กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 729.2 ดอกหลีขาวเกินไป หมวกหัวเสือ
ที่แท้ใต้หล้าแห่งที่ห้านั้นก็มีกระบี่เซียนอีกเล่มอย่าง ‘เทียนเจิน’ ที่ติดตามว่านฝ่าและเต้าจ้างซึ่งมีชื่อเสียงเลื่องลือมานานไปติดๆ อยู่เงียบๆ ในกำแพงมืองปราณกระบี่มานานหมื่นปี ในที่สุดก็เผยตัวเป็นครั้งแรกบนโลก ปีนั้นลู่เฉินที่อยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูตั้งแผงด้วยความยากลำบากก็เพื่อผูกด้ายแดงเส้นนี้ ลู่เฉินต้องเปลืองแรงอย่างมากกว่าจะเข็นรถไสคันนั้นไปถึงตรอกหนีผิงได้สำเร็จ เพียงแต่ว่าภายหลังตอนอยู่ที่กำแพงมืองปราณกระบี่ ด้ายแดงครึ่งหนึ่งที่อยู่กับหนิงเหยาได้ถูกเฉินชิงตูสะบั้นขาดไปแล้ว ทว่าเฉินผิงอันไม่รู้ว่าคิดอย่างไรกันแน่ ถึงได้จงใจเก็บด้ายแดงเอาไว้คล้ายตั้งใจคล้ายไม่เจตนา
สันดานมนุษย์ซับซ้อนยากจะคาดเดา เดิมทีก็ล่องลอยอยู่ระหว่างสันดานเทพและสันดานสัตว์เอาแน่เอานอนไม่ได้อยู่แล้ว ชักคะเย่ออยู่ในใจคน ถึงสามารถทำให้เผ่ามนุษย์กลายเป็นหนึ่งในนั้นที่ทุบทำลายมหามรรคาของสรวงสวรรค์บรรพกาลได้สำเร็จในท้ายที่สุด
สิ่งศักดิ์สิทธิ์มองว่าพวกเขาเลวร้ายที่สุด เผ่ามนุษย์กลับทำได้ดีที่สุด ต่างคนต่างเดินไปคนละทาง สิ่งหนึ่งเพิ่มสิ่งหนึ่งย่อมลด นับแต่นั้นมาหนึ่งนั้นก็ถูกผลัดเปลี่ยน
เต๋าเหล่าเอ้อชำเลืองตามองลู่เฉินศิษย์น้องที่มีท่าทางลำพองใจ
ลู่เฉินกำลังจะเปิดปากพูดต่อ
นักพรตน้อยที่มีรูปโฉมเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งก็มาปรากฏตัวอยู่ข้างราวรั้ว “หืม?”
ต่อให้เป็นเต๋าเหล่าเอ้อและลู่เฉินก็ยังรู้สึกตั้งตัวไม่ทัน สัมผัสถึงอีกฝ่ายไม่ได้แม้แต่น้อย
ลู่เฉินหุบปากฉับทันใด เก็บสีหน้าทั้งหมดกลับคืน
เต๋าเหล่าเอ้อกราบคำนับอย่างนอบน้อม เอ่ยเสียงทุ้ม “ลูกศิษย์อวี๋โต้วคารวะอาจารย์”
เต๋าเหล่าเอ้อแห่งป๋ายอวี้จิง นามเดิมอวี๋โต้ว บ้านเกิดคือใต้หล้ามืดสลัว ฝึกตนมาแปดพันปี
ลู่เฉินรีบทิ้งตัวหงายหลัง ก่อนจะพลิกตัวกลับแล้วพลิ้วกายลงบนพื้น พอยืดเอวขึ้นตรงก็คำนับทันที “ลูกศิษย์ลู่เฉินคารวะท่านอาจารย์”
เจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิง ชื่อเดิมลู่เฉิน ฉายาเต๋าเซียวเหยา บ้านเกิดใต้หล้าไพศาล ฝึกตนหกพันปี เข้ามาอยู่ในป๋ายอวี้จิงห้าพันปี
เพียงแต่ว่ารูปลักษณ์ยามพิศมรรคาของมรรคาจารย์เต๋าในถ้ำสวรรค์เล็กเหลียนฮวา กลับไม่ใช่เด็กหนุ่ม
มรรคาจารย์เต๋ายิ้มบางๆ “น่าเสียดายที่ไม่ได้เห็นป๋ายเหย่ออกกระบี่กับตาตัวเอง”
ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้ แต่เพราะไม่ยินดีจะทำลายกฎ ปีนั้นบรรพจารย์สามลัทธิอย่างปรมาจารย์มหาปราชญ์ มรรคาจารย์เต๋าและศาสดาพุทธร่วมกันตั้งกฎเกณฑ์ให้กับฟ้าดิน ต่อจากนั้นมาหนึ่งหมื่นปี แต่ละฝ่ายต่างก็ไม่เคยละเมิดกฎแม้แต่ครั้งเดียว
ข้างกายของ ‘เด็กหนุ่ม’ ผู้นี้มีแขกต่างถิ่นคนหนึ่งที่มาปรากฎตัวเป็นแขกในป๋ายอวี้จิงเป็นครั้งแรกซึ่งปรากฎตัวช้ากว่ามรรคาจารย์เต๋าเพียงหนึ่งก้าว เขาก็คือตงไห่เจ้าอารามผู้เฒ่าของอารามกวานเต๋าแห่งใบถงทวีปใต้หล้าไพศาล
สำหรับเจ้าอารามผู้เฒ่าขอบเขตสิบสี่ท่านนี้ เห็นได้ชัดว่าเต๋าเหล่าเอ้อไม่เห็นอยู่ในสายตา ไม่แม้แต่จะชายตามองสักครั้ง
ลู่เฉินยิ้มกล่าว “เจ้าอารามผู้เฒ่าช่างมีวิชาอภินิหารยอดเยี่ยมนัก ถึงขั้นงัดข้อกับอาจารย์ของข้าได้แล้ว ปีนั้นแพ้ให้กับซิ่วไฉเฒ่าได้อย่างไรกันนะ เป็นเหตุให้ต้องเสียปิ่นปักผมไปก่อนอันหนึ่ง แล้วยังต้องเสียแก่นตะวันจันทราของพื้นที่มงคลดอกบัวไปอีก ช่างทำให้ผู้เยาว์รู้สึกประหลาดใจเป็นทบทวี”
เจ้าอารามผู้เฒ่าหลุดหัวเราะพรืด “แพ้? เต๋ามีก่อนหลัง? คาถามีน้อยใหญ่? เรือกลวงมีสูงต่ำ?”
มองดูเหมือนนักพรตผู้เฒ่าพูดอย่างไม่ใส่ใจ ทว่าพอถ้อยคำหลุดจากปากคาถาก็ตามติด เป็นเหตุให้ทั้งห้านครสิบสองหอเรือนของป๋ายอวี้จิงต่างก็สัมผัสได้ถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งนครเสินเซียวที่ตำแหน่งเจ้านครยังถูกปล่อยวางไว้ที่โยกคลอนรุนแรงที่สุด
ลู่เฉินทำท่ากระจ่างแจ้ง “ได้รับความรู้แล้ว ได้รับความรู้”
เต๋าเหล่าเอ้อแค่นเสียงเย็นชา ความผิดปกติของนครเสินเซียวก็หยุดลงตามไปด้วย
มรรคาจารย์เต๋าเอ่ย “ลู่เฉิน”
ลู่เฉินเข้าใจได้ทันที จึงรีบยิ้มเอ่ยว่า “รับคำบัญชาจากท่านอาจารย์”
ทว่าเจ้าลัทธิสามท่านนี้กลับไม่ได้ไปที่ฟ้านอกฟ้า แต่กลับตรงไปที่อารามเสวียนตูใหญ่
ส่วนเต๋าเหล่าเอ้อกลับไปฟ้านอกฟ้า ช่วงระยะเวลานี้ก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องช่วยศิษย์น้องลู่เฉินเก็บกวาดเรื่องเละเทะ
เจ้าอารามผู้เฒ่าเอ่ย “ใต้หล้าแห่งที่ห้า ฟ้าจะเปลี่ยนสีแล้ว”
ใต้หล้าใหม่เอี่ยมแห่งหนึ่งที่ฟ้าดินเพิ่งเปิดออกใหม่ มหามรรคาจึงมีการกดกำราบรุนแรงที่สุด ใครที่สูงก็โดนกดทับลงมาบนบ่าของคนผู้นั้น ทว่าก่อนหน้านี้หนิงเหยา ‘ปราณโชติช่วง’ เหลือเกิน ฉายประกายคมกริบ เป็นเหตุให้แม้แต่มหามรรคาของฟ้าดินแห่งนั้นยังจำต้องหลบเลี่ยงประกายแหลมคมของนางก่อนชั่วคราว เดิมทีหากไม่มีเรื่องไม่คาดฝัน หนิงเหยาจะต้องได้เลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยาน ถึงเวลานั้นจึงจะเป็นช่วงเวลาอันเป็นกุญแจสำคัญของมหามรรคา เพราะถึงอย่างไรขอบเขตบินทะยานอันดับที่หนึ่งของใต้หล้า กับขอบเขตสิบสี่คนแรกของฟ้าดิน ขนาดเล็กใหญ่ของทัณฑ์สวรรค์ที่สะสมเอาไว้ก็แตกต่างกันราวก้อนเมฆกับดินโคลน
ทว่าเมื่อแม่หนูนั่นเรียกกระบี่เซียนให้เดินทางไกลมาถึงใต้หล้าไพศาล กระตุกผมเส้นเดียวสะเทือนไปทั้งร่าง ตัวแปรจะมีเพิ่มมากขึ้นอย่างถึงที่สุด
พวกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาลที่กระเหี้ยนกระหือรือทั้งหลายไม่มีทางแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น และมีความเป็นไปได้มากว่าจะไม่จำศีลซ่อนตัวอยู่ตามจุดต่างๆ แต่จะพากันกรูออกมา
มรรคาจารย์เต๋าเอ่ย “แล้วอย่างไรเล่า”
เจ้าอารามผู้เฒ่าพยักหน้ารับ “ฟ้าเปลี่ยนสีไม่แน่เสมอไปว่าจะต้องเปลี่ยนฟ้า”
มรรคาจารย์เต๋ายิ้มเอ่ย “ใช่แล้ว”
……
นครบินทะยาน
เหนี่ยนซินมองหนิงเหยาที่สีหน้าซีดขาวเล็กน้อยแล้วถามว่า “เหตุใดต้องทำเช่นนี้ ไยต้องลำบากทำเช่นนี้?”
เหนี่ยนซินไม่เห็นด้วยกับการเลือกของหนิงเหยาจริงๆ วู่วามเกินไป เลือดร้อนเกินไป
นางเริ่มรู้สึกเสียใจภายหลังแล้วที่มอบจดหมายลับฉบับนั้นให้หนิงเหยาก่อนเวลา
การออกกระบี่ของจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ก็ดี การออกกระบี่ของเต๋าเหล่าเอ้อของป๋ายอวี้จิงก็ช่าง ล้วนยังมีพละกำลังหลงเหลือ แต่ทุกวันนี้หนิงเหยาเพิ่งจะเป็นแค่คอขวดเซียนกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินเท่านั้น เรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่แท้จริงออกมาแล้ว ไม่เพียงแต่เดินทางไกลไปยังใต้หล้าแห่งอื่น ยังจะเข้าร่วมการต่อสู้ของเทพเซียนอย่างสมชื่อนั้นด้วย ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ล้วนไม่คุ้มค่า หากกระบี่เซียน ‘เทียนเจิน’ ได้รับความเสียหาย กลับมาพร้อมอาการบาดเจ็บก็คือความเสียหายที่ใหญ่หลวงมากแล้ว และหากกระบี่เซียนต้องปริแตกหล่นหายอยู่ในสนามรบของฝูเหยาทวีปนับแต่นี้ ไม่แน่ว่าขอบเขตของหนิงเหยาอาจถอยไปอยู่ที่หยกดิบโดยตรงก็เป็นได้ นั่นเท่ากับว่านครบินทะยานสูญเสียหนิงเหยาเซียนกระบี่ใหญ่ที่ได้ยึดครองเก้าอี้อันดับหนึ่งของใต้หล้าอย่างมั่นคงไป และหนิงเหยาก็จะอยู่ห่างจากบุคคลอันดับหนึ่งขอบเขตบินทะยานของใต้หล้าใหม่เอี่ยม ไม่เพียงแต่ไม่ขยับเข้าใกล้ กลับกันยังยิ่งไกลห่างออกไป สุดท้ายเมื่อช้าไปหนึ่งก้าวก็ต้องช้าไปเสียทุกก้าว ไม่เพียงแต่มหามรรคาของหนิงเหยาเท่านั้นที่จะพบเจอกับอุปสรรค ยังมีความเป็นไปได้อย่างถึงที่สุดว่านับแต่นี้นครบินทะยานจะสูญเสียโอกาสได้เปรียบอันดีที่จะช่วงชิงความเป็นหนึ่งในใต้หล้าไปด้วย
หนิงเหยานั่งอยู่บนธรณีประตู เงียบงันไม่เอ่ยคำใด นางเพียงแค่ยื่นมือไปเช็ดเลือดสดตรงหว่างคิ้วเท่านั้น
ไม่ว่าจะชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียอย่างไร หนิงเหยาก็ไม่ควรทำอะไรโดยใช้อารมณ์เช่นนี้ เหนี่ยนซินส่ายหน้าเอ่ยว่า “หากเฉินผิงอันอยู่ที่นี่จะต้องขัดขวางเจ้าอย่างแน่นอน”
“เพื่อนครบินทะยาน อะไรที่ต้องทำ ข้าล้วนจะทำทั้งหมด”
หนิงเหยาเอ่ย “ทว่านครบินทะยานคือนครบินทะยาน ข้าคือข้า หากนครบินทะยานไม่มีผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งแล้วจะต้องสูญเสียสถานการณ์ใหญ่ในใต้หล้าไป ข้าก็ไม่รู้สึกว่านครบินทะยานที่มีหนิงเหยาจะช่วงชิงใต้หล้ามาได้จริงๆ หากนครบินทะยานต้องสูญเสียโอกาสไปนับแต่นี้จริง ข้าก็ไม่ได้ทำผิดต่อนครบินทะยานแม้แต่น้อย”
เพียงแค่ผิดต่อแผนการอันยากลำบากมากมายที่เขาวางเอาไว้เท่านั้น
และหนิงเหยาก็ไม่รู้สึกว่าถ้าเขาอยู่ข้างกายแล้วจะต้องขัดขวางไม่ให้ตนออกกระบี่
อีกอย่างหากมีเขาเป็นอิ่นกวานอยู่ในนครบินทะยาน นางก็มีแต่จะสบายกว่านี้ ไหนเลยจะต้องเหนื่อยกายเหนื่อยใจอยู่เช่นนี้ แค่ออกกระบี่ก็พอแล้ว
หนิงเหยายื่นหลังมือมาดันไว้ตรงหว่างคิ้ว
การเรียกกระบี่ครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก
ก่อนหน้านี้อยู่ในกำแพงมืองปราณกระบี่นอกจากเฉินชิงตูแล้วก็มีแค่ผู้ฝึกกระบี่อาวุโสไม่กี่คนซึ่งมีต่งซานเกิง เฉินซีเป็นหนึ่งในนั้นเท่านั้นที่รู้ว่าแท้จริงแล้วนางมี ‘กระบี่บินแห่งชะตาชีวิต’ เล่มที่สองนอกเหนือจาก ‘จ่านเซียน’
แล้วนับประสาอะไรกับที่ต่อให้เป็นกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต ‘จ่านเซียน’ เล่มนั้น หนิงเหยาเองก็ไม่ใคร่จะยินดีเรียกออกมา เพราะง่ายที่จะถูก ‘เทียนเจิน’ ชักนำ เป็นเหตุให้จิตแห่งกระบี่ของหนิงเหยาสูญเสียการควบคุม ถึงเวลานั้นก็จะต้องกลายมาเป็นคนถือกระบี่ของกระบี่เซียน ‘เทียนเจิน’ จริงๆ แล้ว ความพยศยากจะกำราบของวิญญาณกระบี่ในกระบี่เซียน จิตแห่งกระบี่บริสุทธิ์อย่างถึงที่สุด ผู้ฝึกตนหากไม่ใช้ขอบเขตฝืนสยบกำราบเอาไว้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องใช้จิตแห่งกระบี่ที่แข็งแกร่งไปขัดเกลา ไม่มีวิธีอื่นอีกแล้ว อะไรที่บอกว่าจิตใจคนดีเลว อะไรที่บอกว่าใกล้ชิดกับมหามรรคา ล้วนเป็นเพียงคำกล่าวที่เลื่อนลอยเท่านั้น
การบำรุงความอบอุ่นให้กระบี่บินสองเล่มของหนิงเหยาเดิมทีก็เป็นทั้งการหลอมกระบี่ แล้วก็เป็นการใช้ ‘จ่านเซียน’ มาถามกระบี่ ‘เทียนเจิน’ ด้วย
ในความเป็นจริงแล้วหนิงเหยาเคยถามคำถามหนึ่งกับเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเป็นการส่วนตัว สัญญาหกสิบปีนั้น เฉินผิงอันจะไม่เป็นไรจริงๆ หรือ?
ตอนนั้นเฉินชิงตูตอบไม่ตรงคำถาม คงต้องดูที่อารมณ์ของผู้อาวุโสท่านนั้นในเวลานั้นกระมัง
เหนี่ยนซินพลันขมวดคิ้ว เอ่ยว่า “เจ้าต้องระวังว่าจะถูกมหามรรคาของฟ้าดินแห่งนี้เล่นงาน”
หนิงเหยาหันหน้าไปมองคนเย็บผ้า ราวกับว่าคำกล่าวนี้มีคนเอ่ยเตือนเหนี่ยนซินมาก่อน จากนั้นเหนี่ยนซินถึงมาเอ่ยเตือนตนอีกที
เหนี่ยนซินส่ายหน้า “เรื่องนี้ข้ายังคงต้องรักษาสัญญา”
หนิงเหยาพยักหน้า “ไม่มี ‘เทียนเจิน’ ข้ายังมี ‘จ่านเซียน’”
เหนี่ยนซินพลันหัวเราะ “คนที่ทำให้เขาชื่นชอบได้ มีเพียงหนิงเหยาจริงๆ ด้วย”
ปีนั้นตอนที่อยู่ในคุก เกี่ยวกับการได้พบเจอและได้กลับมาพบเจอกับหนิงเหยาอีกครั้ง อิ่นกวานหนุ่มไม่เคยเล่าให้ใครฟัง ราวกับเป็น…ผีขี้เหนียว เป็นทาสเฝ้าทรัพย์ที่หากพูดมากแม้แต่คำเดียวก็จะทำให้เงินทองของเขาหายไปอย่างไรอย่างนั้น
กลับเป็นซวงเจี้ยงเทวบุตรมารนอกโลกขอบเขตบินทะยานตนนั้นที่เนื่องจากมันกับอิ่นกวานหนุ่มต่างฝ่ายต่างวางแผนเล่นงานกัน จึงรู้เรื่องวงในบางอย่าง แล้วก็เพราะเก็บไว้คนเดียวอัดอั้นเกินไป จึงเล่าให้เหนี่ยนซินฟังบางส่วน
อันที่จริงซวงเจี้ยงเองก็ไม่เคยเห็นสภาพจิตใจอันลุ่มลึกซับซ้อนจนคล้ายกับเขาวงกตของเฉินผิงอันได้อย่างชัดเจนสักที เพียงแค่เล่าถึงสภาพจิตใจที่พร่าเลือนสองอย่างให้เหนี่ยนซินฟัง หนึ่งคือเด็กหนุ่มที่เดินฝีเท้าหนักอึ้งไปหาเรือนหลังเล็กในตรอกทรุดโทรม ฟ้าดินมืดสลัวดำทะมึน มีเพียงในห้องของบ้านบรรพบุรุษเท่านั้นที่เหมือนมีแสงสว่างจากตะเกียง สว่างไสว อบอุ่น เด็กหนุ่มรองเท้าแตะยืนหยุดอยู่ตรงหน้าประตูครู่หนึ่ง มองแสงสว่างในห้อง เขาทั้งไม่กล้าเชื่อ แล้วก็ทั้งรู้สึกมีความสุขอย่างห้ามไม่ได้ นี่ทำให้ฝีเท้ายามข้ามผ่านธรณีประตูของเด็กหนุ่มเร็วและเบาขึ้นหลายส่วน ทว่าฝีเท้ายามก้าวเดินของเด็กหนุ่มกลับระมัดระวังและช้ากว่าเดิม ราวกับตัดใจเดินเร็วไม่ลง
อีกภาพหนึ่งก็คือภาพเด็กหนุ่มเดินไปยังสะพานแบบคานเพียงลำพัง ฝีเท้าโซซัดโซเซ ฟ้าดินยิ่งมืดมิดจนมองไม่เห็นนิ้วมือทั้งห้า เพียงแต่ว่าเมื่อเด็กหนุ่มที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความตายเงยหน้าขึ้นช้าๆ มองเห็นคนที่นั่งอยู่บนขั้นบันได ดวงตาทั้งคู่ของเด็กหนุ่มที่เดิมทีดำมืดเหมือนน้ำหมึก ราวกับตกลงไปในหุบเหวในบ่อโบราณ พลันเหมือนมองเห็นแสงตะวันแสงจันทรา
หนิงเหยาเอ่ยขอตัวแล้วจากไป
เหนี่ยนซินเอาตะเกียงวางกลับลงไปบนโต๊ะอีกครั้ง
จวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์
หลังจากซิ่วไฉเฒ่าไปจากหอเด็ดดาว จ้าวเทียนไล่ก็เอ่ยว่า “รบกวนสหายอู๋เล่ยไปเยือนฝูเหยาทวีปสักรอบ จะปล่อยให้ใต้หล้าทั้งหลายหัวเราะเยาะจวนเทียนซือของพวกเราว่ามีกระบี่เหมือนไม่มีไม่ได้”
นักพรตน้อยพยักหน้ารับ กลายร่างเป็นแสงกระบี่เส้นหนึ่งที่พุ่งนำไปยังฝูเหยาทวีปก่อน
ตอนที่ซิ่วไฉเฒ่ามาปรากฎตัวในจวนเทียนซือ อันที่จริงก็คือช่วงเวลาที่สถานการณ์การสู้รบในฝูเหยาทวีปอันตรายที่สุด
เป็นเหตุให้ตอนที่ซิ่วไฉเฒ่าออกมาจากภูเขาสุ้ยซาน หวนกลับคืนมายังสถานที่ที่เคยมาเยือนอย่างจวนเทียนซือไม่ได้วิ่งวุ่นไปทั่วเหมือนแมลงวันไร้หัว เพียงแต่ก่อนที่ซิ่วไฉเฒ่าจะเร่งรุดเดินทางมายังภูเขามังกรพยัคฆ์ ปรมาจารย์มหาปราชญ์กลับเอ่ยถ้อยคำประหลาด บอกเขาว่าพอไปถึงจวนเทียนซือแล้วให้เดินเล่นตามสบายไปก่อน ไม่ต้องรีบร้อนไปพูดคุยกับสหายเก่า ดังนั้นจึงมีการตามหาสุราตามคำสั่งของซิ่วไฉเฒ่า ดื่มเหล้าของเจ้าจ้าวเทียนไล่เล็กๆ น้อยๆ จะเป็นอะไรนักหนา กลอนคู่บทนั้นเขียนตัวอักษรไปตั้งกี่ตัวกัน? โดยเฉพาะอย่างยิ่งสี่คำว่า ‘ฟ้าและคนรวมเป็นหนึ่ง’ นั้น สามารถมอบให้กันได้ง่ายๆ หรือ?
สำหรับเรื่องนี้ก็ใช่ว่าปีนั้นทางฝั่งศาลบุ๋นจะไม่เคยมีการทะเลาะกันมาก่อน รู้สึกว่านี่จะเป็นการแบ่งเอาปราณบุ๋นของระบบลัทธิขงจื๊อไปส่วนหนึ่ง ประเด็นสำคัญคือยังไม่เหมาะกับหลักมารยาทพิธีการด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าลัทธิและรองเจ้าลัทธิของศาลบุ๋นสองคนที่มีคุณความชอบในการสร้างระบบสายบุ๋นขึ้นมาใหม่อีกครั้งที่แม้สุดท้ายจะรับฟังเหตุผลจากซิ่วไฉเฒ่า แต่ก็ไม่มีสีหน้าดีๆ ให้เขาเห็น ดังนั้นซิ่วไฉเฒ่าก็แค่ดื่มเหล้าหมักกุ้ยฮวาของเจ้าแค่ไหเดียวเท่านั้น ยังชดเชยน้ำลายหลายถังใหญ่ที่เถียงกับคนอื่นกลับมาไม่ได้เลย ส่วนเหล้าหมักกุ้ยฮวาอีกหลายสิบไหที่ไม่ทันระวังลืมเอาไปวางกลับที่เดิมนั้น แน่นอนว่าช่วยเก็บไว้ให้จวนเทียนซือของพวกเจ้า แล้วนับประสาอะไรกับที่ถอยไปพูดหมื่นก้าว มอบให้ใครก็ต้องเอาไปดื่มเหมือนกันดไม่ใช่หรือ จวนเทียนซือมีแขกผู้มีเกียรติมาเยือนไม่ขาดสายแล้วอย่างไร ในบรรดานี้มีเทพใหญ่ของภูเขาสุ้ยซานซานจวินอันดับหนึ่งของใต้หล้าไพศาลไหม? มีป๋ายเจ๋อไหม? มีปรมาจารย์มหาปราชญ์หรือนายท่านผู้เฒ่าหลี่เซิ่งไหม? เป็นคนต้องมีมโนธรรมในใจหน่อย ได้ผลประโยชน์ไปแล้วยังทำเหมือนถูกเอาเปรียบ ไม่ใช่นิสัยที่ดี ต้องเปลี่ยนได้แล้ว
หลังจากที่ซิ่วไฉเฒ่าถูกจ้าวเทียนไล่โยนออกจากหอเด็ดดาว สนามรบของฝูเหยาทวีปก็ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน
ท่ามกลางฟ้าดินสนามรบโบราณส่วนหนึ่งที่จำแลงมาจากจิตธรรมของป๋ายเหย่ ฝูลู่อวี๋เสวียนแห่งแผ่นดินกลางกับป๋ายอิ๋งปีศาจใหญ่บัลลังก์กระดูกจับคู่เข่นฆ่ากัน
หนึ่งในสิบสี่บัลลังก์ราชาของใต้หล้าเปลี่ยวร้างคุมเชิงอยู่กับหนึ่งในสิบคนของไพศาล ยันต์หุ่นเชิดที่เกิดจากการโปรยถั่วเป็นกองทัพเข่นฆ่าอยู่กับกองทัพใหญ่กระดูกขาวใต้บัญชาการณ์ของป๋ายอิ๋งทั่วทุกหนแห่ง สนามรบแผ่ลามไปทั่วทั้งฟ้าดิน
เป็นเหตุให้ฟ้าดินจิตธรรมของป๋ายเหย่ปริแตกไม่เหลือสภาพดีนานแล้ว เพียงแต่ว่าได้รับการประคับประคองจากยันต์นับหมื่นของอวี๋เสวียน วิชาตระกูลเซียนเย็บปะฟ้าดินนี้ ไม่อาจไม่พูดว่าเป็นวิชาอภินิหารอันยอดเยี่ยม เพราะแท้จริงแล้วเมื่อเทียบกับการสร้างฟ้าดินเล็กขึ้นมาโดยเฉพาะกลับทำได้ยากยิ่งกว่า
ป๋ายเหย่ยังคงถือกระบี่ไท่ป๋ายฟันบัลลังก์ทั้งห้าครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งกระบี่ทั้งบทกวีล้วนสง่างามองอาจ
เมื่อในที่สุดหย่างจื่อก็สามารถบอกถึงรากฐานการผสานมรรคาขอบเขตสิบสี่ของป๋ายเหย่ได้ว่า คือบทกวีในใจของ ‘กวีผู้ไร้เทียมทานแห่งไพศาล’ ท่านนี้
แทบจะเวลาเดียวกันนั้น หลงเจี้ยนผู้ถือกระบี่ใต้บังคับบัญชาของป๋ายอิ๋งที่กำลังอยู่ในฟ้าดินเล็กแห่งหนึ่งกับฝูลู่อวี๋เสวียนก็สะบัดควงกระบี่ยาวที่หลอมมาจากจิตวิญญาณของกวนจ้าวเบาๆ ตัวอักษรสีทองบทหนึ่งก็พลันสั่นสะเทือนแล้วกลายเป็นผุยผง
ทว่าระหว่างฟ้าดินกลับไม่มีปราณวิญญาณเพิ่มมาแม้แต่เสี้ยวเดียว
เชี่ยอวิ้นกุมขมับอย่างจนใจ ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “มารดาแท้ๆ ของข้า น้องหญิงหย่างจื่อในที่สุดเจ้าก็เดาออกแล้ว ทว่าปัญหาในตอนนี้ใช่เรื่องนี้ไหม? ไม่ใช่ว่าต้องเดาว่าสรุปแล้วในใจของป๋ายเหย่ยังเหลือบทกวีกี่บท เหลือบทกลอนกี่ประโยคหรอกหรือ?”
การผสานมรรคาของขอบเขตสิบสี่
สามารถแบ่งออกเป็นหลักๆ ได้สามชนิดคือฟ้าอำนวย (จังหวะเวลาและโอกาส) ดินอวยพร (ทำเลที่ตั้ง ชัยภูมิทางภูมิศาสตร์) และคนสามัคคี (พลังสมัครสมานในการขับเคลื่อนของคน)
ผสานมรรคากับขุนเขาสายน้ำของพื้นที่หนึ่งในใต้หล้าถือเป็นดินอวยพร คล้ายคลึงกับหย่าเซิ่งและเหวินเซิ่งของใต้หล้าไพศาล
เจ้าอารามดอกบัว ฝูลู่อวี๋เสวียนนั้นถือเป็นการผสานมรรคาด้วยฟ้าอำนวย เกี่ยวข้องกับตะวันจันทราดาราที่นับแต่โบราณมาก็ไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลง ราวกับว่าไม่ถูกแม่น้ำแห่งกาลเวลากัดเซาะรุกราน
ส่วนการผสานมรรคาขอบเขตสิบสี่ของป๋ายเหย่กลับถือเป็นคนสามัคคี
นอกจากนี้ผู้ฝึกกระบี่คิดอยากจะเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ ส่วนใหญ่แล้วก็น่าจะเป็นเช่นนี้ ฟ้าอำนวยนั้นไม่จำเป็นต้องคาดหวัง ส่วนดินอวยพรก็ไร้ความหมาย แล้วนับประสาอะไรกับที่เดิมทีผู้ฝึกกระบี่ก็แสวงหาในคำว่า ‘ฟ้าดินมิอาจพันธนาการกระบี่ของข้า’ แล้วมีหรือจะเป็นฝ่ายไปผสานมรรคาพิสูจน์มรรคากับฟ้าดินด้วยตัวเอง