กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 744.1 ใต้หล้าระวังฟืนไฟ
ท่ามกลางแสงสนธยา แคว้นเล็กห่างไกลแห่งหนึ่งของแจกันสมบัติทวีป ในอำเภอเซียนโหยวจังหวัดชิงหยวน นักพรตคนหนึ่งที่เดินทางท่องเที่ยวไปทั่วทิศเดินทางมาถึงนอกศูนย์ฝึกยุทธแห่งหนึ่ง
เขาบอกว่าตัวเองเป็นเพื่อนรักกับเจ้าศูนย์สวี เท้าของนักพรตหนุ่มสวมรองเท้าผ้าพื้นหนา ท่าทางสะอาดสะท้าน ในมือถือไม้เท้าเดินป่าสีเขียวอันหนึ่ง ด้านหลังสะพายกล่องกระบี่เผยให้เห็นด้ามกระบี่ยาวสองเล่ม เล่มหนึ่งทำมาจากไม้ท้อ ทั้งยังสะพายห่อสัมภาระไว้เอียงๆ อีกหนึ่งห่อ
กระบี่ไม้ท้อนี่ คนเฝ้าประตูของศูนย์รู้จัก นักเล่านิทานที่สะพานเคยพูดถึง ทุกครั้งที่นักพรตซึ่งฝึกวิชาเซียนอยู่บนภูเขาลงจากเขาไปหาประสบการณ์ ไม่ว่าจะใช่นักพรตของจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์หรือไม่ ส่วนใหญ่ล้วนชอบสะพายกระบี่ไม้ท้อทำท่าให้เหมือนอยู่เสมอ
คนเฝ้าประตูคือลูกศิษย์ที่เพิ่งเข้ามาอยู่ในศูนย์ฝึกยุทธได้แค่ไม่กี่ปี เพราะว่าช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้วิถีทางโลกภายนอกไม่ค่อยสงบ จึงต้องขอเอกสารผ่านทางจากอีกฝ่าย ในความเป็นจริงแล้วลูกศิษย์ของศูนย์ฝึกยุทธผู้นี้ไม่ได้รู้จักตัวอักษรสักเท่าไร ก็แค่ทำท่าพอเป็นพิธีเท่านั้น ทุกวันนี้คนนอกเข้ามาท่องเที่ยวในอำเภอ ไม่ว่าจะผ่านทางมาเช่ารถม้า ขี่ลา หรือว่าพักเท้าอยู่ที่โรงเตี๊ยม ก็มักจะถูกนักการของที่ว่าการหรือไม่ก็พวกมือปราบตรวจสอบประวัติความเป็นมาอย่างละเอียดก่อนแล้ว ดังนั้นจึงไม่ถึงคราวที่ลูกศิษย์ศูนย์ฝึกยุทธต้องมาทำหน้าที่ตรวจสอบหาช่องโหว่
คนเฝ้าประตูคืนเอกสารผ่านด่านฉบับนั้นไป บอกว่าจะไปรายงานก่อน
นักพรตหนุ่มพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม รอคอยด้วยความอดทน
ออกเดินทางไกลครั้งนี้ ตลอดทางที่ลงใต้มา แจกันสมบัติทวีปมักมีสภาพการณ์แทบไม่ต่างไปจากนี้ อย่าว่าแต่ผู้ฝึกตนบนภูเขาที่ไม่ว่าพบเจอใครก็ต้องป้องกันราวกับระวังโจร แม้แต่ชาวบ้านล่างภูเขาก็ยังระมัดระวังตัวกันอย่างมาก
ยกตัวอย่างเช่นทุกวันนี้แม้แต่คนเคาะกรับตีฆ้องบอกเวลายามค่ำในอำเภอ ทางฝ่ายที่ว่าการก็ยังจัดหาคนให้มาอยู่ข้างกายคอยติดตามคนบอกเวลา ป้องกันไม่ให้คนชั่วฉวยโอกาสก่อคดี นอกจากนี้ยามค่ำคืนตลอดหลายปีที่ผ่านมา ศาลบุ๋นบู๊ ศาลเทพอภิบาลเมืองทั้งหลายก็พากันเปิดประตู เพราะว่าทางราชสำนักได้ออกคำสั่งมานานแล้วว่า ศาลน้อยใหญ่ทุกแห่งที่ตั้งอยู่ในอาณาเขตล้วนต้องรับประกันว่าควันธูปจะลุกโชนไม่ขาดสาย ให้ที่ว่าการแต่ละระดับในท้องที่ส่งคนไป ‘ขานชื่อ’ เชิญธูปโดยเฉพาะ พวกชาวบ้านจึงต้องตื่นขึ้นมากลางดึก แม้ว่าจะมีคำบ่นมีความไม่พอใจอยู่บ้าง แต่แท้จริงแล้วเรื่องหยุมหยิมยิบย่อยพวกนี้ไม่ได้สร้างความอาฆาตแค้นเคืองสักเท่าไร ถึงอย่างไรทุกบ้านทุกเรือนก็ต้องเจอเรื่องแบบนี้ทุกสามวันห้าวันอยู่แล้ว นอกจากนี้คนมีเงินในอำเภอยังต้องผลัดกันมาเปิดร้านอาหารมื้อดึก จะปล่อยให้ชาวบ้านต้องเหนื่อยเปล่าไม่ได้เด็ดขาด พวกคนจากตระกูลยากจนหรือพวกกำพร้าทั้งหลายกลับกลายเป็นว่าชอบการกระทำนี้ของที่ว่าการ ดังนั้นการมาจุดธูปยามค่ำคืนจึงยิ่งมีใจที่ศรัทธาซื่อสัตย์มากกว่าเดิม ทุกวันนี้จะต้องมีอาจารย์ผู้เฒ่าในโรงเรียน จวี่เหรินหรือไม่ก็ซิ่วไฉที่มียศติดตัวตระเวนไปทั่ว รวมถึงผู้เฒ่าในศาลบรรพชนของแต่ละบ้านแต่ละตระกูล แม้กระทั่งคนแก่อายุเจ็ดสิบกว่าปีก็ยังถือไม้เท้าออกมาคอยช่วยปลอบใจผู้คน หลักๆ แล้วคือพูดว่าทุกวันนี้สงครามด้านนอกต่อสู้กันดุเดือดรุนแรงมาก แต่ขอแค่รบชนะ กองทัพม้าเหล็กสกุลซ่งต้าหลีไปจนถึงราชสำนักของบ้านตนก็จะมาชดเชยให้ในเรื่องของภาษี ฮ่องเต้ทรงออกเอกสารอย่างเป็นทางการมาแล้ว จะไม่รังแกชาวบ้านอย่างพวกเราแน่นอน ดังนั้นขอแค่อดทนผ่านไปได้ก็จะได้มีชีวิตที่ดีที่ร้อยปีก็ยากจะพานพบ ดังนั้นหากใครกล้าไม่รักษากฎในเวลานี้ ไม่เพียงแต่กฎบ้านเมืองจะเข้ามาปกครอง กฎของที่ว่าการเข้ามาควบคุม แม้กระทั่งกฎบ้านของศาลบรรพชนก็จะต้องเอาออกมาใช้ด้วย จะถูกขับไล่ออกจากทำเนียบตระกูล ชาวบ้านอาจไม่เข้าใจว่ากฎบ้านเมืองคืออะไร แต่หากเป็นกฎบ้านล่ะก็ โดยเฉพาะความร้ายแรงของการถูกตัดชื่อออกจากทำเนียบตระกูลแล้วนั้น ย่อมรู้ชัดเจนดียิ่งกว่าใคร
สวีหย่วนเสียก้าวเร็วๆ มาที่หน้าประตูใหญ่ พอเห็นนักพรตหนุ่มที่นอกประตูก็หัวเราะเสียงดังก้องกังวาน ก้าวข้ามธรณีประตูออกมา เอามือกดไหล่จางซานเฟิง ออกแรงเพิ่มเล็กน้อย “เจ้าตัวดี กระดูกแข็งจนใกล้จะเทียบกับพี่ใหญ่สวีได้แล้ว”
ลูกศิษย์ศูนย์ฝึกยุทธที่ทำหน้าที่เป็นคนเฝ้าประตูรู้สึกสงสัยเล็กน้อย อาจารย์ท่านผู้อาวุโสไม่ได้อารมณ์ดีอย่างนี้มานานมากแล้ว อาจารย์คบหามิตรสหายกว้างขวาง ชอบแจกจ่ายเงินทอง พวกคนที่มาขอกินดื่มเปล่าๆ ที่ศูนย์ฝึกยุทธจึงมีไม่น้อย แต่เสียงหัวเราะบางครั้งที่หลุดออกมาจากปากอาจารย์มักเป็นไปตามวิถีแห่งการรับรองแขกในยุทธภพ เพียงแค่นี้เท่านั้น ทว่าเสียงหัวเราะในวันนี้ดูเหมือนว่าจะหลุดออกมาจากดวงตาของอาจารย์เลยทีเดียว
สวีหย่วนเสียโอบกอดจางซานเฟิงเอาไว้ ใช้ฝ่ามือตบบนแผ่นหลังของนักพรตหนุ่มเบาๆ สองสามที แล้วถึงได้ปล่อยมือออก ถอยไปด้านหลังหลายก้าว พยักหน้าเอ่ย “ยังคงรูปงามเหมือนเดิม หล่อเหลาได้ครึ่งหนึ่งของพี่ใหญ่สวีตอนยังเป็นหนุ่ม”
ได้พบกับสวีหย่วนเสียที่จากกันไปนานแล้วกลับมาเจอกันอีกครั้ง นักพรตหนุ่มพลันพูดอะไรไม่ออก
อยู่บนภูเขาจนเคยชินกับการที่รูปโฉมของอาจารย์และพวกศิษย์พี่ไม่เปลี่ยนแปลงแล้ว
เมื่อจางซานเฟิงได้เห็น…ผู้เฒ่าตรงหน้านี้
สีหน้าของเขาพลันเลื่อนลอยไป
เห็นเพียงว่าผู้เฒ่าหลังตรงเอวตั้ง จอนผมสองข้างออกสีเทา แล้วยังโกนหนวดเคราจนเอี่ยมสะอาด
เกือบจะจำไม่ได้อยู่แล้ว
นักพรตหนุ่มที่ยังคงมีรูปโฉมดุจเดิมพลันนึกขึ้นมาได้ว่าจอมยุทธเคราดกที่เคยอยู่ในวัยฉกรรจ์ผู้นี้ โดยไม่ทันรู้ตัวก็อายุครึ่งร้อยกว่าเข้าไปแล้ว
นี่ก็คือความต่างระหว่างผู้ฝึกยุทธล่างภูเขากับอาจารย์หล่อหลอมบนภูเขา
ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวหากสามารถเลื่อนขั้นสู่หลอมลมปราณสามขอบเขต ก็พอจะรักษารูปโฉมให้คงเดิมได้อยู่บ้าง แต่หากไม่อาจเลื่อนเป็นขอบเขตโอสถทองได้เสียที รูปลักษณ์ก็จะค่อยๆ เสื่อมโทรมแก่ชราจนไม่ต่างจากชาวบ้านในโลกมนุษย์ทั่วไป เส้นผมก็อาจหลุดร่วงหรือขาวโพลนเต็มศีรษะได้เช่นกัน
จางซานเฟิงเก็บความคิดกลับมา กุมหมัดเอ่ยเรียก “พี่ใหญ่สวี!”
สวีหย่วนเสียลากจางซานเฟิงให้ข้ามธรณีประตูไปด้วยกันพลางบ่นเบาๆ ว่า “ซานเฟิง ทำไมถึงมีเจ้าแค่คนเดียว? หากเจ้าเด็กนั่นยังไม่มาอีก ข้าคงยุให้เขาดื่มเหล้าไม่ไหวแล้วนะ”
จางซานเฟิงเอ่ยอย่างจนใจ “ครั้งนี้ข้านั่งเรือข้ามฟากของสำนักพีหมา จำเป็นต้องผ่านท่าเรือภูเขาหนิวเจี่ยว ผลคือไปถึงภูเขาลั่วพั่วแล้วก็ยังไม่ได้พบเฉินผิงอัน คราวก่อนเขาไปอุตรกุรุทวีป ข้าก็ดันไม่อยู่บนภูเขาพอดี”
สวีหย่วนเสียเอ่ยปลอบใจ “ไม่เป็นไร ไม่ต้องฝืนบังคับ พวกเจ้ายังหนุ่ม”
กล่าวมาถึงตรงนี้สวีหย่วนเสียก็หัวเราะฮ่าๆ “ล้วนยังหนุ่มกันทุกคน”
หลังจากที่สวีหย่วนเสียกลับมาถึงบ้านเกิดก็มาเปิดศูนย์ฝึกยุทธแห่งนี้ อันที่จริงตระกูลของสวีหย่วนเสียคือตระกูลที่มีชื่อเสียงในจังหวัด เพียงแต่ว่าสวีหย่วนเสียออกจากบ้านไปนานเกินไป อีกทั้งยังเป็นสายรอง ดังนั้นจึงถือว่าแยกบ้านออกมาตั้งตระกูลเป็นของตัวเองแล้ว ศูนย์ฝึกยุทธเป็นกิจการต้นทุนน้อย หลายปีที่ผ่านมานี้ก็ไม่ได้อบรมสั่งสอนจนมีลูกศิษย์ที่เก่งกาจเป็นพิเศษอะไร พวกลูกศิษย์ผู้สืบทอดของศูนย์ฝึกยุทธรับเอาลูกศิษย์มาอีกทีก็มีภาพบรรยากาศที่ไม่ต่างกันสักเท่าไร กิจการไม่ถึงขั้นซบเซา แต่ก็ไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังในยุทธภพ แต่ศูนย์ฝึกยุทธที่ไม่ถือว่าสะดุดตาแห่งนี้ เมื่ออยู่ท่ามกลางยุทธภพของแคว้นเล็กๆ อันห่างไกล อันที่จริงในสายตาของคนบางคนก็ไม่ถือว่าเรียบง่ายขนาดนั้น เพราะทยอยมีข่าวลือแพร่ออกมาบอกว่าอาจารย์สวีที่วิชาหมัดไม่เข้าขั้นรู้จักเซียนซือบนภูเขาหลายคน อีกทั้งเมื่อก่อนตอนที่อาจารย์สวีไปเป็นทหารในกองทัพชายแดนก็ได้สะสมความสัมพันธ์ควันธูปในวงการขุนนางที่จะมีหรือไม่มีก็ได้ไว้หลายส่วน อันที่จริงสวีหย่วนเสียรำคาญคำพูดเหลวไหลพวกนี้มาก ข้าผู้อาวุโสมีความสัมพันธ์ควันธูปกับราชสำนักกะผายลมอะไรกัน วิชาหมัดของข้าผู้อาวุโสไม่เข้าขั้น? จะดีจะชั่วก็เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตหก ก็ไม่ถือว่าแย่กระมัง
เพียงแต่ว่าจะโทษที่คนนอกปั้นน้ำเป็นตัวก็ไม่ได้ ในความเป็นจริงแล้วหลังจากที่สวีหย่วนเสียย้อนกลับมายังบ้านเกิดก็ไม่เคยเห็นขอบเขตของผู้ฝึกยุทธเป็นเรื่องสำคัญ ไม่เพียงแต่จงใจอำพรางความสูงต่ำของวิชาหมัด แม้แต่เรื่องของการฝ่าทะลุขอบเขตหกก็ยังไม่เคยบอกเล่าแก่คนนอกแม้แต่คำเดียว ไม่อย่างนั้นผู้ฝึกยุทธขอบเขตหกคนหนึ่ง อยู่ในยุทธภพแคว้นเล็กห่างไกลอย่างบ้านเกิดของสวีหย่วนเสียนี้ ก็ถือว่าเป็นคนดังระดับสูงสุดของยุทธภพได้แล้ว ขอแค่ยินดีเปิดประตูต้อนรับแขก สร้างความสัมพันธ์อันดีกับพรรคบนภูเขาและวงการขุนนางในราชสำนักบ้าง ก็ยังถึงขั้นมีโอกาสได้เป็นผู้นำของยุทธภพเลยด้วยซ้ำ
เพียงแต่ว่ายิ่งเป็นสถานที่เล็กๆ พอวิชาหมัดสูงเมื่อไหร่ บุญคุณความแค้นในยุทธภพก็จะมีมากเมื่อนั้น พวกตะพาบในน้ำตื้นก็จะมากตามไปด้วย ความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนเป็นเรื่องที่น่ารำคาญที่สุด
สวีหย่วนเสียเขียนบันทึกขุนเขาสายน้ำเล่มหนึ่งขึ้นมาเป็นการส่วนตัว เดี๋ยวตัดเดี๋ยวลด เดี๋ยวเพิ่มเดี๋ยวเติม เพียงแต่ว่ายังไม่ได้หาสำนักพิมพ์ให้ช่วยจัดพิมพ์ออกมาเสียที
ความองอาจในชีวิตล้วนถูกเกลาไปไว้ในสุรา ทิ้งไว้ในยุทธภพที่เคยเดินผ่านมาในอดีตก็แล้วกัน
มีเพียงได้กลับมาพบเจอกับสหายที่แท้จริงอีกครั้ง มือดาบเคราดกที่ในอดีตเคยเดินทางผ่านพันภูเขาหมื่นสายน้ำมาเพียงลำพังผู้นี้ถึงจะอยากดื่มเหล้าอย่างแท้จริง
บนโต๊ะเหล้า
ตอนที่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดคนหนึ่งของศูนย์ฝึกยุทธเอาสุรามาให้สวีหย่วนเสียก็ให้รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย อันที่จริงช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้อาจารย์ไม่ค่อยดื่มเหล้าเท่าไรแล้ว มีบางครั้งที่ดื่มก็แค่จิบนิดๆ เท่านั้น ส่วนใหญ่จะดื่มชามากกว่า
ของขวัญเยี่ยมเยือนของจางซานเฟิงคือใบชาหลายกล่อง เขาซื้อมาจากท่าเรือตระกูลเซียนแห่งหนึ่งที่ชื่อว่าอันจี๋ ข้างท่าเรือมีวัดจินกวาง ในวัดปลูกต้นชา ชาขาวเหมือนหยกเขียวมรกต ราคาไม่แพง ตอนที่สวีหย่วนเสียรับใบชาเอาไว้ เขาหัวเราะก๊ากไม่หยุด บอกว่าบังเอิญนัก ทุกวันนี้ตนชอบดื่มชาจริงๆ ใบชามาจากอันซีที่อยู่ใกล้กับอำเภอเซียนโหยวบ้านเกิดของตน แต่ไม่ถือว่าเป็นใบชาตระกูลเซียนอะไร ขอแค่เป็นตระกูลที่พอมีอันจะกินสักหน่อยล้วนจ่ายเงินซื้อมาดื่มได้ไหว วันหน้าลองให้เฉินผิงอันเลือกดื่มเอา อันจี๋ก็ดี อันซีก็ช่าง ถึงอย่างไรก็ล้วนเป็นชาดีที่ชื่อดี
หวนนึกถึงอดีตอันห่างไกล รูปโฉม ความคอแข็ง วิชาหมัด ความรู้…เจ้าเด็กเฉินผิงอันนั่นไม่ว่าอะไรก็ล้วนไม่ประชันขันแข่งความสูงต่ำกับสวีหย่วนเสียและจางซานเฟิง มีเพียงในเรื่องของชื่อเท่านั้นที่เฉินผิงอันต้องแข่ง ยืนกรานบอกว่าชื่อของตัวเองดีที่สุด
“พี่ใหญ่สวี ทำไมยังโสดอยู่อีกเล่า? แบบนี้ไม่เข้าท่าแล้วนะ”
จางซานเฟิงจิบเหล้าหนึ่งอึกแล้วเอ่ยสัพยอกว่า “เมื่อก่อนพวกเราสามคนต่างก็ตกลงกันไว้แล้วว่า วันหน้ารอให้ท่านกลับบ้านเกิดจะต้องหาแม่นางงดงามสักคนมาแต่งเป็นภรรยาให้กำเนิดบุตร แล้วจะให้บุตรของท่านรับข้ากับเฉินผิงอันเป็นพ่อบุญธรรม ลูกสาวที่เหมือนผ้านวมผืนน้อยแน่นอนว่าต้องมีสักคน แล้วค่อยมีลูกชายอีกสักสองคน คนหนึ่งติดตามข้าไปเรียนมรรคกถาฝ่ายนอกของภูเขามังกรพยัคฆ์ อีกคนหนึ่งเรียนหมัดฝึกกระบี่กับเฉินผิงอัน”
สวีหย่วนเสียเหลือกตามองบน เอาแต่ดื่มเหล้าชามใหญ่ของตัวเอง ไม่ได้ยุให้จางซานเฟิงดื่มเยอะๆ อยู่บนโต๊ะเหล้าเอาแต่ยุให้คนอื่นดื่มอย่างห้าวหาญ แต่ตัวเองกลับไม่องอาจนี่นะ “ข้าก็อยากเหมือนกันนั่นแหละ เพียงแต่ถ่วงเวลาแล้วถ่วงเวลาอีก ก็เลยลากยาวมาถึงตอนนี้ ซานเฟิง วิธีการดื่มเหล้าของเจ้านี่มันสุภาพแช่มช้อยเสียจริง คิดว่าตัวเองดื่มชาอยู่หรือไร แม้แต่เฉินผิงอันก็ยังสู้ไม่ได้เลยนะ”
ปล่อยความองอาจแม่งไปเหอะ ดื่มเหล้าไม่ยุให้คนดื่มจะมีรสชาติอะไร
สวีหย่วนเสียดื่มมากแล้ว จางซานเฟิงก็ดื่มจนเมาแล้ว
สวีหย่วนเสียฟังข่าวลือบนภูเขาบางอย่างจากจางซานเฟิงแล้วก็ทอดถอนใจเอ่ยว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนั้น คือสถานที่ที่แบ่งแยกบุญคุณความแค้นอย่างชัดเจน บ้านเกิดของการชำระแค้นย่อมไม่ใช่สถานที่ที่ซุกซ่อนความสกปรกเอาไว้แน่นอน
จางซานเฟิงชูถ้วยเหล้าขึ้นสูง บอกว่าจะดื่มเป็นเพื่อนพี่ใหญ่สวีอีกชาม
จางซานเฟิงพลันถามสวีหย่วนเสียว่า ทุกวันนี้เฉินผิงอันอายุเท่าไรแล้ว
สวีหย่วนเสียที่เมามายโคลงศีรษะ บอกว่าจำไม่ได้แล้ว พวกเรามาดื่มกันก่อนดีกว่า
สวีหย่วนเสียที่ไม่ใช่จอมยุทธเคราดกอีกต่อไป ก่อนจะเมาพับล้มฟุบลงบนโต๊ะได้มองออกไปนอกประตู พึมพำกับตัวเองว่า อยากซื้อดอกท้อพร้อมสุราล่องเรือไป แต่ถึงอย่างไรก็ไม่มีปณิธานดุจเด็กหนุ่มยามออกเดินทางอีกแล้ว ข้าแก่แล้ว แล้วเด็กหนุ่มล่ะ?
จางซานเฟิงฟุบตัวลงบนโต๊ะ สะอึกเรอดวงตาปรือปรอย พูดว่าอย่าให้ไม่ทันระวัง คราวหน้าที่พบกัน เฉินผิงอันก็ตัวสูงกว่าพวกเราแล้วนะ
บุปผามีวันที่จะเบ่งบานอีกครั้ง เป็นเช่นนี้อยู่ทุกปี ทว่าคนเรากลับไม่อาจกลับไปเป็นเด็กหนุ่มได้อีก เป็นเช่นนี้ทุกวัน มีเพียงเหล้าท่ามกลางลมวสันต์ดอกท้อเบ่งบานเท่านั้นที่ไม่ว่าดื่มอย่างไรก็ไม่เคยพอ
……
แม่นางหน้ากลมสวมชุดผ้าฝ้ายคนหนึ่งเดินทางผ่านแม่น้ำเถี่ยฝู เดินไปยังลำคลองหลงซวี พบว่าในน้ำมีใบไม้อยู่มากมาย
สุดท้ายนางมองเห็นบุรุษผู้หนึ่งกำลังนั่งโปรยใบไม้อยู่ริมคลอง มองดูเหมือนอายุยี่สิบต้นๆ เพราะอีกฝ่ายเป็นคนฝึกตน อายุแท้จริงต้องไม่ใช่แค่นี้แน่นอน
หลิวเสี้ยนหยางหันหน้ากลับมา พอมองเห็นสตรีแปลกหน้าก็คลี่ยิ้มกว้างสดใสทันใด เขาลุกขึ้นยืนอย่างว่องไว แล้วเริ่มแนะนำตัวเอง “ข้าน้อยแซ่หลิวนามเสี้ยนหยาง เป็นคนในพื้นที่ นับตั้งแต่เด็กก็ตรากตรำอ่านตำราด้วยความยากลำบาก แม้ว่าจะไม่มียศตำแหน่ง แต่ก็อ่านตำรามาแล้วหมื่นเล่ม เดินทางมาแล้วหมื่นลี้ ปณิธานสูงส่งยาวไกล ที่บ้านพอจะมีฐานะอยู่บ้าง ในเมืองเล็กมีบ้านบรรพบุรุษอยู่หลังหนึ่ง ตั้งอยู่ในตำแหน่งที่ดีเยี่ยมอย่างถึงที่สุด…”
แม่นางหน้ากลมแปลกหน้าผู้นี้มองดูแล้วเหมือนจะมึนงงอยู่บ้าง เพราะไม่เข้าใจความนัยในคำพูดนี้ หรือเดิมทีก็ฟังไม่เข้าใจอยู่แล้ว?
ไม่ใช่คนของต้าหลี? ดังนั้นเลยฟังภาษาทางการไม่เข้าใจ?
แม่นางเปิดปากถามจริงเสียด้วย “ที่นี่คือที่ไหน?”
ภาษากลางของใต้หล้าไพศาล
หลิวเสี้ยนหยางจึงเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเทพธิดาจากทวีปอื่นที่เดินทางมาท่องเที่ยวในแจกันสมบัติทวีป แจกันสมบัติทวีปทุกวันนี้ ในบรรดาเมธีร้อยสำนักมักจะมีผู้ฝึกลมปราณอายุน้อยของทวีปอื่นหาโอกาสเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วทิศ ในฐานะซากปรักเก่าของถ้ำสวรรค์หลีจู แน่นอนว่าจังหวัดหลงโจวย่อมต้องเป็นสถานที่หนึ่งที่ผู้คนเลือกมาเยือน
ตอนที่หลิวเสี้ยนหยางออกจากบ้านเกิดเดินทางไกลไปขอศึกษาต่อเมื่อครั้งยังเป็นเด็กหนุ่ม ระหว่างทางเคยเห็นหอเรือนตระกูลเซียนบนยอดเขามีสาวงามยืนอยู่เพียงลำพัง ชุดสีสดพลิ้วไสวไปตามสลายลม ภาพวาดตระกูลเซียนที่ลักษณะคล้ายคลึงกันนี้เขาเคยได้เห็นมาไม่น้อย พอเห็นมากๆ เข้าก็ดูเหมือนว่าจะมีอยู่แค่นั้น ทัศนียภาพงดงามอย่างถึงที่สุด แต่พวกมันล้วนเป็นของคนอื่น ทว่าแม่นางหน้ากลมที่สวมชุดเรียบง่ายตรงหน้าผู้นี้ เมื่อนางเอ่ยถ้อยคำอย่างนิ่มนวล หรือไม่ก็กะพริบดวงตากลมโตชุ่มน้ำคู่นั้น กลับน่าฟังและน่ามองยิ่งนัก
หลิวเสี้ยนหยางยิ้มตอบ “จังหวัดหลงโจว แจกันสมบัติทวีป”
แม่นางอึ้งตะลึง มาที่แจกันสมบัติทวีปได้อย่างไร นี่เป็นสถานที่ที่นางไม่อยากมาที่สุดพอดี
นางก็คือเซอเยว่
ก่อนหน้านี้อยู่ที่ท่าเรือใบท้อของใบถงทวีป อยู่ดีๆ ก็ถูกคนจับตัวไปกักไว้ในชายแขนเสื้อ อยู่ในขุนเขาสายน้ำของจักรวาลแห่งนั้น เซอเยว่เพิ่งจะหุงข้าวตระกูลเซียนได้หม้อหนึ่ง ยังไม่ทันได้กินก็ค้นพบว่าตัวเองกลับมามองเห็นแสงตะวันอีกครั้ง แล้วอยู่ดีๆ ก็ถูกคนโยนมายังภูเขาที่ไม่คุ้นเคยลูกหนึ่ง นางจึงได้แต่ถามไปคำหนึ่งว่าคืนข้าวหม้อนั้นมาให้นางได้หรือไม่ ไม่มีคำตอบรับแม้แต่น้อย เซอเยว่จึงได้แต่เดินเล่นเรื่อยเปื่อยไปตามเส้นทางที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า เดินผ่านเมืองเล็กเจริญรุ่งเรืองแห่งหนึ่งที่มีแม่น้ำสามสายมารวมตัวกัน กระทั่งเดินมาถึงที่นี่ เพราะว่าที่นี่มีภูเขาอยู่ลูกหนึ่ง ดูเหมือนว่าแสงจันทร์จะค่อนข้างเข้มข้นกว่าแสงจันทร์ธรรมชาติทั่วไป อีกทั้งยังไม่ใช่การร่ายวิชาอภินิหารเอาไว้เพื่อให้ตระกูลเซียนรวบรวมปราณวิญญาณอีกด้วย ดังนั้นเซอเยว่จึงค่อนข้างจะสงสัยใคร่รู้
——