กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 759.7 เดินทางยามค่ำคืน
เหยาเซียนจือมองดูอยู่ครู่หนึ่งก็ยังมองอะไรไม่ออก จึงตั้งใจดื่มเหล้าของตัวเองไป ไม่คิดอะไรทั้งนั้น กลับกลายเป็นว่าเริ่มง่วงเสียแล้ว
เฉินผิงอันกล่าว “ง่วงก็กลับไปนอนหลับในห้อง”
เหยาเซียนจือส่ายหน้า “หลับอะไรกัน ไม่มีสตรีคอยอุ่นผ้าห่มให้เสียหน่อย”
เฉินผิงอันเหล่ตามองชายฉกรรจ์เนื้อตัวสกปรกใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเครา
เหยาเซียนจือหน้าแดงเล็กน้อย “อาจารย์เฉิน อายุของข้าไม่ถือว่าน้อยแล้วจริงๆ แล้วก็ไม่มีคนนอกอยู่ด้วย จะไม่ยอมให้ข้าพูดจาสัปดนบ้างเลยหรือ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นรู้รสชาติของชายโสดขึ้นคานแล้วหรือยัง?”
เหยาเซียนจือทอดถอนใจ ดื่มเหล้าของตัวเองต่อไป เมื่อก่อนอาจารย์เฉินไม่ได้เป็นแบบนี้จริงๆ นะ
ส่วนเฉินผิงอันก็จับจ้องมองโต๊ะที่ว่างเปล่าไร้สิ่งใดต่อไป
แม้จะบอกว่าฝีมือการเล่นหมากล้อมห่วยแตก แต่ก็พอจะเข้าใจหลักการอยู่บ้าง อีกทั้งช่วงเวลาหลายปีที่อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ได้คิดอะไรไปไม่น้อย
สำนักเบื้องล่างเลือกที่ตั้งเป็นใบถงทวีป ปกป้องภูเขาไท่ผิง รวมไปถึงยอดเขาเทียนแจว๋ที่จะไปเยี่ยมเยือนภายหลัง ยึดครองตำแหน่ง ‘เทียนเฉวียน’ สะบั้นเจ็ดสำแดงสองอำพรางของอารามจินติ่ง
ตามหลักในการเล่นหมากล้อม นี่ถือว่าเป็นการลงมือตำแหน่งดวงดาว (จุดตัดบนกระดานหมากล้อม มีทั้งหมดเก้าจุด) มีตำแหน่งบนกระดานหมากสูง ก็ต้องให้ความสำคัญกับการช่วงชิงกองกำลัง เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการโอบล้อมพื้นที่ว่าง
ได้เจอหลิวจงที่ราชวงศ์ต้าเฉวียนโดยบังเอิญ รวมถึงการเป็นฝ่ายแสดงความเป็นมิตรต่อเรือนอวิ๋นฉ่าวภูเขาผูซานก่อนหน้านี้ ปล่อยผู้ถวายงานก่อกำเนิดของเสี่ยวหลงชิวไป รวมไปถึงไต้หยวนที่เป็นโอสถทอง ขณะเดียวกันก็ให้เจียงซ่างเจินช่วยเหลือ เป็นเหตุให้ทั้งสองฝ่ายมีชีวิตรอดและยิ่งรู้จักถนอมชีวิตมากกว่าเดิม ถึงขั้นเข้าใจผิดคิดว่าได้ผูกมิตรกับสำนักกุยหยกแล้ว
สิ่งเหล่านี้ล้วนถือเป็นการเล่นแบบตาน้อย (ตำแหน่งมุมของกระดาน ทุกมุมจะมีตาน้อยสองจุด บนกระดานจึงมีตาน้อยแปดจุด) ตามหลักของการเล่นหมากล้อม ช่วงชิงพื้นที่มาในเวลาที่เหมาะสม
ดวงดาวหรือตาน้อย อันที่จริงทั้งสองอย่างนี้ล้วนสอดคล้องกับคำกล่าวที่ว่ามุมทองขอบเงินหนังท้องหญ้า (หมายถึงตำแหน่งที่วางเม็ดหมากบนกระดานไม่เหมือนกัน ประสิทธิผลที่ได้ย่อมไม่เหมือนกัน หมากจะล้อมบนมุมมากที่สุด ตรงริมขอบรองลงมา พื้นที่ใจกลางล้อมได้ยากที่สุด) สิ่งที่นักเล่นหมากล้อมต้องการในท้ายที่สุดล้วนเป็นการเข้าสู่ใจกลางช่วงชิงพื้นที่หน้าตรงกว้างขวางหลังจากได้วางหมากก่อน
ส่วนหลูอิงผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของอารามจินติ่งนั้นถือว่าเป็นการรื้อมุมสูงที่เฉินผิงอันเดินหมากไปตามวาสนา แล้วถือโอกาสนำมาให้ข้าใช้งาน ตามหลักของการเล่นหมากล้อมทั่วไป นี่เรียกได้ว่าพบเจอกันบนทางแคบ กองกำลังปะทะกันในช่วงเวลาสั้นๆ จิตสังหารเอ่อท้น เพียงแต่ว่าเฉินผิงอันใช้วิธีนี้อย่างหลบซ่อน ดังนั้นเฉินผิงอันจึงมีเพียงข้อเรียกร้องเดียวต่อหลูอิง ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น รอให้ถึงเวลาที่ต้องการเมื่อไหร่ เขาก็จะไปหาหลูอิงเอง ขอแค่ตัวหลูอิงไม่เสียสติรนหาที่ตายเอง เฉินผิงอันก็สามารถให้อีกฝ่ายมีชีวิตอยู่รอดบนกระดานหมากได้
แต่กับสกุลเหยาต้าเฉวียน ในอนาคตเรื่องที่ภูเขาลั่วพั่วจะเลือกที่ตั้งอยู่ในใบถงทวีป ในบางระดับกลับจำเป็นต้องให้เฉินผิงอันทำการตัดแบ่งและกำหนดขอบเขตให้แน่ชัด มีเพียงเหยาเซียนจือที่อยู่ข้างกายเท่านั้นที่เป็นข้อยกเว้น
ส่วนเรื่องอื่นๆ มิตรภาพส่วนมิตรภาพ สหายส่วนสหาย ผลประโยชน์เป็นเรื่องของผลประโยชน์ การค้าขายก็คือการค้าขาย มิตรภาพบางอย่างอันที่จริงก็สามารถนำมาทำการค้าได้ดี ถึงขั้นที่ว่ายังทำให้ความสัมพันธ์ดีขึ้นด้วยซ้ำ แต่เฉินผิงอันกลับหวังให้มิตรภาพระหว่างเขากับสกุลเหยาต้าเฉวียนบริสุทธิ์สักหน่อย แน่นอนว่าหากเหยาเซียนจือเป็นฮ่องเต้ของต้าเฉวียน ไม่ใช่สตรีอย่างเหยาจิ้นจือ หรือต่อให้เป็นเหยาหลิ่งจือ นั่นก็คนละเรื่องกันแล้ว ปีนั้นเฉินผิงอันมึนๆ งงๆ ไม่รู้ประสา ไม่รู้ถึงความร้ายกาจของเหยาจิ้นจือ อันที่จริงภายหลังที่ได้ท่องยุทธภพไกลกว่าเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งยามอยู่บนโต๊ะสุราของกำแพงเมืองปราณกระบี่ เมื่อเถ้าแก่รองดื่มเหล้าไปมากพอ ยิ่งคิดมากเท่าไรเขาก็ยิ่งหวาดผวาในภายหลังมากเท่านั้น
เฉินผิงอันยื่นฝ่ามือออกมาปาดหนึ่งที คล้ายผลักให้สถานการณ์หมากบนกระดานกระจายออก ลังเลไปชั่วขณะหนึ่งก็เอ่ยว่า “เซียนจือ หลิวฉงกับหลิวเม่า ข้าสามารถพบใครได้?”
เหยาเซียนจือกล่าว “หลิวฉงไม่อาจพบ ไม่มีคำอนุญาตจากฮ่องเต้ พี่สาวข้าก็ไม่สามารถไปที่คุกน้ำแห่งนั้นได้ แต่นักพรตหลงโจวผู้นั้น มีข้านำทางให้ สามารถไปพบเจอได้ตามใจ”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นรออีกเดี๋ยวพวกเราไปพบองค์ชายสามที่ตั้งใจฝึกตนเป็นเทพเซียนกัน”
เหยาเซียนจือแกว่งกาเหล้า “ไปตอนนี้เลยหรือ?”
เฉินผิงอันมองสีท้องฟ้า “รอให้มืดก่อนค่อยว่ากัน”
เหยาเซียนจือถามอย่างใคร่รู้ “เป็นข้อพิถีพิถันบนภูเขา?”
เฉินผิงอันเอ่ยเสียงขุ่น “เดินทางยามค่ำคืนง่ายจะพบเจอผี ถือว่าเป็นข้อพิถีพิถันด้วยหรือไม่?”
เหยาเซียนจือยกกาเหล้าขึ้น
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เริ่มเดินนิ่งหกก้าว
อันที่จริงเฉินผิงอันไม่ได้ผ่อนคลายอย่างที่แสดงออกภายนอกเลยสักนิด
เขากังวลว่าหลังความฝันที่สามที่ถ้ำแห่งโชควาสนาของตน นี่จะเป็นสถานการณ์ถามใจของ ‘ฝันครั้งแรก’ หลังจากตนตื่นขึ้นมา แต่ตนกลับมาอยู่ในสถานการณ์โดยที่ไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย และสกุลเหยาต้าเฉวียนก็คือกุญแจสำคัญ
ยกตัวอย่างเช่นผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดก็คือ ชุยฉานเคยได้สัมผัสกับเฝ่ยหรานมือกระบี่จริง ฝ่ายเฝ่ยหรานก็ได้ทิ้งแผนการซุ่มโจมตีและทางหนีทีไล่เอาไว้ในนครเซิ่นจิ่ง แบบนั้นจะยิ่งเป็นปัญหายุ่งยาก ยิ่งไม่อาจคลี่คลายได้มากกว่าเดิม
หรือยกตัวอย่างว่าเหยาจิ้นจือฮ่องเต้หญิงแห่งต้าเฉวียนเคยสัมผัสกับเฝ่ยหรานเป็นการส่วนตัวมาก่อน ถึงขั้นที่ว่าเคยลงนามทำสัญญากันอย่างลับๆ ซึ่งกระโจมทัพบางแห่งได้ทำการบันทึกเอาไว้
ถ้าเช่นนั้นการที่ทุกวันนี้ราชวงศ์ต้าเฉวียนและสกุลเหยามีชื่อเสียงเลื่องลือ ก็จะกลายมาเป็นชื่อเสียงฉาวโฉ่ของลูกศิษย์คนสุดท้ายสายเหวินเซิ่งในอนาคต ต่อให้มีร้อยปากก็ยากจะแก้ตัว
เกาซื่อเจินเซินกั๋วกง อ๋องเจ้าเมืองสองท่าน หรือไม่ก็ ‘ยอดฝีมือที่ซ่อนตัว’ คนใดคนหนึ่งซึ่งจนถึงตอนนี้ก็ยังซุ่มจำศีลอยู่ ล้วนอาจกลายเป็นตัวแปรอย่างใดอย่างหนึ่ง เปลี่ยนมาเป็นตัวแปรของเฉินผิงอัน จากนั้นค่อยถูกใจคนแปรสภาพให้เป็นตัวแปรของตลอดทั้งสายเหวินเซิ่ง
หากชุยฉานเลือกจะประลองฝีมือหมากล้อมกับใคร มีเรื่องอะไรบ้างที่เขาทำไม่ได้? คำว่าปกป้องมรรคา ช่วยขัดเกลาจิตแห่งมรรคาของชุยฉาน ใครเล่าจะยินดีแบกรับไว้ถึงสองรอบ?
หากพูดอย่างชุยฉาน ก็คงจะเอ่ยประมาณว่า แม้แต่ระดับของการถามใจเล็กน้อยแค่นี้ สถานการณ์หมากที่ไม่ถือว่าซับซ้อนแค่นี้ก็ยังผ่านไปไม่ได้ หาทางออกไม่ได้หรือ? เจ้าเฉินผิงอันเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของสายเหวินเซิ่งได้อย่างไร?
มารดามันเถอะ ซิ่วหู่ทำไมเจ้าไม่ถามใจตัวเองดูบ้างว่าในใต้หล้านี้มีใครเขาเป็นศิษย์พี่ใหญ่อย่างเจ้าบ้างไหม?
การทุ่มเทของอาจารย์ ผสานมรรคากับขุนเขาสายน้ำสามทวีป
การวางแผนของศิษย์พี่ชุยฉาน ช่วยค้ำผืนฟ้าที่กำลังจะถล่มลงมาให้แก่ไพศาล
การออกกระบี่ของศิษย์พี่จั่วโย่ว หนึ่งแสงกระบี่เยียบเย็นไปทั้งใต้หล้า
ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ เฉินผิงอันที่เป็นศิษย์น้องเล็กผู้ซึ่ง ‘ไม่มีเรื่องอะไรให้ทำมากที่สุด’ หลังจากที่เขาปรากฎตัวในใต้หล้าไพศาลยามที่วิถีทางโลกสงบสุข ร่มเงาเย็นสบายของสายบุ๋นที่ได้ดื่มด่ำมาเพิ่มเติมทั้งหมด จะต้องกลายเป็นว่าเพราะความไม่ระวังของเฉินผิงอันคนเดียว เดือดร้อนให้ตลอดทั้งสายบุ๋นจมดิ่งลงไปในบ่อโคลนอีกครั้ง ต่อให้ทางฝั่งศาลบุ๋นจะไม่มีความกังขาใดๆ ทว่าทั้งบนและล่างภูเขากลับจะเต็มไปด้วยความคลางแคลงใจ มีแต่จะแต่งบันทึกขุนเขาสายน้ำที่เนื้อหาเท็จเก้าส่วนจริงหนึ่งส่วนขึ้นมาส่งเดชเพิ่มอีกเล่ม เฉินผิงอันที่ชอบรักหยกถนอมบุปผา ผู้เชี่ยวชาญการสร้างชื่อเสียงจอมปลอม มีแต่จะยิ่งทนมองมิได้
เฉินผิงอันไม่มีทางยอมให้ตัวเองกลายเป็นเงาดำใต้โคมไฟอีกเด็ดขาด
อันที่จริงการเปลี่ยนแปลงทางสภาพจิตใจอันน้อยนิดของเหยาหลิ่งจือ เฉินผิงอันล้วนเห็นอยู่ในสายตา ก็แค่ไม่ได้เปิดโปงต่อหน้าเท่านั้น
ดังนั้นเรื่องที่เหยาหลิ่งจือส่งกระบี่บินแจ้งข่าวไปยังชายแดนทิศใต้ ต้องไม่เรียบง่ายอย่างแน่นอน
และการที่เฉินผิงอันไม่ได้ขัดขวางไม่ให้เหนียงเนียงเทพวารีลำคลองม่ายเหอเปิดเผยสถานะสายเหวินเซิ่งของตน อันที่จริงก็เป็นการหยั่งเชิงอย่างหนึ่ง
เหยาหลิ่งจือกลับยิ่งกังวลมากกว่าเดิม แม้นางจะเก็บซ่อนเอาไว้ แต่กลับซ่อนไว้ไม่ดีพอ นี่หมายความว่าอะไร หมายความว่าเหยาหลิ่งจือ หรือแม้กระทั่งเหยาจิ้นจือ มีความลับในใจ เป็นความลับที่ใหญ่ยิ่งกว่าสถานะใหม่ล่าสุดของเฉินผิงอันที่เป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของสายเหวินเซิ่ง
การถามใจของชุยฉานทำให้เฉินผิงอันตกอยู่ในความสิ้นหวังอับจนหนทาง แต่กลับไม่ทำให้เฉินผิงอันต้องตกอยู่ในสถานการณ์ตายจริงๆ
ดังนั้นการเดินทางมายังใบถงทวีปจึงมีเจียงซ่างเจินและภูเขาไท่ผิงข้าเป็นผู้ฝึกตนที่แท้จริง
หากเฉินผิงอันมาถึงใบถงทวีปแล้ว แต่ยังคงไม่ถามไม่ไถ่ ข้ามผ่านภูเขาไท่ผิง จวนจินหวง ตำหนักปี้โหยวลำคลองม่ายเหอและนครเซิ่นจิ่งไปโดยตรง
ถ้าเช่นนั้นหันเจี้ยงซู่แห่งสำนักว่านเหยา หันอวี้ซู่เซียนเหริน การดึงเอาปรากฎการณ์ฟ้ามาสร้างค่ายกลขุนเขาสายน้ำของอารามจินติ่ง เหนียงเนียงเทพวารีลำคลองม่ายเหอ แม่ทัพผู้เฒ่าเหยา หลูอิง เหยาหลิ่งจือ เขาล้วนจะพลาดทุกคนไป
เฉินผิงอันเดินนิ่งพลางแบ่งสมาธิส่วนหนึ่งมาคิดเรื่องในใจ แล้วยังบ่นพึมพำไปด้วยว่า “หมื่นสรรพสิ่งสามารถหล่อหลอมได้ หมื่นเรื่องราวสามารถคลี่คลายได้”
เหยาเซียนจือมองอาจารย์เฉินที่ฝึกวิชาหมัดแล้วก็รู้สึกว่าอาจารย์เฉินที่สง่างามดุจต้นไม้หยกรับลมเช่นนี้ ไม่มาเป็นพี่เขยของตนก็ช่างน่าเสียดายจริงๆ
……
ราชวงศ์ต้าเฉวียน เกาซื่อเจินเซินกั๋วกงที่ลำดับศักดิ์สูงที่สุด ทุกวันนี้แก่เฒ่าจนเดินเหินไม่ค่อยสะดวกแล้ว
ไปเยือนอารามเล็กมารอบหนึ่ง จากนั้นรถม้าก็ขับเคลื่อนออกจากนครเซิ่นจิ่ง มุ่งหน้าไปยังวัดเทียนกงที่อยู่นอกเมือง
ยามสนธยา เมฆดำมารวมตัวหนาทึบ รถม้าขับมาถึงนอกประตูภูเขาของวัดโบราณ มีลางว่าฝนจะตก
ผู้ดูแลเฒ่ารับหน้าที่เป็นสารถี สะพายร่มกระดาษน้ำมันคันหนึ่งไว้เอียงๆ บนหลัง ประคองกั๋วกงผู้เฒ่าลงจากรถม้า
หลายปีมานี้ทุกๆ ช่วงเวลาสามสี่เดือน ท่านกั๋วกงจะมาคัดคัมภีร์ ฟังภิกษุสมณศักดิ์สูงบรรยายพระธรรมคำสอนที่นี่
ตอนที่เหยาจิ้นจือยังเป็นฮองเฮา ก็เคยมาขอฝนที่นี่
ส่วนพ่อบ้านผู้เฒ่าของจวนกั๋วกงคนนี้ มีนามว่าเผยเหวินเยว่ เคยเป็นอาจารย์สอนวิชาหมัดให้กับเกาซู่อี้ หากดูตามรายงานของสายลับต้าเฉวียน เขาก็คือผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองที่อำพรางตัวอย่างลึกล้ำคนหนึ่ง
ตลอดทางไม่มีภิกษุมารับรอง เพราะนี่คือกฎที่กั๋วกงผู้เฒ่าท่านนี้ตั้งไว้ เข้าวัดมาจุดธูปคัดคัมภีร์ เขาเป็นเพียงแค่ผู้มีจิตศรัทธาคนหนึ่งเท่านั้น
เกาซื่อเจินเดินกะย่องกะแย่ง ยิ้มถามว่า “สรุปแล้วเป็นความจริงใจของนางที่ศักดิ์สิทธิ์ หรือเป็นเพราะอดีตฮ่องเต้จงใจกันแน่ ถึงได้ทำให้นางหาข้ออ้างออกมาผ่อนคลายอารมณ์ข้างนอกได้สะดวก?”
พ่อบ้านเฒ่าเอ่ย “ทั้งสองอย่างกระมัง”
เกาซื่อเจินยื่นนิ้วออกมาชี้หน้าพ่อบ้านเฒ่า “เหล่าเผยเอ๋ย รู้จักเจ้ามานานหลายปีแล้ว ข้าเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าดูเหมือนเจ้าไม่เคยทำเรื่องผิดพลาดหรือเอ่ยคำพูดผิดพลาดอะไรเลย เจ้าทำได้อย่างไร?”
ผู้ดูแลวัยชราเอ่ย “ทำน้อยพูดน้อย ทำแค่เรื่องที่จำเป็นต้องทำ พูดแค่เรื่องที่ควรจะพูด”
กั๋วกงผู้เฒ่าเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “ปีนั้นหากฟังคำเกลี้ยกล่อมจากเจ้า ไม่ปล่อยให้เขาออกจากบ้านไปคนเดียวแต่เนิ่นๆ หรือไม่ก็ให้เจ้าแอบตามเขาไป จะดีกว่านี้หรือไม่นะ”
พ่อบ้านเฒ่าไม่ได้ตอบคำถามนี้
ผู้เฒ่าสองคนเข้าพักในห้องทำสมาธิห้องหนึ่ง สีท้องฟ้ามืดสลัว พ่อบ้านผู้เฒ่าจุดตะเกียง ฝนหมึกเตรียมกระดาษ
วันนี้ข้อมือของเกาซื่อเจินสั่นสะท้าน เขียนอักษรคำว่าป่วยตัวใหญ่ๆ ลงบนกระดาษ
ป่วย (病) ทำไมถึงมีอักษรตัวปิ่ง (丙) ปิ่ง ใจ ใจมากคิดมากก็ป่วยง่าย
เกาซื่อเจินมองตัวอักษรใหญ่ตัวนั้น เอ่ยว่า “เจ้าเคยพูดว่า คนผู้หนึ่งต่อให้มีความโชคดีมากแค่ไหนก็สู้ความโชคดีที่มาช้า (เปรียบเปรยถึงคนที่โชคดีในช่วงบั้นปลาย หมายถึงช่วงอายุหกสิบปีขึ้นไป) ไม่ได้ แม่ทัพผู้เฒ่าเหยาที่ล้มหมอนนอนเสื่อป่วยมานานหลายปีแต่ดันไม่ตายผู้นั้น ก็คือคนที่โชคดีมาช้า เป็นโชคดีที่ใหญ่เทียมฟ้า”
ผู้ดูแลเฒ่าตอบไม่ตรงคำถาม เขาหันหน้ามองไปนอกหน้าต่าง เอ่ยเสียงเบาว่า “นายท่าน ฝนตกแล้ว”
เกาซื่อเจินหัวเราะ “เทียบกับเบื้องบนไม่มากพอ เทียบกับเบื้องล่างกลับเหลือเฟือ เมื่อเทียบกับอ๋องเจ้าเมืองสองคนนั้นแล้ว ข้าถือว่าเป็นคนที่โชคดีในช่วงบั้นปลายแล้ว ขอแค่หลับตาข้างหนึ่งก็จะมีสมัญญานามอันไพเราะส่งมาที่หน้าประตูบ้านทันที”
คนหนึ่งคือหลิวฉงที่ไม่ว่าร้องขออะไรก็ล้วนขาดอีกแค่ครึ่งก้าวก็จะได้มาครอง อีกคนหนึ่งคือหลิวเม่าที่บอกแก่ภายนอกด้วยถ้อยคำไพเราะว่าสงบใจฝึกตนมานานถึงยี่สิบปีเต็ม
เกาซื่อเจินวางพู่กันจีจวี้ที่เพิ่งจะจุ่มหมึกจนชุ่มลง หันหน้าไปมองนอกหน้าต่าง
นอกห้องแขวนโคมไฟไว้สองดวง ฝนกระหน่ำที่มาเยือนกะทันหัน เม็ดฝนใหญ่เท่าเมล็ดถั่วเหลือง ตกกระทบจนโคมไฟโยกไหวอย่างแรง ราวกับคนน่าสงสารสองคนที่ไม่อาจเข้ามาหลบฝนในห้อง ยามค่ำคืนไม่อาจนอนหลับ จึงได้แต่บ่นให้กันและกันฟังอยู่ตรงนั้น
เกาซื่อเจินเอ่ยเบาๆ ว่า “ข้าเองก็เคยเป็นคนที่กังวลว่าฝนและหิมะจะตกแรงเกินไปหรือไม่ ไม่ใช่ลูกหลานตระกูลร่ำรวยที่เอาแต่จะชื่นชมทัศนียภาพ จำได้ว่าตอนที่ซู่อี้เพิ่งจะรู้ความ ข้าเล่นปาหิมะกับลูกชายเสร็จก็บอกเขาว่า ดินแดนเซียนแก้วใสอย่างนครเซิ่นจิ่งเรานี้ เป็นเพียงแค่วัตถุในสายตาของคนรวยอย่างพวกเราเท่านั้น ฟ้าดินเหน็บหนาว อาการเยียบเย็นสวมเสื้อผ้าบางเบา แท้จริงแล้วคนจนกลับต้องทุกข์ทรมานอย่างมาก”
พ่อบ้านผู้เฒ่าลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพูดตรงๆ อย่างไม่หวั่นเกรง “หลักการข้อหนึ่งหากไม่อธิบายให้กระจ่างก็เท่ากับไม่ได้อธิบาย ถึงขั้นที่ว่าไม่สู้ไม่ต้องพูดถึงเลยจะดีกว่า”
เกาซื่อเจินเงียบไปนาน ก่อนจะพยักหน้ารับ “นั่นสิ”
สายฝนนอกหน้าต่างเทกระหน่ำปานฟ้ารั่ว
“ผู้แข็งแกร่งเชี่ยวชาญการยอมรับ คนอ่อนแอชอบปฏิเสธ”
เกาซื่อเจินหัวเราะ “เหล่าเผย แต่ไหนแต่ไรมาเจ้าถนอมถ้อยคำดุจทองคำ ประโยคนี้ของเจ้ากลับเป็นประโยคที่เจ้าไม่ได้พูดแค่ครั้งเดียวอย่างที่หาได้ยาก เจ้าเคยพูดกับข้าแล้ว แล้วก็เคยพูดกับซู่อี้ ถ้าอย่างนั้นแรกเริ่มสุด ใครเป็นคนพูดกันล่ะ?”
พ่อบ้านวัยชรานั่งอยู่บนเก้าอี้ด้านข้างเงียบๆ เอ่ยตอบว่า “ที่บ้านเกิดมีสหายต่างวัยอยู่คนหนึ่ง เขาเป็นมือกระบี่ที่ไม่เคยชอบพูดถึงเหตุผลสักเท่าไร มีบางครั้งที่ดื่มหนักถึงจะพูดจาจริงจังอย่างที่หาฟังได้ยากสองสามประโยค ดังนั้นจึงทำให้คนจดจำได้ค่อนข้างชัดเจน”
“สหายต่างวัย? ใครอายุมากกว่ากันแน่?”
ระหว่างที่พ่อบ้านเฒ่าพูดจายังคงไม่ลืมภาระหน้าที่ของตัวเอง เขาลุกขึ้นยืน ใช้สองนิ้วตัดไส้ตะเกียง แล้วดึงไส้ตะเกียงขึ้นเล็กน้อย ตัดไส้ตะเกียงที่เผาไหม้จนสิ้นทิ้งไปแล้ว แสงไฟจึงสว่างไสวมากกว่าเดิม ทำทุกอย่างนี้เสร็จถึงได้ตอบเนิบช้าว่า “ข้า”
……
นครเซิ่นจิ่งในค่ำคืนนี้ บนถนนใหญ่สว่างไสวด้วยแสงไฟจากโคมไฟ ผู้คนสัญจรไปมาเหมือนยามกลางวัน สะพานข้ามแม่น้ำ น้ำใส ท้องฟ้าสีคราม แสงตะเกียงจำนวนนับไม่ถ้วนสาดสะท้อนอยู่บนผิวน้ำ ราวกับดวงดาวดารดาษที่โผล่ออกมาจากความว่างเปล่า
เฉินผิงอันตามเหยาเซียนจือไปยังอารามเต๋าขนาดเล็ก เดินช้าๆ เลียบถนนที่ติดริมน้ำ เฉินผิงอันเหม่อมองแสงไฟในน้ำพวกนั้น แล้วจึงเงยหน้ามองไปทางทิศเหนืออีกครั้ง ได้ยินมาว่านภากาศยามค่ำคืนของภาคกลางแจกันสมบัติทวีปก็เคยสว่างไสวเหมือนยามกลางวันอยู่ตลอดทั้งปี
——