอนว่าคุณชายเป็นข้อยกเว้นเพียงหนึ่งเดียว”
……
จากนั้นมีวันหนึ่งเซียนกระบี่จั่วโย่วก็มาถึงภูเขาลั่วพั่ว
หมี่อวี้อยู่บนภูเขาลั่วพั่วเกียจคร้านมาจนชินแล้ว มีบางครั้งที่ต้องพูดถึงเรื่องเป็นการเป็นงานถึงจะร้อนตัวเหมือนวัวสันหลังหวะอยู่บ้าง
มีเพียงได้เจอกับเซียนกระบี่จั่วโย่ว ศิษย์พี่ของใต้เท้าอิ่นกวานท่านนี้ ถึงจะทำให้เซียนกระบี่หมี่ใจฝ่อจนแทบอยากจะขุดรูแล้วมุดดินหนีลงไป เขาถึงขั้นไปหลบอยู่นอกภูเขา ไปหาพี่น้องคนดีอย่างหลิวเสี้ยนหยางดื่มเหล้าเสียเลย
สุดท้ายก็มีภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนลานกว้างนอกศาลบรรพจารย์ภาพนั้น
จั่วโย่วลูกศิษย์ของสายเหวินเซิ่ง อันดับแรกได้จุดธูปกราบไหว้อาจารย์ก่อน จากนั้นนั่งตัวตรงลงบนเก้าอี้นอกประตู
นอกจากเฉินหน่วนซู่ที่มาเปิดประตู โจวหมี่ลี่ที่ช่วยย้ายเก้าอี้มาให้แล้ว ก็มีเพียงจูเหลี่ยนที่มองดูอยู่ไกลๆ
เฉาฉิงหล่างเพิ่งจะไปที่จังหวัดเป็นเพื่อนจ้งชิว กำลังเดินทางกลับมา
หลังจากจั่วโย่วลุกขึ้นยืนแล้ว โจวหมี่ลี่ก็วิ่งตะบึงเข้ามาหา ช่วยอาจารย์จั่วย้ายเก้าอี้ตัวนั้นกลับเข้าไปในศาลบรรพจารย์ จั่วโย่วบอกว่าเดี๋ยวเขาทำเอง โจวหมี่ลี่กลับไม่ยอมตอบตกลง!
จั่วโย่วจึงได้แต่ล้มเลิกความคิด
หากหมี่อวี้หรือเพ่ยเซียงอยู่ที่นี่ คาดว่าคงต้องมองจนตาแทบถลนออกมาแล้ว
——