กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 746.2 อยากย้ายภูเขา
ชุยฉานดึงสายตากลับมา สะบัดชายแขนเสื้อ หลุดหัวเราะพรืดแล้วเอ่ยว่า “ ‘ทำความสะอาดร่องรอยจนสิ้น ยามนี้จึงเงียบสงบ สันดานแท้จริงลึกล้ำ ดุจดั่งน้ำนิ่งใสกระจ่าง มองแล้วชวนให้สบายตาสบายใจ ไม่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับใคร’ ขอแค่เจ้าได้อ่านประโยคเหล่านี้จากในตำรา ต่อให้เจ้าจะพอรู้ความหมายที่แท้จริงซึ่งซุกซ่อนอยู่ ก่อนหน้านี้มีหรือจะถึงขั้นเอ่ยว่า ‘ทนทรมานไม่ไหว’ จิตใจเหมือนเครื่องกระเบื้อง ปริแตกไม่เหลือชิ้นดี แล้วอย่างไรเล่า? นี่ไม่ใช่เรื่องดีหรอกหรือ ปราชญ์ผู้ล่วงลับใช้ถ้อยคำปูเส้นทางเอาไว้ เจ้าก็แค่ก้าวยาวๆ เดินไปก็ได้แล้ว ไปถึงน้ำก็หยุดพิศมอง ก้มหน้าเห็นดวงจันทร์ในน้ำที่พอสลายแล้วก็กลับมากลมโตดังเดิม เงยหน้าค่อยเห็นดวงจันทร์ที่แท้จริง เดิมทีแสงสว่างก็มากกว่าอยู่แล้ว ใต้เท้าอิ่นกวานกลับดีนัก เลอะๆ เลือนๆ ช่างเป็นเงาใต้โคมที่ใหญ่นัก ร้ายกาจเสียจริง ไม่อย่างนั้นขอแค่มีความคิดนี้ ป่านนี้ก็น่าจะเลื่อนขั้นกลายเป็นขอบเขตหยกดิบได้นานแล้ว จิตมาร? เจ้าเรียกร้องให้มันมา ก็ยังไม่แน่เสมอไปว่ามันจะมาหาเลย”
เฉินผิงอันพึมพำเบาๆ อยู่ในใจ “สมองข้าแม่งไม่ได้มีปัญหาสักหน่อย ถึงจะอ่านหนังสือแม่งทุกเล่ม แล้วก็จำได้ทุกเรื่อง ยังต้องรู้มันไปเสียทุกเรื่องอีก พอรู้ก็ยังต้องไขความจริงที่ซ่อนอยู่ได้อีกด้วย หากเจ้าอายุเท่าข้า เวลานี้ใครจะเป็นคนด่าใครก็ยังไม่แน่เลย…”
สีหน้าของชุยฉานมีเลศนัย ชำเลืองตามองเจ้าคนที่สวมชุดคลุมอาคมสีแดงปล่อยผมสยายผู้นั้น
คล้ายกำลังเอ่ยประโยคหนึ่งว่า ‘ทำไม เป็นใต้เท้าอิ่นกวานมานานหลายปี เลยล่องลอยอยู่บนหัวกำแพงนี่จนชินแล้วรึ?’
เฉินผิงอันรีบเอ่ยทันใด “ตอนนี้เข้าใจบทกวีภาษาพระธรรมสองสามประโยคนี้ก็ไม่ถือว่าสายเกินไป เรื่องดีไม่กลัวว่าจะมาช้า”
ในด้านของการคาดเดาจิตใจผู้อื่น เฉินผิงอันได้ผลเก็บเกี่ยวมาจากชุยตงซานอย่างเปี่ยมล้น
เฉินผิงอันพลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ซิ่วหู่ที่อยู่ข้างกายตนผู้นี้ ดูเหมือนว่าตอนที่อายุเท่าตน สมองจะดีกว่าตนไม่น้อยเลยจริงๆ ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางถูกคนบนโลกพากันคิดว่าตำแหน่งรองเจ้าลัทธิศาลบุ๋นหรือไม่ก็ตำแหน่งผู้อำนวยการใหญ่ของสถานศึกษาคือของในกระเป๋าของซิ่วหู่แน่นอนแล้ว
ชุยฉานกล่าว “เดิมทีจั่วโย่วอยากจะมารับเจ้ากลับใต้หล้าไพศาลด้วยกัน เพียงแต่ว่าถูกเซียวสวิ้นตอแยพัวพันไม่เลิกรา ไม่อาจปลีกตัวมาได้เสียที”
เฉินผิงอันถอนหายใจโล่งอก ไม่มาสิถึงจะดี ไม่อย่างนั้นการเดินทางมาครั้งนี้ของศิษย์พี่จั่วก็มีแต่จะรายล้อมไปด้วยอันตราย
ชุยฉานมองไปทางภูเขาใหญ่แสนลี้ที่อยู่ห่างไกลไปทางทิศใต้ “เรื่องราวและบุคคลในใต้หล้า แต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นเช่นนี้ ทำไม่ได้ก็คือทำไม่ได้ มีใจแต่ไร้กำลัง จะใช่คนบนภูเขาหรือไม่ เป็นคนบนภูเขาแล้วมีขอบเขตสูงเท่าไร ความต่างไม่ได้มากนัก มนุษย์ธรรมดาก็มีเรื่องที่มนุษย์ธรรมดาทำไม่ได้ ผู้ฝึกตนก็มีความจนใจของผู้ฝฝึกตน ดังนั้นเจ้าจึงพลาดอะไรไปมากมาย”
เฉินผิงอันถาม “ยกตัวอย่างเช่น”
ชุยฉานกลับเอ่ยแค่ว่า “เยอะมาก”
แล้วก็เอ่ยย้ำอีกรอบ “เยอะมาก”
ก่อนหน้านี้หลิวชาถามกระบี่ต่อดวงตะวันจันทราที่ทักษินาตยทวีป เซียวสวิ้นอดีตอิ่นกวานสังหารสวินยวนขอบเขตบินทะยานที่ใบถงทวีป ป๋ายเหย่ไปที่ฝูเหยาทวีป หนึ่งคนกับสี่กระบี่เซียน ใช้กระบี่ท้าทายราชาบนบัลลังก์หลายท่าน หลังจากคลายพันธะสัญญา หวังจูก็เดินลงลำน้ำใหญ่สำเร็จในแจกันสมบัติทวีป กลายมาเป็นมังกรที่แท้จริงตัวแรกบนโลกมนุษย์ หยางเหล่าโถวเปิดหอบินทะยานขึ้นอีกครั้ง ผู้ฝึกกระบี่ของอุตรกุรุทวีปเดินทางลงใต้มาเป็นกองหนุนให้แก่แจกันสมบัติทวีป อาจารย์ผู้เฒ่านั่งอยู่บนยอดเขาภูเขาสุ้ยซาน สยบกำราบบรรพบุรุษใหญ่ภูเขาทัวเยว่ หลี่เซิ่งปกป้องไพศาลอยู่ที่นอกฟ้า
จากนั้นมาก็มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าทำให้คนได้แต่เพ่งมองตาไม่กะพริบ แจกันสมบัติทวีปเล็กๆ ที่เป็นหนึ่งในนั้นมีคนประหลาดและเรื่องพิสดารมากที่สุด สร้างความตะลึงพรึงเพริดให้ผู้คนได้มากที่สุด
ทุกวันนี้ยังมีหย่าเซิ่งรั้งท้ายขบวนอยู่ที่ภูเขาทัวเยว่ ชุยฉานพลิกกลับขุนเขาสายน้ำ ตัวอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ขานรับกับอีกฝ่ายอยู่ไกลๆ ศึกตรีจตุระหว่างสายหย่าเซิ่งและสายเหวินเซิ่งแห่งศาลบุ๋นในปีนั้น ตอนที่ปิดฉากลงกลับกลายเป็นความร่วมมือตรีจตุ คาดว่านี่คงพอจะถือว่าเป็นการช่วงชิงแห่งวิญญูชนครั้งหนึ่งได้เลย
เฉินผิงอันนั่งยองอยู่บนหัวกำแพงเมือง สองมือกุมดาบแคบ “พลาดไปแล้วก็คือพลาดไปแล้ว ข้ายังจะทำอย่างไรได้อีก”
ชุยฉานยิ้มกล่าว “ดื่มเหล้าดับทุกข์มีอะไรไม่ได้เล่า ถึงอย่างไรเจ้าหนอนหนังสือจั่วโย่วก็ไม่ได้อยู่ที่นี่”
ความบันเทิงเริงใจจากการดื่มสุรานั้นอยู่ที่ความเบิกบานชื่นมื่นยามที่ดื่มจนเมามายแล้ว
สุราทำให้คนเมาได้ แค่ไม่กี่จอกที่ลงท้อง ฤทธิ์สุราแรงเหมือนผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบเอ็ด ทำให้คนถูกปลดเกราะชั้นแล้วชั้นเล่า
ผู้ที่ดื่มเก่งคือเซียนสุรา ผู้ที่หมกมุ่นอยู่แต่กับการดื่มสุราคือผีขี้เหล้า เรื่องของการดื่มเหล้าทำให้คนเลื่อนสู่ขอบเขตของเซียน ขอบเขตของผีได้ ดังนั้นซิ่วหู่จึงเคยเอ่ยว่า สุราก็คือผู้ไร้เทียมทานที่สุดบนโลกมนุษย์
เฉินผิงอันกล่าว “ก่อนหน้านี้ข้าอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่ว่าจะดื่มอยู่ในนครหรืออยู่บนหัวกำแพงเมือง ศิษย์พี่จั่วก็ไม่เคยว่าอะไร”
ชุยฉานหลุดหัวเราะพรืด “คำเถียงข้างๆ คูๆ ที่แข็งนอกอ่อนในเช่นนี้อย่ามาพูดต่อหน้าข้า แน่จริงก็ไปพูดกับจั่วโย่วโน่น”
เฉินผิงอันกระตุกมุมปาก “ข้ากล้าพูดจริงๆ นะ”
อย่าว่าแต่พูดจาดุดันยามดื่มสุราเลย คิดจะให้ศิษย์พี่จั่วก้มหน้ารับผิดก็ยังไม่ยาก
ขอแค่มีอาจารย์อยู่ข้างกาย
ชุยฉานถาม “ยังตัดสินใจไม่ได้อีกหรือ?”
เฉินผิงอันตอบ “ขอคิดอีกหน่อย ถึงอย่างไรเรื่องดีก็ไม่กลัวมาช้าอยู่แล้ว”
ชุยฉานไม่ได้พูดจากระทบกระเทียบอะไรให้อีกฝ่ายลำบากใจอีก เพราะเข้าใจสภาพจิตใจของคนหนุ่มได้ดี อยากกลับบ้านเกิด แต่ก็ไม่ค่อยกล้ากลับไป
ชุยฉานในอดีตก็เคยมีความคิดที่ซับซ้อนสับสนเช่นนี้ ถึงได้มี ‘เทียบกลับบ้านเกิด’ ที่ถูกอดีตฮ่องเต้ของต้าหลีเก็บรักษาไว้บนโต๊ะทรงพระอักษร กลับบ้านเกิดไม่สู้ไม่กลับบ้านเกิด
ชุยฉานคล้ายจะเกิดแรงบันดาลใจ มองฟ้าดินกว้างใหญ่ไพศาลไม่คุ้นเคยตรงหน้านี้แล้วก็เอ่ยว่า “สิ่งที่คนคนหนึ่งสามารถทำได้ ถึงอย่างไรก็มีจำกัด ไม่ว่าจะเป็นใคร ล้วนจะต้องมีเส้นขอบเขตเส้นหนึ่งดำรงอยู่ คำพูด การกระทำ ความคิด ล้วนไม่มีสิ่งใดที่จะยกเว้นได้ ต่อให้เจ้าทุบกรอบทั้งหลายข้างกายจนพัง กฎเกณฑ์น้อยใหญ่ มองดูเหมือนมีอิสระบริสุทธิ์ แต่แท้จริงแล้วกลับไม่ใช่ ในเมื่อไม่สามารถสร้างระเบียบขั้นตอนขึ้นมาใหม่ การไร้ระเบียบเดิมทีก็คือการกักขังอย่างใหญ่หลวงชนิดหนึ่งอยู่แล้ว อยู่ไกลเกินกว่าจะทำให้เจ้าสมใจปรารถนาได้อย่างแท้จริง พลิกมือฟ้าดินไม่เหลือ ยกมือฟ้าดินผุดขึ้นตาม นั่นต่างหากถึงจะเป็นอิสระเสรีที่ยิ่งใหญ่ ต่อให้หมื่นสรรพสิ่งของฟ้าดินจะรวมเป็นหนึ่ง แต่กลับไม่สามารถใช้หนึ่งมาวิวัฒนาการเป็นหมื่นสรรพสิ่ง ยังคงไม่ใช่อิสระที่แท้จริง”
ชุยฉานกระทืบเท้าเบาๆ “หนึ่งเท้ากระทืบลงไป รังมดปลวกหายสิ้น ขนาดเด็กเล็กๆ ยังทำได้ มีอะไรร้ายกาจตรงไหนกัน”
“ตรงกันข้าม”
ชุยฉานยกมือขวาขึ้นยื่นนิ้วออกมาข้างหนึ่ง ตีลงบนหลังมือซ้ายเบาๆ “รู้หรือไม่ว่ามีฟ้าดินเล็กที่เจ้าไม่อาจจินตนาการได้ถึงมากน้อยแค่ไหนที่สลายสาบสูญไปในเสี้ยววินาทีนี้?”
รอยยิ้มของชุยฉานมีเลศนัย “ใครบอกเจ้าว่าในฟ้าดินมีเพียงสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาเท่านั้นที่ถึงจะเป็นผู้นำของหมื่นสรรพสิ่ง? หากไม่เป็นเพราะเส้นทางใหญ่บางเส้นใต้ฝ่าเท้าของข้า ตัวข้าเองไม่ยินดี ไม่กล้า แล้วก็ไม่อาจเดินไปได้ไกล ไม่อย่างนั้นบนโลกใบนี้ก็มีขอบเขตสิบห้าที่ผลัดเปลี่ยนฟ้าดินอีกครั้งปรากฏเพิ่มมาคนหนึ่งแล้ว เจ้าอาจจะบอกว่าบรรพจารย์ของสามลัทธิไม่มีทางปล่อยให้ข้าสมปรารถนา ถ้าอย่างนั้นหากข้าเป็นรองเจ้าลัทธิของศาลบุ๋นก่อนแล้วค่อยไปนอกฟ้าเล่า? หรือไม่ก็ถือโอกาสในนอกประสานกับเจี่ยเซิงไปเสียเลย?”
เฉินผิงอันรู้ว่าชุยฉานกำลังพูดอะไรอยู่ คนกระเบื้อง
แต่งกลอน แต่งลำนำบทเพลงเป็น เล่นหมากล้อม ฝึกตนได้ ขัดเกลาเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาได้ด้วยตัวเอง เข้าใจความรู้สึกเศร้าดีใจพบพรากจากลาด้วยตัวเอง ทั้งยังสามารถปรับเปลี่ยนสภาพจิตใจ ตัดขาดสะบั้นอารมณ์ได้ตามปรารถนา ราวกับว่าไม่ต่างอะไรไปจากคนเป็นๆ แต่กลับไม่เหมือนคนยิ่งกว่าผู้ฝึกตนที่แท้จริง เพราะจิตแห่งมรรคาที่เกิดมาก็มองข้ามความเป็นความตายอยู่แล้ว มองดูเหมือนเป็นเพียงหุ่นเชิดที่ถูกชักใย อาจแตกสลายได้ทุกเมื่อ ชะตาชีวิตถูกกุมอยู่ในกำมือของคนอื่น แต่ปีนั้นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่สูงส่งเหนือผู้ใดมองเผ่ามนุษย์ที่อยู่บนพื้นแผ่นดินอย่างไรกันแน่? หนึ่งในหมื่นที่ไม่ว่าใครก็มิอาจประเมินได้จะทำให้ขุนเขาสายน้ำเปลี่ยนสี อีกทั้งมีแต่จะลุกผงาดเร็วยิ่งกว่าเผ่ามนุษย์ เผ่ามนุษย์จะล่มสลายดับสูญไปเร็วยิ่งกว่าเดิม
เฉินผิงอันถามอย่างระมัดระวัง “พิทักษ์แจกันสมบัติทวีปไว้ได้แล้วหรือ?”
ชุยฉานคลี่ยิ้มเป็นคำตอบ รู้ดีแต่ก็ยังถาม
เฉินผิงอันจึงไม่ถามอะไรอีก
เฉินผิงอันไม่รีบร้อนกลับแจกันสมบัติทวีป ชุยฉานรู้สึกว่าอะไรที่ตัวเองอยากพูดก็พูดไปได้พอสมควรแล้ว
ทันใดนั้นชุยฉานก็พลันไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดีแล้ว
เพราะถึงอย่างไรข้างกายนี้ก็ไม่ใช่ศิษย์น้องจวินเชี่ยน แต่เป็นเฉินผิงอันศิษย์น้องเล็กครึ่งตัว
จิตใจของจวินเชี่ยนมุ่งมั่นไม่วอกแวก ชอบที่จะรับฟังแล้วก็ปล่อยผ่านเลยไป แต่เฉินผิงอันกลับคิดใคร่ครวญมากเกินไป ชอบฟังอะไรแล้วก็จำไว้เพื่อขบคิดความนัยที่ซ่อนอยู่
แต่ชุยฉานก็อดรู้สึกไม่สบอารมณ์นิดๆ ไม่ได้ ขนาดหลินโส่วอียังกล้าซักถามต่อหน้าตน
เจ้าพูดเก่งนักไม่ใช่หรือ? ถึงได้หลอกให้ซิ่วไฉเฒ่าลำเอียงเข้าข้างเจ้าขนาดนั้น ทำไม เวลานี้เริ่มทำตัวเป็นน้ำเต้าตันแล้ว?
เฉินผิงอันคล้ายจะมีจิตสัมผัสได้ จึงเอ่ยว่า “หลายปีที่ผ่านมานี้ด่าท่านไปไม่น้อย”
พูดแค่ครึ่งเดียว
ยังตีเจ้าไปไม่น้อยด้วย
เพราะถึงอย่างไรชุยตงซานที่ภายหลังกลายมาเป็นลูกศิษย์ของตนก็ถือว่าเป็นชุยฉานครึ่งตัว
ชุยฉานพยักหน้ารับ ดูเหมือนว่าจะค่อนข้างพอใจกับคำตอบนี้ จึงยอมรับคำพูดที่เป็นของเฉินผิงอันอย่างที่หาได้ยาก
เป็นครั้งแรกที่เขาเอ่ยเรียกชื่อคนหนุ่มตรงๆ “เฉินผิงอัน อย่าได้รู้สึกว่ามีแค่พวกเราที่ทำเพื่อฟ้าดินแห่งนี้ ไม่ได้เป็นเช่นนี้ อยู่ไกลเกินกว่าจะเป็นเช่นนี้นัก”
“ก็เหมือนอย่างเจ้า เจ้าได้ลงมือทำเรื่องบางอย่างอย่างแท้จริง นี่ไม่มีอะไรให้ต้องปฏิเสธ แต่ในสายตาของข้าชุยฉาน เจ้าเฉินผิงอันก็หนีไม่พ้นใช้สถานะลูกศิษย์คนสุดท้ายของสายเหวินเซิ่ง ใช้สถานะบัณฑิตของใต้หล้าไพศาลมาทำเรื่องที่ย้ายหลักการเหตุผลในตำรามาอยู่นอกตำราเท่านั้น สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดินดีแล้ว เจ้าและข้าต่างก็รู้ดีว่าที่ทำลงไปก็เพื่อหวังให้ตัวเองสบายใจ ในอนาคตยามที่ต้องเสียเปรียบก็อย่าได้เรียกร้องอะไรจากฟ้าดินมากนัก ไม่มีความจำเป็น”
“นอกจากวีรกรรมยิ่งใหญ่ นอกจากความชอบความผิดพลาดที่ถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องถูกบันทึกลงในตำราประวัติศาสตร์แล้ว ก็ต้องคิดถึงคนที่เป็นๆ ตายๆ ไม่มีแม้กระทั่งชื่อเหล่านั้นให้มากๆ ก็เหมือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ที่นี่มานานหมื่นปีที่ไม่ควรบันทึกแค่ชื่อของเซียนกระบี่ผู้มีพลังพิฆาตโดดเด่นเท่านั้น”
ชุยฉานทอดสายตามองไปไกล จุดที่สายตาเขามองไป ลมหิมะล้วนเปิดทางให้ ชุยฉานพยายามมองไกลๆ ไปยังภูเขาทัวเยว่เท่าที่ความสามารถในการมองเห็นของตนจะเอื้ออำนวย
ราวกับว่ามองเห็นช่วงเวลาเมื่อหลายปีก่อน มีบัณฑิตจากไพศาลคนหนึ่งที่มาอยู่ต่างบ้านต่างเมือง กำลังยิ้มพูดคุยเรื่องของใต้หล้ากับผู้เฒ่าชุดเทาคนหนึ่ง
ฝ่ายหลังเอ่ยกับบัณฑิตว่า เชิญไปยังจุดที่สูงที่สุด ต้องไปจุดที่สูงยิ่งกว่าความรู้ของบรรพจารย์สามลัทธิ มองอิสระเสรียิ่งใหญ่ที่แท้จริงแทนข้า มองให้รู้ว่าสรุปแล้วมันคือสิ่งใดกันแน่!
โจวมี่ประสานมือคารวะ ตอบรับด้วยสี่คำว่า มิกล้าไม่ปฏิบัติตาม
ชุยฉานแหงนหน้ามองฟ้า
ใต้หล้าสงบสุขแล้วหรือ? คงจะสงบสุขแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็สามารถนอนหนุนหมอนสูงอย่างไร้กังวลได้แล้วหรือ? ข้าว่าไม่แน่หรอก
ชุยฉานเก็บความคิดกลับคืนมา
เฉินผิงอันยกมือสองข้างขึ้นอ้อมผ่านหัวไหล่ ร่ายเวทขุนเขาสายน้ำบทหนึ่ง รวบผมของตัวเองมัดเอาไว้ เหมือนมีห่วงกลมชิ้นหนึ่งรัดเส้นผม
สีหน้าของเฉินผิงอันเบิกบาน ฮึกเหิมเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา ไม่เหลือท่าทางเซื่องซึมอีกต่อไป “คิดดีแล้ว ข้าผู้อาวุโสจะย้ายภูเขา”
ตอนอยู่ในคุกเมื่อครั้งอดีต เฉินผิงอันเคยเอ่ยประโยคจากใจจริงกับเทวบุตรมารนอกโลกขอบเขตบินทะยานตนหนึ่ง พวกเราต้องการเป็นผู้แข็งแกร่งก็เพื่อต้องการทำอะไรบางอย่างเพื่อโลกใบนี้
ทำเรื่องที่หากไม่ใช่ข้าแล้วใครจะทำ
ชุยฉานยิ้มตาหยี “หมายความว่าอย่างไร?”
เฉินผิงอันเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “เป็นข้ารับใช้ถือกระบี่ก็ดี ต้องกลายไปเป็นฝักกระบี่ก็ช่าง หนึ่งกระบี่ผ่านไปขอบเขตถดถอยไม่หยุดก็ไม่สนใจแล้ว ข้าต้องการถามกระบี่แก่ภูเขาทัวเยว่ ขอศิษย์พี่โปรดช่วย…พิทักษ์มรรคาให้สักครั้ง?”
ชุยฉานพยักหน้ารับ “ดีมาก”
พริบตานั้นเฉินผิงอันก็ถูกร่ายเวทกักร่าง นาทีถัดมาเขาไม่เหลือเรี่ยวแรงให้เอาคืนก็ถูกมรรคกถาประหลาดของชุยฉานกระแทกเข้าให้ ถึงกับหมดสติไปทันที ชุยฉานนั่งลงด้านข้าง ข้างกายมีสตรีร่างสูงใหญ่ปรากฏตัวจากความว่างเปล่า พอเห็นว่าเฉินผิงอันสุขสบายดี นางก็คล้ายจะตกตะลึงเล็กน้อย
นางทรุดตัวลงนั่งยอง ยื่นมือไปลูบหว่างคิ้วของเฉินผิงอัน เงยหน้าถามซิ่วหู่ “เพื่ออะไร?”
ชุยฉานเอาสองมือตีหัวเข่าเบาๆ ท่วงท่าผ่อนคลายสบายอารมณ์ เอ่ยตอบว่า “นี่ก็คือสถานการณ์ถามใจครั้งสุดท้าย จะกลายเป็นต้นครามที่เกิดจากครามแต่สีเข้มกว่าครามได้หรือไม่ ก็อยู่ที่การกระทำนี้แล้ว”