กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 748.1 ถือเทียนออกเดินทางยามค่ำคืน
เฉิงเฉาลู่กับเถาเสี่ยวเหยียนเริ่มเก็บหม้อตุ๋นและชามตะเกียบ คนหนึ่งชอบทำงานจุกจิกพวกนี้จริงๆ ส่วนอีกคนหนึ่งอายุน้อยๆ ก็ตั้งปณิธานว่าจะเป็นภรรยาผู้เพียบพร้อมมารดาผู้เมตตาที่ช่วยสามีอบรมเลี้ยงดูบุตรแล้ว ส่วนเรื่องของการฝึกกระบี่ สำหรับตัวอ่อนเซียนกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้วก็ไม่ต่างจากการกินดื่มขับถ่ายในชีวิตประจำวันเท่าใดนัก ไม่ว่าใครก็ไม่เกียจคร้าน นี่ก็เหมือนกับการที่บัณฑิตล่างภูเขาของใต้หล้าไพศาลคิดอยากจะร่วมสอบเพื่อไขว่คว้ายศตำแหน่งนั่นเอง ล้วนเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดิน
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืนส่งชามและตะเกียบให้เฉิงเฉาลู่ จากนั้นจึงเงยหน้ามองไป เป็นเรือข้ามทวีปที่มุ่งหน้าไปยังใบถงทวีปลำหนึ่งจริงเสียด้วย ลักษณะเหมือนเรือหอเรือน ปราณเซียนล่องลอย โดยรอบของเรือข้ามฟากมีปราณวิญญาณล้อมวน ประหนึ่งมีสตรีสวมชุดสีสันสดใสบนภาพวาดจิตรกรรมฝาผนังที่ภูษาปลิวไสวล่องลอยอยู่ท่ามกลางทะเลเมฆ เฉินผิงอันเพ่งสมาธิมองให้ละเอียดอีกครั้ง บนผนังของเรือข้ามฟากใช้วิชาตำราสีชาดของตระกูลเซียนมาวาดมังกรสาวเหินนภา เซียนวารี เจ้าแม่ฟ้าแลบที่เป็นบุคคลชั้นสูงบนยอดเขาเอาไว้ทั้งสิ้น ล้วนมีรูปโฉมเป็นสตรี มีชีวิตชีวาประหนึ่งมีชีวิตจริง เฉินผิงอันที่ได้รับบทเรียนจากถ้ำแห่งโชควาสนามาแล้วรีบเก็บสายตากลับคืนมาทันที แล้วก็จริงดังคาด มังกรสาวท่านหนึ่งบนภาพวาดฝาผนังคล้ายจะสัมผัสได้ถึงการลอบมองไกลๆ จากคนนอก พริบตานั้นนางก็กวาดสายตามามอง เพียงแต่ว่ายังไม่อาจไล่ตามเบาะแสไปเจือเรือยันต์บนมหาสมุทรที่อยู่ห่างไกลอย่างถึงที่สุดได้ ครู่หนึ่งต่อมานางก็เก็บประกายแสงสายตากลับคืน กลับมานิ่งสงบเป็นปกติอีกครั้ง มีเพียงภูษาบนร่างที่ยังคงพลิ้วไหวสะบัดลากยาวตามมาด้านหลังร้อยจั้งกว่า
เฉินผิงอันจับประคองงอบ แล้วจึงเอามือมานวดคลึงปลายคาง ค่ายกลขุนเขาสายน้ำที่สูงส่งอย่างยิ่งบนเรือข้ามฟากลำนี้สามารถช่วยให้ระหว่างที่เรือข้ามฟากเดินทางไกล เมื่อผ่านสถานที่ที่มีปราณวิญญาณบางเบาหรือลอดผ่านสายฟ้าลมฝน ไม่ถึงขั้นกระเด้งกระดอนรุนแรงเกินไปนัก งดงาม แค่มองก็เห็นกลิ่นอายเซียนชัดเจน อีกทั้งยังใช้ประโยชน์ได้จริง สามารถสยบกำราบฟ้าฝนได้ตามธรรมชาติ
เรือข้ามฟากเป็นของสำนักที่มีผู้ฝึกตนหญิงอยู่เยอะอย่างนั้นหรือ? ไม่อย่างนั้นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประเภทเทพพิรุณ เจ้าพ่อสายฟ้า พ่อปู่เมฆานี้ คิดจะวาดลงบนผนังเรือก็ขาดแค่การตวัดพู่กันอีกไม่กี่ครั้งเท่านั้น ประสิทธิผลมีแต่จะดีเยี่ยมมากยิ่งกว่า
ตามหลักแล้วสำนักอวี่หลงเหลือแต่ซากมานานแล้ว ผู้ฝึกตนล้วนตายกันสิ้น หรือว่าอวิ๋นเชี่ยนเจ้าของตำหนักสุ่ยจิงในภูเขาห้อยหัวของปีนั้นไม่ได้ไปตั้งรกราก ก่อสำนักตั้งพรรค แตกกิ่งก้านสาขาอยู่บนพื้นดินของหนึ่งในสามทวีป? แต่พาผู้ฝึกตนกลุ่มนั้นย้อนกลับมาที่สำนักแล้วเริ่มสร้างสำนักอวี่หลงขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ส่วนเรือข้ามฟากลำนี้ก็เป็นอวิ๋นเชี่ยนที่ได้รับโชควาสนา หรือไม่ก็ซื้อมาจากคนอื่น? หรือจะบอกว่าเรือข้ามฟากลำนี้มาจากทักษินาตยทวีป หรือไม่ก็ฝูเหยาทวีปที่อยู่ห่างไปไกลมากยิ่งกว่า ดังนั้นระหว่างทางถึงได้ผ่านมาทางนี้? เฉินผิงอันไล่เรียงตระกูลเซียนของทักษินาตยทวีปและฝูเหยาทวีปอยู่ในใจอย่างรวดเร็ว เรือข้ามทวีปของสองทวีปนั้น อันที่จริงไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับเฉินผิงอัน ในอดีตตอนที่อยู่เรือนชุนฟาน เคยเผชิญหน้าพูดคุยกับผู้ดูแลเรือข้ามฟากมาแล้วไม่น้อย
เฉินผิงอันรู้สึกลังเลเล็กน้อยว่าจะบังคับเรือยันต์ขยับเข้าไปใกล้เรือข้ามฟากที่ความเร็วในการทะยานลมไม่ถือว่าเร็วลำนั้นดีหรือไม่ หลักๆ แล้วเพราะกังวลว่าเด็กๆ ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่ยังไม่เคยได้ออกไปเผชิญโลกกว้างกลุ่มนี้จะเกิดเรื่องไม่คาดคิดบนเรือ เกิดข้อพิพาทกับพวกเซียนซือ เฉินผิงอันไม่ได้กลัวความยุ่งยาก เพียงแต่กลัวว่า…ตัวเองจะไม่รู้หนักเบา พอลงมือแล้วก็ยั้งมือไม่อยู่
สามารถทำให้ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวขอบเขตเก้ายอดเขา คอขวดของยอดเขาคนหนึ่งไม่ทันระวังจนยั้งมือไม่อยู่ได้ หากสืบสาวเรื่องราวกันแล้ว แน่นอนว่าเป็นเพราะไม่คิดจะยั้งใจเสียมากกว่า
เฉินผิงอันสามารถปล่อยให้ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจคนหนึ่งขึ้นหัวกำแพงเมืองมาท้าทายแล้วกลับคืนบ้านเกิดไปอย่างปลอดภัยได้ ก็เพียงแค่เพราะว่าอีกฝ่ายไม่เคยผูกปมแค้นใดๆ ไว้กับใต้หล้าไพศาล มันมาที่หัวกำแพงเมืองเพื่อหาความบันเทิงก็ดี รนหาที่ตายก็ช่าง เฉินผิงอันก็เอาอีกฝ่ายมาแก้เบื่อได้พอดี แต่ทุกวันนี้กลับไม่แน่เสมอไปว่าจะยอมฟังถ้อยคำแย่ๆ จาก ‘คนของบ้านเกิด’ ไม่แน่เสมอไปว่าจะทนรับเรื่องแย่ๆ เรื่องสองเรื่องที่ ‘คนของบ้านเกิด’ ทำได้
เหอกูมองอาจารย์เฉาที่เหม่อลอยแล้วถามว่า “คิดอะไรอยู่นะ มองเห็นสาวงามก็เลยละสายตาไม่ได้ จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้วหรือ?”
อวี๋เสียหุยเอ่ยเสริมมาว่า “หากเปลี่ยนให้ข้าอายุมากกว่านี้ คาดว่าก็คงหวั่นไหวอยู่เหมือนกัน นี่เป็นอารมณ์ปกติของมนุษย์ จะโทษที่อาจารย์เฉาเหลือบมองบ่อยๆ ไม่ได้ ถึงอย่างไรหากไม่มองก็เสียเปล่า มือก็ไม่ได้ไปลูบคลำบนร่างของพี่สาวคนนั้นเสียหน่อย”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “สตรีงดงามมีมากนับพันนับหมื่น มองทุกคนเหมือนพิศดูกระดูกขาว”
น่าหลันอวี้เตี๋ยแม่นางน้อยคนนี้ถึงกับหยิบเอากระดาษพู่กันออกมา เป่าลมใส่หนึ่งทีแล้วจดประโยคนี้ลงไปในกระดาษ จากนั้นก็สะบัดข้อมือหนึ่งครั้ง ของทุกอย่างหายวับไปไม่เหลือแม้เงา
เฉินผิงอันประหลาดใจเล็กน้อย แม่นางน้อยนี่มีทรัพย์สมบัติติดกายไม่น้อยเลยนะ? ถึงกับมีวัตถุฟางชุ่นอยู่กับตัวด้วย?
น่าหลันอวี้เตี๋ย แซ่สกุล น่าหลัน ได้พิสูจน์การคาดเดาเล็กๆ อย่างหนึ่งในใจแล้ว เฉินผิงอันอดไม่ไหวปล่อยให้ความคิดล่องลอยไปไกลเป็นพันลี้ สิ่งที่แม่น้ำแห่งกาลเวลาไม่อาจพันธนการได้ คาดว่าก็คงเป็นความคิดแล้ว
ก่อนหน้านี้ผู้ฝึกตนหญิงขอบเขตเซียนเหรินที่ทะยานตัวมาถึงที่นี่ เกินครึ่งน่าจะมีหน้าที่รับผิดชอบสำรวจตรวจตราน่านมหาสมุทรของสำนักอวี่หลงในทุกวันนี้ อันที่จริงเฉินผิงอันเพียงแค่มองถุงหอมส่องประกายเรืองรองตรงเอวนางใบนั้น บวกกับภาพบรรยากาศสีชาดเคล้าสีเหลืองดุจดั่งดวงตะวันแรกอรุณลอยขึ้นฟ้าของนางก็เดาตัวตนของนางออกแล้ว มาจากหลิวเสียทวีป และยิ่งเป็นเจ้าของพื้นที่มงคลซงอ่ายเซียนสาวชงเชี่ยน เชี่ยวชาญการหลอมเมฆเรืองรองหลากสีของฟ้าดิน ว่ากันว่าเป็นสหายรักกับหลี่อวี๋ไท่เสียหยวนจวินของสายยอดเขาพาตี้แห่งอุตรกุรุทวีป
ใต้หล้าสงบสุขแล้วหรือ ดูเหมือนว่าจะเป็นเช่นนั้น
นี่เป็นสิ่งที่ชุยฉานกล่าวก่อนหน้านี้ แล้วก็เป็นความคิดของเฉินผิงอันในเวลานี้
เฉินผิงอันสัมผัสได้ถึงปัญหาของสภาพจิตใจตนมานานแล้ว เคยชินกับการคิดเยอะเกินไป ตอนอยู่บนหัวกำแพงเมือง อยู่ตัวคนเดียว รอบด้านสี่ทิศ ใต้หล้าล้วนมีแต่ศัตรู ไม่ปล่อยให้เฉินผิงอันที่แบกรับหน้าที่อิ่นกวานไม่คิดมาก หากคิดน้อยเกินไป หลงกลอีกฝ่าย ไม่ทันระวังย่อมต้องแพ้ทั้งกระดาน นอกจากตัวเองจะกายดับมรรคาสลายแล้วยังจะเดือดร้อนให้ทิศทางการดำเนินไปของสถานการณ์ใหญ่ในใต้หล้าไพศาลขยับเอียงเข้าหาใต้หล้าเปลี่ยวร้างหลายส่วนอีกด้วย แล้วนับประสาอะไรกับที่ขอแค่ไม่ต้องตายได้ เฉินผิงอันหรือจะตัดใจตายได้ลง ยังมีคนอีกมากมายขนาดนั้นที่เขาอยากไปพบ พวกเขากระจายตัวกันอยู่รอบทิศของฟ้าดิน รอให้ตนกลับไปพบเจอกันอีกครั้ง
เฉินผิงอันถาม “อยากนั่งเรือข้ามทวีปหรือไม่?”
เด็กเก้าคน นอกจากสามคนที่ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ชอบพูดอย่างเฮ้อเซียงถิง อวี๋ชิงจาง ซุนชุนหวังแล้ว คนที่เหลือต่างก็ลิงโลดดีใจ อยากจะลองไปสัมผัสกับตัวเองดูสักครั้ง ไม่ได้คิดพิจารณาถึงกระเป๋าเงินของใต้เท้าอิ่นกวานเลยแม้แต่น้อย
เฉินผิงอันเอ่ยเตือนว่า “นอกจากสองข้อที่พูดไปก่อนหน้านี้ พอไปถึงบนเรือข้ามฟากจำไว้ว่ายังต้องปิดบังสถานะผู้ฝึกกระบี่ของพวกเจ้าด้วย สรุปก็คือขอแค่ไม่เป็นฝ่ายไปหาเรื่อง ที่เหลือไม่ว่าเรื่องอะไรก็ไม่ต้องคิดเยอะนัก อยากจะฝึกกระบี่ก็ตั้งใจฝึกกระบี่อยู่ในห้อง อยากจะชมทัศนียภาพก็เดินออกจากห้องมาชมทัศนียภาพ ไม่มีข้อห้ามใดๆ ทั้งนั้น”
เฉินผิงอันบังคับเรือยันต์ให้พุ่งทะยานเข้าหาเรือข้ามฟากลำนั้น ว่องไวดุจสายฟ้าแลบ พริบตาเดียวก็พุ่งออกไปร้อยกว่าลี้ ไล่ตามเรือข้ามฟากที่เหมือนภูษาพลิ้วไสวลำนั้นไปทัน เรือน้อยใหญ่สองลำอยู่ห่างกันหนึ่งร้อยจั้งกว่า เฉินผิงอันตะโกนพูดด้วยภาษากลางของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางว่า “ขอให้พวกเราขึ้นเรือไปด้วยได้หรือไม่?”
ทางฝั่งของเรือข้ามฟากไม่ถือว่าไร้ปฏิกิริยาตอบสนองเสียเลย พวกอาจารย์หล่อหลอมจำนวนเพียงหยิบมือที่ออกจากห้องมาชมทัศนียภาพ ไม่จำเป็นต้องให้ทางฝ่ายของเรือข้ามฟากเอ่ยเตือนก็พากันกลับเข้าที่พักไปอย่างรวดเร็ว
จากนั้นบริเวณโดยรอบรั้วเรือก็มีไอน้ำผุดลอยขึ้นมาสูงจั้งกว่า รอกระทั่งไอน้ำไอเมฆหมอกสลายหายไปแล้วก็ปรากฎเป็นยันต์กระบี่ยาวหลายเล่ม ทำมาจากไผ่เขียว สีมรกตเขียวปลั่งราวกับจะคั้นน้ำออกมาได้ ส่องประกายวาววับโปร่งใส อีกทั้งตัวกระบี่ก็ยังเขียนอักษรสีชาดเอาไว้ คือสายพิฆาตปีศาจหนึ่งในสายยันต์ที่มีมากมาย ประเด็นสำคัญคือยันต์กระบี่ที่มีจำนวนนับพันเล่มนั้นยังเป็นไผ่เขียวที่มาจากถ้ำสวรรค์จู๋ไห่อีกด้วย ปณิธานที่แฝงเร้นอยู่ด้านในสามารถสยบกำราบภูตผีปีศาจตามหนองบึงป่าเขาได้อย่างเป็นธรรมชาติ แม้ว่าจะไม่ใช่สายใกล้ชิดกับสิบต้นไผ่บรรพบุรุษ แต่ยันต์กระบี่ไผ่เขียวที่มีจำนวนถึงเพียงนี้ต้องมีมูลค่าสูงเทียมฟ้าอย่างแน่นอน ไม่ใช่ยันต์กระบี่หายากที่เรือข้ามฟากลำหนึ่งจะสามารถหาซื้อแล้วยังเอามาหลอมเช่นนี้ได้ แล้วนับประสาอะไรกับที่แต่ไหนแต่ไรมาถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ก็ขายไผ่เขียวให้คนนอกน้อยครั้งยิ่ง ยอมปล่อยให้ไผ่เขียวที่ปลูกอยู่เต็มภูเขาหลายลูกผุกร่อนเน่าเปื่อย หน่อไผ่ผลิบานก่อนกลายเป็นดินโคลนยังดีเสียกว่าจะยอมเอามันมาขายแลกเงิน
ถ้าอย่างนั้นก็เหลือความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวแล้ว ฮูหยินภูเขาชิงเสินที่ไม่เคยเดินออกจากถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ ยิ่งไม่เคยปรากฏตัวในใต้หล้าไพศาลผู้นั้น เป็นฝ่ายขายไผ่เขียวของถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ปริมาณมหาศาล ถึงขั้นที่ว่าอาจมอบให้กับศาลบุ๋นแผ่นดินกลางโดยตรง
ดังนั้นในอนาคตหากมีโอกาสล่ะก็ จะต้องไปท่องเที่ยวที่ถ้ำสวรรค์จู๋ไห่สักครั้งให้จงได้
เรือข้ามฟากลำหนึ่ง ปราณกระบี่แผ่อึมครึมน่าสะพรึงกลัว ไอสังหารอบอวลทั่วฟ้าดิน
ในอดีตเรือข้ามฟากที่มุ่งหน้าไปยังภูเขาห้อยหัว ผู้ดูแลส่วนใหญ่มักจะเป็นเซียนดินก่อกำเนิดที่ฝีมือการเข่นฆ่าไม่อ่อนด้อย ถึงขั้นที่ว่าอาจจะมีผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนที่บ้างก็ซ่อนตัวบ้างก็เผยกาย คอยช่วยขนย้ายข้าวของ ป้องกันเหตุไม่คาดฝัน
สตรีที่เกิดจากการวาดภาพลงสีบนผนังด้านนอกตัวเรือพากันปรากฏกาย เรือนกายอรชรอ้อนแอ้น ความสูงมีตั้งแต่สามถึงสี่จั้ง แต่ละคนต่างก็ถือยันต์กระบี่ที่ทำมาจากไผ่เขียวและผ่านเวทหล่อหลอมจนระดับขั้นสูงยิ่งกว่าเล่มอื่นๆ เอาไว้หนึ่งเล่ม ปลายกระบี่ชี้มายังชายวัยกลางคนบนเรือยันต์ที่แต่งกายเป็นผู้ฝึกยุทธ สวมงอบไม้ไผ่ สวมชุดสีเขียว ตรงเอวเหน็บดาบแคบและห้อยน้ำเต้าบรรจุเหล้าผู้นั้น
ทางฝ่ายของเรือข้ามฟาก พวกผู้ฝึกตนของเรือข้ามฟากและผู้โดยสารส่วนใหญ่ต่างก็มองประเมินเรือยันต์ที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นบนโลกลำนั้น พวกเด็กน้อยกลุ่มหนึ่งไม่มีอะไรให้น่ามอง ความสนใจส่วนใหญ่ยังคงอยู่บนร่างของบุรุษผู้นั้นมากกว่า
เฉินผิงอันยกมือข้างหนึ่งขึ้น ยิ้มเอ่ยว่า “ข้าสามารถปล่อยให้ยันต์กระบี่ไผ่เขียวกรีดฝ่ามือเพื่อพิสูจน์ตัวตนแล้วค่อยขึ้นเรือได้”
เหอกูทอดถอนใจเฮือกๆ “ไม่เผด็จการเลยแม้แต่นิดเดียว”
อวี๋เสียหุยพยักหน้ารับ “ขี้ขลาดนัก”
ผู้ดูแลเรือสวมชุดคลุมอาคมสีหมึกคนหนึ่งยืนอยู่บนหัวเรือ มีหนึ่งถือหอกเล็ก เคราดกแต่ใบหน้าเล็ก กลับกลายเป็นว่ามีกลิ่นอายตำราอยู่บนร่างหลายส่วน ทว่าคำพูดคำจากลับโผงผาง กระชับสั้นเรียบง่าย เอ่ยแค่สามคำว่า “ไสหัวไปไกลๆ”
เฉินผิงอันชูมือขึ้นสูง ระหว่างนิ้วมือคีบเงินฝนธัญพืชไว้เหรียญหนึ่ง ตอบคืนกลับไปด้วยสามคำ “ไม่ขาดเงิน!”
ผู้ดูแลเอ่ย “กระบี่หนึ่งที่ฝ่ามือ กระบี่หนึ่งตรงหว่างคิ้ว เต็มใจหรือไม่?”
เฉินผิงอันพยักหน้ากล่าว “ก็ได้ๆ เพียงแต่ขอให้ทางฝั่งของเรือข้ามฟากช่วยระมัดระวังเรื่องกำลังสักหน่อย อย่าได้แทงทะลุเสียล่ะ”
เฉินผิงอันยิ้มร่าเอ่ยเสริมมาอีกประโยคว่า “เรื่องอย่างการยอมฆ่าผิดตัวแต่จะไม่ยอมปล่อยผิดตัวเด็ดขาดนี้ ทำลายคุณธรรมเกินไป พวกเราต่างก็เป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่ถูกต้องชอบธรรม อย่าได้เลียนแบบการกระทำของพวกผู้ฝึกตนอิสระจะดีกว่า”
มังกรสาวสวมชุดสีสันคล้ายจะได้รับคำสั่งในใจจากผู้ดูแลจึงออกกระบี่สองครั้งจริงๆ แสงกระบี่พลันแหวกผ่าม่านราตรีแล้วถูกเก็บพรวดกลับมาอย่างว่องไว พอนางเก็บกระบี่ไปแล้ว ก้มหน้าลงมองดู บนปลายกระบี่มีไข่มุกสองหยดที่เกิดจากการรวมตัวกันของเลือดสด ปลายกระบี่สั่นสะท้านเบาๆ เลือดสดสองหยดที่มาจากฝ่ามือและหว่างคิ้วของบุรุษสวมงอบผู้นั้นระเบิดแตกโพล๊ะ สตรีสวมชุดกระโปรงสีสันที่มีโฉมหน้าของเซียนวารี มีกลิ่นอายของเทพแห่งผืนดินใช้เวทลับทำให้เลือดสดกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าไม่มีความผิดปกติใดๆ จึงพลิกกระบี่ไม้ไผ่กลับด้านพร้อมกับมังกรสาว บางทีนี่อาจเป็นการแสดงความเป็นมิตรต่อชายฉกรรจ์สวมงอบแล้ว เพราะถึงอย่างไรการกระทำนี้ของอีกฝ่ายก็แสดงความจริงใจอย่างถึงที่สุด มอบเลือดสดให้อาจารย์หล่อหลอมพิสูจน์ตัวตน ไม่ได้เรียบง่ายเหมือนการมอบเอกสารผ่านด่านแล้วจบกันไปเท่านั้น
เฉินผิงอันกวักมือ เก็บเลือดสดสองหยดกลับมาที่ฝ่ามือ
สีหน้าของผู้ดูแลคนนั้นเป็นมิตรขึ้นมาหลายส่วน ถามว่า “พวกเจ้าโผล่มาจากที่ใดกัน?”
เฉินผิงอันเลือกจะใช้เสียงในใจตอบกลับ “รู้ว่าผู้อาวุโสชงเชี่ยนของหลิวเสียทวีปมีมรรคกถายิ่งใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด สังหารเผ่าปีศาจที่ออกอาละวาดได้อย่างสิ้นซากแล้ว อาณาเขตของสำนักอวี่หลงเรียกได้ว่าปลอดภัย ไม่มีภัยแฝงใดๆ อยู่อีก ข้าจึงพาพวกผู้เยาว์ในสำนักออกทะเลเดินทางไกล ไปเที่ยวที่เกาะหลูฮวามารอบหนึ่ง ดูว่าระหว่างทางจะเจอโชควาสนาอะไรหรือไม่ ส่วนสำนักของข้า ไม่พูดถึงจะดีกว่า คนที่จากไปก็จากไป ไปเยือนใต้หล้าแห่งที่ห้า คนที่อยู่ต่อก็เหลือแค่คนแก่ไม่กี่คนแล้ว”
หัวใจของผู้ดูแลบีบรัดแน่น เจ้าตัวดี ถึงขนาดเป็นผู้ฝึกตนก่อกำเนิดที่แสร้งทำเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัว! ชาติสุนัข เกินครึ่งคงเป็นผู้ฝึกตนของใบถงทวีปอย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว หากไม่ใช่ผู้ฝึกตนสำนักการทหารก็คงต้องเป็น…ผู้ฝึกกระบี่ ไม่อย่างนั้นเรือนกายก็คงไม่แข็งแกร่งทนทานปานปรมาจารย์ผู้ฝึกยุทธเช่นนี้
เสียงในใจของอีกฝ่ายชัดเจนอย่างถึงที่สุด เห็นได้ชัดว่าตราผนึกขุนเขาสายน้ำสองชั้นของเรือข้ามฟากมีผลกระทบต่อตบะของเขาไม่มาก หากเป็นเซียนดินโอสถทองคนหนึ่ง ใช้เสียงในใจถ่ายทอดมาถึงเรือข้ามฟาก คิดจะให้ตนได้ยินอย่างชัดเจนก็ไม่ยาก เพียงแต่ว่าเสียงไม่มีทางชัดเจนขนาดนี้ได้แน่นอน
เฉินผิงอันตบชุดสีเขียวเบาๆ ชุดคลุมอาคมก็เกิดริ้วคลื่นกระเพื่อมเปล่งประกายเรืองรองสีเขียวมรกตเป็นระลอก เป็นฝ่ายคลายเวทอำพรางตานั้นออกด้วยตัวเอง เผยให้เห็นว่าวัตถุดิบเยื่อไผ่ที่ถักทอเป็นชุดคลุมอาคมบนร่างมาจากภูเขาชิงเสิน
หลิวโยวโจวที่นั่งโดยสารเกาะกุ้ยฮวาไปยังจวนหยวนโหรว ตอนที่เป็นเด็กหนุ่มบนร่างก็สวมชุดใยไผ่ตัวหนึ่ง
ชุดคลุมอาคมประเภทนี้ยังมีคำเรียกขานที่งดงามบอกว่าเป็น ‘ดินแดนแห่งความเย็นสบาย’ และ ‘สถานที่ดีงามแห่งการหลบร้อน’
โดยเฉพาะผู้ฝึกลมปราณที่ฝึกวิชาไม้และวิชาน้ำที่โปรดปรานชุดคลุมอาคมไผ่จากภูเขาชิงเสินเป็นพิเศษ ไม่เป็นรองการไขว่คว้าที่พวกเขามีต่อวัตถุฟางชุ่น วัตถุจื่อชื่อเลย
ไม่มีผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจคนใดที่จะเอาชุดไผ่ภูเขาชิงเสินมาสวมไว้บนร่าง
เว้นเสียแต่ว่าเป็นปีศาจใหญ่ขอบเขตเซียนเหรินที่มรรคกถาสูงส่งลึกล้ำ เพียงแต่ว่าทุกวันนี้บนฟ้ามีคันฉ่องลอยอยู่ ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจห้าขอบเขตบน โดยเฉพาะอย่างยิ่งขอบเขตเซียนเหริน หากออกมาจากใต้มหาสมุทรเมื่อไหร่ก็อย่าหวังว่าจะอำพรางลมปราณเอาไว้ได้
คันฉ่องใหญ่ลอยตัวสูง คือคันฉ่องประทินโฉมบานหนึ่งในตำนาน
หากเป็นปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานที่เชี่ยวชาญการอำพรางลมปราณมากยิ่งกว่า เรือข้ามฟาก ‘ไฉ่อี’ ลำนี้ก็ต้องยอมรับความซวยของตัวเองไปเท่านั้น ก็หนีไม่พ้นว่าต้องมีจุดจบที่รบจนตัวตาย เพียงแต่ว่าหากปีศาจใหญ่เผยร่องรอยเมื่อไหร่ก็ย่อมตายอย่างไม่ต้องสงสัยเช่นเดียวกัน
ย่อมต้องมีผู้ฝึกตนที่ปักหลักอยู่ในที่ตั้งเก่าของสำนักอวี่หลงมาช่วยแก้แค้นให้
นอกจากชงเชี่ยนเซียนเหรินแห่งหลิวเสียทวีป ซ่งพิ่นเซียนกระบี่หญิงจากเกราะทองทวีปแล้ว ก็ยังมีขอบเขตบินทะยานอีกคนหนึ่งที่มาจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง มาคอยนั่งพิทักษ์อาณาเขตของร่องเจียวหลงด้วยตัวเอง
——