กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 745.1 ภูเขาสายน้ำพลิกกลับค่ำคืนลมหิมะ
บัณฑิตต่างถิ่นคนหนึ่งนามว่าเฉินจั๋วหลิวส่งจดหมายกระบี่บินฉบับหนึ่งจากตำหนักฉางชุนไปยังภูเขาลั่วพั่ว จากนั้นก็ไปเดินเล่นในเมืองหลวงต้าหลีแล้วเดินเท้าลงใต้ไปตลอดทาง เดินเนิบช้าจนกระทั่งมาถึงร้านยาสุ้ยตรอกฉีหลงของเมืองเล็ก ได้เจอกับลูกจ้างตัวน้อยที่เถ้าแก่สือโหรวเรียกว่าอาหมาน ตอนที่เขาชั่งน้ำหนักถุงเงินเพื่อเลือกซื้อขนม เจี่ยเฉิงเถ้าแก่ของร้านฉ่าวโถวที่อยู่ข้างกันก็แวะมาเยี่ยมเยือนพอดี ทุกวันนี้ชุดคลุมเต๋าที่อยู่บนร่างของเทพเซียนผู้เฒ่าเรียบง่ายกว่าก่อนหน้านั้นเยอะมาก เพราะถึงอย่างไรทุกวันนี้ขอบเขตก็สูงแล้ว พวกชุดคลุมอาคมอะไรพวกนี้ล้วนเป็นของนอกกาย หากให้ความสำคัญมากเกินไปจะดูว่าเป็นคนระดับล่าง เฉินจั๋วหลิวชำเลืองตามองนักพรตเฒ่าแล้วคลี่ยิ้ม เจี่ยเฉิงสัมผัสได้ถึงสายตามองประเมินของอีกฝ่ายก็ลูบหนวดผงกศีรษะ
หลังจากเฉินจั๋วหลิวออกไปจากร้านยาสุ้ยก็ไปเยือนร้านตระกูลหยางมารอบหนึ่ง ไม่ได้พบหยางเหล่าโถวก็รู้สึกเสียดายเล็กน้อย หากรู้แต่แรกปีนั้นคงมาพูดคุยเรื่องปฏิทินเหลืองเก่าแก่ที่นี่ไปแล้ว
เฉินหลิงจวินทะยานลมมาอย่างรีบร้อน ก่อนหน้านี้ได้รับจดหมายลับกระบี่บิน พี่น้องคนดีบอกว่าวันนี้จะมาถึงเมืองเล็กตรงตามเวลา ทั้งสองฝ่ายจึงนัดพบกันที่ร้านยาสุ้ยตรอกฉีหลง เฉินหลิงจวินลงจากภูเขามาก่อนเวลาหนึ่งชั่วยาม ตรงเอวห้อยยันต์กระบี่ทีเดียวสามชิ้นรวด ไปขอยืมมาจากหมี่ลี่น้อยและเด็กโง่หน่วนซู่ก่อนจะลงจากเขา ถึงเวลานั้นจะได้เอาของตนให้กับเฉินจั๋วหลิว ยืม? ยืมอะไรกัน ไม่ใจกว้างเลยแม้แต่น้อย พอไปถึงร้านยาสุ้ยรออยู่ประมาณหนึ่งชั่วยามกว่า เอาแต่แทะเมล็ดแตงก็คงไม่ใช่เรื่อง ด้วยความเบื่อหน่าย เฉินหลิงจวินจึงหยอกอาหมานน้อยนิสัยแปลกแยกผู้นั้นเล่น บอกว่าฝึกหมัดฝึกเดินนิ่งอะไรกัน เปลืองแรงเกินไปแล้ว ข้าจะสอนวิชาหมัดชั้นสูงที่ไม่แพร่งพรายให้แก่คนนอกง่ายๆ แก่เจ้าบทหนึ่ง ชื่อว่าตะขาบกระโดด ฝึกท่าหมัดนี้อยู่นอกประตูในตรอกฉีหลง นั่นคือสุดยอดวิชาโดยแท้
ทว่าเจ้าตัวน้อยเพียงแค่ยืนอยู่บนม้านั่งหลังโต๊ะคิดเงิน เปิดหนังสืออ่าน ไม่สนใจเด็กชายชุดเขียวผู้นี้แม้แต่น้อย
เฉินหลิงจวินเอาสองมือไพล่หลัง ไปคุยเล่นกับสหายเก่าเจี่ยเฉิงที่ร้านติดกัน ตบอกบอกว่าจะให้พี่ใหญ่เจี่ยได้เจอกับเพื่อนใหม่ เพียงแต่ว่าพอถึงเวลานัดแล้ว ผ่านไปอีกหนึ่งก้านธูป เฉินหลิงจวินนั่งยองอยู่หน้าประตูร้านก็ยังไม่ได้พบเฉินจั๋วหลิวผู้นั้น เขาเลยวิ่งกลับไปที่ร้านยาสุ้ย ถามสือโหรวว่าวันนี้มีบัณฑิตสะพายหีบหนังสือมาที่ร้านหรือไม่ สือโหรวบอกว่ามี เมื่อหนึ่งชั่วยามก่อนยังมาซื้อขนมที่ร้าน เสร็จแล้วก็จากไป เฉินหลิงจวินกระทืบเท้า ร่ายเวทอำพรางตาทะยานลมขึ้นกลางอากาศ ลอยตัวอยู่สูงเหนือเมืองเล็กก้มหน้าลงมองพื้นดิน ยังคงมองไม่เห็นเงาร่างที่คุ้นเคยของสหาย แปลกจริง หรือว่าก่อนนี้ตนเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาทะยานลมเกินไป ไม่ทันได้มองไปทางภูเขาสักเท่าไร เป็นเหตุให้ทั้งสองฝ่ายคลาดกันพอดี แท้จริงแล้วคนหนึ่งขึ้นเขาคนหนึ่งออกจากภูเขา? จากนั้นเฉินหลิงจวินก็รีบร้อนกลับไปที่ภูเขาลั่วพั่ว ถามหมี่ลี่น้อยก่อน ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายก็ไม่ได้เจอเฉินจั๋วหลิวเช่นกัน เฉินหลิงจวินนั่งยองอยู่บนพื้น สองมือกุมหัว ถอนหายใจเฮือกๆ เล่นอะไรกันอยู่เนี่ย
อันที่จริงตอนนี้เฉินจั๋วหลิวอยู่ที่ภูเขาหวงหู นั่งอาบแดดอยู่นอกกระท่อม
คนพิฆาตมังกรมาถึงริมน้ำ แต่กลับไม่ได้สังหารมังกร ก็เหมือนกับชาวประมงที่ไปถึงริมน้ำแล้วไม่หว่านแห คนตัดฟืนขึ้นเขาไปแล้วไม่ได้ตัดฟืน
ไม่เป็นไร
ขอแค่อดทนรอต่อไป ต่อจากนี้จะยังมีเรื่องที่ประหลาดยิ่งกว่านี้เกิดขึ้นอีก คราวนี้เฉินจั๋วหลิวจะไม่ยอมพลาดอีกเด็ดขาด นั่นคือวีรกรรมยิ่งใหญ่ที่หมื่นปีก็ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนเชียวนะ
ในเมื่อหยางเหล่าโถวไม่อยู่ในเมืองเล็ก เดินออกจากพื้นที่ที่วาดเป็นกรงขังให้ตัวเองนานหมื่นปี ถ้าเช่นนั้นจังหวัดหลงโจวในตอนนี้ก็มีแค่เฉินจั๋วหลิวคนเดียวเท่านั้นที่สัมผัสได้ถึงความผิดปกตินี้ เว่ยป้อซานจวินแห่งภูเขาพีอวิ๋นก็ยังทำไม่ได้ สาเหตุไม่ใช่เพียงแค่เพราะขอบเขตของซานจวินขุนเขาเหนือไม่สูงพอ ต่อให้เป็นเขา ‘เฉินจั่วหลิว’ ก็ต้องอาศัยการที่ ‘หลบเร้นกาย’ มานานหลายปีมาสืบสาวเบาะแสพวกนี้ บวกกับที่การชักนำของผลกรรมจากการสังหารมังกร รวมไปถึงเวทคาถาที่จำแลงมาจากการคิดคำนวณจิตใจ บวกรวมทับซ้อนกัน เขาถึงสามารถอนุมานภาพเหตุการณ์ลี้ลับของเหตุไม่คาดฝันครั้งนี้ออกมาได้
เพียงแต่เขาค่อนข้างจะสงสัยใคร่รู้ ซิ่วหู่ผู้นั้นรู้เรื่องนี้ด้วยหรือไม่?
……
ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง นอกกระท่อมบนยอดเขาที่อยู่ท่ามกลางภูเขาแสนลี้ เฒ่าตาบอดหลังค่อมงองุ้มยืนหันหน้าเข้าหาขุนเขาสายน้ำหมื่นลี้ที่เขาเป็นผู้ครอบครองเพียงลำพัง
ปีนั้นเขาควักดวงตาทั้งสองข้างออกด้วยตัวเอง ข้างหนึ่งโยนทิ้งไว้ในใต้หล้าไพศาล อีกข้างหนึ่งโยนทิ้งไว้ในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง
ขุนเขาสายน้ำหมื่นลี้ที่ ‘อยู่ตรงหน้า’ นี้ไม่มีใครสักคนเดียว สะอาดเกินไปแล้ว สะอาดเอี่ยมนัก
หมาแก่ตัวหนึ่งนอนหมอบอยู่ตรงหน้าประตู แหงนหน้าขึ้นน้อยๆ มองตาเฒ่าที่ยืนอยู่ริมหน้าผา ทำไมไม่ตกหน้าผาตายให้พ้นๆ ไปเสียทีนะ ความผิดหวังเล็กๆ เช่นนี้ มันมีอยู่ทุกวันเลยเชียว
เฒ่าตาบอดถาม “รู้หรือไม่ว่าเหตุใดปีนั้นอาเหลียงแกะสลักตัวอักษรแล้วออกไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ แต่กลับไม่ได้กลับไปยังบ้านเกิด?”
หมาแก่ที่เป็นถึงขอบเขตบินทะยานผู้ยิ่งใหญ่โคลงศีรษะ “ไม่รู้”
เฒ่าตาบอดสบถด่า “สมองหมาจริงๆ!”
หมาแก่ไม่รู้สึกน้อยใจเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่อยากพูดมากว่าไม่อย่างนั้น? ยังจะเป็นอย่างไรได้อีก? เฒ่าตาบอดเจ้านี่ก็ช่างชอบพูดจาเหลวไหลเสียจริง หากพวกเราสองคนมาเปลี่ยนขอบเขตกันล่ะก็ หึหึ
หลังจากที่อาเหลียงออกไปจากภูเขาห้อยหัวก็ตรงดิ่งไปที่ถ้ำสวรรค์หลีจู จากนั้นจึงบินทะยานไปยังป๋ายอวี้จิงแห่งใต้หล้ามืดสลัว สังหารเทวบุตรมารที่ฟ้านอกฟ้าพลางงัดข้อกับเต๋าเหล่าเอ้อไปด้วย
หลังจากเลื่อนเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบสี่ ก็ยังไม่ได้ไปยังทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางอันเป็นบ้านเกิดของตน แต่ตรงดิ่งไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ จากนั้นก็ถูกสยบอยู่เบื้องล่างภูเขาทัวเยว่ หนึ่งในสองหอบินทะยานยุคบรรพกาล ภูเขาทัวเยว่ที่เคยถูกผู้ฝึกกระบี่สามท่านไปถามกระบี่ สะบั้นเส้นทางที่เดิมทีมีหวังจะเชื่อมโยงฟ้าและคนเข้าด้วยกันได้อีกครั้ง คำว่าฟ้าดินเชื่อมโยง สืบสาวราวเรื่องกันแล้วก็คือให้ผู้ฝึกตนในรุ่นหลังไปเยือนสรวงสวรรค์ปริแตกของสิ่งศักดิ์สิทธิ์นับพันนับหมื่นในอดีต ซากปรักแห่งนั้นไม่ว่าใครก็หลอมไม่ได้ แม้แต่บรรพจารย์สามลัทธิก็ยังได้แต่ร่ายเวทผนึกมันไว้เท่านั้น
เฒ่าตาบอดยื่นมือออกมาเกาข้างแก้มที่ผอมตอบ “ด้วยนิสัยเช่นนั้นของอาเหลียง หากไม่ได้ฝ่าทะลุขอบเขต จะสามารถไปแสร้ง…คุยโวโอ้อวดกับเพื่อนเก่าที่บ้านเกิดได้หรือ? เจ้าหมอนั่นจะไม่เอ่ยประโยคว่า ‘ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบสี่ไม่มีอะไรร้ายกาจ’ ได้หรือไร ต้องพูดแบบนี้แน่นอน แค่ขยับก้นก็รู้แล้วว่าเขากินอะไรเข้าไป”
หมาเฝ้าประตูตัวนั้นพยักหน้า เอ่ยอย่างกระจ่างแจ้ง “ทราบแล้ว อาเหลียงมีบ้านแต่กลับไม่ได้ ก็สุนัขไร้บ้านนี่นะ ถึงอย่างไรพวกบัณฑิตก็เส็งเคร็งกันเช่นนี้อยู่แล้ว อันที่จริงมหาสมุทรความรู้ของใต้หล้าพวกเราท่านนั้นก็พอๆ กันนี่แหละ ใต้หล้าแห่งอื่นยังพูดง่าย แต่หากใต้หล้าไพศาลมีใครใช้สถานะของผู้ฝึกกระบี่เลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะทำให้กากเดนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ทั่วฟ้านอกฟ้าที่ไม่ว่าในประวัติศาสตร์จะแบ่งออกเป็นกองทัพใหญ่สักกี่กองทัพ พากันบุกเข้ามาในใต้หล้าไพศาลอย่างบ้าคลั่ง มิน่าเล่าซิ่วไฉเฒ่าถึงไม่ยินดีให้จั่วโย่วผู้เป็นลูกศิษย์เลื่อนสู่ขอบเขตนี้ ไม่เพียงแต่อันตรายเกินไป แต่อาจจะยังก่อให้เกิดหายนะครั้งใหญ่ นี่ก็สามารถอธิบายได้แล้ว ตอนนั้นที่แม่หนูน้อยมัดผมแกละเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ ดูท่าแล้วก็เป็นวิธีการที่โจวมี่ใช้ใส่ร้ายใต้หล้าไพศาลนั่นเอง”
เฒ่าตาบอดหัวเราะหยัน “นับว่าไม่ได้สมองหมู”
หมาแก่รู้สึกระอาใจยิ่งนัก ด่าไปเถอะ ด่าไปเถอะ เฒ่าตาบอดเจ้าก็ดีแต่จะรังแกหมาบ้านตัวเองที่จงรักภักดีนี่แหละ
เฒ่าตาบอดเจ้าว่าเจ้ามัวแต่เฝ้าขอบเขตสิบสี่อยู่เฉยๆ ทำไม ไปตีกับบรรพบุรุษใหญ่ของภูเขาทัวเยว่ให้สะใจสักรอบสิ หากชนะ ตลอดทั้งใต้หล้าเปลี่ยวร้างล้วนเป็นเขตอิทธิพลของเจ้า ไม่อย่างนั้นก็ไปชักดิ้นชักงอทำตัวไร้เหตุผลที่ศาลบุ๋นแผ่นดินกลางเข้าสิ ข้าจะต้องช่วยเฝ้ากิจการน้อยนิดอย่างภูเขาใหญ่แสนลี้นี้ให้เจ้าอย่างดีแน่นอน
เหตุใดบรรพบุรุษใหญ่ภูเขาทัวเยว่และมหาสมุทรความรู้โจวมี่ถึงตัดใจปล่อยให้คนอย่างเซียวสวิ้นที่ฟ้าอย่ามาสนใจข้า ดินอย่ามาสนใจข้า อดีตอิ่นกวานที่แม้แต่เฉินชิงตูยังควบคุมไม่อยู่ ผสานมรรคาขอบเขตสิบสี่ในตำหนักอิงหลิง? ที่แท้นอกจากจะให้ใต้หล้าเปลี่ยวร้างมีพละกำลังการต่อสู้ระดับสูงสุดเพิ่มมาส่วนหนึ่งแล้ว ยังมีวัตถุประสงค์อย่างอื่นอีก พอหมาแก่คิดถึงเรื่องวกไปวนมาพวกนี้ก็ปวดเศียรเวียนเกล้านัก จากนั้นก็รู้สึกทันใดว่าอันที่จริงเฒ่าตาบอดก็เป็นคนใจดีมีเมตตาเหมือนกัน หากเท้าลื่นไถลพลัดตกหน้าผาไปจริงๆ แค่ร่อแร่ปางตายก็พอแล้ว
เฒ่าตาบอดหันหน้าไปมองกำแพงเมืองปราณกระบี่แวบหนึ่ง ก่อนจะหันไปมองภูเขาทัวเยว่ แล้วหวนนึกถึงเส้นทางที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างผลักดันไปเบื้องหน้าในทุกวันนี้ก็ให้รู้สึกว่ามีแต่ความผิดปกติไปเสียทุกจุด
ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่คนหนึ่ง อันที่จริงจะมีหรือไม่มีดวงตาทั้งคู่ก็ไม่ได้ส่งผลอะไรแล้วจริงๆ เพียงแต่ว่าโลกมนุษย์หมื่นปีทำให้คนไม่อยากมอง แต่คนรุ่นเยาว์บางคนที่ไม่ว่าปากของผู้เฒ่าตาบอดจะตำหนิติเตียนแค่ไหน แต่ลึกๆ ในใจกลับยังรู้สึกชื่นชม เพียงแต่ว่าคนแบบนี้มีน้อยเกินไป อีกทั้งจุดจบของแต่ละคนก็ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยดีเท่าไร
เฒ่าตาบอดทอดถอนใจอย่างที่หาได้ยาก “ควรจะรับลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่ถูกชะตามาสักคนแล้ว”
หมาแก่เอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “แค่อย่าให้เป็นใต้เท้าอิ่นกวานผู้นั้นก็พอ สายตาที่เจ้าหมอนั่นมองข้าผิดปกติ ไม่รู้ว่ามองอะไรนักหนา ราวกับมองอาหารจานหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น”
ยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห หมาแก่ตัวนี้ชูหัวขึ้นมา ยื่นขาหน้าข้างหนึ่งออกมาตะกุยดินเบาๆ เพียงแค่คุ้ยดินให้เกิดร่องรอยเล็กน้อยเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าไม่กล้าทำให้เกิดความเคลื่อนไหวรุนแรงเกินไปนัก ทว่าน้ำเสียงที่พูดกลับเดือดดาลสุดขีด “หากไม่เป็นเพราะที่บ้านมีธุระให้ทำเยอะจนปลีกตัวไปไหนไม่ได้ ป่านนี้ข้าคงไปฟันเขาที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ให้ร่อแร่ปางตายไปแล้ว กระบี่บินไม่มี แต่เวทกระบี่อะไรนั่นก็ใช่ว่าข้าจะไม่เป็นสักหน่อย”
เฒ่าตาบอดหลุดหัวเราะพรืด “หลงจวินยังฆ่าเขาไม่ได้ เจ้าอาศัยอะไร? จะแร่เนื้อตัวเองไปเป็นกับแกล้มเหล้า ให้ใต้เท้าอิ่นกวานของพวกเราท่านนั้นกินอิ่มจนตายหรือไร?”
หมาแก่กลับไปนอนหมอบบนพื้นอีกครั้ง ทอดถอนใจเอ่ยว่า “เฒ่าหูหนวกที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ ผู้นั้น ไม่รู้จักมาเยี่ยมเยือนที่ภูเขาลูกนี้ก่อนก็อ้อมลงใต้ไปแล้ว ไม่เข้าท่าเอาเสียเลย นายท่านจะปล่อยเขาไปแบบนี้หรือ?”
เฒ่าตาบอดมาปรากฏตัวอยู่ข้างกายหมาแก่อย่างไม่มีลางบอกกล่าว ยกเท้าข้างหนึ่งขึ้นกระทืบลงบนหลังมันแรงๆ เสียงกร๊อบดังลั่นระรัวเหมือนเสียงประทัดแตก มือหนึ่งลูบคลำปลายคางเอ่ยว่า “เจ้าแอบไปที่แจกันสมบัติทวีปใต้หล้าไพศาล ช่วยข้าตามหาคนหนุ่มที่ชื่อว่าหลี่ไหว จากนั้นพากลับมา หากทำสำเร็จจะมอบอิสระให้เจ้า วันหน้าจะไปกระโดดโลดเต้นอยู่ที่ใดในใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็ตามแต่ใจ”
หมาเฒ่าเริ่มแกล้งตายอีกครั้ง
เมื่อเทียบกับอิสระอะไรนั่น แน่นอนว่าการรักษาชีวิตรอดต้องสำคัญมากกว่า เวลานี้ให้แล่นไปที่ใต้หล้าไพศาล โดยเฉพาะแจกันสมบัติทวีปแห่งนั้น เนื้อหมาจะไม่ขึ้นโต๊ะอาหารหรอกหรือ? จะต้องถูกซิ่วหู่ผู้นั้นต้มจนเปื่อยแน่
เฒ่าตาบอดเตะหมาแก่กระเด็นไปไกล พูดพึมพำกับตัวเองว่า “หรือว่าจะต้องให้ข้าไปแจกันสมบัติทวีปด้วยตัวเองสักครั้งจริงๆ มีใครรับลูกศิษย์เหมือนยื่นไม้ให้อีกฝ่ายปีนมาหาแบบนี้ด้วยหรือ?”
——