กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 722.3 ป๋ายเหย่จากไป
แท่นเติงหลงที่ตอนนี้ยังคงไม่อยู่บนสนามรบของนครมังกรเฒ่าชั่วคราว หวังจูฟื้นคืนกำลังกลับมาได้หลายส่วนแล้ว สามารถลุกขึ้นนั่งได้แล้ว ชุดคลุมอาคมบนร่างของนางตัวนี้มีลักษณะของชุดคลุมมังกรยุคบรรพกาล มีความต่างจากชุดคลุมมังกรของจักรพรรดิในยุคหลังอยู่ไม่น้อย
เคยเป็นทะเลเมฆอาวุธกึ่งเซียนที่อยู่เหนือนครมังกรเฒ่า บวกกับการหลอมรวมเข้ากับคราบร่างหลังจากเดินลงน้ำ จึงกลายมาเป็นอาวุธเซียนที่สมชื่อชิ้นหนึ่ง
เด็กชายชุดเหลืองที่นั่งเหม่ออยู่ตรงขั้นบันไดพลันลุกขึ้นยืน พูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “หม่าขู่เสวียน! โปรดหยุดด้วย!”
นอกจากหม่าขู่เสวียนที่บนไหล่มีแมวตัวหนึ่งนั่งยองอยู่ ยังมีซู่เตี่ยนสาวใช้ข้างกาย รวมไปถึงลูกศิษย์ผู้สืบทอดอีกคนหนึ่งที่หม่าขู่เสวียนรับมาเมื่อหลายปีก่อน และเขาก็ตั้งชื่อให้เช่นกัน วั่งจู่
เด็กชายชุดเหลืองไม่พอใจเรื่องนี้มากที่สุด วั่งจู่? (ลืมบรรพบุรุษ) นี่จะไม่คล้องเสียงกับหนึ่งในนามแฝงของเจ้านายข้าอย่างชื่อ ‘หวังจู’ หรอกหรือ?
หม่าขู่เสวียนยิ้มถาม “สัตว์เลื้อยคลานน้อย ปีนั้นตอนอยู่ในตรอกหนีผิงเจ้าก็เอาแต่คลานไปทั่ว กว่าจะพูดได้ไม่ใช่เรื่องง่าย จงรู้จักทะนุถนอมเห็นค่าให้ดี อย่าเอาแต่รนหาที่ตาย”
เด็กชายชุดเหลืองเอ่ย “จะตีงูก็ต้องดูเจ้าของ”
หม่าขู่เสวียนมองงูสี่ขาที่บนหน้าผากมีเขางอกของถ้ำสวรรค์หลีจูในอดีต
ฝ่ายหลังถอยหลังไปหนึ่งก้าว เท้าหลังยันอยู่บนขั้นบันได
หวังจูที่นั่งอยู่บนชั้นบนสุดของขั้นบันไดโบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้งตบให้เจ้าเศษสวะที่แม้แต่จะเฝ้าประตูก็ยังทำไม่ได้กระเด็นออกไป หลุบตาลงต่ำมองหม่าขู่เสวียนแห่งตรอกซิ่งฮวา “มาทำอะไรที่นี่?”
หม่าขู่เสวียนเพิ่งจะเตรียมยกเท้าก้าวขึ้นมาบนแท่นเติงหลง หวังจูก็หรี่ตาลง “คิดให้ดีก่อนล่ะ”
หม่าขู่เสวียนไม่ได้กลัวนาง ก็แค่มีเรือนกายขอบเขตบินทะยาน ไม่ได้มีตบะขอบเขตบินทะยานเสียหน่อย เขาหม่าขู่เสวียนถูกมองเป็นบุคคลที่เชี่ยวชาญการเข่นฆ่ามาโดยตลอด อันที่จริงฝีมือในการรักษาชีวิตรอดย่อมเป็นสิ่งที่เขาถนัดมากที่สุด
เพียงแต่หม่าขู่เสวียนไม่ยินดีจะทำให้นางโกรธ ตอนนี้เดิมทีหวังจูก็อารมณ์ไม่ดีอยู่แล้ว ไม่มีเหตุผลจะทำให้อารมณ์ของนางเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม
ดังนั้นหม่าขู่เสวียนจึงเงยหน้ามองนางอยู่อย่างนั้น ถามนางว่า “ข้าจะพยายามช่วยเจ้ากอบกู้ศักดิ์ศรีกลับคืนมา แต่ก็พูดได้แค่ว่าจะพยายามเท่านั้น”
ใบหน้าหวังจูเต็มไปด้วยรอยยิ้มเย็นชา
หนึ่งในสำรองสิบคนรุ่นเยาว์ผู้หนึ่ง คำพูดคำจากลับใหญ่โตยิ่งกว่าหนึ่งในสิบคนของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางเสียอีก
หม่าขู่เสวียนเพียงแค่ยิ้มบางๆ “ไม่ได้บอกว่าจะสังหารเฟยเฟยสักหน่อย ข้าคนนี้ไม่มีนิสัยชอบเพ้อฝันมากที่สุด”
หนึ่งในสิบคนของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางอย่างผู้ฝึกกระบี่เฒ่าโจวเสินจือนั้น ถูกปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ตนหนึ่งฆ่าตายทั้งเป็น
แน่นอนว่านี่เกี่ยวข้องกับที่ถ้ำซานสุ่ยที่โจวเสินจืออยู่ต้องรับศึกใหญ่ติดต่อกันหลายครั้งอย่างมากด้วย ทว่าการเข่นฆ่าระหว่างขอบเขตบินทะยาน เอาชนะฝ่ายตรงข้ามกับสังหารฝ่ายตรงข้ามได้นั้น ความหมายต่างกันมาก มากเหลือเกิน
เฟยเฟยเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ได้นั่งบัลลังก์สิบสี่แห่งของใต้หล้าเปลี่ยวร้างเช่นกัน หม่าขู่เสวียนไม่ได้โง่เสียหน่อยถึงจะได้พาตัวไปตายที่สนามรบ แค่หาโอกาสทักทายอยู่ไกลๆ ก็พอแล้ว
สนามรบในทุกวันนี้ บุคคลบางส่วนที่ซิ่วหู่และโจวมี่เก็บมาใส่ใจ เกินครึ่งคือหากลงมือหรือหากปรากฏตัวก็ล้วนต้องตาย
หวังจูแห่งตรอกหนีผิงที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ก็ไม่ใช่เพิ่งจะโดนกระบองของหยวนโส่วฟาดมาอย่างเต็มแรงหรอกหรือ?
อันที่จริงทุกวันนี้หม่าขู่เสวียนถูกคนของนครมังกรเฒ่าวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนาหู บางคนก็รู้สึกว่าในเมื่อเขาเป็นหนึ่งในตัวสำรองสิบคนรุ่นเยาว์ของหลายใต้หล้า อีกทั้งยังสามารถออกคำสั่งให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไปโจมตีม่านฟ้าได้ ถ้าอย่างนั้นก็ควรจะเข่นฆ่าอยู่ในแนวรบเส้นแรกของนครมังกรเฒ่า สร้างคุณความชอบที่สอดคล้องกับสถานะของตัวเอง แล้วก็มีบางคนที่รู้สึกว่าในฐานะที่หม่าขู่เสวียนคืออันดับหนึ่งของผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์แห่งแจกันสมบัติทวีป เขามีนิสัยสันโดษและเอาแต่ใจตัวเองมากเกินไป ควรจะเอาอย่างเซียนกระบี่เว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะที่กล้าถามกระบี่ต่อผู้แข็งแกร่งครั้งแล้วครั้งเล่า
หากไม่ได้ยินเองกับหู โดยทั่วไปแล้วหม่าขู่เสวียนจะไม่ค่อยถือสานัก มีอยู่ครั้งหนึ่งอยู่ที่นครนอกอันเป็นที่ตั้งจวนอ๋องเจ้าเมืองนครมังกรเฒ่า บังเอิญได้ยินเข้าจริงๆ เขาก็แค่ทิ้งประโยคหนึ่งไว้ต่อหน้าคนพูดว่า ‘ตำแหน่งหนึ่งในสำรองสิบคนไม่ได้มีค่าเสียหน่อย ข้ายกให้เจ้า เจ้าก็ไปตายซะเถอะ’
หวังจูไม่เอ่ยอะไรสักคำ เพียงแค่หันหน้าไปมองทางทิศเหนือ
ตลอดทั้งบริเวณโดยรอบอาณาเขตของขุนเขาใต้ วานรย้ายภูเขา สุนัขไล่ภูเขา มัลละผ้าเหลือง มัลละเกราะเงินของสำนักสายยันต์ และยังมีหุ่นเชิดที่อาจารย์กลไกสำนักโม่สร้างขึ้น ยังคงพากันสร้างเส้นแนวรบชั้นแล้วชั้นเล่าขึ้นมาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ขอแค่ราชวงศ์ต้าหลียังมีเงิน อีกทั้งได้อุตรกุรุทวีปมาคอยช่วยเหลือ ดังนั้นทั้งกำลังคนและทรัพยากรจึงไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด
สร้างป้อมปราการแข็งแกร่งกักตุนเสบียง? ไม่จำเป็น ยามที่นครมังกรเฒ่าถูกข้าศึกยึดครอง จะไม่ทิ้งของสิ่งใดไว้ให้เผ่าปีศาจแม้แต่ชิ้นเดียว จะมีแต่ซากปรักที่ว่างเปล่าอย่างสิ้นเชิงเท่านั้น
หลังจากนั้นต่อให้กองทัพใหญ่เผ่าปีศาจจะบุกรุดหน้าไปถึงตีนเขาของขุนเขาใต้ ก็จะยังเป็นเช่นนี้
หม่าขู่เสวียนเพียงแค่มองสตรีที่เย็นชาผู้นั้นอย่างสงบนิ่ง
ดีมาก ปีนั้นที่อยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจู นางก็ไม่เหมือนใครที่สุดแล้ว ทุกวันนี้ก็โชคดีที่นางยังคงเป็นเช่นนี้
นางอยู่ในตรอกหนีผิง เขาอยู่ในตรอกซิ่งฮวา ไม่ได้พบเจอกันบ่อยๆ จำนวนครั้งที่มากที่สุดก็คือทุกวันยามเช้าตรู่ ข้างบ่อโซ่เหล็กแห่งนั้น เห็นนางแสร้งทำเป็นตักน้ำอย่างเปลืองแรงก็จะรู้สึกว่านางช่างน่ารักเหลือเกิน บางครั้งนางจะแอบนอนขี้เกียจ จึงออกมาตักน้ำสายหน่อย เขาก็จะนั่งยองรอนานอีกหน่อย สุดท้ายก็จะได้เจอหน้านาง
หม่าขู่เสวียนพลันใช้เสียงในใจถามว่า “อิ่นกวานลำดับที่สิบเอ็ดผู้นั้นคือคนที่เจ้าผูกพันธะสัญญาด้วยอย่างแท้จริงใช่หรือไม่?”
ดูเหมือนว่าอารมณ์ของหวังจูจะดีขึ้นโดยพลัน นางจึงยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “เมื่อก่อนไม่ได้ฆ่าเจ้าให้ตาย วันหน้าก็ไม่แน่แล้วนะ”
……
ใบถงทวีป
สำนักใบถงจับขังผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ไว้กลุ่มใหญ่ ทุกคนต่างก็เป็นผู้ฝึกตนมีพรสวรรค์ในระดับสูงสุดของสำนักใบถงเหมือนกันหมดโดยไม่มีข้อยกเว้น
หากเป็นคนหนุ่มสาวที่ไม่โดดเด่นมากพอ ล้วนตายหมดแล้ว อีกทั้งยังตายด้วยน้ำมือของบรรพจารย์ ผู้ถวายงานและเค่อชิงในศาลบรรพจารย์บ้านตนทั้งหมด ไม่อย่างนั้นคงไม่มีคำอธิบายให้กับกระโจมเจี่ยจื่อ
บอกว่าจับขังเป็นนักโทษ แน่นอนว่าเป็นความจริง ไม่ขาดการลงทัณฑ์ของตระกูลเซียน เพียงแต่ว่าหกคนในนั้นที่คุณสมบัติดีที่สุดถูกแยกไปจับขังอยู่ในซากปรักของถ้ำสวรรค์อู๋ถงที่ปริแตกของสำนักใบถง
หลี่หวานย่ง ฉินสุ้ยหู่ ตู้เหยี่ยน อวี๋ซิน ฟู่ไห่จู่ และยังมีคนต่างถิ่นอีกคนหนึ่งที่อยู่ดีๆ ก็กลายมาเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์สำนักใบถง หวังซือจื่อ ผู้ฝึกกระบี่คอขวดโอสถทอง อีกทั้งอีกไม่นานก็จะฝ่าทะลุคอขวดอยู่ที่นี่
คนหนุ่มสาวเหล่านี้ก็คือ ‘กากเดนลูกศิษย์’ ของสำนักใบถงที่ตอนนั้นยืนหยัดจะขอให้จั่วโย่วอยู่ต่อ
แม้แต่หลี่หวานย่งที่ตอนนั้นจิตแห่งกระบี่เกือบจะแหลกสลายเพราะจั่วโย่วก็ยังเลือกทำเช่นนั้น
ส่วนเจ้าสำนักใบถง ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหริน ฟู่หลิงชิง รบตายไปนานแล้ว
หากไม่เป็นเช่นนี้ คาดว่าสำนักใบถงในทุกวันนี้คงไม่เหลือควันธูปสืบทอดในศาลบรรพจารย์แม้แต่นิดเดียวแล้ว ควันธูปคงจะขาดสะบั้นไปอย่างสิ้นเชิง แล้วก็ต้องได้เปลี่ยนชื่อใหม่ที่ไม่รู้เลยว่าจะสามารถสืบทอดไปได้อีกกี่ยุคสมัย
บรรพจารย์ผู้คุมกฎคนใหม่ของสำนักใบถงเปิดตราผนึกขุนเขาสายน้ำ มายังซากปรักที่ปริแตกซึ่งกินอาณาบริเวณแค่สิบกว่าลี้ เมื่อเทียบกับถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กที่สมบูรณ์แบบในอดีตแล้ว ตอนนี้สภาพของมันทรุดโทรมเสียจนชวนให้คนรู้สึกโมโห
ผู้เฒ่าไม่ได้เดินไปข้างหน้าต่อ ส่วนคนหนุ่มสาวหกคนนั้น บางคนก็ตั้งใจฝึกกระบี่ต่อไป บางคนก็เงยหน้าขึ้นมองเขา ในสายตามีทั้งความเจ็บแค้น มีทั้งความขมขื่น แล้วก็มีทั้งความไม่เข้าใจ
ผู้เฒ่าไม่ได้อธิบายอะไรแม้แต่ครึ่งคำ กลับกันยังจงใจแสดงสีหน้าไม่เป็นมิตรให้เห็น ราวกับว่ามาเยือนที่นี่ในครานี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ศิษย์ทรยศอย่างพวกเขาวางแผนใดๆ ที่ไม่เหมาะไม่ควรเท่านั้น
ผู้เฒ่าเพียงแค่กวาดตามองไม่กี่ที เพียงไม่นานก็หมุนตัวจากไป
สำนักแห่งหนึ่งแตกแยกอย่างสิ้นเชิง ด้านหนึ่งคือพวกตาแก่หนังเหนียวที่รักชีวิต อีกด้านหนึ่งคือคนหนุ่มสาวที่ไม่เสียดายชีวิตหากต้องตาย ต่างฝ่ายต่างคุมเชิงไม่พูดไม่จากัน เป็นเหตุให้ถึงขั้นที่ต้องหันมาเข่นฆ่ากันเอง นี่ก็ถือว่าเป็นเรื่องตลกที่ไม่เล็กซึ่งคนทั้งใต้หล้าไพศาลและใต้หล้าเปลี่ยวร้างต่างก็เห็นกันอยู่ในสายตา
เพียงแต่ว่านับตั้งแต่ที่ตู้เม่าบรรพจารย์ผู้กอบกู้ความรุ่งโรจน์กายดับมรรคาสลาย สำนักใบถงก็ถูกคนมองเป็นเรื่องตลกมาโดยตลอด ชินไปแล้วก็ดีเอง
ผู้เฒ่ากลับไม่ค่อยเหมือนผู้ฝึกตนเฒ่าส่วนใหญ่ของสำนักใบถง อันที่จริงเขาไม่ได้กลัวตายขนาดนั้น คอขวดของขอบเขตยากที่จะฝ่าไปได้ เนื้อหนังมังสาไม่เพียงแต่ทรุดโทรมแก่ชรา จิตวิญญาณยังเหมือนเปลวเทียนในกระแสลม
ในเมื่อแม้แต่ความตายก็ยังไม่กลัว ถ้าอย่างนั้นก็ควรจะทำเรื่องบางอย่างที่ยิ่งแสดงถึงความไม่กลัว ยกตัวอย่างเช่นรักษาควันธูปที่คู่ควรกับสองคำว่า ‘สืบทอด’ อย่างแท้จริงไว้ให้กับสำนักใบถง
ซึ่งก็คือคนหนุ่มสาวทั้งหลายที่อยู่ด้านหลัง
แต่หากจะให้พวกเขามีชีวิตอยู่รอด ก็จำเป็นต้องขีดเส้นแบ่งให้ชัดเจน
วันหน้าเมื่อใต้หล้าเปลี่ยวร้างชนะ ชนะตลอดทั้งใต้หล้าไพศาล
ถ้าอย่างนั้นเด็กๆ อย่างพวกเจ้า ถึงอย่างไรก็จะยังมีโอกาสได้ออกไปจากภูเขาอีกครั้ง ได้ทำความดีชดใช้ความผิด ถอยไปพูดหมื่นก้าว จะยังคงสามารถตั้งใจฝึกตนอยู่ในสำนักใบถง อยู่บนภูเขาอย่างสงบสุขยาวนาน พวกเผ่าปีศาจของใต้หล้าเปลี่ยวร้างนับถือผู้แข็งแกร่ง ขอแค่ขอบเขตของพวกเจ้าสูงพอ ฟ้าดินกว้างใหญ่ ไม่แน่ว่าอาจจะมีอิสระในการฝึกตนยิ่งกว่าตอนอยู่กับใต้หล้าไพศาลก็เป็นได้
แต่หากใต้หล้าเปลี่ยวร้างพ่ายแพ้ ถอยกลับไปอยู่พื้นที่ป่าเถื่อนกันดารทางทิศใต้ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ถึงเวลานั้นพวกเจ้าก็จะยังมีทางเลือกเช่นกัน
ตอนนี้ข้าคือคนที่มีอายุมากที่สุดของศาลบรรพจารย์สำนักใบถงในทุกวันนี้ คนผู้หนึ่งที่ใกล้จะตายเต็มที เรื่องที่พอจะทำเพื่อบรรพบุรุษในภาพแขวนได้บ้าง ก็คงมีเพียงเท่านี้แล้ว
คนรุ่นเยาว์ที่ยินดีกระโจนเข้าหาความตายอย่างกล้าหาญเพื่อเกียรติของสำนักเช่นนี้ ไม่สมควรตายที่สุดแล้ว
สำนักกุยหยกที่ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของใบถงทวีปเพิ่งจะได้เป็นผู้นำของตระกูลเซียนในหนึ่งทวีปได้แค่ไม่กี่ปี บรรพจารย์ผู้คุมกฎก็รบตายไปแล้ว แม้แต่แม่นางน้อยหลิวที่น่ารักในอดีต พี่หญิงหลิวเม่าในภายหลังก็รบตายไปแล้วเช่นกัน
ต่อให้วันหน้าศาลบรรพจารย์จะยังคงอยู่ แต่จะเหลือสักกี่คนที่จะด่าตน? เมื่อเป็นเช่นนี้จะไม่เหงาแย่หรอกหรือ? ข้าผู้อาวุโสเจียงซ่างเจินต้องเหงาตายแน่นอน
เรือนร่างหนึ่งพลันปรากฏตัวขึ้นกะทันหัน ฝืนรับมรรคกถาสายหนึ่งจากปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานที่เฝ้าตอรอกระตายอยู่ ร่างกระแทกเข้าไปกลางค่ายกลใหญ่ขุนเขาสายน้ำแห่งสุดท้ายของสำนัก พอลุกขึ้นได้ก็ทะยานไปยังยอดเขาจิ่วอี้
ฉวยโอกาสยามที่ไม่มีใครมาพักอาศัย สามารถเอามาซ้อมมือได้พอดี
เจียงซ่างเจินกระอักเลือดหนึ่งคำ จงชูกระบี่ต้อนรับแขกให้ข้าผู้อาวุโส!
ยอดเขาจิ่วอี้ปริแตกพื้นดินแยกตัว สุดท้ายปรากฎเป็นเม็ดหมากจำนวนนับไม่ถ้วนก่อตัวขึ้นเป็นค่ายกลกระบี่เก้าแห่งกระบี่บินเก้าเล่ม
ตาเฒ่าสวิน แล้วก็พวกบรรพบุรุษทั้งหลายในอดีตที่กินขี้เถ้าไปมากกว่า อย่าได้โทษว่าข้าล้างผลาญเลย คนแก่ตายกันไปเจ็ดแปดส่วน คนหนุ่มสาวในบ้านต่างก็แบกรับกันไม่ไหวแล้วจริงๆ!
แจกันสมบัติทวีป
เว่ยจิ้นเซียนกระบี่แห่งศาลลมหิมะกับป๋ายฉางผู้ฝึกกระบี่อันดับหนึ่งแห่งทิศเหนือของอุตรกุรุทวีป เฮ้อเสี่ยวเหลียงเจ้าสำนักชิงเหลียง พากันเดินทางมุ่งหน้าไปยังอาณาเขตของขุนเขาตะวันตก
ส่วนผู้เฒ่าพายเรือที่เป็นศิษย์พี่ใหญ่ของเฮ้อเสี่ยวเหลียงครึ่งตัวคนนั้น ได้บอกลาเพื่อเดินทางไปนครมังกรเฒ่าเพียงลำพังนานแล้ว
ภายใต้คำสั่งและการจัดการของราชวงศ์ต้าหลี พลังการสู้รบในระดับสูงอย่างกลุ่มของพวกเขารับหน้าที่คอยช่วยเฝ้าพิทักษ์อาณาเขตขุนเขาตะวันตกของแจกันสมบัติทวีป ปกป้องพื้นที่และคอยต้านทานปีศาจใหญ่ของฝ่ายตรงข้ามก็พอ
ทั้งสามคนนี้มีความสัมพันธ์อันลุ่มลึก เว่ยจิ้นกับเฮ้อเสี่ยวเหลียง เฮ้อเสี่ยวเหลียงกับป๋ายฉาง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเว่ยจิ้น เดิมทีเขาไม่ได้ดื่มเหล้ามานานหลายปีแล้ว วันนี้กลับแอบดื่มเหล้าหมักของศาลลมหิมะ จึงคล้ายกับว่ากลับคืนไปเป็นคนในยุทธภพที่จูงลาหิ้วกาเหล้าคนนั้นอีกครั้ง
ส่วนสำนักชิงเหลียงของเฮ้อเสี่ยวเหลียง เนื่องจากความแค้นกับสวีเซวี่ยน และป๋ายฉางผู้เป็นอาจารย์ของสวีเซวี่ยนซึ่งเป็นเรื่องที่คนทั้งสองทวีปต่างรู้กันทั่ว ป๋ายฉางยังเคยป่าวประกาศด้วยว่าเฮ้อเสี่ยวเหลียงอย่าได้หวังจะเลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยาน
นี่จึงทำให้เว่ยจิ้นกับป๋ายฉาง เซียนกระบี่สองท่านที่เดิมทีไม่เกี่ยวข้องอะไรกันเลย กลายเป็นว่ามีความสัมพันธ์ลุ่มลึกขึ้นอีกหลายส่วน
เว่ยจิ้นถึงขั้นอดไม่ไหวด่าซิ่วหู่ผู้นั้นว่า สรุปแล้วเจ้าคิดอย่างไรกันแน่ ถึงได้ดึงพวกเราสามคนมารวมอยู่เป็นกลุ่มเดียวกัน?
พอกลับมาพบเจอกันอีกครั้ง เฮ้อเสี่ยวเหลียงก็ปฏิบัติต่อเว่ยจิ้นอย่างมีมารยาทไม่ขาดตกบกพร่อง ทั้งไม่จงใจทำตัวห่างเหิน แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ เว่ยจิ้นก็ยิ่งอยากจะดื่มเหล้า
ป๋ายฉางที่เดิมทีอารมณ์ปกติ พอสังเกตเห็นเรื่องนี้กลับมีรอยยิ้มอย่างที่หาได้ยาก อารมณ์ไม่เลวเลยทีเดียว
อาณาเขตของขุนเขากลาง ซานจวินจิ้นชิง ทุกวันนี้นอกจากเผยกายธรรมร่างทองที่ใหญ่โตมโหฬารช่วยปกป้องป๋ายอวี้จิงให้กับราชครูแล้ว ร่างจริงกลับมักจะไปมาหาสู่กับหร่วนฉงบ่อยๆ พวกเขาคือสหายเก่าแก่กันแล้ว
ราชวงศ์จูอิ๋งเคยเป็นสถานที่ที่มีผู้ฝึกกระบี่มากที่สุดของแจกันสมบัติทวีป ในฐานะอาจารย์หลอมกระบี่อันดับหนึ่งของทวีป เดิมทีหร่วนฉงกับจิ้นชิงที่มีชาติกำเนิดเป็นซานจวินก็ไม่ใช่คนแปลกหน้าต่อกันอยู่แล้ว
ในฐานะผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของต้าหลี เมื่อหลายปีก่อนหร่วนฉงก็ได้ถ่ายทอดเวทหลอมกระบี่ที่เป็นความสามารถพิเศษเฉพาะตัวให้กับผู้ฝึกตนที่ทำหน้าที่หลอมกระบี่ของต้าหลีจนหมดหน้าตักแล้ว เพียงแต่ว่าเวลานี้ยังต้องการให้เขาหลอมกระบี่ด้วยตัวเอง หลอมกระบี่พกที่เหมาะมือให้กับผู้ฝึกกระบี่เซียนดินทั้งหลาย ไม่ต้องพิถีพิถันเรื่องระดับขั้นอะไรมาก นอกจากนี้ยังต้องแบ่งกำลังอีกเกือบครึ่งส่วนไปยังเตาหลอมกระบี่แห่งต่างๆ ช่วยชี้แนะช่องโหว่และข้อบกพร่องในการหลอมกระบี่ให้กับอาจารย์อาจารย์หลอมกระบี่คนอื่น อาจารย์หลอมกระบี่ที่เท่ากับว่าเป็นลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อของเขาเหล่านี้ คอยทำหน้าที่สร้างกระบี่ยาวให้กับผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางทุกคน ส่วนตัวอ่อนผู้ฝึกกระบี่ที่ยังเป็นห้าขอบเขตล่าง เดิมทีก็ไม่มีคุณสมบัติจะเข้าร่วมสนามรบอยู่แล้ว ไม่เพียงเท่านี้ ต้าหลียังสั่งห้ามผู้ฝึกกระบี่เหล่านี้ไม่ให้ออกจากสำนักไปโดยพลการ ทุกคนต่างก็ถูกผู้อาวุโสกักบริเวณไว้อย่างไม่มีข้อยกเว้น เดิมทีก็ตัดใจปล่อยให้พวกเขาไปตายไม่ลงอยู่แล้ว พอมีคำสั่งห้ามจากต้าหลีออกมา ไยจะไม่ยินดีทำตามเล่า
ตัวอ่อนผู้ฝึกกระบี่ของแจกันสมบัติทวีป มีใครบ้างที่ในอดีตไม่ถูกอุตรกุรุทวีปกระเซ้าด้วยคำว่า ‘ก้อนทองในดงหญ้า’?
ไม่อาจเทียบความ ‘มือเติบใจกว้าง’ ของอุตรกุรุทวีปได้เลยจริงๆ
แต่ทุกวันนี้ผู้ฝึกตนบนภูเขาของแจกันสมบัติทวีปต่างก็นับถืออุตรกุรุทวีปจากใจแล้วจริงๆ
——