กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 727.1 ไร้เทียมทานที่แท้จริง
เต๋าเหล่าเอ้อสวมชุดคลุมอาคม สะพายกระบี่เซียน บนศีรษะสวมกวานหางปลา
ลู่เฉินศิษย์น้องที่ยืนฟุบราวรั้วอยู่ด้านข้างกลับสวมกวานดอกบัว บนไหล่มีนกขมิ้นสีเหลืองเกาะอยู่ตัวหนึ่ง
เจ้าลัทธิใหญ่ของป๋ายอวี้จิงในอดีต ลูกศิษย์คนแรกของมรรคาจารย์เต๋า บนศีรษะสวมกวานหรูอี้ ตรงเอวห้อยยันต์ไม้ท้อแผ่นหนึ่ง การที่สามารถรับลูกศิษย์แทนอาจารย์ได้ แน่นอนว่าเป็นเพราะมรรคกถาใกล้เคียงกับมรรคาจารย์เต๋ามากที่สุด
เวลานี้กระบี่เซียนด้านหลังเต๋าเหล่าเอ้อสั่นสะเทือนไม่หยุด ประกายแสงเรืองรองไหลล้นออกมานอกฝัก อักขระเมฆสีทองแต่ละตัวที่เป็นการแสดงออกของมหามรรคาพากันปรากฏกายบนโลก เพียงแต่ว่าพอตัวอักษรสีทองออกจากฝักกระบี่มาแล้วก็ถูกมรรคกถาที่แทบจะเรียกได้ว่าก่อตัวขึ้นเป็นสิ่งของที่จับต้องได้จริงบนร่างของเต๋าเหล่าเอ้อพันธนาการไว้ทันใด บันทึกลับ เนื้อหาคำเขียวทั้งหลายในคัมภีร์ลัทธิเต๋าอยู่ใกล้ในระยะประชิด เดี๋ยวก่อเกิดเดี๋ยวดับสลายไม่แน่นอน ปล่อยให้เจ้าเป็นดั่งปลานับไม่ถ้วนที่ว่ายวนอยู่ในลำธาร ทว่าเป็นตายกลับได้แต่อยู่ในน้ำไปตลอดกาล ออกห่างมาจากฟ้าดินที่เป็นท้องน้ำไม่ได้ บางครั้งที่ปลากระโดดพ้นน้ำขึ้นมา ก็แค่เผยรูปโฉมที่แท้จริงบนฟ้าดินเพียงเสี้ยววินาที สุดท้ายก็ต้องกลับลงไปในน้ำอยู่ดี
ลู่เฉินเอ่ยสัพยอก “ปราณสังหารของศิษย์พี่เข้มข้นขนาดนี้ ระวังจะไปทำให้อารามเสวียนตูใหญ่เปิดค่ายกลกระบี่มาถามกระบี่กับป๋ายอวี้จิงของพวกเราเข้าล่ะ นักพรตซุนท่านนั้นของพวกเราอดทนกับศิษย์พี่มานานมากแล้ว โชคดีที่ข้าช่วยหาน้องเล็กคนหนึ่งมาให้ศิษย์พี่ ไม่อย่างนั้นเรื่องรวบรวมห้าร้อยหลิงกวนให้ครบถ้วน ก็คงต้องถ่วงเวลารั้งรออยู่ที่ใต้หล้าแห่งที่ห้าไปอีกหลายปี นานหน่อยก็สามร้อยปี สั้นหน่อยก็ร้อยปี ถึงอย่างไรก็ไม่งาม”
เต๋าเหล่าเอ้อไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธในเรื่องนี้ ป๋ายอวี้จิงกับอารามเสวียนตูใหญ่มีความแค้นต่อกันมานานหลายพันปี ถูกยกมาพูดถึงเป็นประจำจนน่าเบื่อแล้ว ส่วนเรื่องของห้าร้อยหลิงกวนกลับคืนสู่ตำแหน่งเซียน ก็เป็นแค่เรื่องที่ต้องเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็วเท่านั้น ถึงเวลานั้นอีกสองร้อยปีถัดไป เขารวบรวมห้าร้อยหลิงกวนได้ครบถ้วนแล้วก็จะไปโจมตีนอกฟ้า พวกเทวบุตรมารนอกโลกทั้งหลายก็จะต้องสูญเสียพลังต้นกำเนิดอย่างใหญ่หลวงตามความหมายที่แท้จริง และห้าร้อยหลิงกวนก็จะสมชื่อมากยิ่งขึ้น
การรับมือกับเทวบุตรมารนอกโลกที่ดูเหมือนว่าจะมิอาจสังหารได้หมดสิ้นตลอดกาลเหล่านั้น สามสายของป๋ายอวี้จิง อันที่จริงมีการแบ่งแยกกันไว้นานแล้ว สายของเต๋าเหล่าเอ้อนั้นเรียบง่ายมาก สังหารเป็นหลัก
นอกจากไปสังหารเทวบุตรมารที่นอกฟ้า ทำให้พวกผู้นำของเทวบุตรมารทั้งหลายไม่สามารถหล่อเลี้ยงตัวเองให้ยิ่งใหญ่ได้แล้ว ในอนาคตเต๋าเหล่าเอ้อยังต้องพกกระบี่เดินทางไปทั่วใต้หล้า เป็นผู้นำห้าร้อยหลิงกวานใช้เวลาห้าร้อยปีในการสังหารจิตมารของผู้ฝึกลมปราณโดยเฉพาะ ต้องทำให้พวกเทวบุตรมารนอกโลกที่มีจำนวนนับไม่ถ้วนเหล่านั้นกลายเป็นดั่งน้ำไร้ต้นกำเนิด ไม้ไร้ราก สุดท้ายบีบให้เทวบุตรมารต้องรวมตัวกันเป็นสามส่วน ถึงเวลานั้นก็ค่อยให้เขาและศิษย์พี่ศิษย์น้องสามคนแยกกันไปสยบกำราบคนละหนึ่งตน สร้างความผาสุกให้กับใต้หล้านับแต่นั้น
การกระทำเช่นนี้เมื่อเทียบกับคนบางคนที่สังหารมังกรที่แท้จริงของใต้หล้าไพศาลจนหมดสิ้นแล้วยังเป็นวีรกรรมที่ใหญ่ยิ่งกว่า
ส่วนศิษย์น้องเล็กที่มีนามว่าซานชิงผู้นั้น ความประทับใจที่เต๋าเหล่าเอ้อมีต่อเขาธรรมดา ไม่ดีไม่เลว พอถูไถ
เรื่องเดียวที่ทำให้เต๋าเหล่าเอ้อมองเขาสูงขึ้นมาหน่อยก็คือตอนอยู่ที่ใต้หล้าใหม่เอี่ยมแห่งนั้น ซานชิงกล้าเป็นฝ่ายลงมือทำเรื่องที่ต่อให้มีสถานะลูกศิษย์คนสุดท้ายของมรรคาจารย์เต๋าก็ยังไม่อาจเป็นยันต์คุ้มกันกายให้เขาได้
ทุกวันนี้ซานชิงได้ทำให้กองกำลังของป๋ายอวี้จิงที่เป็นใหญ่เพียงหนึ่งเดียวยิ่งกลายเป็นขุนเขาสายน้ำโดดเดี่ยวของลัทธิเต๋าในใต้หล้าแห่งที่ห้ามากขึ้นกว่าเดิมแล้ว สถานการณ์โดยรวมก็คือป๋ายอวี้จิงมีศัตรูรายล้อมอยู่รอบด้าน ต้องคอยคุมเชิงกับสำนักที่เหลือทั้งหมด แล้วก็เพราะว่าเขาทำเช่นนี้ ถึงทำให้เต๋าเหล่าเอ้อรู้สึกว่าเขาไม่เลว
เจ้าลัทธิรองแห่งป๋ายอวี้จิงที่ถูกขนานนามว่าเป็นผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริงท่านนี้เพียงแค่หัวเราะเสียงหยันเอ่ยว่า “ข้าอยากจะใช้หนึ่งกระบี่ฟันหัวของหนิวเตาปีศาจบนบัลลังก์ให้ขาด ไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นวันสองวันเสียหน่อย”
ปีนั้นอาจารย์จงใจเว้นชีวิตของมัน ให้เสื้อเกราะสีทองที่เกิดจากการจำแลงของดอกบัวสีม่วงทองชนิดหนึ่งพันธนาการร่างของมัน บีบให้มันได้แต่อาศัยการฝึกตนเพื่อสะสมแสงแห่งสติปัญญาน้อยนิดมาปลดเสื้อเกราะออกด้วยตัวเอง ถึงเวลานั้นฟ้าสูงแผ่นดินกว้างใหญ่ อยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็ไม่แน่ว่าอาจจะได้เป็นผู้นำของพื้นที่หนึ่งก็เป็นได้ นับแต่นี้ไปได้บรรลุคำสอนไปหมื่นปี แทบจะใกล้เคียงกับความเป็นอมตะ คิดไม่ถึงว่าจะไม่รู้จักทะนุถนอมโชค แล้วยังใช้วิธีการต่ำช้า หมายจะอาศัยป๋ายเหย่ออกกระบี่ฟันเสื้อเกราะ ช่างย่ำยีวัตถุสวรรค์ยิ่งนัก พวกคนที่โง่เง่าเช่นนี้ไหนเลยจะกล้ามาเป็นแขกที่ป๋ายอวี้จิง
ไม่ว่านิสัยของเต๋าเหล่าเอ้อจะเป็นอย่างไร ในบางความหมายแล้วเขาก็สอดคล้องกับคำว่าเคารพครูบาอาจารย์ตามความหมายของบนโลกมนุษย์มากกว่าศิษย์พี่ศิษย์น้องสองคนของตัวเองเสียอีก
“เรื่องของใต้หล้าไพศาล แนะนำศิษย์พี่ว่าอย่าไปข้องเกี่ยวด้วยจะดีกว่า”
ลู่เฉินเอ่ยอย่างเกียจคร้าน “ปีนั้นบรรพบุรุษคนแรกของสำนักการทหารไร้เทียมทานถึงเพียงใด ก็ยังไม่ได้มีจุดจบเป็นโครงกระดูกถูกแยกออกเป็นห้าส่วน ต้องตายด้วยน้ำมือของมดตัวน้อยในสายตาของเขาหรอกหรือ?”
นอกจากโครงกระดูกกลายเป็นวัตถุที่ถูกแย่งชิงแล้ว หลังจากที่บรรพบุรุษสำนักการทหารลาจากโลกนี้ไป จิตวิญญาณก็ผสานรวมเข้ากับโชคชะตาบู๊ของใต้หล้าทั้งหมด ปูเส้นทางการเดินขึ้นสู่สวรรค์ให้กับผู้ฝึกยุทธเต็มตัวในยุคหลัง และนี่ก็เป็นเหตุที่ว่าทำไมใต้หล้าทั้งหลายถึงไม่เคยจงใจชักนำการอยู่และการไปของโชคชะตาบู๊ บรรพบุรุษคนแรกของสำนักการทหารท่านนั้นมีคุณความชอบในการเดินขึ้นสวรรค์ แต่ก็มีความผิดที่สร้างความแตกแยกให้กับเผ่ามนุษย์ ความชอบและความผิดไม่เท่าเทียมกัน คุณความชอบยังคงเป็นคุณูปการใหญ่หลวง ความผิดทุกอย่างที่ทำลงไปก็ยังต้องรับโทษทัณฑ์นานหมื่นปี
ส่วนผู้ฝึกลมปราณห้าคนที่ตอนแรกแบ่งโครงกระดูกกันไปนั้น ตอนที่อยู่บนสนามรบโบราณในปีนั้น อันที่จริงขอบเขตต่างก็ไม่สูง มีคนชิงเอาศีรษะไปก่อน อีกสี่คนที่เหลือต่างก็ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ คือการ ‘ร่วมฟันผ่า’ บนหน้าหนึ่งในปฏิทินเหลือง
มีนักพรตน้อยคนหนึ่งขี่ลมทะยานขึ้นกลางอากาศจากนครชิงชุ่ยหนึ่งในห้านครของป๋ายอวี้จิง ไปลอยตัวอยู่บนทะเลเมฆห่างไปไกล ประสานมือคารวะต่อจุดสูง นักพรตน้อยมิกล้าเดินขึ้นสู่ที่สูงไปเองโดยพลการ
ในฐานะหนึ่งในห้านครของป๋ายอวี้จิง นครชิงชุ่ยตั้งอยู่ทางทิศเหนือสุด หากอิงตามคำกล่าวของนักพรตซุนแห่งอารามเสวียนตูใหญ่ ชื่อเรียกว่านครชิงชุ่ยอะไรนั่นมาจากคำกล่าวที่ว่า ‘ผลหลีอวี้หวงกรอบสดชื่นจริงๆ’ คล้ายคลึงกับเถาน้ำเต้าลูกหนึ่งที่มรรคาจารย์เต๋าเป็นผู้ปลูกแล้วกลายเป็นน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เจ็ดลูก แน่นอนว่านักพรตนครชิงชุ่ยไม่มีทางยอมรับเรื่องนี้ มองเป็นคำพูดที่ไร้สาระมากกว่า (ชิงชุ่ยชื่อนครแปลว่าเขียวมรกต อ่านเสียงเดียวกับคำว่าชิงชุ่ยที่แปลว่ากรอบสดชื่น)
แต่ระบบเต๋าภายในของนครป๋ายอวี้จิง นครชิงชุ่ยก็มีคำเรียกอีกอย่างหนึ่งว่านครอวี้หวงจริงๆ สถานที่เจ็ดสิบสองแห่งในใต้หล้ามืดสลัวที่อยู่ในการปกครองของนครชิงชุ่ย ในบรรดานั้นมีหนึ่งในสิบถ้ำสวรรค์ใหญ่ สองในสามสิบหกถ้ำสวรรค์เล็ก สามในเจ็ดสิบสองพื้นที่มงคล ราชวงศ์มีหกแห่ง ส่วนอารามเต๋าบนและล่างภูเขาก็ยิ่งมีมากจนนับไม่ถ้วน ทุกๆ หกสิบปีเมื่อถึงวันที่ยี่สิบห้าเดือนสิบสอง เจ้านครชิงชุ่ยจะเรียกรถหลวนเจี้ยคันหนึ่งออกมาลาดตระเวนไปตรวจสอบคุณความชอบและความผิดของขุนนางน้ำใสในราชวงศ์ของใต้หล้า ไปทดสอบผีและเทพตามพื้นที่ต่างๆ สถานที่ที่รถหลวนเจี้ยเคลื่อนผ่านล้วนอยู่ในอาณาเขตของการตรวจสอบทั้งสิ้น ถึงขั้นไม่จำกัดอยู่เฉพาะในอาณาเขตของนครด้วย
ดังนั้นในบรรดาห้านครสิบสองหอเรือนของป๋ายอวี้จิง นครชิงชุ่ยจึงเป็นจวนเซียนแห่งหนึ่งที่ตำแหน่งไม่สูง แต่กลับกุมอำนาจใหญ่อย่างมาก
และการที่นครแห่งนี้มีตำแหน่งสูงส่งก็เพราะเจ้าลัทธิใหญ่ของป๋ายอวี้จิงเคยมาฝึกตนอยู่ที่นี่เป็นเวลานาน อีกทั้งมักจะชอบถ่ายทอดมรรคาต่อใต้หล้าอยู่ที่นี่ ไม่ว่าจะใช่นักพรตเต๋าสามสายของป๋ายอวี้จิงหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นขุนนางในโลกมนุษย์หรือภูตผีวิญญาณหยินของขุนเขาสายน้ำ ถึงเวลานั้นก็ล้วนสามารถเข้าเมืองมาถกปัญหาได้ ดังนั้นนครชิงชุ่ยจึงถูกมองว่าเป็นสถานที่ที่เหมาะที่สุดในการผูกบุญสัมพันธ์กับใต้หล้าของป๋ายอวี้จิง
ลู่เฉินยิ้มพลางกวักมือเรียก เอ่ยคำหนึ่งว่าอวิ๋นเซิงรีบมาที่นี่เร็วเข้า จะมัวเกรงใจกันไปไย นักพรตน้อยถึงได้มายังจุดที่สูงที่สุดของป๋ายอวี้จิง หลังจากพลิ้วกายลงบนระเบียงแล้วก็คารวะเจ้าลัทธิทั้งสองท่านอีกครั้ง ไม่กล้าละเมิดกฎแม้แต่น้อย ฝึกตนอยู่ในป๋ายอวี้จิง อันที่จริงไม่ได้มีกฎอะไรมากนัก ยามที่เจ้าลัทธิใหญ่ดูแลป๋ายอวี้จิง หรือควรจะพูดว่าดูแลทั้งใต้หล้ามืดสลัว ก็สามารถทำได้ถึงขั้นปกครองโดยไม่ต้องตรากฎหมาย เป็นเหตุให้สถานที่สำคัญของลัทธิเต๋าอย่างอารามเสวียนตูใหญ่และตำหนักสุ้ยฉูล้วนยอมรับนับถือจากใจจริง ต่อให้เป็นลู่เฉินลูกศิษย์คนเล็กของมรรคาจารย์เต๋าในอดีต ยามที่ปกครองป๋ายอวี้จิงก็ถือว่าปล่อยไปตามธรรมชาติเหมือนกัน แต่ก็หนีไม่พ้นใต้หล้ามีการทะเลาะถกเถียงกันมากหน่อย ความวุ่นวายมีมากหน่อย การเข่นฆ่าสังหารมีมากหน่อย แปดแห่งของใต้หล้าล้วนมีเสียงกลองรัวดัง แต่ละปีแทบไม่เคยได้ยินเสียงกลองหยุดพัก ทั้งป๋ายอวี้จิงและลู่เฉินต่างก็ไม่ค่อยสนใจ มีเพียงตอนที่เต๋าเหล่าเอ้อเป็นผู้ควบคุมป๋ายอวี้จิงเท่านั้นที่มีกฎเกณฑ์ค่อนข้างมีมาก
เต๋าเหล่าเอ้อชำเลืองตามองกวานเต๋าที่อยู่บนศีรษะของนักพรตน้อยแล้วหัวเราะเสียงเย็น
ตอนอยู่ภูเขาห้อยหัวใช้กวานหางปลา คาดว่าคงเพราะได้รับคำสั่งจากบรรพบุรุษสกุลเจียงหอจื่อชี่ ให้เจ้าตัวน้อยทำตัวประจบเอาใจสายลัทธิเต๋าของเขา ตอนนี้กลับมายังป๋ายอวี้จิงแล้ว เจียงอวิ๋นเซิงก็เลยเปลี่ยนมาสวมกวานเต๋าของนครชิงชุ่ยอย่างกวานหรูอี้
หากไม่เป็นเพราะเห็นแก่หน้าของศิษย์พี่ ตอนนี้นักพรตน้อยก็ต้องเปลี่ยนมาสวมกวานดอกบัวของสายลู่เฉินผู้เป็นศิษย์น้องไปแล้ว ถ้าอย่างนั้นเต๋าเหล่าเอ้อก็คงไม่พูดคุยง่ายแบบนี้แล้ว
ป๋ายอวี้จิงและตลอดทั้งใต้หล้ามืดสลัวต่างก็รู้เรื่องหนึ่งเป็นอย่างดี การที่เต๋าเหล่าเอ้อนิ่งเฉยไม่เอ่ยอะไร เดิมทีก็เป็นการพูดง่ายที่ใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่ง
“อวิ๋นเซิง จะได้เป็นเจ้านครของนครชิงชุ่ยเมื่อไหร่ล่ะ? อาจารย์อาเตรียมของขวัญอวยพรไว้ให้เรียบร้อยแล้วนะ เป็นศิษย์หลานจะปล่อยให้อาจารย์อารอตาปริบๆ นานเกินไปนักไม่ได้ ง่ายจะทำให้คนปวดตา”
ลู่เฉินเอาหน้าแนบติดกับบนราวรั้ว หันหน้ามาหัวเราะคิกคักเอ่ยว่า “ข้ามีความสัมพันธ์ที่ดีกับทั้งอาจารย์ปู่และอาจารย์ของเจ้า พิธีการแต่งตั้งเจ้านคร ต่อให้พวกเขาไม่มา อาจารย์อาก็จะเป็นคนทำแทนให้เอง ล้วนถูกต้องชอบธรรมทั้งสิ้น แล้วนับประสาอะไรกับที่อาจารย์อาขึ้นชื่อว่ามีกฎเกณฑ์น้อยที่สุดแล้ว พิธีการที่เดิมทีต้องเสียเวลาหลายวัน ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูปก็เสร็จแล้ว”
นักพรตน้อยยังคงปิดปากไม่เอ่ยคำใด เพียงแค่คารวะตามพิธีการของลัทธิเต๋าอย่างถูกต้องตามกฎ ทั้งถือเป็นการขอบคุณอาจารย์อาลู่ แล้วก็ถือเป็นการขออภัยอาจารย์อาเจ้าลัทธิรองที่อยู่ด้านข้างด้วย
ตอนนั้นเป็นเด็กน้อยไม่รู้ความ เปลี่ยนมาอยู่ในสายของเจ้าลัทธิใหญ่แห่งป๋ายอวี้จิงลับหลังคนในตระกูลโดยพลการ อันที่จริงก็ถือว่าทำผิดอย่างใหญ่หลวงแล้ว ประเด็นสำคัญก็คือตอนนั้นเจ้าลัทธิใหญ่กำลังสยบกำราบเทวบุตรมารนอกโลกอยู่ที่ฟ้านอกฟ้า จึงไม่รู้เรื่องอะไรด้วย เป็นอาจารย์อาน้อยทั้งนั้นที่ลากเขาให้แอบไปจุดธูปกราบไหว้ภาพเหมือนที่นครชิงชุ่ย แล้วก็ด้วยเหตุนี้ทางตระกูลถึงขั้น ‘เนรเทศ’ เขาไปยังใต้หล้าไพศาลโดยตรงอย่างไม่นึกเสียดาย อีกทั้งยังได้ไปอยู่ที่ภูเขาห้อยหัวแห่งนั้นอีกด้วย แล้วเขายังต้องสวมกวานหางปลาอยู่ตลอดทั้งปี ไม่อย่างนั้นจะขับไล่เขาออกจากศาลบรรพจารย์ของตระกูล หรือไม่ก็ทิ้งเขาไว้ให้อยู่ใต้หล้าไพศาลตลอดไปเสียเลย
นักพรตน้อยมีนามว่าเจียงอวิ๋นเซิง ตอนอยู่ที่ภูเขาห้อยหัวทำหน้าที่เป็นเทพทวารบาลและเป็นเพื่อนบ้านกับจางลู่ชายฉกรรจ์กอดกระบี่มานานหลายปี เจียงอวิ๋นเซิงที่มีหวังจะได้เป็นเจ้านครชิงชุ่ยผู้นี้ อยู่ที่ภูเขาห้อยหัวนั่งพิงเสาผูกวัวต้นนั้นมานานหลายปี ชอบนั่งอยู่บนเบาะรองนั่งพลางอ่านนิยายบุรุษมากความสามารถกับโฉมสะคราญและนิยายเรื่องเล่าในยุทธภพ คือคนที่มีนิสัยเข้ากับคนอื่นได้ง่ายที่สุดในบรรดาเกาเจินของลัทธิเต๋าภูเขาห้อยหัว เด็กๆ หลายคนชอบไปเล่นสนุกอยู่ใกล้เขา ให้นักพรตน้อยช่วยร่ายมรรคกถาให้เมฆลอยหมอกคลุ้ง
บรรพจารย์ในตระกูลของเจียงอวิ๋นเซิงคือเจ้าหอจื่อชี่หนึ่งในห้านครสิบสองหอเรือนของป๋ายอวี้จิง ขอบเขตบินทะยาน
หอจื่อชี่มีไอสีม่วงล้อมเวียนวนแผ่ประกายแสงเรืองรอง อีกทั้งยังมีปราณกระบี่เข้มข้นที่พวยพุ่งเทียมฟ้า ถูกขนานนามว่า ‘ตะวันจันทราลอยล่องก่อเกิดไอม่วง บ้านอยู่ในฝ่ามือของเซียน’ บวกกับที่หอเรือนแห่งนี้ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกสุดของป๋ายอวี้จิง เกาเจินที่เลื่อนอยู่ในอันดับเทพเซียน เดิมทีก็อยู่เหนือเมฆาเรืองรองอยู่แล้ว เป็นพวกที่ได้รับแสงตะวันจันทราก่อนใคร เซียนนักพรตหญิงที่ฝึกตนอยู่ในหอเรือนแห่งนี้ ส่วนใหญ่มีแซ่เดิมว่าเจียง หรือไม่ก็ได้รับมอบแซ่เจียง มักจะสวมกวานพุดตานปักปิ่นแก่นน้ำ อีกทั้งยังมีคำเรียกขานที่ไพเราะว่าชุนกวาน
สกุลเจียงป๋ายอวี้จิงกับสกุลเจียงของใบถงทวีป สภาพการณ์ของทั้งสองฝ่ายมีความคล้ายคลึงกันอย่างน่ามหัศจรรย์
นครชิงชุ่ยเป็นเพื่อนบ้านกับนครเสินเซียว เจ้านครต่างก็เป็นคนของสายเจ้าลัทธิใหญ่ทั้งคู่ ฝ่ายหลังก็คืออริยะลัทธิเต๋าที่นั่งเฝ้าพิทักษ์ม่านฟ้าของกำแพงเมืองปราณกระบี่
ส่วนเทียนซือใหญ่ที่เฝ้าพิทักษ์อยู่บนยอดเขาหลักของภูเขาห้อยหัวนั้นคือลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเต๋าเหล่าเอ้อ รับผิดชอบคอยช่วยเฝ้าดูแลตราประทับตัวอักษรภูเขาที่ใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งห้อยกลับหัวอยู่ในใต้หล้าไพศาลแทนอาจารย์
เจียงอวิ๋นเซิงถือกำเนิดที่หอจื่อชี่ และหอนี้ก็คือสายของเต๋าเหล่าเอ้ออย่างสมชื่อ ทว่าตอนที่เจียงอวิ๋นเซิงยังเป็นเด็ก ภายใต้คำยุแยงของลู่เฉินเจ้าลัทธิสาม ตัวอยู่ในสถานที่ที่สืบทอดต่อกันมาอย่างหอจื่อชี่ ทว่าเขากลับหันไปเข้ากับสายของเจ้าลัทธิใหญ่ ตามทำเนียบวงศ์ตระกูล เจียงอวิ๋นเซิงกับบรรพบุรุษหอจื่อชี่บ้านตนห่างกันหลายรุ่น ทว่าหากอิงตามลำดับศักดิ์สายเต๋าของใต้หล้ามืดสลัว ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เขามีลำดับศักดิ์เท่าเทียมกับบรรพบุรุษของตัวเองยามอยู่ในป๋ายอวี้จิง นี่จึงเป็นเหตุให้ขอแค่ไม่ได้อยู่ในหอจื่อชี่ ยามเจอกับบรรพบุรุษของตัวเองโดยบังเอิญ ต่างฝ่ายต่างต้องคำนับกัน เรียกกันเป็นพี่เป็นน้อง แต่พอกลับไปถึงหอจื่อชี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
เทียนจวินเซี่ยสือแห่งอุตรกุรุทวีป เจ้าสำนักโองการเทพของแจกันสมบัติทวีป เทียนจวินฉีเจิน อันที่จริงเดิมทียังมีเทียนจวินผู้เฒ่าของภูเขาไท่ผิงใบถงทวีปและเจ้าขุนเขาซ่งเหมา
พวกเขาต่างก็ถือว่าเป็นคนของสายลู่เฉิน เต๋าเหล่าเอ้อและสายเจ้าลัทธิใหญ่ ระดับการสืบทอดของสำนักโองการเทพค่อนข้างจะซับซ้อน แม้ว่านักพรตและนักพรตหญิงล้วนต้องสวมกวานหางปลา แต่อันที่จริงกลับมีความเกี่ยวพันกับทั้งสองสาย ถือว่าพอจะเป็นญาติห่างๆ กับห้านครสิบสองหอเรือนของป๋ายอวี้จิงที่อยู่กันคนละใต้หล้าได้
แน่นอนว่ายังมีเฮ้อเสี่ยวเหลียงที่ไปก่อสำนักตั้งพรรคอยู่ในอุตรกุรุทวีป นักพรตที่เก็บตัวอย่างสันโดษอยู่บนภูเขาราชวงศ์ป๋ายซวงแจกันสมบัติทวีปที่ใช้นามแฝงว่าเฉาหรง ต่างก็ถือว่าเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสายลู่เฉินทั้งสิ้น
สำนักเต๋าที่มีชาติกำเนิดมาจากสามสายของป๋ายอวี้จิงนี้อยู่คนละฝ่ายกับจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์หนึ่งภูเขาห้าสำนักของใต้หล้าไพศาลซึ่งมีฝูลู่อวี๋เสวียนเป็นเสาค้ำยันมหาสมุทร