กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 723.1 ผู้ดื่มทิ้งชื่อไว้ อาจารย์ผู้เฒ่าอยากจะพลิกอ่านตำรา
- Home
- กระบี่จงมา Sword of Coming
- บทที่ 723.1 ผู้ดื่มทิ้งชื่อไว้ อาจารย์ผู้เฒ่าอยากจะพลิกอ่านตำรา
ซากปรักสนามรบของเกราะทองทวีป ผู้เฒ่าร่างผอมเตี้ยที่มีเส้นผมขาวโพลนสวมชุดสีม่วงรัดกาเหล้าไว้ตรงเอว เปลือยเท้าเหยียบอยู่บนปลายหอกเหล็กที่ปักเอียงอยู่บนพื้น อวี๋เสวียนกวาดตามองไปรอบด้าน สี่ด้านแปดทิศล้วนเป็นโครงกระดูกของนักรบผู้กล้าล่างภูเขาและผู้ฝึกลมปราณบนภูเขาของเกราะทองทวีป และยังมีศพอีกมากที่กองทับถมกันเป็นภูเขาเลากา เดิมทีควรเป็นเมืองหลวงน้อยใหญ่ที่สัตว์เดรัจฉานเผ่าปีศาจสร้างขึ้นเพื่อปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ป๋ายอิ๋งผู้นั้น เพื่อที่จะได้ให้ป๋ายอิ๋งอาศัยสิ่งเหล่านี้มาทำเป็นหุ่นเชิดผีโครงกระดูกขาว แล้วนำทัพผลักดันรุดหน้าไปได้รวดเดียว จากนั้นค่อยยึดครองอาณาเขตที่เหลืออยู่ของเกราะทองทวีปซึ่งไม่เหลือพลังการต่อสู้อีกแล้ว
ป๋ายอิ๋งผู้นั้นคือคนที่สมควรตายที่สุดในบรรดาของปีศาจใหญ่สิบสี่ตนบนบัลลังก์จริงๆ ไม่อย่างนั้นจะมีภัยแฝงตามมาอีกนับไม่ถ้วน อยู่ในเกราะทองทวีปก็โหดร้ายกำเริบเสิบสานถึงเพียงนี้แล้ว หากปล่อยให้สัตว์เดรัจฉานตัวนี้ไปถึงทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางจะไม่ยิ่งเลวร้ายไปกว่านี้หรอกหรือ?
น่าเสียดายที่มาช้าไปก้าวหนึ่ง ไม่อาจขัดขวางหวานเหยียนเหล่าจิ่งที่สติวิปลาสผู้นั้นเอาไว้ได้ ไม่อาจฉวยโอกาสนี้มาพบเจอกับป๋ายอิ๋ง อันที่จริงเป้าหมายที่อวี๋เสวียนข้ามทวีปมาที่นี่ก่อนก็เพราะต้องการจะละวางความแค้นที่มีต่อหวานเหยียนเหล่าจิ่งไว้ก่อนชั่วคราว ช่วยให้เกราะทองทวีปยืนหยัดได้นานอีกหน่อย
อวี๋เสวียนคิดว่าฝีมือะดับจิ๊บจ๊อยด้านสายยันต์สิบกว่าชนิดถึงร้อยชนิดของตนนั้น ค่อนข้างจะสยบกำราบกองทัพใหญ่โครงกระดูกของป๋ายอิ๋งได้โดยกำเนิดอยู่บ้าง เพราะถึงอย่างไรอวี๋เสวียนนั้นอย่างอื่นมีไม่มาก มีแค่จำนวนของยันต์ที่พอใช้ได้ สามารถเอาชนะได้ด้วยจำนวนไงล่ะ บวกกับที่มองดูแล้วป๋ายอิ๋งไม่คล้ายว่าจะถนัดการจับคู่เข่นฆ่าเท่าไร อวี๋เสวียนจึงรู้สึกว่าในเมื่อสามารถปกป้องชีวิตตัวเองได้ก็ควรจะมาร่วมวงความครึกครื้นที่นี่เสียหน่อย ขอแค่ไม่เอาอย่างโจวเสินจือ ปัญหาก็คงมีไม่มาก
เพียงแต่ว่าเวลานี้อวี๋เสวียนยืนเหยียบอยู่บนปลายหอก ลมหนาวอึมครึมพัดมาเป็นระลอก ชายแขนเสื้อใหญ่สะบัดพึ่บพั่บ ผู้เฒ่าลูบหนวด รู้สึกกลัดกลุ้มยิ่งกว่าเดิม
ป๋ายอิ๋งหายไปไม่เห็นเงาแล้ว หรือว่าจะไปล้อมฆ่าป๋ายเหย่ที่ฝูเหยาทวีป เพื่อหวังจะเป็นดั่งศาลาใกล้น้ำได้ยลแสงจันทร์ก่อน?
เพียงแต่ไม่รู้ว่าปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยเชี่ยวชาญการจับคู่เข่นฆ่าผู้นี้อารมณ์เป็นอย่างไร จะกลัดกลุ้มเหมือนข้าอวี๋เสวียนหรือไม่หนอ เพราะถึงอย่างไรหากคิดจะสังหารป๋ายเหย่ ไม่จ่ายค่าตอบแทนเสียเลยย่อมไม่ได้อยู่แล้ว
อวี๋เสวียนมองดูแม่นางน้อยที่ค่อยๆ ก้าวเข้ามาหาแล้วหยุดอยู่ห่างออกไปเล็กน้อย ผู้เฒ่ายิ้มเอ่ย “ชื่อเผยเฉียนใช่ไหม ชื่อเสียงโด่งดังนัก หน่วยก้านดีเหมือนเฉาสือผู้นั้น คนหนุ่มสาวทำให้ตาแก่หนังเหนียวอย่างพวกเราตกใจกลัวแทบตายแล้ว ดีมากๆ”
ก่อนหน้านี้เผยเฉียนเอาแต่เหลียวซ้ายแลขวาอยู่ตลอด พอหยุดเดินก็กุมหมัด จากนั้นถามว่า “เทพเซียนผู้เฒ่าอวี๋ ข้าสามารถเก็บกวาดสนามรบได้หรือไม่? หากเป็นไปได้ อย่างมากสุดแค่หนึ่งก้านธูป ครึ่งก้านธูปก็ได้”
สามารถสังหารผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจขอบเขตหยกดิบตนหนึ่งได้ในเวลาเพียงชั่วลัดนิ้วมือ อีกทั้งผู้เฒ่ายังแต่งกายเช่นนี้อีกด้วย แค่เผยเฉียนมองก็รู้ตัวตนของอีกฝ่ายทันทีว่าเป็นฝูลู่อวี๋เสวียนแห่งทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง
ในอดีตขณะที่เดินทางไกลกลับบ้านเกิดไปด้วยกัน อาจารย์พ่อเคยพูดถึงอวี๋เสวียนด้วยความเคารพเลื่อมใสอย่างยิ่ง เทพเซียนผู้เฒ่าที่สามารถทำให้อาจารย์พ่อเลื่อมใสได้ อีกทั้งตอนนี้ยังยินดีเดินทางมาเยือนสนามรบของเกราะทองทวีปเพียงลำพัง เผยเฉียนรู้สึกว่าพลาดเซียนกระบี่ผู้เฒ่าโจวไปแล้ว กลับไม่ได้คลาดจากเทพเซียนผู้เฒ่าอวี๋ สงครามครั้งนี้นับว่าต่อสู้ได้อย่างไม่เสียเปล่า ปีนั้นเผยเฉียนยังถามอาจารย์พ่อว่า ยันต์กระดาษสีทองที่ตนแปะไว้บนหน้าผาก เมื่อเทียบกับยันต์ที่ผู้เฒ่าอวี๋ตั้งใจวาดที่สุด อันไหนมีค่ามากกว่ากัน คงไม่ต่างกันเท่าไรกระมัง? ตอนนั้นอาจารย์พ่ออืมรับหนึ่งที ยิ้มจนต้าหยี แล้วตักน้ำแกงปลาเพิ่มให้เผยเฉียนอีกหนึ่งถ้วย อันที่จริงแม่นางน้อยตัวดำเป็นถ่านในเวลานั้นกินอิ่มตั้งนานแล้ว พุงของนางกลมดิก เมื่อนางรับถ้วยมาด้วยสีหน้าจืดเจื่อนก็ไม่รู้ว่าสรุปแล้วตนพูดถูกหรือว่าพูดผิดกันแน่
อยู่ดีๆ เผยเฉียนก็คิดถึงเรื่องราวตอนที่ตัวเองยังเด็กเหล่านี้ รู้สึกว่าช่างผิดต่อเทพเซียนผู้เฒ่าอวี๋ยิ่งนัก ไม่ใช่เรื่องที่เปรียบเทียบว่ายันต์ของใครล้ำค่ามากกว่ากัน แต่เป็นตอนนั้นที่ตนไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ เรียกอีกฝ่ายว่าตาเฒ่าอวี๋ตามแต่ใจ ดังนั้นเมื่อในที่สุดเผยเฉียนโชคดีได้พบเจอกับตัวจริง จึงนอบน้อมมีมารยาทมากเป็นพิเศษ แล้วนับประสาอะไรกับที่สภาพจิตใจของผู้อาวุโสท่านนี้แจ่มกระจ่างเจิดจ้า ประหนึ่งธารดาราสีเงินที่แขวนห้อยอยู่กลางนภา หมู่ดวงดาวส่องประกายแสงระยิบระยับ ก่อนหน้านี้เผยเฉียนแค่เหลือบตามองสองครั้งแล้วก็ไม่ได้มองเพิ่มอีก พอแน่ใจในทิศทางการโน้มเอียงของสภาพจิตใจของคนผู้นี้แล้ว เผยเฉียนก็ไม่กล้ามองมากอีก แล้วก็ไม่อาจมองเห็นได้มากกว่านี้อีกแล้ว
อวี๋เสวียนพยักหน้ารับ “กลัวว่าป๋ายอิ๋งจะซ่อนตัวอยู่หรือ? ไม่มีหรอก เผ่นหนีไปนานแล้ว ตอนนี้ไม่มีสัตว์เดรัจฉานตัวไหนกล้ามารนหาที่ตายที่นี่ วางใจเถอะ อย่าว่าแต่หนึ่งก้านธูปเลย หนึ่งชั่วยามก็ไม่มีปัญหา เพียงแต่ว่าตอนนี้แม่นางน้อยเจ้าจะอยู่ที่นี่ทำอะไร เจ้าเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่ง ขอบเขตสูงก็จริง แต่ถึงอย่างไรก็ไม่อาจจัดการกับศพพวกนี้ได้อย่างเหมาะสม ให้ข้าเป็นคนทำเองดีกว่า”
เผยเฉียนรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย แต่ก็ยังยอมรับตามตรง “เทพเซียนผู้เฒ่าอวี๋ ผู้น้อยอยากจะค้นข้าวของบนร่างของผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจเหล่านั้น จะได้เอาไปแลกเป็นเงินเทพเซียน”
อวี๋เสวียนอึ้งตะลึงไปนาน ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่อายุน้อยเท่านี้ ลูกรักแห่งสวรรค์ที่รู้สึกว่าห่างชั้นจากเฉาสือเพียงแค่เล็กน้อย ถึงขั้นบากหน้าถามตนว่าสามารถเก็บเงินได้หรือไม่อย่างนั้นหรือ?
ห่างชั้นจากเฉาสือเล็กน้อย ห่างกันมากหรือ? อันที่จริงนี่ก็ทำให้ผู้อาวุโสตกใจมากพอแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่อีกฝ่ายยังเป็นแม่นางน้อยที่อ่อนเยาว์กว่าเฉาสือไม่น้อย อวี๋เสวียนเกือบต้องทำหน้าหนาถามกลับไปว่า ‘แม่นางน้อยมีอาจารย์ผู้ถ่ายทอดวิชาหรือไม่ หากไม่มีก็บังเอิญเลย ข้าผู้อาวุโสพอจะเชี่ยวชาญวิชาหมัดอยู่บ้าง ไม่สู้กราบไหว้ข้าเป็นอาจารย์ดีไหม’ ส่วนเรื่องที่ว่าเขาเป็นวิชาหมัดจริงหรือไม่ หลอกลูกศิษย์มาให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน เพียงแต่อวี๋เสวียนรู้ชัดเจนดีว่า ผู้มีพรสวรรค์รุ่นเยาว์เช่นนี้จะต้องมีการสืบทอดจากสำนักที่ไม่ต่ำอย่างแน่นอน
อวี๋เสวียนพูดกลั้วหัวเราะเสียงดังว่า “เชิญเจ้าเก็บเงินได้อย่างสบายใจ ข้าผู้อาวุโสจะช่วยจับตาดูให้ครู่หนึ่ง”
ครู่หนึ่งต่อมาค่อยตัดสินใจใหม่อีกที
ถึงอย่างไรป๋ายเหย่ก็สังหารได้ไม่ง่ายถึงเพียงนั้น
เผยเฉียนได้รับคำอนุญาตจากเทพเซียนผู้เฒ่าก็กุมหมัดเขย่าหนักๆ คลี่ยิ้มเจิดจ้า หยิบเอาตราประทับโบราณเก่าแก่อันหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ จากนั้นก็กระทืบเท้าเบาๆ กระเทือนข้าวของบนภูเขาที่มีประกายรัศมีโชติช่วงมากที่สุดหลายชิ้นซึ่งหมายตาไว้ก่อนหน้านี้ออกมาจากบนศพของผู้ฝึกตนเซียนดินเผ่าปีศาจเหล่านั้นพร้อมกัน พอกวักมือหนึ่งครั้งก็เก็บพวกมันไว้ในวัตถุจื่อชื่อได้แล้ว เผยเฉียนพุ่งตัววาบออกไป ทุกที่ที่ผ่าน ปลายเท้าเหยียบลงบนพื้นดิน พื้นดินในรัศมีหลายลี้มีเพียงข้าวของบนร่างของเผ่าปีศาจที่ดีดตัวขึ้นมา จากนั้นก็ถูกนางใช้ปณิธานหมัดแต่ละเส้นชักนำมาอย่างแม่นยำ ประหนึ่งแขกที่มาเยือนถึงบ้านแล้วพากันเข้ามาในจวนอย่างวัตถุจื่อชื่อนี้
นางขอยืมวัตถุจื่อชื่อตราประทับชิ้นหนึ่งจากพี่หญิงไจ้ซีมาไว้นานแล้ว ภายหลังก็ขอยืมวัตถุฟางชุ่นอีกชิ้นมาจากพี่หญิงจูเหมย การเข่นฆ่าหลายครั้งก่อนหน้านี้ได้รับผลเก็บเกี่ยวไม่มาก เพราะถึงอย่างไรการเข่นฆ่าในแต่ละครั้งล้วนดุเดือดรุนแรง การมีชีวิตอยู่ถึงจะสำคัญที่สุด เผยเฉียนไม่เคยกล้าวอกแวกเสียสมาธิ วันนี้กลับเป็นข้อยกเว้นเพียงหนึ่งเดียว เพียงแต่ว่าบนซากปรักสนามรบในเวลานี้ ต้องเรียกได้ว่าวัตถุดิบวิเศษแห่งฟ้าดินและวัตถุตระกูลเซียนมีมากมายเกลื่อนพื้น กระนั้นเผยเฉียนก็ยังคิดว่าจะอยู่แค่หนึ่งก้านธูปแล้วจากไป ไม่อาจถ่วงรั้งเวลาเทพเซียนผู้เฒ่าไปมากกว่านี้อีกแล้ว
มองดูเหมือนอวี๋เสวียนยืนอยู่บนปลายหอก ทอดสายตามองไกลไปยังฝูเหยาทวีป แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับคอยสังเกตดูการเก็บกวาดข้าวของของผู้ฝึกยุทธหญิงที่อยู่ด้านหลังอยู่ตลอด
มองดูว่าอีกฝ่ายรักษาสัญญา เลือกเก็บเอาแค่สมบัติหนักบนภูเขาที่อยู่บนศพของเผ่าปีศาจเข้ามาไว้ในกระเป๋าจริงหรือไม่ หากไม่ทันระวังเก็บผิดไป ถ้าอย่างนั้นก็อย่าโทษว่าข้าผู้อาวุโสไม่ทันระวังเหมือนกัน
ดีมาก
สายตาในการเลือกของของแม่นางน้อยไม่เลวเลย ทำอะไรก็สำรวมอยู่ในกรอบ อีกทั้งยังระมัดระวังอย่างมาก
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ โชควาสนาต่อให้มากแค่ไหนเจ้าก็ควรจะได้รับเอาไป ขอแค่มองเห็น หยิบขึ้นมาได้ ย้ายไปไหว ก็ล้วนปล่อยให้แม่นางน้อยได้ร่ำรวยแล้วกัน แน่นอนว่าอวี๋เสวียนไม่เห็นข้าวของที่ระดับขั้นปกติธรรมดาเหล่านี้อยู่ในสายตา แล้วนับประสาอะไรกับที่อย่างมากเขาก็แค่จะเก็บกวาดศพบนสนามรบ หลีกเลี่ยงไม่ให้กลายมาเป็นภัยแฝงต่อการศึกในอนาคต ไหนเลยจะมีแก่ใจมาคิดเรื่องหาเงิน อีกอย่างการฝึกตนของอวี๋เสวียนชั่วชีวิตนี้ก็ไม่เคยมีวันใดที่ต้องกลัดกลุ้มกับเงินเทพเซียนและวัตถุแห่งชะตาชีวิต ล้วนอาศัยความสามารถของตัวเองทำให้พวกมันมาเยือนโดยไม่ได้นัดหมายอยู่เสมอ
น่าเสียดายๆ เป็นแม่นางที่งดงามคนหนึ่ง เป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวจะมีอะไรดี ไม่สู้เข้ามาอยู่ในสำนักของข้า เรียนรู้วิชาการเขียนยันต์จากข้า ฆ่าคนไม่ต้องออกหมัดออกเท้าด้วยซ้ำ ต้องรู้ว่าทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมีคำกล่าวว่า ‘ฆ่าคนอย่างมีมาดแห่งเซียน ฝูลู่อวี๋เสวียน’ มาโดยตลอด แม่นางน้อยเคยได้ยินหรือไม่ หวั่นไหวบ้างหรือไม่? สามารถลองหวั่นไหวดูได้นะ
น่าเสียดายที่แม่นางน้อยคนนั้นเพียงแค่ดวงตาเป็นประกาย สมกับคำว่าเห็นเงินแล้วตาโตจริงๆ ไม่รู้เลยสักนิดว่าเงินเทพเซียนที่แท้จริงยืนนิ่งไม่ขยับอยู่ตรงหน้านางนี่เอง
หนึ่งก้านธูปพอดิบพอดี
เผยเฉียนย้อนกลับมาตรงจุดที่ยืนกุมหมัดก่อนหน้านี้อีกครั้ง นางยกมือขึ้นกุมหมัดอีกรอบ เอ่ยขอบคุณและเอ่ยลาเทพเซียนผู้เฒ่า
อวี๋เสวียนพยักหน้ารับ เห็นแม่นางน้อยแล้วถูกชะตากว่าเจ้าเด็กตัวเหม็นเฉาสือนั่นเสียอีก
และผู้เฒ่าเองก็ตัดสินใจแล้วว่าจะไปดูสักหน่อย ไปดูฝูเหยาทวีปแค่ไม่กี่ที โยนยันต์ไปแค่ไม่กี่แผ่น สู้ไม่ได้ก็จะหนี
เผยเฉียนที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยคราบเลือดสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ก่อนจะทะยานลมเดินทางไกลถอยออกไปจากสนามรบ มองศพทั้งหลายที่ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่อาจถูกฝัง ฝังไปแล้วก็ไม่มีความหมาย เผยเฉียนก็กัดริมฝีปาก พูดในใจประโยคหนึ่งว่า “ทุกท่านไปดีนะ”
เผยเฉียนงอเข่าทั้งสองข้างลงเล็กน้อย ทะยานร่างขึ้นสูง พื้นดินสั่นสะเทือน ริ้วคลื่นกระเพื่อมเป็นระลอก กระเทือนให้ศพร่างจริงของผู้ฝึกตนเซียนดินเผ่าปีศาจจำนวนมากแหลกสลาย
อวี๋เสวียนได้ยินเสียงในใจของเผยเฉียนแล้วก็คลี่ยิ้มบางๆ กระทืบลงบนปลายหอกเบาๆ ผู้เฒ่าเปลือยเท้าพลิ้วกายลงบนพื้น หอกยาวเล่มนั้นพลิกหมุนกลับคล้ายเซียนเหรินทะยานลมไล่ตามเผยเฉียนไป ไม่เร็วไม่ช้า มันกับเผยเฉียนปานประหนึ่งม้าสองตัวที่ควบขี่เคียงข้างกัน เผยเฉียนลังเลอยู่เล็กน้อย สุดท้ายก็ยังหันไปคว้าจับหอกยาวที่ด้ามหอกแกะสลักอักขระสีทองเล่มนั้น นี่คืออาวุธโจมตีแห่งชะตาชีวิตของเผ่าปีศาจขอบเขตหยกดิบที่ถูกเทพเซียนผู้เฒ่าอวี๋สังหาร เผยเฉียนหันหน้าไปตะโกนเสียงดัง “ชื่อเสียงของเทพเซียนผู้เฒ่าอวี๋ไม่เกินจริงแม้แต่น้อย มิน่าเล่าอาจารย์พ่อของข้าถึงได้พูดประโยคหนึ่งว่า วิชายันต์ไร้เทียมทาน มีมาดแห่งเซียนยามสังหารคน สายยันต์เมื่ออยู่ในมือของอวี๋เสวียนประหนึ่งแม่น้ำลำธารที่ไหลรินสู่มหาสมุทรใหญ่ ก่อเกิดภาพบรรยายกาศมากมายนับพันนับหมื่น และก็ยิ่งสอนให้ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางได้รู้ถึงมรรคกถาสูงส่งเพียงหนึ่งเดียวในใต้หล้า”
เผยเฉียนรู้สึกเหมือนวัวสันหลังหวะเล็กน้อย อาจารย์พ่อไม่เคยพูดเช่นนี้ ไม่รู้ว่าคำประจบของตนประโยคนี้จะเลยเถิดไปหน่อยหรือไม่ หากอาจารย์พ่ออยู่ด้วยก็ดีน่ะสิ น้ำหนักแรงไฟจะต้องดีกว่านี้แน่นอน
เผยเฉียนไม่กล้ามองโลกมนุษย์มากเกินไปนัก เรื่องเสียใจในโลกมนุษย์ ที่แท้ก็ไม่ได้มีแค่เรื่องราวในยุทธภพยามที่อาจารย์พ่อไม่อยู่ข้างกายเท่านั้น
ไม่เป็นไร ตอนนี้นางรับลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อมาไว้คนหนึ่ง คือคนใบ้น้อยที่ไม่ค่อยชอบพูด แล้วก็พูดอะไรมากไม่ได้
ห่างจากสนามรบไปไกลพันลี้ เผยเฉียนไปเจอกับเด็กชายคนนั้นบนยอดเขาของภูเขาใหญ่ลูกหนึ่ง เขายังคงนั่งยองอยู่บนพื้นด้วยความเคยชิน เฉาสือยืนเคียงบ่าอยู่กับพี่หญิงไจ้ซี ล้วนใส่ชุดขาวกันทั้งคู่ มองดูราวกับคู่รักเทพเซียนที่เดินออกมาจากม้วนภาพวาด
เผยเฉียนพลิ้วกายลงบนพื้นแล้วก็เรียกคำหนึ่งว่าอาหมาน เจ้าใบ้น้อยที่ไม่ยอมพูดผู้นั้นเพียงแค่เงยหน้ามองนางแล้วก็ก้มหน้าลงต่ออีกครั้ง
เผยเฉียนมองเฉาสือแวบหนึ่งด้วยความรู้สึกจนใจเล็กน้อย กระทั่งก่อนหน้านี้ที่ได้เห็นเฉาสือคุมเชิงกับปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานตนหนึ่ง เฉาสือตกเป็นรอง แต่กลับไม่ถึงขั้นว่าจนตรอกมากนัก เผยเฉียนถึงได้รู้ความจริงข้อหนึ่ง ที่แท้ในการเข่นฆ่าบนสนามรบครั้งที่ผ่านๆ มา เฉาสือยังคงไม่ได้ออกหมัดอย่างเต็มกำลัง สังหารปีศาจ ช่วยคน ออกหมัด พละกำลัง ร่องรอย เก็บหมัด แล้วค่อยออกหมัดอีกครั้ง ทุกหมัดล้วนแค่อยู่ในจุดที่พอเหมาะพอสมเท่านั้น ดูเหมือนว่าแต่ละหมัดของเฉาสือล้วนผ่านการคาดการณ์ล่วงหน้ามาก่อน เป็นเหตุให้ไม่จำเป็นต้องปล่อยหมัดเพื่อช่วงชิงความได้เปรียบเลยแม้แต่น้อย
หลังจากที่เผยเฉียนทะยานลมจากไป อวี๋เสวียนก็เปลี่ยนจากลูบหนวดด้วยความกลัดกลุ้มเป็นลูบหนวดด้วยความปลาบปลื้ม มิน่าเล่าแม่นางน้อยถึงได้รู้มารยาทถึงเพียงนี้ ที่แท้ก็มีอาจารย์ที่ดีคอยตั้งใจให้การอบรมสั่งสอนนี่เอง ไม่รู้ว่าอายุเท่าไรแล้ว ถึงได้สุขุมมีความรู้กว้างขวางเช่นนี้
อวี๋เสวียนเก็บรอยยิ้ม เปล่งร่างวูบหายไป มุ่งหน้าลงใต้ไปตลอดทาง ข้ามทวีปเดินทางไกลพลางพึมพำว่า “ไปตายก็ไปตายวะ”
ผู้เฒ่าอยู่เดียวดายเพียงลำพัง มีเพียงยันต์เคียงคู่เป็นเพื่อน
ผู้ที่ช่วยเหลือป๋ายเหย่ด้วยความเที่ยงธรรมไพศาล คือฝูลู่อวี๋เสวียนนั่นเอง
……
ฝูเหยาทวีป
ป๋ายเหย่พกกระบี่ คนชุดเขียวบินทะยานพุ่งพรวดไปยังม่านฟ้า
ขุนเขาสายน้ำของทวีปใต้ฝ่าเท้าได้กลายมาเป็นค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่แห่งหนึ่งแล้ว จากม่านฟ้ามาสู่ผืนแผ่นดิน โชคชะตาแห่งฟ้าอำนวยจำนวนมากถูกใต้หล้าเปลี่ยวร้างรวบปกคลุมไว้ภายใน จากนั้นก็ใช้แนวเส้นเลียบมหาสมุทรเป็นขอบเขต ทำให้กลายมาเป็นกรงขังขนาดใหญ่ยักษ์ที่กักขัง สยบกำราบและล้อมฆ่าป๋ายเหย่คนเดียว
ป๋ายเหย่ไม่สนใจ เพียงแค่ต้องขยับสนามรบให้ห่างจากโลกมนุษย์ เทพเซียนตีกันคนธรรมดาเดือดร้อน ป๋ายเหย่เห็นมาจนชินชาแล้ว ทว่าศึกปิดท้ายของเวทกระบี่ในชีวิตนี้ของตนเป็นดั่งบทจบของกวี แล้วจะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร
ส่วนเรื่องอื่นๆ ตามแต่ใจพวกเจ้า แค่อารมณ์ดีก็พอ
ป๋ายเหย่ถือกระบี่หยุดลอยตัวนิ่ง กวาดตามองไปรอบด้าน ในใจไม่รู้สึกเคว้งคว้าง
ความเสียดายเพียงหนึ่งเดียวคือป๋ายเหย่ไม่ยินดีจะติดค้างใคร เพียงแต่ว่ากระบี่พกที่อยู่เคียงข้างตนมานานหลายปีเล่มนี้ เกินครึ่งคงไม่อาจกลับไปหานักพรคซุนของอารามเสวียนตูใหญ่ได้แล้ว
กระบี่เซียนเล่มนี้มีชื่อว่า ‘ไท่ป๋าย’ (ขาวมาก/ขาวเกินไป)
ครั้งแรกที่นักพรตซุนและกระบี่เซียน ‘ไท่ป๋าย’ ได้พบเจอกัน ก็เป็นครั้งแรกที่นักพรตซุนออกเดินทางไกลมาผ่อนคลายอารมณ์ที่ใต้หล้าไพศาล แรกเริ่มเป็นนักพรตซุนที่มอบกระบี่ให้ ป๋ายเหย่ไม่ยินดีจะรับไว้ นักพรตซุนจึงเปลี่ยนจากยกให้เป็นให้ยืม เหตุผลก็คือชื่อของกระบี่เซียนเล่มนี้ขัดกับสีของดอกท้อในอารามเต๋าของตน ยากที่จะเป็นมหามงคลได้ กระบี่เซียนไท่ป๋ายเล่มนี้จึงเหมาะกับเจ้าป๋ายเหย่มากที่สุด ผินเต้าก็จะคิดเสียว่ามันคือบุตรสาวที่ออกเรือนไปไกลก็แล้วกัน ออกเรือนไกลไปยังไพศาล ถือโอกาสนี้ยอมรับลูกเขยมาอีกหนึ่งคน ไม่ขาดทุนๆ นี่แสดงให้เห็นว่าผินเต้าทำอะไร ก็มีแบ่งแค่กำไรมากหรือกำไรน้อยเท่านั้นจริงๆ …
คนที่สามารถทำให้ป๋ายเหย่รู้สึกว่าตัวเองติดค้าง แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ได้คิดมากสักเท่าไรได้นั้น มีเพียงสามคน ซุนไหวจงเจ้าอารามบรรพจารย์ผู้เฒ่าของสายเซียนกระบี่ลัทธิเต๋า จวินเชี่ยนสหายรักที่ไปเยี่ยมเยือนเซียนด้วยกัน อาจารย์เหวินเซิ่ง
บรรพบุรุษใหญ่ของภูเขาทัวเยว่ โจวมี่มหาสมุทรความรู้ มือกระบี่หลิวชา ป๋ายอิ๋ง หย่างจื่อ เฟยเฟย หยวนโส่ว เจี่ยเหย้า หวงหลวน เจ้าอารามดอกบัว หนิวเตา เชี่ยอวิ้น หลงจวิน อู่เยว่
ใต้หล้าเปลี่ยวร้างเคยมีบัลลังก์สิบสี่แห่ง ทุกวันนี้กลับเป็นแค่เรื่องในอดีตแล้ว
ช่วงเวลาที่ศึกในกำแพงเมืองปราณกระบี่กำลังจะปิดฉากลง เจ้าอารามดอกบัวที่หลอมพระจันทร์ไปครึ่งหนึ่งได้ถูกต่งซานเกิงขึ้นฟ้าไปสังหาร ไม่เพียงเท่านี้ ยังฟันทั้งปีศาจใหญ่และดวงจันทร์ให้ร่วงลงมาพร้อมกัน
——