กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 758.2 สหายเก่านั่งเต็มห้องโถง
ผู้เฒ่าฝืนลืมตาขึ้น การมองเห็นพร่าเลือน พอจะมองเห็นบุรุษที่ไม่ใช่เด็กหนุ่มอีกต่อไปแล้วอย่างเลือนราง ยังคงปักปิ่นหยกอยู่เฉกเช่นเดิม หลังจากกระแอมสองสามที บนใบหน้าของผู้เฒ่ากลับมีประกายสดใสเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน “ใช่แล้ว พระพุทธองค์ตัวจริงเอ่ยแค่ถ้อยคำทั่วไปเท่านั้น (เปรียบเปรยว่าผู้มีความสามารถจะอธิบายหลักการที่ลึกล้ำด้วยถ้อยคำที่เข้าใจง่าย หรือสิ่งที่ดีงามอย่างแท้จริงมักจะเปิดเผยออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ) ยังคงเป็นเฉินผิงอันที่ข้ารู้จักผู้นั้น เพียงแต่ว่าโตขึ้นไม่น้อยแล้ว ตอนที่อายุน้อยต้องเจอกับความยากลำบาก หากไม่เอะอะโวยวาย พยาพยามจะให้ทุกคนในใต้หล้าได้ยิน ก็จะชอบเก็บกลั้นไว้ในท้องของตัวเอง มักจะรู้สึกว่าผ่านไปอีกแค่ไม่กี่วัน ไม่กี่ปี ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรแล้ว อันที่จริงจะมีเรื่องดีแบบนี้ได้อย่างไร ตอนนี้คงรู้แล้วสินะว่าคนเรามีชีวิตอยู่บนโลกมักมีแต่เรื่องที่ไม่สมปรารถนาอยู่เสมอน่ะ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
ผู้เฒ่ายกมือข้างหนึ่งขึ้นตบหลังมือของคนหนุ่มเบาๆ “ความลำบากบางอย่างของตระกูลเหยาในทุกวันนี้ หาใช่เพราะวิถีทางโลกดีหรือเลวอย่างไร แต่เป็นหลักการเหตุผลที่เป็นเช่นไรถึงได้ทำให้คนลำบากใจ ข้าเอง และจิ้นจือเอง ต่างก็มีปมในใจ เจ้ามาหรือไม่มา จะสามารถแก้ไขปัญหาของทุกวันนี้ได้มากหรือไม่มาก ล้วนไม่เกี่ยวข้องกัน ยกตัวอย่างเช่นเปลี่ยนเส้นทางให้ข้าเหยาเจิ้นตาแก่หนังเหนียวไม่ยอมตายผู้นี้กลายเป็นคนแก่หนังเหนียวยิ่งกว่าเดิม ให้ไปเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำอะไรนั่น ย่อมต้องทำได้ เพียงแต่ว่าไม่อาจทำ ผิงอันน้อย?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “สามารถเข้าใจได้”
ต้าเฉวียนสามารถประคับประคองเจิ้งซู่ฝู่จวินของจวนจินหวง รวมไปถึงหลิ่วโย่วหรงเทพวารีทะเลสาบซงเจิน ตำแหน่งเทพของเจิ้งซู่เป็นรองแค่ห้าขุนเขาต้าเฉวียนเท่านั้น หลิ่วโย่วหรงเองก็เป็นองค์เทพแห่งสายน้ำลำดับสอง ตำแหน่งเทพเป็นรองแค่เทพวารีลำคลองม่ายเหอของตำหนักปี้โหยว นี่ก็เหมือนดั่งคำกล่าวที่ว่าคนหนึ่งบรรลุเป็นเซียน หมาและไก่พลอยได้ขึ้นสวรรค์
และคนหนึ่งที่ว่านี้ แน่นอนว่าก็คือเหยาจิ้นจือ ฮ่องเต้หญิงแห่งต้าเฉวียน
ถ้าเช่นนั้นแม่ทัพผู้เฒ่าเหยาที่คุณูปการสามารถสยบฝูงชน เป็นจุดศูนย์รวมของจิตใจคนได้นั้น ก็อย่าว่าแต่เทพอภิบาลเมืองของเมืองหลวงอะไรเลย ต่อให้กลายเป็นซานจวินห้าขุนเขาของสกุลเหยาต้าเฉวียนก็ยังไม่ยาก
เพียงแต่ว่าในใต้หล้าไพศาลแห่งนี้ ฮ่องเต้ที่เป็นสตรีใช่ว่าจะไม่มี แต่มีน้อยจนนับนิ้วได้ อีกทั้งส่วนใหญ่โชคชะตาแคว้นมักจะไม่ยืนยาว
ท่ามกลางกลียุค ใครที่นั่งบัลลังก์มังกรสวมชุดคลุมมังกรคือภาระหน้าที่ แต่หากสามารถนั่งบัลลังก์มังกรได้อย่างมั่นคงกลับยิ่งเป็นความสามารถ ทว่าพอยุคแห่งความสันติสุขมาถึง สตรีคนหนึ่งขึ้นครองบัลลังก์กลายเป็นฮ่องเต้ มีหรือจะราบรื่น
สกุลหลิวต้าเฉวียนนอกจากอดีตฮ่องเต้ที่สูญเสียความเชื่อใจจากชาวประชาแล้ว อันที่จริงต้าเฉวียนก่อตั้งแคว้นมาสองร้อยกว่าปี ฮ่องเต้แต่ละยุคสมัยที่ผ่านๆ มาล้วนถือว่าเป็นกษัตริย์ผู้ทรงพระปรีชา แทบไม่มีกษัตริย์ที่เป็นทรราช นี่ก็หมายความว่าไม่ว่าสกุลหลิวจะอยู่ในราชสำนัก บนภูเขา ยุทธภพหรือในหมู่ชาวบ้าน ก็ยังคงเป็นแซ่แห่งแคว้นต้าเฉวียน
ดังนั้นการเลือกของแม่ทัพผู้เฒ่าเหยา จะกลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำที่เฝ้าพิทักษ์พื้นที่แห่งหนึ่งหรือไม่ อันที่จริงก็คือการเลือกในใจของผู้เฒ่าว่าจะต้องการเปลี่ยนแซ่แคว้นต้าเฉวียนจาก ‘หลิว’ เป็น ‘เหยา’ หรือไม่นั่นเอง เห็นในชัดว่าในใจของผู้เฒ่ายังคงหวังให้ต้าเฉวียนเป็นของสกุลหลิวดังเดิม และในเรื่องนี้ก็มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าเหยาเจิ้นแม่ทัพผู้เฒ่ากับหลานสาว เหยาจิ้นจือผู้ซึ่งเป็นฮ่องเต้องค์ปัจจุบันอาจจะเกิดความขัดแย้งบางอย่าง ถึงขั้นที่ว่าความคิดของแม่ทัพผู้เฒ่าสวนทางกับความหวังของคนตลอดทั้งสกุลเหยาอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกหลานรุ่นที่อายุน้อยที่สุด
เหยาเซียนจือไม่รู้ว่าตนควรจะดีใจหรือเสียใจดี
วันนี้สีหน้าของท่านปู่ดูดีมาก ดีมากเป็นพิเศษ เป็นเหตุให้มีแรงกายแรงใจพูดคุยได้หลายคำ เทียบกับคำพูดของเมื่อครึ่งปีก่อนรวมกันแล้วยังมากกว่าเสียอีก
เฉินผิงอันพลันหันหน้าไปพูดกับเหยาเซียนจือ “ไปเรียกพี่สาวของเจ้ามา เรียกมาทั้งสองคนเลย”
สีหน้าของเหยาเซียนจือมีความขมขื่นอยู่บ้าง “ตอนนี้ฮ่องเต้ไม่อยู่ในนครเซิ่นจิ่ง เสด็จไปยังจวนเก่าตระกูลเหยาที่ชายแดนทางทิศใต้แล้ว”
เฉินผิงอันอึ้งค้างอยู่กับที่
ภายใต้การประคองของเฉินผิงอัน ผู้เฒ่าลุกขึ้นนั่งช้าๆ เขาถึงกับหัวเราะออก เอ่ยสัพยอกว่า “นี่ก็ไม่ได้ปรึกษากับเจ้าอีกใช่หรือไม่ ใช่แล้ว นี่ก็คือชีวิตคน”
เพียงแค่ลุกขึ้นนั่งก็ทำให้แม่ทัพผู้เฒ่าสีหน้าเหนื่อยล้า ได้แต่ขยับนิ้วมือเล็กน้อย ถือเป็นการโบกมือบอกเป็นนัยแก่เฉินผิงอันว่าไม่ต้องคิดมาก “ธุระหลังตายไปล้วนมอบหมายไว้เรียบร้อยแล้ว ลูกหลานตระกูลเหยาต่างก็เห็นความเป็นความตายกันมาจนเคยชิน ไม่มีใครที่บอบบาง คนที่อายุน้อยๆ ก็รบตายอยู่ในสมรภูมิรบก็ยิ่งมีมากมาย ไม่มีเหตุผลที่มีชีวิตอยู่มาจนอายุเท่าข้าปูนนี้แล้ว พอจะจากไป กลับกลายเป็นว่าในห้องมีแต่ความกดดันเศร้าสร้อย วุ่นวายนัก ถึงเวลานั้นหากร้องไห้ก็กลัวจะรบกวนข้า ไม่ร้องไห้ก็ดูเหมือนว่าจะไม่กตัญญู นี่มันน่าดูเสียที่ไหน”
เฉินผิงอันถาม “ข้าสามารถทำอะไรได้บ้างไหม?”
ผู้เฒ่ายิ้มเอ่ย “ไม่ต้องทำอะไร แค่อย่าจากไปอย่างไร้ข่าวคราวอีกก็พอ ต่อให้อยู่กันคนละทวีปก็สามารถส่งกระบี่บินหากันได้ กิจธุระในตระกูลเหยา เรื่องราวของแคว้นต้าเฉวียน เจ้ามีส่วนร่วมให้น้อยเป็นดี เห็นตัวเองเป็นลูกเขยตระกูลเหยาของพวกเราจริงๆ หรือไร? ปีนั้นมัวไปทำอะไรอยู่เล่า? หากปีนั้นเจ้าไม่ได้จงใจแกล้งโง่ ยินดีเดินเพิ่มอีกสักก้าวสองก้าว ก็ไม่แน่ว่า…ช่างเถิด”
เหยาเซียนจือแอบหัวเราะ
หากเรื่องนี้แพร่ออกไปสามารถทำให้คนทั้งบนและราชสำนักซักไซ้สืบข่าวกันอย่างกระตือรือร้นเหมือนได้ฉีดเลือดไก่แน่นอน ตำราจัดพิมพ์ส่วนตัวในหมู่ชาวบ้านที่แม้จะถูกห้ามหลายครั้งก็ยังจัดพิมพ์กันไม่เลิก เกร็ดพงศาวดารประวัติศาสตร์ เรื่องรักประโลมโลกในวังหลวงที่มีมากมายนับไม่ถ้วน คาดว่าคงจะยิ่งได้เงินกันมากกว่าเดิม และตำราที่ทำร้ายไปถึงรากฐานของราชสำนักและชื่อเสียงของตระกูลเหยานี้ พวกบัณฑิตที่ผิดหวังจากการสอบซึ่งหลบเร้นซ่อนตัวอยู่ในป่าในชนบททั้งหลายต่างก็ช่วยผลักดันลูกคลื่นกันอยู่ไม่น้อย ก่อนที่เหยาจิ้นจือผู้เป็นพี่สาวจะขึ้นครองราชย์ ตำราที่เนื้อหาทุเรศจนมิอาจทนมองได้พวกนี้ก็แพร่หลายไปทั่วราชสำนักอยู่นานแล้ว พอขึ้นครองราชย์ก็พูดได้แค่ว่าสำรวมกันบ้างเล็กน้อย แต่กระนั้นก็ยังคงเป็นดั่งหญ้าป่าที่เจอกับลมวสันต์ฤดู ทุกครั้งที่ทางการสั่งห้ามเรื่องนี้ก็มีเรื่องใหม่โผล่มา ทุกวันนี้แม้แต่ขุนนางใหญ่ในพื้นที่ศักดินาและขุนนางในท้องถิ่นทั้งหลายก็ยังมีเก็บไว้เองเป็นการส่วนตัวหลายเล่ม
เพียงแต่ว่าตอนนี้ฮ่องเต้ไม่มีเวลามามัวสนใจเรื่องพวกนี้ เรื่องทางการทหารที่เป็นเรื่องใหญ่ของแคว้นมีหลายเรื่องที่จำเป็นต้องทำการจัดระเบียบเสียใหม่ ลำพังเพียงแค่ปฏิวัติกฎทหาร จัดตั้งกลุ่มแปดสิบหกแม่ทัพของเส้นทางทั้งหลายในแคว้นขึ้นมาก็ก่อให้เกิดคลื่นลมมรสุมโถมกระหน่ำ เกิดคำวิพากษ์วิจารณ์เซ็งแซ่มากแล้ว ส่วนเรื่องของการคัดเลือกยี่สิบสี่ผู้มีคุณูปการ ‘บุกเบิกแคว้น’ ก็ยิ่งเจอแรงต้านรุนแรง ขุนนางบุ๋นบู๊ที่คุณูปการทางการสู้รบมากพอให้เป็นตัวเลือกได้ก็จะแย่งชิงลำดับสูงต่ำกันเอง คนที่ถูกเลือกไม่ถูกเลือกก็ล้วนต้องช่วงชิงพื้นที่หนึ่งมาให้ตัวเองก่อน คนที่คุณสมบัติไม่เพียงพอก็ย่อมเกิดความไม่พอใจอย่างเลี่ยงไม่ได้ นึกขึ้นมาได้อีกว่าขนาดยี่สิบสี่แม่ทัพฮ่องเต้ยังเปลี่ยนให้เป็นสามสิบหกแม่ทัพได้ ขนาดขยับขยายมาถึงสามสิบหกลำดับแล้วยังจะไม่ถูกเลือกอีกหรือ ฝ่ายขุนนางบุ๋นก็คิดว่าราชสำนักสามารถตั้งตำแหน่งกั๋วกงขึ้นได้หลายๆ ตำแหน่ง แม่ทัพบู๊ลองมาคิดดูอีกทีก็หันไปเลือกส่วนที่ตัวเองได้ผลประโยชน์จากค่ายทัพแต่ละสถานที่ที่แยกไปอีกแปดสิบหกสายจะดีกว่า แต่ละคนต่างก็อยากจะเป็นแม่ทัพบนเส้นชายแดนที่เชื่อมต่อสองแคว้นอย่างเป่ยจิ้นและหนันฉี กุมอำนาจทางการทหารที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม ในมือมีกองกำลังมากกว่าเดิม มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าอาจจะก่อตั้งหกแม่ทัพเส้นทางหูเอ๋อร์แดนใต้ที่ดูแลเกี่ยวกับการศึกชายแดนขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะได้ควบรวมตำแหน่งห้าแม่ทัพสายเส้นทางลำคลองม่ายเหอที่ดูแลเรื่องการขนส่งทางน้ำไปด้วย สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นผลประโยชน์อันหอมหวนอันดับหนึ่งทั้งสิ้น
อีกทั้งดูเหมือนว่าฮ่องเต้จะยังลังเลใจมาโดยตลอดว่าจะใช้กฎเหล็กจัดการกับเกร็ดพงศาวดารเหล่านั้นดีหรือไม่ เพราะหากไม่ทันระวังจะกลายเป็นว่าฮ่องเต้พระองค์ใหม่โหดร้ายทารุณ อาจถูกประนามด่าอยู่ในคุกแห่งบทประพันธ์ก็เป็นได้
เฉินผิงอันเชี่ยวชาญการแสร้งโง่จริงดังคาด เขาเพียงเอ่ยว่า “ข้าคิดว่าจะก่อตั้งสำนักเบื้องล่างอยู่ในใบถงทวีป อาจเลือกที่ตั้งมาทางเหนือหน่อย วันหน้าอยู่ในทวีปเดียวกับสกุลเหยาต้าเฉวียนก็ย่อมต้องได้ไปมาหาสู่กันบ่อยๆ แน่นอน”
ผู้เฒ่าถามอย่างสงสัย “ถึงกับก่อสำนักตั้งพรรคแล้ว? เหตุใดไม่เลือกแจกันสมบัติทวีปที่เป็นบ้านเกิด? อยู่ที่นั่นลำบากหรือ? ไม่ถูกสิ ในเมื่อเป็นสำนักแล้วก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องย้ายมาอยู่ทวีปอื่นแล้วค่อยลงหลักปักฐาน หรือว่าคุณูปการทางการสู้รบของภูเขาพวกเจ้ามากพอ น่าเสียดายที่ความสัมพันธ์กับราชสำนักสกุลซ่งต้าหลีไม่ค่อยดีนัก?”
ในสายตาของแม่ทัพผู้เฒ่า เฉินผิงอันที่อายุน้อยๆ ก็สามารถก่อตั้งจวนเซียนอักษรจงเป็นสำนักขึ้นมาได้นั้น ถือว่าเป็นวีรกรรมยิ่งใหญ่ที่ชวนให้คนตะลึงพรึงเพริดได้มากแล้ว ไม่เป็นรองการที่จิ้นจือหลานสาวของตนตั้งตัวเป็นฮ่องเต้เลยแม้แต่น้อย ส่วนคำกล่าวที่ว่าสำนักเบื้องล่างนี้ แม่ทัพผู้เฒ่าคิดแค่ว่าตัวเองแก่แล้วสายตาฝ้าฟางหูไม่ค่อยจะดี จึงฟังผิดไป
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างจนใจว่า “ท่านปู่เหยา เป็นสำนักเบื้องล่างที่เลือกที่ตั้งอยู่ในใบถงทวีป ภูเขาของที่บ้านเกิดจะเป็นภูเขาสำนักเบื้องบน ไม่ต้องย้ายถิ่น”
ผู้เฒ่ามีสีหน้าสดชื่นกระปรี้กระเปร่า ท่าทางอ่อนระโหยเซื่องซึมหายวับไปทันใด ในใจปลาบปลื้มเป็นยิ่งยวด แต่ปากกลับจงใจเอ่ยอย่างขำๆ ปนฉุนว่า “เจ้าเด็กตัวเหม็น คิดไม่ถึงว่าพออายุมากเข้า คำพูดคำจาจะวางโตยิ่งกว่าเดิม ทำไม คิดจะเอาคำพูดเหลวไหลมาหลอกข้า เพราะเห็นว่าทุกวันนี้จิ้นจือเป็นฮ่องเต้แล้ว จะได้ฉกฉวยผลประโยชน์ไปได้สะดวกหรือไร? ปีนั้นดูแคลนบุตรสาวตระกูลเหยาจวนเจ้ากรม วันนี้ในที่สุดก็เห็นค่าฮ่องเต้หญิงแล้ว? ดีๆๆ เป็นแบบนี้ก็ดี หากเป็นเช่นนี้จริงข้ากลับสบายใจได้แล้ว จิ้นจือสายตามองสูง เจ้าเองก็เป็นคนวัยเดียวกันจำนวนน้อยนิดที่เข้าตานางได้ แต่วันนี้ไม่เหมือนวันวาน แม่หนูจิ้นจือนั่น ทุกวันนี้ปณิธานสูงกว่าในอดีตมากแล้ว อีกทั้งยังเคยเจอกับคนมหัศจรรย์และเทพเซียนพสุธามามากมาย คาดว่าต่อให้เจ้าอยากจะสมปรารถนา ก็คงยากกว่าปีนั้นอยู่ไม่น้อย พูดถึงแค่ผู้ถวายหนุ่มที่ทำตัวติดเป็นตังเมผู้นั้นก็ไม่มีทางปล่อยให้เจ้าสมหวังง่ายๆ แล้ว เซียนจือ เจ้าคนผู้นั้นชื่อแซ่อะไรแล้วนะ?”
“เส้ายวนหรานแห่งอารามจินติ่ง หนึ่งในเซียนดินของใบถงทวีปพวกเราที่มีหวังจะเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนมากที่สุด”
เหยาเซียนจือหัวเราะร่าเสียงดัง “แต่หากถามข้านะ เขาไม่ถือเป็นศัตรูตัวฉกาจอะไรของอาจารย์เฉินได้เลยด้วยซ้ำ”
เฉินผิงอันรู้สึกหัวโตขึ้นมาทันใด เลือกจะปิดปากเงียบไม่พูดไม่จาเสียเลย
วันนี้ผู้เฒ่าพูดไปไม่น้อยจริงๆ จำต้องหลับตาทำสมาธิเงียบงันไปพักใหญ่ ถึงได้ลืมตาขึ้นอีกครั้ง เปิดปากพูดเนิบช้าว่า “อันที่จริงตระกูลเหยาของพวกเราไม่เชี่ยวชาญการไปมาหาสู่กับบัณฑิตเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะพวกบัณฑิตที่อยู่ในวงการขุนนาง ความคิดวกวนอ้อมค้อมของพวกเขามีมากเกินไป คนผู้หนึ่งทั้งๆ ที่พูดประโยคไร้เหตุผล แต่กลับยังสามารถเป็นฝ่ายยึดครองเหตุผลทั้งหมดไปได้ ดังนั้นจิ้นจือจึงค่อนข้างจะลำบาก หากไม่เป็นเพราะมีผู้ฝึกยุทธกลุ่มของสวี่ชิงโจวที่สามารถพกดาบเข้าร่วมประชุมในท้องพระโรงได้ บวกกับมีกั๋วกงผู้เฒ่าเซินที่พอจะช่วยจิ้นจือพูดได้บ้าง ไม่แน่ว่าวันนี้นอกจวนเหยาก็คงไม่ใช่เทพทวารบาล ไม่ใช่ผู้ถวายงานของราชสำนักที่มาปกป้องคุ้มครองอยู่ แต่เป็นการถูกกักบริเวณไปแล้ว”
ขุนนางและบัณฑิตทุกคนที่ทิ้งวลีติดปากและถ้อยคำสูงส่งไว้ในศึกสงคราม จากนั้นก็โชคดีรอดชีวิตมาได้ ปีนั้นพวกเขาหนีเข้ามาหลบภัยในอาณาเขตของเมืองหลวงได้สำเร็จ ทุกวันนี้กลับไม่อาจได้ดำรงตำแหน่งสำคัญอยู่ในใจกลางราชสำนักและวงการขุนนาง คนพวกนี้แน่นอนว่าต่างก็เป็นพวกที่คัดค้านไม่ให้สกุลเหยาปกครองแคว้นอย่างสุดกำลัง เป็นพวกที่อยากยึดครองคุณธรรมน้ำใจยิ่งใหญ่มาไว้ทั้งหมด เอาแซ่สกุลของแคว้นกลับมาให้สกุลหืลวอีกครั้ง สตรีปกครองบ้านเมือง น่าดูที่ไหนกัน
เฉินผิงอันถาม “สวี่ชิงโจว?”
เหยาเซียนจือพยักหน้ารับ “รู้ว่าเขามีบุญคุณความแค้นกับอาจารย์เฉินอย่างลึกล้ำ แต่ข้าก็ต้องขอพูดประโยคที่เป็นธรรมแทนเขาสักหน่อย หลายปีมานี้คนผู้นี้ที่อยู่ในราชสำนัก นับว่ามีความรับผิดชอบอยู่บ้าง”
สวี่ชิงโจว แม่ทัพผู้เฒ่าอายุเกือบเจ็ดสิบปีแล้ว พกดาบ ‘ต้าเฉี่ยว’ ทุกวันนี้คือแม่ทัพใหญ่อักษรเจิง (เจิงแปลว่ากรีฑาทัพ ยกทัพไปปราบปราม มักจะใช้เป็นยศของพวกแม่ทัพ ยกตัวอย่างเช่นแม่ทัพเจิงเป่ย ก็หมายถึงแม่ทัพที่ยกทัพไปปราบปรามข้าศึกทางทิศเหนือ) ผลงานทางการสู้รบเกริกก้อง ปีนั้นสวี่ชิงโจวนำพากองทัพสายตรงของตัวเองทั้งหมด เป็นฝ่ายกรีฑาทัพเดินทางไปยังชายแดน ร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ไปพร้อมกับกองทัพม้าเหล็กตระกูลเหยาอยู่ตลอด ทั้งรบทั้งถอยกันมาตลอดทาง สุดท้ายพิทักษ์นครเซิ่นจิ่งเอาไว้ได้ เดิมพันมากก็ชนะมาก จึงกลายมาเป็นหนึ่งเสาค้ำยันแคว้นของกองทัพต้าเฉวียนตามหลังแม่ทัพผู้เฒ่าเหยา
ปีนั้นสวี่ชิงโจวยังเป็นเพียงแค่เมล็ดพันธ์แม่ทัพผู้หนึ่งที่วางเดิมพันหมดหน้าตักกับองค์ชายใหญ่ เคยเข้าร่วมการล้อมสังหารเฉินผิงอันร่วมกับหวังฉีวิญญูชนสำนักศึกษา สวีถงแห่งอารามฉ่าวมู่ เกาซื่อเจินเซินกั๋วกง เพียงแต่ว่าการเลือกของสวี่ชิงโจวในปีนั้นเด็ดขาดอย่างยิ่ง เขายอมที่จะแตกหักกับหลิวฉงองค์ชายใหญ่อย่างไม่เสียดาย แต่ก็ต้องดำเนินการอย่างเฉียบขาดฉับพลัน ตัดสินใจถอยออกมาจากการเดิมพันครั้งนั้นอย่างเด็ดเดี่ยว ผลคือเดือดร้อนให้คนทั้งตระกูลที่อยู่ในวงการขุนนางต้องถูกดูแคลนนานหลายปีจริงๆ
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “บุญคุณความแค้นไม่เล็ก แต่กับสวี่ชิงโจวและเซินกั๋วกง ข้ากลับมีความทรงจำที่ไม่เลวต่อพวกเขา”
ปีนั้นเฉินผิงอันผูกปมแค้นกับองค์ชายทั้งสองพระองค์ของต้าเฉวียน อันดับแรกก็เป็นองค์ชายสามหลิวเม่าก่อน จากนั้นจึงเป็นองค์ชายใหญ่หลิวฉง หลิวฉงคือบุตรชายคนแรกของอนุภรรยาหลิวเจินอดีตฮ่องเต้สกุลหลิวต้าเฉวียน บุตรคนโตคนเล็กมีความต่าง ภรรยาเอกและอนุภรรยามีการแบ่งแยก สุดท้ายฮ่องเต้หลิวเจินก็ยังคงเลือกบุตรภรรยาเอกที่มีชื่อเสียงดีเยี่ยมในกลุ่มขุนนางบุ๋นให้ขึ้นครองราชย์ ส่วนองค์ชายสามหลิวเม่านั้นได้หันไปฝึกบำเพ็ญตนหวังเป็นเซียนนานแล้ว ขนาดในสงครามก่อนหน้านี้ก็ยังไม่เคยโผล่หน้ามา เพียงแค่ตั้งใจศึกษาตำราคำเขียวอยู่ในอารามเต๋าเล็กๆ แห่งหนึ่งเท่านั้น
ทว่าท่ามกลางสถานการณ์อันวุ่นวาย หลิวฉงอ๋องเจ้าเมืองที่ได้รับหน้าที่เป็นผู้สำเร็จราชการแทนชั่วคราว สุดท้ายกลับไม่อาจรักษาบ้านเมืองของสกุลหลิวเอาไว้ได้ รอกระทั่งสงครามใหญ่ของใบถงทวีปปิดฉากลง ท่ามกลางค่ำคืนที่ฝนตกกระหน่ำคืนหนึ่ง หลิวฉงได้ก่อกบฏ พยายามจะช่วงชิงหยกลัญจกรสืบทอดของแคว้นมาจากมือเหยาจิ้นจือผู้เป็นฮองเฮา แต่กลับถูกผู้ถวายงานลึกลับที่ได้รับฉายาว่าคนลับมีดร่วมมือกับสตรีร่างเล็กเตี้ยคนหนึ่งที่ตอนนั้นนั่งยองกินอาหารมื้อดึกอยู่หลังเสาระเบียง คนทั้งสองขัดขวางหลิวฉงเอาไว้ได้ ทุกสิ่งที่เขาทำมาจึงสูญเปล่า
ว่ากันว่าอ๋องเจ้าเมืองที่เส้นผมสยายยุ่งเหยิงถูกทหารสวมเสื้อเกราะลากตัวออกไปจากตำหนักใหญ่ด้วยสภาพเหมือนคนขวัญหนีดีฝ่อ จากนั้นเขาก็หัวเราะเสียงดังพลางสบถด่าประโยคประหลาดต่อม่านฝนว่า ‘หากข้าผู้อาวุโสรู้แต่แรกคงรอให้ฝนหยุดตกก่อนค่อยลงมือ ไม่จำเลยจริงๆ พวกเจ้ารอไปก่อนเถอะ ระวังเถิดว่าวันหน้าต้าเฉวียนจะต้องแซ่เฉิน’
——