กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 734.2 ผู้ถือกระบี่
ตอนนั้นเจียงซ่างเจินถูกสถานการณ์อันตรายของหนึ่งทวีปบีบให้จำต้องปรากฎตัว หวนกลับมายังภูเขาบ้านตนเองอีกครั้ง เขารู้สึกหงุดหงิดใจอยู่มากจริงๆ หากไม่เป็นเพราะสำนักกุยหยกใกล้จะพิทักษ์ไว้ไม่อยู่แล้ว มิอาจปล่อยให้เจียงซ่างเจินไปเอ้อระเหยลอยชายอยู่ข้างนอกต่อได้จริงๆ ไม่อย่างนั้นเขาก็ยินดีเป็นหนูที่วิ่งพล่านไปทั่วถนน มีอิสระเสรี ช่วงชิงคุณความชอบทางการสู้รบมาจากทั่วสารทิศมากกว่า
เก้าอี้ประธานในศาลบรรพจารย์นั่งแล้วค่อนข้างร้อนก้นอย่างที่คิดจริงๆ เสียด้วย หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้จะยังเป็นเจ้าสำนักกับผายลมอะไร เป็นพี่โจวเฝยที่ท่องเที่ยวไปทั่วทุกหนแห่งในทวีป แอบขว้างกระบี่ออกไปแล้วก็เผ่นหนีทันที แบบนั้นจะไม่สาแก่ใจมากกว่าหรอกหรือ
ศาลบรรพจารย์ของสำนักกุยหยกที่เดิมทีผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนนั่งกันอยู่เต็มห้องโถง ตอนนี้เก้าอี้ว่างเปล่าไปเกินครึ่ง อย่าว่าแต่บรรพจารย์หรือลูกศิษย์ผู้สืบทอดในทำเนียบวงศ์ตระกูลทั้งหลายเลย แม้แต่ผู้ถวายงานและเค่อชิงก็ยังตายกันไปไม่น้อย
หากมีแค่นี้ก็แล้วกันไปเถิด ประเด็นสำคัญคือใบหน้าคนรุ่นเยาว์มากมายขนาดนั้นในสำนักกุยหยก นึกจะหายก็หายไป อีกทั้งแต่ละคนยังไม่เสียดายชีวิตแม้แต่น้อย ลงสนามรบต่อสู้จนตัวตายอย่างกล้าหาญ คิดว่าตัวเองตายอย่างสมหวังแล้ว โง่หรือไร? แม้แต่คนที่คิดว่าตัวเองใจแข็งเป็นหินเหล็ก ไร้อารมณ์ไร้น้ำใจมากพออย่างเจียงซ่างเจินก็ยังอดเจ็บปวดจนแทบจะใจแหลกสลายไม่ได้
เจียงซ่างเจินเอ่ยถาม “เทียนซือ ป๋ายเหย่ตายแล้วจริงๆ หรือ?”
จ้าวเทียนไล่พยักหน้ารับ “หากพูดถึงป๋ายเหย่ขอบเขตสิบสี่ก็ถือว่าตายแล้วจริงๆ บนโลกไม่มีกระบี่เซียนไท่ป๋ายอีกต่อไป”
เจียงซ่างเจินถอนหายใจ “สงครามครั้งนี้ไม่ว่าใครก็ล้วนตายได้จริงๆ”
จ้าวเทียนไล่เอ่ย “เมื่อก่อนผู้ฝึกตนบนภูเขาของใต้หล้าไพศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ต่างก็รู้สึกว่าสิบสี่บัลลังก์ของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง อย่างมากสุดก็แค่มีศักยภาพและตบะในลำดับท้ายๆ ของสิบคนแห่งแผ่นดินกลาง ทุกวันนี้ป๋ายเหย่ตายไปแล้วถึงได้รู้สึกว่าต่อให้เป็นสิบคนหรือไม่ก็สิบห้าคนของตลอดทั้งไพศาลก็ล้วนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสิบสี่ราชาบนบัลลังก์”
เจียงซ่างเจินกล่าวอย่างจนใจ “เรื่องของการต่อสู้ พวกสัตว์เดรัจฉานของใต้หล้าเปลี่ยวร้างฝีมือใช้ได้หรือไม่ ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางจะไม่รู้สักนิดเลยหรือ?”
เพียงไม่นานเจียงซ่างเจินก็ถามเองตอบเองว่า “แน่นอนว่าไม่รู้ ในใจของกำแพงเมืองปราณกระบี่รู้ดี ทว่าในใจของใต้หล้าไพศาลกลับไม่รู้เลย”
ค่ายกลกระบี่เก้าแห่งของยอดเขาจิ่วอี้ไม่หลงเหลืออยู่นานแล้ว นอกเหนือจากปีศาจใหญ่ฉงกวง หยวนโส่วผู้นั้นก็มาเยือนสำนักกุยหยกด้วยตัวเอง นอกจากจะช่วยฉงกวงบัญชาการณ์เผ่าปีศาจให้โจมตีภูเขาแล้ว บางครั้งก็จะเผยร่างจริงย้ายภูเขา เงื้อกระบองฟาดลงบนค่ายกลขุนเขาสายน้ำครั้งแล้วครั้งเล่า แต่กลับไม่ลงมืออย่างเต็มกำลัง ไม่จงใจเล่นงานผู้ฝึกตนหรือภูเขาบรรพบุรุษสำนักกุยหยกโดยเฉพาะ เอ่ยแค่ว่าในเมื่อภูเขาของพวกเจ้ามีเงิน มีกำลังทรัพย์มหาศาล ถ้าอย่างนั้นก็มาดูกันว่าจะมีเงินเทพเซียนสักกี่เหรียญ
หยวนโส่วผู้นั้นยังทิ้งอีกประโยคหนึ่งไว้ว่า ‘แม้แต่ป๋ายเหย่ท่านปู่ยังฆ่ามาแล้ว แค่เจียงซ่างเจินที่เป็นขอบเขตเซียนเหรินคนเดียวจะนับเป็นอะไรได้’
ก่อนที่เกราะทองทวีปจะล่มสลาย กระโจมทัพแห่งหนึ่งของใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้ร่ายวิชาบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำฉายม้วนภาพหนึ่งซ้ำไปซ้ำมา ก็คือภาพตอนที่หลิวชาใช้หนึ่งกระบี่สังหารป๋ายเหย่ขอบเขตสิบสี่ ใต้หล้าไพศาลไม่เหลือผู้ที่เป็นที่ภาคภูมิใจที่สุด ไม่เหลือกวีไร้เทียมทานอีกต่อไปแล้ว
ม้วนภาพที่ไร้รสชาติน่าเบื่อทั้งยังน่าอกสั่นขวัญผวานี้ ผู้ฝึกตนสำนักกุยหยกก็ได้เห็นแล้วเช่นกัน หากไม่ใช่เพราะเจียงซ่างเจินได้ยินเทียนซือใหญ่แห่งภูเขามังกรพยัคฆ์ยืนยันเองกับปาก เขาก็ไม่เคยกล้าเชื่อ แล้วก็ไม่ยินดีจะเชื่อว่าป๋ายเหย่ตายแล้ว
ดังนั้นก่อนหน้านี้เจียงซ่างเจินจึงหงุดหงิดอย่างถึงที่สุด เป็นเหตุให้มีครั้งหนึ่งเป็นฝ่ายออกมาจากค่ายกลใหญ่ขุนเขาสายน้ำด้วยตัวเอง ไปหาสัตว์เดรัจฉานขอบเขตบินทะยานตนนั้นแล้วท้าประลองกับอีกฝ่ายตัวต่อตัว
ทั้งสองฝ่ายต่างก็เอาวิธีการก้นกรุออกมาเข่นฆ่ากันและกัน ต่อสู้กันจนฟ้าพลิกแผ่นดินคว่ำ ไม่พูดถึงเผ่าปีศาจ แม้แต่เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่อายุค่อนข้างน้อยของสำนักกุยหยกหลายคนก็ยังไม่รู้ถึงความตื้นลึกในพลังการสู้รบที่แท้จริงของเจียงซ่างเจิน ส่วนใหญ่ล้วนฟังจากผู้อาวุโสในสำนักหรือไม่ก็พวกบรรพจารย์เล่ามาอีกที ในอดีตรู้แค่ว่าเจ้าประมุขสกุลเจียงที่ทั้งมีเสน่ห์สง่างามและทั้งชื่อเฉียงฉาวโฉ่กระฉ่อนไกลผู้นี้ มีความสามารถในการเผ่นหนีเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า ดังนั้นแต่ไหนแต่ไรมาขอแค่เจียงซ่างเจินลงมือ หากต่อสู้กับคนที่ขอบเขตสูงกว่าก็รับรองว่าต้องรอดชีวิตอย่างแน่นอน แต่หากสู้กับคนที่ตบะต่ำหรือขอบเขตเท่าเทียมกัน อีกฝ่ายก็ต้องตายอย่างมิต้องสงสัย
รอกระทั่งได้เห็นการเข่นฆ่าครั้งนั้นกับตาตัวเองถึงได้รู้ว่าที่แท้เจ้าสำนักเจียงก็ต่อสู้เก่งถึงเพียงนี้ หนึ่งใบหลิวสังหารเซียนเหรินเฉียบคมได้ถึงปานนี้
จ้าวเทียนไล่เอ่ยขออภัย “กระบี่เซียนว่านฝ่าจำต้องอยู่ที่ภูเขามังกรพยัคฆ์ เพราะมีความเป็นไปได้มากว่าจะมีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้น”
เจียงซ่างเจินไม่มีสีหน้าไม่ยี่หระสิ่งใด ยิ่งไม่เอ่ยถ้อยคำไร้สาระเล่นแง่อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน กลับกันยังมีสีหน้าเครียดขรึม พยักหน้ารับด้วยสีหน้าจริงใจ “เทียนซือสามารถข้ามทวีปมากำจัดปีศาจที่นี่ได้ก็ถือว่ามีคุณธรรมน้ำใจอย่างเต็มที่แล้ว สำนักกุยหยกของพวกเราไม่มีทางคาดหวังอย่างไร้มโนธรรมไปมากกว่านี้”
นี่ก็คือความสบายยามที่คบค้าสมาคมกับคนฉลาดอย่างแท้จริง
เจียงซ่างเจินนั่งยองอยู่ริมหน้าผา เอ่ยเสียงเบา “เทียนซือพักผ่อนสักครู่ ทางที่ดีที่สุดควรไปปกป้องต้นอู๋ถงต้นนั้น นั่นคือจุดศูนย์กลางของค่ายกลหอสยบปีศาจ สำนักกุยหยกยังสามารถประคับประคองตัวได้อีกช่วงระยะเวลาหนึ่ง นานหน่อยก็ครึ่งปี สั้นหน่อยก็สามเดือน เพียงแต่ว่ารบกวนตอนที่เทียนซือจากไปช่วยพาพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาไปด้วย พวกคนที่อายุน้อยล้วนถูกข้ากดหัวโยนเข้าไปในพื้นที่มงคลหมดแล้ว ส่วนพวกที่อายุมากลำดับศักดิ์สูงทั้งหลาย ใครอยากอยู่ก็อยู่ต่อเถอะ”
จ้าวเทียนไล่เอ่ย “เรื่องมาถึงขั้นนี้ไม่สู้เจ้าสำนักเจียงพาคนย้ายออกไปพร้อมกัน? คนอยู่พื้นที่ไม่เหลือ ถึงอย่างไรก็ยังมีหวังที่ทั้งคนและพื้นที่จะยังคงอยู่ ทว่าหากคนตายพื้นที่ยังคงอยู่ นั่นก็แสดงว่าทั้งคนและสถานที่ล้วนสาบสูญไปสิ้นแล้ว”
เจียงซ่างเจินส่ายหน้า “จะให้ทำเหมือนภูเขาไท่ผิงหรือสำนักฝูจี สำนักกุยหยกของพวกเราเลียนแบบไม่ได้จริงๆ แต่เลียนแบบใครก็ไม่ควรเลียนแบบสำนักกุยหยก ต่อให้เจียงซ่างเจินจะหน้าไม่อายแค่ไหน หนังหน้าเท่านี้ก็ยังพอมีอยู่บ้าง หากไม่เป็นเจ้าสำนัก แน่นอนว่าไม่ว่าที่ไหนก็ล้วนไปได้ แต่ในเมื่อเป็นเจ้าสำนักแล้ว ต่อให้ถูกตบจนหน้าบวมฉึ่งก็ยังต้องยอมรับแต่โดยดี แล้วนับประสาอะไรกับที่หากข้าจากไป ขวัญกำลังใจที่ผู้ฝึกตนแต่ละยุคแต่ละสมัยของสำนักกุยหยกสะสมมาหลายพันปีจะไม่ถูกทำลายสิ้นลงบนมือของข้าหรอกหรือ วันหน้าต่อให้ภายนอกสำนักกุยหยกจะยังคงมีควันธูปโชติช่วง มีเซียนซือมากมายแค่ไหนก็ยังเป็นแค่โครงว่างเปล่าเท่านั้น”
จ้าวเทียนไล่พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม รู้สึกว่าต้องมองเจียงซ่างเจินเสียใหม่
ข่าวลือบนภูเขามีทั้งจริงทั้งเท็จ ในรายงานขุนเขาสายน้ำ ถ้อยคำมากมายที่เปี่ยมไปด้วยเหตุด้วยผลน่าเชื่อถือ กลับกลายเป็นว่าก็มีเพียงเท่านั้น ความจริงส่วนหนึ่งมีแต่จะอยู่ห่างจากความจริงไปไกล กลับเป็นถ้อยคำที่เขียนถึงอย่างลวกๆ แค่สองสามประโยคที่กลับซุกซ่อนปราณเที่ยงธรรมไพศาลซึ่งมีพื้นที่ให้ขบคิดนับไม่ถ้วน
ไม่รู้ว่าเจียงซ่างเจินไปเอาต้นหญ้าจากไหนมายัดใส่ปากเคี้ยว เขาพลันหัวเราะ เงยหน้าขึ้นเอ่ยว่า “ในอดีตข้าเคยไปรับพี่สาวจิ่วเหนียงท่านหนึ่งจากราชวงศ์ต้าเฉวียนกลับมาบ้าน ได้ยินว่านางมีความเกี่ยวข้องกับผู้อาวุโสจิ้งจอกฟ้าท่านนั้นของภูเขามังกรพยัคฆ์ จิ่วเหนียงเป็นคนหยิ่งในศักดิ์ศรี ไม่เคยทำสีหน้าดีๆ ให้เจ้าสำนักที่เป็นดั่งชั้นวางดอกไม้อย่างข้าเห็น มีเพียงกับเทียนซือใหญ่เท่านั้นที่เคารพเลื่อมใสมาโดยตลอด ไม่สู้ยืมใช้โอกาสนี้ให้ข้าเรียกนางมาสัมผัสไอเซียนของเทียนซือสักหน่อยดีไหม? ไม่แน่ว่าวันหน้าอาจทำสีหน้าดีๆ ให้ข้าได้เห็นบ้างก็ได้ หนี้มากไม่กดทับร่าง เทียนซือใหญ่ก็อย่าถือสาข้าเรื่องพวกนี้เลย?”
จ้าวเทียนไล่ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ได้แน่นอนอยู่แล้ว”
เถ้าแก่จิ่วเหนียงที่โรงเตี๊ยมริมชายแดนราชวงศ์ต้าเฉวียน ตัวตนที่แท้จริงคือฮ่วนซาฮูหยิน จิ้งจอกฟ้าเก้าหาง
แต่เลี่ยนเจินผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขาที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วใต้หล้าของจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ผู้นั้นกลับเป็นจิ้งจอกฟ้าสิบหาง
พอได้รับจดหมาย ‘คำสั่ง’ จากเจียงซ่างเจิน จิ่วเหนียงก็รีบทะยานลมมาจากสถานที่ฝึกตนของเจียงซ่างเจินในอดีตทันที จุดที่พลิ้วกายลงอยู่ห่างจากคนทั้งสองค่อนข้างไกล จากนั้นจึงเดินเร็วๆ เข้ามาหา ยอบตัวคารวะเทียนซือใหญ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์ ส่วนจ้าวเทียนไล่ก็คารวะกลับคืนด้วยพิธีการของลัทธิเต๋า
เจียงซ่างเจินแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นภาพนี้ เพียงแค่นั่งยองอยู่ริมหน้าผาทอดสายตามองไปไกล อยู่ดีๆ ก็คิดถึงการประชุมที่เดิมทีควรจะได้แสดงความยินดีกับการฝ่าทะลุขอบเขตของเจ้าสำนักผู้เฒ่า อยู่ดีๆ ก็นึกถึงปีนั้นตอนที่ตาเฒ่าสวินเหม่อมองเมฆขาวนอกประตูใหญ่ที่เดี๋ยวก็มารวมตัวกันเดี๋ยวก็แยกย้าย เจียงซ่างเจินรู้ว่าตาเฒ่าสวินไม่ค่อยชอบเรื่องบทกวีบทกลอนอะไร มีเพียงกวีซูฉิงเสี่ยวฟู่ที่ด้านในมีบทกลับไปเถิดที่เขาชื่นชอบมากที่สุด เหตุผลก็ประหลาดยิ่งกว่า เพียงแค่เพราะในบทนำมีตัวอักษรสามตัวที่ทำให้ตาเฒ่าสวินชื่นชอบไปได้ตลอดชีวิต
‘บ้านข้ายากจน’
ขอยืมไม้เท้าไผ่เขียวจากท่าน นับแต่นั้นเข้าไปยังกองเมฆขาว รองเท้าสานย่ำขาดไร้คนสนใจ
ผืนนาใกล้จะรกร้างแล้ว ไยไม่กลับไป?
เจียงซ่างเจินทิ้งตัวนอนหงายไปด้านหลัง ใช้สองมือหนุนใต้ท้ายทอยต่างหมอน
ตนรับหน้าที่เป็นผู้ถวายงานของภูเขาลั่วพั่ว พื้นที่มงคลรากบัวแห่งนั้นเลื่อนระดับขั้นเป็นพื้นที่มงคลระดับสูงแล้ว เจียงซ่างเจินถูกกำหนดมาแล้วว่าไม่อาจไปเข้าร่วมพิธีได้ ดังนั้นตอนนั้นที่ในมือครอบครองพื้นที่มงคลเพื่อรองรับชาวบ้านลี้ภัยของใบถงทวีปเข้าไป จึงได้ทิ้งของขวัญหลายชิ้นไว้ในพื้นที่มงคลแล้ว นอกจากวัตถุดิบวิเศษฟ้าดินและเงินเทพเซียนแล้ว เจียงซ่างเจินยังปักกิ่งหลิวให้เกิดร่มเงา วาดพื้นที่ส่วนบุคคลแห่งหนึ่งไว้ในพื้นที่มงคล ในที่สุดก็พอจะมีมาดที่ผู้ถวายงานของศาลบรรพจารย์สมควรมีบ้างแล้ว
เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหตุใด ต้นหลิวขึ้นริมน้ำ บุรุษปลูกหญ้าหอมที่พบเห็นได้ง่ายที่สุดต้นนั้นกับมือตัวเอง มีชื่อว่าเหิงอู๋
ต้นหลิวเติบใหญ่ให้ร่มเงา บุปผาก็บานแล้ว
หวังเพียงว่าสักวันหนึ่ง คนในใจจากไปไกล คนที่อาลัยยังคงอยู่ ชมบุปผาใต้ร่มหลิวเย็นฉ่ำ
……
ชุดคลุมอาคมสีแดงสดชุดหนึ่งลอยตัวอยู่กลางอากาศเหนือหัวกำแพงเมืองสูงหลายสิบจั้งเงียบๆ ชายแขนเสื้อสองข้างห้อยตกลง หากมีลมพัดผ่านมาก็จะปลิวพลิ้วไปตามลม ประหนึ่งจอกแหนดอกหนึ่งที่ล่องลอยอยู่บนแม่น้ำ แล้วก็เหมือนเมฆสีแดงโดดเด่นที่ผุดลอยพ้นจากหัวกำแพงเมืองสูงมาค่อนข้างมาก
เคยชินกับการถูกสกัดกั้นฟ้าดินแล้ว รอกระทั่งโจวมี่คลายตราผนึกของกระโจมเจี่ยจื่อออกอย่างไม่ทราบสาเหตุ กลับกลายเป็นว่าเฉินผิงอันรู้สึกปรับตัวไม่ทัน
ยังดีที่ความรู้สึกเช่นนี้ไม่ได้ทำให้คนรู้สึกไม่ชิน ปีนั้นฝึกหมัดอยู่บนเรือนไม้ไผ่นานมาก ถูกป้อนหมัดมากเข้า รอกระทั่งลงจากภูเขาเดินทางไกล เฉินผิงอันกลับรู้สึกตะครั่นตะครอไม่คุ้นชินเสียเลย
หลังจากนั้นก็มีผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่ไม่กลัวเกรงอะไรจริงๆ ร้องโหวกเหวกอย่างฮึกเหิม ทะยานลมผ่านอาณาเขตไปอย่างสง่างาม มองข้ามอิ่นกวานหนุ่มที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าไปอย่างสิ้นเชิง
แต่พวกมันกลับไม่กล้าขึ้นหัวกำแพงเมืองมาชมทัศนียภาพ เพราะว่าวิญญาณวีรบุรุษเซียนกระบี่ที่ฆ่าไม่ตาย ทว่าทุกตนกลับมีตบะเท่าเทียมกับผู้ฝึกกระบี่เซียนดินเหล่านั้น ทุกวันนี้ยังคงเฝ้าพิทักษ์อยู่ตามมุมต่างๆ บนหัวกำแพง
แรกเริ่มเฉินผิงอันยังกังวลว่าจะเป็นแผนของโจวมี่จึงแข็งใจอดกลั้นปล่อยให้ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจคนแล้วคนเล่าทะยานลมวูบผ่านเหนือศีรษะของตนไปในจุดสูง
ก่อนจะรั้งตัวปีศาจใหญ่ตนหนึ่งที่ขอบเขตเท่าเทียมกับตนเอาไว้อย่างกระตือรือร้น โอภาปราศรัยกันไปพักหนึ่ง ปล่อยให้อีกฝ่ายมอบของขวัญเยี่ยมเยือน วิชาอภินิหารใหญ่กระแทกลงมามั่วซั่วอุตลุด ต่อสู้กันแบบที่เรียกได้ว่าสะใจเต็มคราบ เฉินผิงอันยอมโดนทุบตีแต่โดยดีพลางใช้ภาษากลางของใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่สำเนียงถูกต้องแม่นยำยิ่งกว่าอีกฝ่ายถามคำถามเล็กๆ บางอย่าง น่าเสียดายที่คำตอบของอีกฝ่ายไม่ค่อยห่างเหินนัก เห็นตัวเองเป็นแขกผู้ทรงเกียรติเข้าจริงๆ ไม่มีข้อมูลที่มีประโยชน์แม้แต่ครึ่งคำ สุดท้ายเฉินผิงอันจึงได้แต่สลายร่างของตัวเองทิ้ง ปีศาจใหญ่ขอบเขตโอสถทองตนนั้นหัวเราะเสียงดังอย่างกำเริบเสิบสาน จากนั้นใต้เท้าอิ่นกวานที่นั่งยองอยู่บนหัวกำแพงเมืองด้านหลังอีกฝ่ายก็นวดคลึงปลายคาง ทอดสายตามองไกลๆ ไปยังปีศาจใหญ่ที่กำลังฮึกเหิมผู้นั้น ไม่รู้ว่าควรจะร่วมอารมณ์ดีไปพร้อมกับอีกฝ่ายหรือควรจะส่งมันออกเดินทางดี
ทำไมถึงไม่เป็นลูกผู้ชายเลยนะ
เว้นจากเผ่าปีศาจข้ามอาณาเขตโชคร้ายตนแรกสุดที่ถูกเฉินผิงอันกระชากลงมา ใช้ขอบเขตหยกดิบปลอมฆ่าตายคาที่แล้ว
นอกเหนือจากนั้นคนที่ออกหมัดก็คือเซียวสวิ้นอดีตอิ่นกวาน คนออกกระบี่คือหลงจวินราชาบนบัลลังก์ คนที่ประชันด้านวิชาอภินิหาร คือเซ่อเยว่หนึ่งในสิบคนรุ่นเยาว์
ไม่ว่าใครก็ล้วนสามารถสังหารใต้เท้าอิ่นกวานได้ครั้งหนึ่งหรือ?
ดังนั้นในฐานะของขวัญรับรองแขก เฉินผิงอันจึงเด็ดหัวของปีศาจใหญ่โอสถทองตนนั้นลงมา ไม่สนใจศพที่ไร้หัว เพียงแค่โยนศีรษะนั้นขึ้นสูง เหวี่ยงตัวหมุนเป็นวงหนึ่งรอบ แล้วเตะโด่งห่างออกไปไกลหลายร้อยจั้ง
พอตราผนึกหายไป เรื่องประหลาด เรื่องน่าสนใจจำพวกนี้ก็มีมากขึ้น
จะมีผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่ไม่กล้ากระโดดข้ามกำแพง ก็จะได้แต่ทะยานลมลอยขึ้นมากลางอากาศ มาชื่นชมตัวอักษรที่แกะสลักอยู่บนหัวกำแพงเมืองในระยะใกล้หน่อย
หัวกำแพงเมืองฝั่งตรงข้ามยังมีผู้ฝึกยุทธเผ่าปีศาจที่เป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งป่ายปีนกำแพงขึ้นสู่ที่สูง ป่าวประกาศว่าจะประลองฝีมือกับเฉินผิงอันครั้งหนึ่ง แต่ต้องรอให้เขาฝึกวรยุทธอีกสามสิบปีเสียก่อน
และยังมีเซียนกระบี่เผ่าปีศาจสามคนจากอาณาเขตทางทิศใต้สุดของใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่จับมือกันขี่กระบี่เดินทางมาท่องเที่ยวที่นี่ แต่กลับไม่ได้ไปยังใต้หล้าไพศาล เพียงแค่มาชมทัศนียภาพของที่นี่แล้วหมุนตัวย้อนกลับไปยังบ้านเกิด
มีผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่มีโฉมหน้าเป็นหญิงสาวกลุ่มหนึ่ง คงเป็นเพราะมาจากสำนักใหญ่ถึงได้ใจกล้ามากเป็นพิเศษ ใช้นกกระเรียนขาวและนกชิงหลวนหลายตัวลากพารถเลื่อนลำมหึมามายืนอยู่ด้านบน พูดคุยกันเสียงดังเจื้อยแจ้วไม่หยุด คนหนึ่งในนั้นร่ายวิชาอภินิหารมองขุนเขาสายน้ำผ่านฝ่ามือ คอยตามหาเรือนกายของอิ่นกวานหนุ่มโดยเฉพาะ หลังจากในที่สุดก็พบร่างคนหนุ่มที่สวมชุดคลุมอาคมสีแดงสด แต่ละคนก็ยิ่งลิงโลดเบิกบาน ราวกับมองเห็นบุรุษในดวงใจของตนอย่างไรอย่างนั้น
ดีนักนะ ไม่ว่าแก่หรือเด็ก ตัวผู้หรือตัวเมีย แต่ละคนล้วนเห็นที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่อยู่ไกลสุดขอบฟ้าไปแล้วหรือ?
เฉินผิงอันยกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้น ห้าอสนีมารวมกลุ่ม ครั้นจึงกระแทกวิชาอสนีที่พลังอำนาจน่าครั่นคร้ามออกไป
สตรีสวมชุดชาววังที่ร่ายวิชาอภินิหารมองขุนเขาสายน้ำผ่านฝ่ามือเหมือนน้ำเข้าสมองอย่างไรอย่างนั้น นางไม่สลายเวทอสนีทิ้งไป กลับกันยังใช้วิชาอภินิหารของห้าขอบเขตบนอย่างจักรวาลในชายแขนเสื้อมารับวิชาอสนีเข้าไปในแขนเสื้อ ชายแขนเสื้อของชุดอาคมจึงถูกระเบิดขาดวิ่นไปเกินครึ่ง นางไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกเสียดาย กลับกันยังยกมือขึ้น สะบัดแขนเสื้อ ใบหน้าเต็มไปด้วยความลำพองใจ คล้ายกำลังโอ้อวดอะไรกับสหายรักที่อยู่ข้างกาย
เฉินผิงอันยืนอยู่บนหัวกำแพงเมือง ยิ้มตาหยีกวักมือเรียกรถลากที่ประกายแสงศักดิ์สิทธิ์ไหลเวียนวน ต้องการวิชาอสนีใช่ไหม ขยับเข้ามาใกล้ๆ หน่อย มีให้มากจนเกินพอเชียวล่ะ เห็นแก่ที่พวกเจ้าเป็นสตรี ข้าผู้อาวุโสเป็นคนที่ขึ้นชื่อเรื่องรักหยกถนอมบุปผา ยังสามารถมอบให้พวกเจ้าได้อีกเยอะ ถึงเวลานั้นมีรับแล้วก็ต้องมีมอบกลับคืน พวกเจ้าต้องทิ้งรถหงส์คันนั้นเอาไว้
ดูจากลักษณะของมันแล้วน่าจะเป็นราชรถของจักรพรรดิอย่างไม่ต้องสงสัย นอกจากสัตว์เซียนหลายตัวที่ไม่ต้องพูดถึง ล้อรถถึงขั้นหล่อหลอมขึ้นมาจากจิตวิญญาณดวงจันทร์และแก่นตะวัน ส่วนเครื่องประดับด้านนอกตัวรถก็ยิ่งหรูหราอย่างถึงที่สุด ม่านที่ห้อยอยู่ตรงหน้าเป็นถึงภาพอวี้ลัวเซียวไถ (หมายถึงใจกลางของจักรวาลในตำนานเทพของลัทธิเต๋า) ภาพเมืองหยกตำหนักแดง หากนี่ยังเป็นแค่เรือข้ามฟากสมบัติอาคมชิ้นหนึ่ง ไม่ใช่ระดับขั้นของอาวุธกึ่งเซียนล่ะก็ หลายปีที่เฉินผิงอันเป็นร้านผ้าห่อบุญมาก็เสียเวลาเปล่าแล้ว
——