กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 730.2 ชีวิตคนราวกับคอยวนเวียนอยู่ในตรอกทรุดโทรม
- Home
- กระบี่จงมา Sword of Coming
- บทที่ 730.2 ชีวิตคนราวกับคอยวนเวียนอยู่ในตรอกทรุดโทรม
โจวมี่หันหน้ามองไปยังอาณาเขตของขุนเขาใหญ่แสนลี้ทางทิศใต้ที่ห่างไกล ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เผ่าปีศาจป๋ายเจ๋อ ช่วยพูดจาแทนใต้หล้าไพศาล เจี่ยเซิงเผ่ามนุษย์ ช่วยวางแผนให้กับใต้หล้าเปลี่ยวร้าง เจ้าคิดว่ายังมีพันธมิตรตามธรรมชาติคู่ไหนที่เหมาะสมกันยิ่งกว่าพวกเราสองคนอีกหรือ?”
หลีเจินเอ่ย “น่าเสียดายที่ไม่สำเร็จ”
โจวมี่กล่าว “น่าเสียดายจริงๆ”
หลีเจินกล่าวอย่างปลงอนิจจัง “วิธีการของเจี่ยเซิงช่างอำมหิตจริงๆ”
โจวมี่ยิ้มเอ่ย “แผนโจ่งแจ้งต้องใช้ แผนในมุมมืดก็ต้องใช้ หากสามารถเอาแผนในที่มืดมาใช้เหมือนแผนเปิดเผยได้ ก็คือผู้ประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ของสำนักการทหาร”
หลีเจินพึมพำเบาๆ “ปีนั้นศาลบุ๋นไม่ควรปล่อยให้ท่านมีชีวิตรอดออกมาจากใต้หล้าไพศาลเลย อย่างน้อยที่สุดตอนอยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ควรจะทำให้ท่านเจี่ยเซิงตายไปเฉียบพลันอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย”
โจวมี่เพียงแค่ส่ายหน้า
หลีเจินถาม “สรุปแล้วท่านต้องกินปีศาจใหญ่ไปมากอีกแค่ไหนถึงจะยอมเลิกรา? ข้าประหลาดใจนัก ตอนนี้ขอบเขตของท่านแค่ขอบเขตสิบสี่จริงหรือ? ท่านกับอาจารย์ของข้า…”
โจวมี่โบกมือ “อะไรที่ไม่ควรรู้ก็อย่าถามให้มากความ แล้วก็ไม่ต้องคิดมาก”
กระบี่ที่หลิวชาปล่อยไปอย่างเต็มกำลังเพื่อสังหารป๋ายเหย่ อยู่ในทะเลสาบที่เกิดจากแม่น้ำแห่งกาลเวลาหยุดชะงัก แต่กลับคล้ายว่าอยู่ดีๆ ทะเลสาบนั้นกลายมามีท้องน้ำอีกครั้ง เป็นเหตุให้กระบี่เซียนสี่เล่มที่ป๋ายเหย่ถืออยู่ในมือสังหารปีศาจใหญ่บนบัลลังก์สี่ตนจริงๆ หลังจากนั้นป๋ายเหย่ก็เผาผลาญปราณวิญญาณและบทกวีที่ภาคภูมิใจที่สุดในใจจนหมดสิ้น ต่อมาก็ถูกโจวมี่พลิกทวนกระแสน้ำแห่งกาลเวลาช่วงนั้นให้ไหลย้อนกลับ หลงเหลือเพียงป๋ายเหย่ที่ร่างดับกระบี่หักอยู่ตรงท่าเรือของแม่น้ำแห่งกาลเวลาเพียงลำพัง หมื่นสรรพสิ่งในฟ้าดินของหนึ่งทวีป แม้แต่หกราชาบนบัลลังก์และหลิวชาที่ใช้หนึ่งกระบี่สังหารป๋ายเหย่ก็ล้วนกลับคืนมายังทะเลสาบแห่งกาลเวลาทั้งสิ้น
เพียงแต่ว่าช่วงเวลาระหว่างนี้ ชั่วขณะที่ป๋ายเหย่สัมผัสได้ว่าเชี่ยอวิ้นที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็คือเจี่ยเซิง มือของเขาก็ได้ถือกระบี่ไท่ป๋ายสังหารเชี่ยอวิ้นแล้ว ไม่เพียงเท่านี้ ป๋ายเหย่ที่ถูกหลิวชาออกกระบี่สังหารก็ได้ปล่อยจิตหยินออกเดินทางไกลเช่นเดียวกัน ใช้วิธีการของผู้อื่นมาเล่นงานคนผู้นั้นเอง พลิกกระแสน้ำให้ไหลทวนกลับขึ้นเบื้องบน ใช้ค่าตอบแทนที่กระบี่เซียนต้องพังทลายออกกระบี่อีกครั้งเพื่อสังหาร ‘ป๋ายอิ๋ง’ กระทั่งบัดนี้โจวมี่ถึงได้คลายตราผนึกของทะเลสาบ แม่น้ำแห่งกาลเวลาจึงกลับคืนมาเป็นปกติอีกครั้ง กระแสน้ำไหลหลั่งท่วมท้นฟ้าดิน
ดังนั้นต่อจากนั้นแม่น้ำแห่งกาลเวลาของฟ้าดินถึงได้วุ่นวายปั่นป่วนถึงเพียงนั้น
นี่ก็เพื่อให้ป๋ายเหย่ในอนาคตออกไปให้ไกลห่างป๋ายเหย่ในปัจจุบันให้ได้มากที่สุด ไม่มีตบะขอบเขตสิบสี่อีกต่อไป สูญเสียกระบี่เซียนไท่ป๋ายไปอย่างสิ้นเชิง นับแต่นี้ป๋ายเหย่จะไม่ส่งผลกระทบต่อทิศทางการดำเนินไปของสถานการณ์ใหญ่อีก หลังจากนั้นในอนาคตอีกร้อยปีพันปี ป๋ายเหย่จะสามารถกลับคืนมาสู่ยอดเขาได้ดังเดิมหรือไม่ โจวมี่ไม่เพียงแต่ไม่กริ่งเกรง กลับกันยังเต็มไปด้วยความคาดหวังรอคอย
หลีเจินพลันเอ่ยถามอย่างหยั่งเชิง “ป๋ายอิ๋งคือ…ร่างจิตหยางกายนอกกายของท่านหรือ? แล้วก็เพราะท่ามกลางขั้นตอนการฝึกตนได้มีจิตวิญญาณมากมายสอดแทรกเจือปนมาด้วย จึงทำให้ ‘ป๋ายอิ๋ง’ เข้าใจว่าตัวเองคือป๋ายอิ๋ง?”
โจวมี่ยิ้มเอ่ย “เหตุใดกวนจ้าวถึงบอกว่าตัวเองคือคนโง่เล่า ข้าว่าไม่ใช่เลย ดังนั้นข้าจึงให้ความสำคัญกับลูกศิษย์ผู้สืบทอดของภูเขาทัวเยว่เช่นเจ้าเสมอมา หากไม่เป็นเพราะมีเรื่องไม่คาดฝันเล็กๆ อย่างอิ่นกวานหนุ่มออกมาสู้รบแทนหนิงเหยาเกิดขึ้น ‘หลีเจิน’ ในทุกวันนี้ก็จะสามารถรู้เรื่องวงในได้มากกว่าเดิม แน่นอนว่า ‘เทียนเจิน’ หนึ่งในสี่กระบี่เซียนนั้น หากไม่ถูกทำลายก็ต้องกลายมาเป็นหนึ่งในวัตถุแห่งชะตาชีวิตของข้า”
หลีเจินถาม “โจวมี่ หลายพันปีที่ผ่านมานี้ สรุปแล้วท่าน ‘ผสานมรรคา’ กับปีศาจใหญ่ไปกี่มากน้อยกันแน่?”
คำว่าผสานมรรคาขอบเขตสิบสี่ของโจวมี่ก็คือการกิน กินเจ้าอารามดอกบัว กินเหย้าเจี่ย กินเชี่ยอวิ้น ผสานจิตหยางของ ‘ป๋ายอิ๋ง’ ก็ไม่ใช่การกินอยู่ดีหรอกหรือ
ในความเป็นจริงแล้วยังมีปีศาจใหญ่บนบัลลังก์อย่างหวงหลวนที่ขอบเขตถดถอยไปอยู่ก่อกำเนิดอีกคน!
ส่วนหวานเหยียนเหล่าจิ่งขอบเขตบินทะยานของเกราะทองทวีปที่คิดว่าตัวเองยังพอจะมีชีวิตอยู่รอดไปวันๆ ได้ จุดจบเป็นอย่างไร? ตกมาอยู่ในเงื้อมมือของโจวมี่ ยังจะเป็นอย่างไรได้อีก
ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ไม่ว่าใครก็พบเจอกับโจวมี่ได้ไม่ง่าย คนที่โจวมี่จะพบหน้า ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนรุ่นเยาว์ที่ควรค่าแก่การอบรมปลูกฝัง ไม่อย่างนั้นไม่จำเป็นต้องให้โจวมี่ขัดขวาง ก็ย่อมต้องมีลูกศิษย์ผู้สืบทอดของภูเขาทัวเยว่มาช่วยขัดขวางให้อยู่แล้ว
ด้วยเหตุนี้การที่บัลลังก์ของโจวมี่อยู่อันดับที่สองจึงทำให้ใต้หล้าเปลี่ยวร้างรู้สึกมาโดยตลอดว่าเป็นแค่การกระทำที่เกิดจากความตั้งใจของภูเขาทัวเยว่เท่านั้น ราวกับว่าเพียงแค่เพราะภูเขาทัวเยว่ต้องการบุคคลที่สมองดีพอและช่วยถ่ายทอดข้อความได้เท่านั้น
ดังนั้นแต่ไหนแต่ไรมาผู้คนจึงคิดว่ามหาสมุทรความรู้โจวมี่อย่างมากก็เป็นแค่ขอบเขตบินทะยานยอดเขาสูงสุด เป็นราชาบนบัลลังก์ที่ลำดับขั้นสูงมากแต่พลังการต่อสู้ค่อนไปทางท้ายคนหนึ่ง
ส่วนปีศาจใหญ่ป๋ายอิ๋งบนบัลลังก์โครงกระดูกก็แทบจะไม่เคยลงมือเข่นฆ่ากับราชาบนบัลลังก์หรือขอบเขตบินทะยานคนอื่นเลย ชอบวางแผนอย่างลับๆ ล่อๆ ขุดดินลึกสามฉื่อ คอยเล่นงานพวกปีศาจที่แอบพักรักษาอาการบาดเจ็บโดยเฉพาะ และยังมีคำเล่าลือกันว่าเขาชอบจับปีศาจเหล่านั้นมาหลอมเป็นหุ่นเชิด ดังนั้นมองดูเหมือนพลังการสู้รบของป๋ายอิ่งไม่สูง แต่ขึ้นชื่อเรื่องมีทรัพย์สมบัติมหาศาล รวมไปถึงกลอุบายที่ลึกล้ำแยบยล
และป๋ายอิ๋งเองก็ไม่เพียงแต่มีหลงเจี้ยนข้ารับใช้ถือกระบี่ที่จำแลงมาจากกะโหลกศีรษะของหลงจวิน ยังมีกระบี่ยาวที่หลอมขึ้นมาจากเศษเสี้ยวจิตวิญญาณส่วนหนึ่งของกวนจ้าวเล่มหนึ่งด้วย
ป๋ายอิ๋งทำอะไรคู่ควรแก่คำกล่าวที่ว่าไร้ซึ่งข้อห้ามและความยำเกรงจริงๆ
หลีเจินรู้สึกจนใจไม่น้อย และยิ่งรู้สึกไร้เรี่ยวแรงเป็นทบทวี เขาถึงขั้นทรุดตัวลงนั่งยองอีกครั้งแล้วถอนหายใจดังเฮือกๆ
ต่อให้เป็นหลีเจินที่มีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเป็น ‘แม่น้ำแห่งกาลเวลา’ ก็ยังไม่กล้าพูดว่าสิ่งที่ตัวเองเห็นในสายตาก็คือความจริง
ในหลายๆ ครั้งมองเห็นความจริงส่วนหนึ่งก็มักจะทำให้คนเข้าใจผิดคิดว่าความจริงก็เป็นเช่นนั้น
ก็แค่ว่ายิ่งคนธรรมดาคิดว่าตัวเองเข้าใจถูกต้องมากเท่าไร ชีวิตก็จะยิ่งผ่อนคลายมากขึ้นเท่านั้นเอง ทั้งบนและล่างภูเขาล้วนเป็นเช่นนี้
หลีเจินคือข้อยกเว้น
หลีเจินพลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ก็เกือบจะหัวเราะจนน้ำตาเล็ด
เล่าลือกันว่าในประวัติศาสตร์ปีศาจใหญ่ป๋ายอิ๋งเคยถามคำถามหนึ่งกับโจวมี่มหาสมุทรความรู้ อาจารย์โจวต้องการเป็นเจ้าแห่งวัฒนธรรมและการศึกษาของใต้หล้าเปลี่ยวร้างใช่หรือไม่
ดูเหมือนว่าคำตอบของโจวมี่จะมีเพียงสองคำ ‘ไม่พอ’
หลีเจินเงยหน้าขึ้นเหม่อมองบัณฑิตที่แต่งตัวด้วยชุดสีเขียวของปัญญาชน
บัณฑิตน่ากลัวขนาดนี้เลยหรือ?
โจวมี่เพียงแค่รอคอยการเลือกของเฒ่าตาบอดอยู่เงียบๆ
เฒ่าตาบอดยังคงเป็นเหมือนเดิม
ขอแค่เฒ่าตาบอดไม่ออกมาจากภูเขา โจวมี่ก็ไม่ถึงขั้นต้องไปหาเรื่องถึงที่ภูเขาใหญ่แสนลี้
โจวมี่ใช้เสียงในใจยิ้มเอ่ยว่า “หลีเจิน เจ้าคิดดูให้ดีๆ หากคิดจนเข้าใจกระจ่างแล้วก็ไปหาข้าที่ใบถงทวีป คิดยังไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร เจ้าก็อยู่ที่อาณาเขตของใต้หล้าเปลี่ยวร้างเก่าไปก็แล้วกัน”
ศึกของฝูเหยาทวีป เพื่อสังหารป๋ายเหย่ นอกจากที่โจวมี่จะใช้วิชาอภินิหารหลากหลายไม่ซ้ำรูปแบบแล้ว ยังต้องจ่ายค่าตอบแทนที่เป็นรากฐานที่สุดออกไปด้วย นั่นก็คือมหามรรคาบนร่างโจวมี่ที่เป็นของป๋ายอิ๋งครึ่งหนึ่งและของเชี่ยอวิ้นครึ่งหนึ่ง เรียกได้ว่าไหลหายไปกับสายน้ำอย่างแท้จริง ฝ่ายแรกได้มาจากใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ส่วนฝ่ายหลังเพิ่งได้มาจากใต้หล้าไพศาลใหม่ล่าสุด
ในบทสนทนาระหว่างอิ่นกวานหนุ่มกับหลิวชาได้จับผลัดจับผลูพูดเปิดโปงความลับสวรรค์เรื่องหนึ่ง อันที่จริงนั่นเป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น
เดาอย่างไร ง่ายมาก แค่ลองเอาตัวไปอยู่ในสถานการณ์นั้น ใช้สถานะของบัณฑิตไปจินตนาการถึงความคิดชั่วร้ายเต็มท้องของบัณฑิต ลองเอาการคาดเดาที่เลวร้ายที่สุดไปอนุมานถึงเจตนาของผู้อื่น พยายามคิดถึงวิธีการต่างๆ ไปในทางที่ ‘รอบคอบรัดกุม’ มากที่สุด
อันที่จริงเบาะแสก็มีอยู่สองสามเส้น ยกตัวอย่างเช่นการกายดับมรรคาสลายของเจ้าอารามดอกบัว หากจะบอกว่ามหามรรคาของบรรพบุรุษใหญ่ของภูเขาทัวเยว่และเฉินชิงตูต่างก็สยบกำราบกันและกัน ทำให้มิอาจลงมือได้ ถ้าอย่างนั้นในฐานะที่โจวมี่เป็น ‘อิ่นกวาน’ ของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง อย่างน้อยที่สุดก็ควรจะขัดขวาง ไม่ใช่ว่าไม่เพียงแต่เบิกตามองดูผู้อาวุโสต่งใช้กระบี่สังหารปีศาจใหญ่อยู่เฉยๆ แล้วยังปล่อยให้เขากระชากดวงจันทร์ลงมายังโลกมนุษย์ได้อีก
ส่วนข้อที่ว่าโจวมี่ ‘โน้มน้าว’ เชี่ยอวิ้นได้อย่างไร หลีเจินเดาไม่ออก
ดูเหมือนโจวมี่จะเดาได้ถึงข้อสงสัยของหลีเจิน จึงเป็นฝ่ายอธิบายให้ฟังด้วยตัวเอง “ข้าที่อยู่ในสถานการณ์ใหญ่ ผู้ฝึกกระบี่เฝ่ยหรานคือบุคคลที่สำคัญอย่างถึงที่สุด สำคัญมากกว่าพวกเซอเยว่ อวี่ซื่อด้วยซ้ำ”
จากนั้นโจวมี่ก็เอ่ยประโยคที่ทำให้จิตวิญญาณของหลีเจินสั่นสะเทือน “กวนจ้าวเองก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน ในใจของข้า น้ำหนักของกวนจ้าวเบากว่าแค่เฝ่ยหรานคนเดียวเท่านั้น ดังนั้นการที่เศษซากจิตวิญญาณทั้งหมดของกวนจ้าวยังป้วนเปี้ยนไม่ไปไหน จึงอยู่ในการควบคุมของข้ามาโดยตลอด”
โจวมี่กล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “มีโทสะ? จำเป็นหรือ? หลีเจินที่อยู่บนหัวกำแพงเมืองโทษฟ้าตำหนิคนอื่นมานานหลายปี ไม่อยากหลุดพ้นไปจากพันธนาการท้องน้ำของแม่น้ำแห่งกาลเวลาจริงๆ หรือ หรือถึงขั้นไม่อยากจะเป็นผู้ฝึกกระบี่กวนจ้าวอะไรอีกแล้วด้วย?”
โจวมี่ชี้ไปยังสนามรบที่เฉินชิงตูใช้กระบี่สังหารหลงจวินซึ่งอยู่ห่างไปไกล “เจ้าคิดว่ากระบี่สุดท้ายนั่นของเฉินชิงตูไม่ได้ปล่อยใส่กวนจ้าวหรือ? ในที่สุดปฏิทินเหลืองก็ถูกพลิกเปิดจนหมดสิ้นแล้ว”
บนหัวกำแพงเมืองแห่งนี้เคยมีตำแหน่งขุนนางสิงกวานและอิ่นกวาน ถึงขั้นที่ว่าในอดีตเจี่ยเซิงยังเคยเป็นสิงกวานมาก่อน
เวลายาวนานยิ่งกว่านั้น สรวงสวรรค์บรรพกาลมีผู้ถือกระบี่และผู้สวมเสื้อเกราะ
เพียงแต่ว่าป๋ายเหย่กลับมอบกระบี่ให้แก่เฝ่ยหรานที่อยู่ในใบถงทวีป นี่ทำให้โจวมี่รู้สึกไม่สบอารมณ์เล็กน้อย เพราะต้องให้เขาแบ่งสมาธิอีกส่วนไปกำจัดเรื่องไม่คาดฝันใหญ่อีกเรื่องหนึ่ง
ในอดีตตอนที่สั่งสอนถ่ายทอดวิชาความรู้ให้แก่เฝ่ยหราน แม้ว่าจะไม่ได้เป็นอาจารย์และศิษย์กันในนาม แต่อันที่จริงโจวมี่ตั้งใจถ่ายทอดความรู้ให้แก่เฝ่ยหรานมากกว่าพวกลูกศิษย์สืบทอดอย่างโซ่วเฉิน หลิวป๋ายด้วยซ้ำ
ในความเป็นจริงแล้วสำนักที่เฝ่ยหรานอยู่มีคนเหลือแค่สามคนเท่านั้น ภายใต้การจัดการของบรรพบุรุษใหญ่ภูเขาทัวเยว่ พวกเขาจึงกลายมาเป็นหมากของโจวมี่นานแล้ว เดิมทีสักวันหนึ่งโจวมี่จะเผยกายด้วยสถานะของ ‘อาจารย์ผู้มีพระคุณที่ถ่ายทอดมรรคา’ สำหรับเฝ่ยหรานในบางความหมาย จากนั้นค่อยคืนศิษย์พี่เชี่ยอวิ้นครึ่งตัวให้กับเฝ่ยหราน ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องให้เฝ่ยหรานติดตามตนด้วยความจงรักภักดีอย่างสุดจิตสุดใจให้จงได้ ร่วมกันเดินไปบนมหามรรคาที่แทบจะไม่มีจุดสิ้นสุดให้พูดถึงสายนั้น ด้านหลังคนทั้งสองจะมีบุคคลอย่างหลีเจิน อวี่ซื่อ จวินทาน ฯลฯ คอยตามมาไกลๆ
ในอดีตตอนอยู่ภูเขาทัวเยว่ โจวมี่ไปพบกับบรรพบุรุษใหญ่เปลี่ยวร้างที่พักรักษาบาดแผลมานานถึงหกพันปี โจวมี่เสนอสามกลยุทธ์บนกลางล่าง
เรื่องไม่คาดฝันอย่างแรก คือกำแพงเมืองปราณกระบี่ยกทั้งนครบินทะยานไปหล่นลงในใต้หล้าแห่งที่ห้า
ไม่อย่างนั้นความเสียหายทางการสู้รบของใต้หล้าเปลี่ยวร้างบนสนามรบกับกำแพงเมืองปราณกระบี่จะต้องน้อยกว่าเดิมมาก
เรื่องไม่คาดฝันอย่างที่สอง คือซิ่วหู่ชุยฉานฮุบกลืนทั้งทวีป ขัดขวางการเดินทางขึ้นเหนือของเผ่าปีศาจจากใบถงทวีป
นอกจากนี้การออกกระบี่ของป๋ายเหย่ขอบเขตสิบสี่ เจ้าอารามกวานเต๋าที่ช่วยทั้งสองฝ่ายอย่างละหน่อย จากนั้นจึงนั่งดูไฟชายฝั่ง แน่นอนว่ายังมีคนหนุ่มที่อยู่กำแพงเมืองฝั่งติดกันซึ่งรับหน้าที่เป็นอิ่นกวาน ต่างก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องไม่คาดฝันอะไร
ไม่อย่างนั้นป่านนี้แผนการระดับบนของโจวมี่คงประสบความสำเร็จไปนานแล้ว กองกำลังหลักโจมตีอาคเนย์ใบถงทวีปที่อ่อนแอเปราะบาง ทางเหนือก็กรีฑาทัพรุกรานแจกันสมบัติทวีปที่มิอาจต้านทานการโจมตีได้มากที่สุด รวบยึดเอาอุตรกุรุทวีปที่พลังการต่อสู้กลวงโบ๋ รวมไปถึงธวัลทวีปที่เป็นหญ้ายอดกำแพงมาในคราวเดียว
จากนั้นก็เปิดฉากการคุมเชิงกับทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง หลิวเสียทวีป ทักษินาตยทวีป ช่วงเวลาระหว่างนี้ก็คืนฝูเหยาทวีปไปให้กับศาลบุ๋นแผ่นดินกลางก่อนชั่วคราว แต่สุดท้ายแล้วใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็จะยังช่วงชิงเอาฝูเหยาทวีปและเกราะทองทวีปคืนมาได้อยู่ดี
ทว่าขอแค่โจวมี่ยึดแจกันสมบัติทวีปมาได้ก็คือจุดหักเหใหญ่ที่สำคัญมากจุดหนึ่ง
ส่วนสามกลยุทธ์สูงต่ำนั้น จุดที่น่าสนใจที่สุดนั้นอยู่ที่ว่าสถานการณ์ใหญ่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างกับผลสำเร็จบนมหามรรคาของมหาสมุทรความรู้โจวมี่กลับตรงกันข้ามกันพอดี
สำหรับเรื่องนี้โจวมี่ไม่เคยปิดบัง เขาบอกกับผู้เฒ่าชุดเทาอย่างตรงไปตรงมา ฝ่ายหลังก็ยิ่งหัวเราะร่าไม่หยุด ไม่เพียงแต่ไม่ตบให้เจี่ยเซิงแห่งไพศาลที่ตอนนั้นขอบเขตธรรมดาตายด้วยฝ่ามือเดียว กลับกันยังบอกให้โจวมี่ทำไปตามสบาย หลายพันปีต่อจากนั้น เจี่ยเซิงกลายเป็นโจวมี่ โจวมี่จำแลงเป็นป๋ายอิ๋ง ส่วนสงครามของกำแพงเมืองปราณกระบี่ อันที่จริงโจวมี่นั้นคอยวางแผนอย่างลับๆ มาโดยตลอด นอกจากชะลอแผนการที่มีต่อตัวของผู้ฝึกกระบี่และเซียนกระบี่เอาไว้แล้ว จุดที่สำคัญยิ่งกว่านั้นอยู่ที่ใจคนของใต้หล้าไพศาล ยกตัวอย่างเช่นสำนักอวี่หลง ร่องเจียวหลง ถ้ำซานสุ่ยของฝูเหยาทวีป ปีศาจใหญ่สามตนที่ได้รับคำสั่งให้จำศีลซ่อนตัวอยู่ในใบถงทวีป…
ส่วนข้อที่ว่าสุดท้ายแล้วใครคือแผนระดับบน ใครคือแผนระดับล่าง บรรพบุรุษใหญ่ภูเขาทัวเยว่และโจวมี่ต่างก็รับได้ทั้งนั้น
ใต้หล้าเปลี่ยวร้างแห่งหนึ่งที่มิอาจให้การสั่งสอน กลับปฏิบัติต่อเจี่ยเซิงแห่งไพศาลราวกับบุคคลที่เป็นเสาหลักของแคว้น ช่างเป็นเรื่องตลกที่ใหญ่ที่สุดในใต้หล้าจริงๆ
แล้วโจวมี่จะไม่ทุ่มเทแรงกายแรงใจอย่างเต็มที่วางแผนต่อสถานการณ์ใหญ่หลายพันปีให้กับภูเขาทัวเยว่ได้อย่างไร
โจวมี่พลันขมวดคิ้วน้อยๆ แต่จากนั้นหัวคิ้วก็คลายออก ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ฝูลู่อวี๋เสวียนตัวดี ทำเรื่องเล็กๆ ของข้าพังติดกันสองเรื่อง สักวันหนึ่งข้าจะต้องไปอธิบายเหตุผลกับเขาให้จงได้”
นอกประตูใหญ่ของซากปรักตำหนักดวงจันทร์แห่งหนึ่ง
ผู้เฒ่าผมขาวสวมชุดสีม่วงที่ ‘บินทะยาน’ มาถึงที่แห่งนี้ร่างโงนเงนแทบจะล้มหน้าทิ่มลงกับพื้น แต่กระนั้นจิตก็ยังขยับไหว คำรามอย่างเดือดดาลหนึ่งที ข่มกลั้นอาการบาดเจ็บ ยังคงใช้เวทคาถาบดขยี้ยันต์ที่เหลืออยู่นับหมื่นแผ่นให้แหลกละเอียดไปอย่างไม่ลังเล เป็นเหตุให้ยันต์จันทรากระดาษสีทองหนึ่งในนั้นพลันกลายร่างเป็นลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อคนหนึ่งที่ใบหน้าประดับรอยยิ้มน้อยๆ จากนั้นร่างก็หายวับไป อวี๋เสวียนด่าดังลั่น “เจ้าสุนัขเจี่ยเซิง ข้าผู้อาวุโสเบ่งขี้หมาออกมาให้เจ้ากินไม่ได้หรอกนะ!”
เพื่อให้หลุดพ้นมาจากพันธนาการแม่น้ำแห่งกาลเวลาของฝูเหยาทวีป อวี๋เสวียนถือฝักกระบี่ไท่ป๋ายที่ป๋ายเหย่โยนมาให้ ผู้เฒ่าทำลายธารดวงดาวจิตธรรมจากกาเหล้าใบหนึ่งให้แตกทั้งเส้นอย่างไม่เสียดาย ครึ่งหนึ่งถือเป็นของขวัญตอบแทนกลับคืน พยายามที่จะรักษาดวงวิญญาณของป๋ายเหย่เอาไว้อย่างสุดกำลัง เพื่อให้ปรมาจารย์มหาปราชญ์ที่นั่งอยู่บนยอดเขาสุ้ยซานมีความมั่นใจมากขึ้น มีโอกาสชนะมากขึ้น จิตวิญญาณของป๋ายเหย่ที่เหลืออยู่ครบสมบูรณ์มากขึ้น ส่วนธารดวงดาวที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งนั้น จำนวนของยันต์ยังคงมากถึงสี่แสนกว่าแผ่น ชักนำเชื่อมโยงอยู่กับธารดาราที่เป็นภาพปรากฎการณ์แห่งท้องฟ้า กลายมาเป็นยันต์สะพานยาวที่คล้ายคลึงหอบินทะยาน กระชากอวี๋เสวียนให้ไกลห่างมาจากโลกมนุษย์ สุดท้ายมายังซากปรักตำหนักดวงจันทร์เปลี่ยวร้างหนึ่งในพื้นที่ต้องห้ามหมื่นปีของไพศาลแห่งนี้