กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 760.3 ส่งกระบี่รับกระบี่และถามกระบี่
เฉินผิงอันโยนเหล้ากาหนึ่งไปให้เหยาเซียนจือ ยิ้มเอ่ย “ใต้เท้าเจ้าเมืองช่วยไปเก็บเสื้อผ้าที่ตากอยู่บนราวไม้ไผ่ในลานเรือนให้เจ้าอารามที ชุดคลุมเต๋าของเจ้าอารามกับเสื้อผ้าของลูกศิษย์ทั้งสองอยู่ห่างกันค่อนข้างไกล คาดว่าคงเป็นกฎที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรของอารามหวงฮวากระมัง ดังนั้นตอนที่พับไว้บนโต๊ะของห้องหลัก จำไว้ว่าต้องแยกเสื้อผ้าทั้งสามชุดออกจากกัน ดูเหมือนว่าห้องหลักจะลงกลอนประตูไว้ ขอกุญแจไปจากเจ้าอารามก่อน จากนั้นเจ้าก็ไปรอข้าอยู่ที่นั่น ข้าจะคุยกับเจ้าอารามอีกสักพัก”
เหยาเซียนจือรับกุญแจพวงหนึ่งมาจากมือของหลิวเม่า แล้วจึงเดินกะเผลกออกไปจากห้อง พลางพึมพำไปด้วยว่า “ทางฝั่งของวัดเทียนกง คาดว่าคงฝนตกแล้ว”
หลิวเม่ายิ้มพลางส่ายหน้า
ใต้เท้าเจ้าเมืองผู้นี้ยังคงอ่อนหัดเกินไป เป็นการวาดงูเติมขาเสียแล้ว
เรื่องที่เกาซื่อเจินเซินกั๋วกงมาเยี่ยมเยือนอารามเต๋า ไม่มีค่าพอที่จะเอามาพูดกันในคืนนี้เลย
แรงกดดันที่มอบให้หลิวเม่าซึ่งมาจากประโยคยิบย่อยที่เฉินผิงอันบอกว่าให้พับผ้า ประตูลงกลอนให้ยืมกุญแจไปเหล่านั้น พลันหายวับไปทันที
ความหวาดกลัวของเหยาเซียนจือ อันที่จริงก็แค่กำลังบอกเตือนนักพรตหลงโจวผู้นี้ว่า ต้าเฉวียนมีเหยาจิ้นจือที่โชคดีอย่างมากเพียงแค่คนเดียวจริงๆ แล้วก็มีเซียนกระบี่ที่เดินทางผ่านมาอีกครั้ง เปลี่ยนจากเด็กหนุ่มเป็นชายหนุ่มอยู่แค่คนเดียวเท่านั้น
เฉินผิงอันยิ้มถาม “เจ้าอารามรู้สึกว่าเจ้าเมืองเหยาน่าตลกมากหรือ? รู้สึกว่าให้เหยาเซียนจือที่เป็นใต้เท้าเจ้าเมืองแขนด้วนขาเป๋ตลกมาก หรือรู้สึกว่าเหยาเซียนจือรอดชีวิตมาจากสนามรบได้ แท้จริงแล้วไม่สู้ช่วยเติมตำแหน่งป้ายวิญญาณให้กับศาลบรรพจารย์ตระกูลเหยาแต่เนิ่นๆ จะดีกว่า นี่ต่างหากที่น่าตลกมากกว่า?”
เส้นเอ็นหัวใจของหลิวเม่าขมวดตึงขึ้นมาอีกครั้ง
นาทีถัดมาหลิวเม่าก็ราวกับทะยานเมฆขี่หมอก ไหล่ทั้งสองข้างพลันหนักอึ้ง ลมปราณติดขัด ปราณวิญญาณของทั้งร่างหนักเหมือนขุนเขา คนทั้งคนไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่ามานั่งอยู่บนเก้าอี้ได้อย่างไร
เฉินผิงอันโบกชายแขนเสื้อหนึ่งที กระบอกใส่พู่กันที่ว่างเปล่าใบหนึ่งบนโต๊ะพุ่งเข้าหาหลิวเม่า หลิวเม่ารับเอาไว้เบาๆ กระบอกพู่กันที่ทำจากไผ่เหลืองแกะสลักภาพนูนของยอดฝีมือผู้สูงส่งหลบเร้นกายอยู่ในป่าต้นสนโบราณ เป็นของเก่าแก่ในวังชิ้นหนึ่ง
เฉินผิงอันเดินไปทางชั้นวางหนังสือ “จำได้ว่าดูเหมือนเดือนหนึ่งของทุกปี จักรพรรดิผู้ครองแคว้นทุกแคว้นจะต้องใช้พู่กันทองฝังหยกด้ามหนึ่งมาแกะผนึกจดหมาย เพื่อเป็นการบอกลาปีเก่าต้อนรับปีใหม่ กระบอกไม้ไผ่ที่ว่างเปล่าใบนี้ขาดอะไรไปหรือเปล่า?”
หลิวเม่าเอ่ยด้วยสีหน้าเฉยชา “อยากลงโทษหรือเล่นงานใคร ย่อมต้องมีข้ออ้างได้เสมอ เซียนกระบี่เฉิน แค่พอประมาณก็พอแล้วกระมัง ในเมื่อสถานการณ์ของทุกวันนี้อยู่ที่เจ้าไม่อยู่ที่ข้า จะฆ่าจะแกงเช่นไรก็ตามใจเถิด”
หลิวเม่ามือหนึ่งถือประคองแส้ปัดฝุ่น อีกมือหนึ่งถือกระบอกพู่กันเอาไว้ หัวเราะเสียงเย็นเอ่ยว่า “ฝึกมรรคกถา ต่อให้จะยังไม่เดินเข้าสู่ห้องโถงสำเร็จวิชาขั้นต้น แต่กลับเป็นเรื่องดี จิตใจนิ่งสงบดุจผืนน้ำ หากเซียนกระบี่เฉินมาเยือนอารามหวงฮวาวันนี้ก็เพื่อการฆ่าฟัน หมายสยบจิตใจคน ก็เชิญออกกระบี่ได้ตามสบาย ให้ผินเต้าได้ลิ้มรสมาดของเซียนกระบี่อีกครั้ง จะได้เอาไปโอ้อวดกับลูกศิษย์ทั้งสองว่าอาจารย์ตบะธรรมดา ขอบเขตไม่สูง แต่กลับเคยได้ประลองวิชากับเซียนกระบี่ท่านหนึ่ง แน่นอนว่าเงื่อนไขก็คือเซียนกระบี่เฉินยั้งมือไว้ไมตรี เพียงแค่ฟันไม่ถึงกับฆ่าแกง”
เฉินผิงอันกวาดตามองไปรอบด้าน จากตะเกียงดวงหนึ่งที่อยู่บนโต๊ะก่อนหน้านี้ คัมภีร์สองเล่ม ไปจนถึงข้าวของต่างๆ ซึ่งมีกระถางดอกชางผู่เป็นหนึ่งในนั้น แต่ก็ยังมองความลี้ลับใดๆ ไม่ออก เฉินผิงอันยกชายแขนเสื้อข้างหนึ่งขึ้น บนโต๊ะ ไส้ตะเกียงท่อนหนึ่งถูกดึงออกมาช้าๆ สะเก็ดไฟแตกกระจายไปสี่ทิศ แต่กลับไม่ล่องลอยห่างออกไป ราวกับกลายมาเป็นโคมไฟดวงหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะ
คัมภีร์ลัทธิเต๋าสองเล่มลอยขึ้นมา หน้าหนังสือแต่ละหน้าถูกพลิกเปิดอย่างเชื่องช้า ปราณวิญญาณของฟ้าดินโดยรอบอารามเต๋าแห่งนี้มารวมตัวกัน เข้มข้นราวกับน้ำ ริ้วคลื่นแผ่กระเพื่อมเป็นระลอก พัดผ่านผนังและพื้นดินไปช้าๆ
ระหว่างที่เฉินผิงอันเดินเล่นอยู่ในห้อง คัมภีร์หวงถิงและคัมภีร์หลิงเฟย คัมภีร์ทั้งสองเล่มล้วนมาลอยอยู่ตรงหน้า หนึ่งซ้ายหนึ่งขวา หน้าหนังสือเปิดออกด้วยตัวเอง
หลิวเม่าทอดถอนใจพูดเสียงเบา “เซียนกระบี่เฉินระแวงผีสงสัยเทพเช่นนี้ มิน่าเล่าถึงกลายเป็นเซียนกระบี่ตั้งแต่ยังหนุ่มแน่นเช่นนี้ได้”
เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เดินไปทางชั้นวางหนังสือ หนังสือทุกเล่มพากันเอียงมาด้านนอกชั้นวาง หน้าหนังสือสะบัดเปิดดังพึ่บพั่บ เสียงเปิดหน้าหนังสือดังกังวานอยู่ในห้อง ประหนึ่งเสียงน้ำจากลำธารที่ไหลริน
เฉินผิงอันใช้สองนิ้วประกบกันแล้วปาดไปบนคัมภีร์สองเล่มที่เปิดจากหน้าแรกจนถึงหน้าสุดท้ายครบถ้วนแล้วเบาๆ หนังสือทั้งสองจึงลอยกลับไปที่โต๊ะหนังสือแล้วร่วงลงช้าๆ อีกครั้ง เขายิ้มเอ่ยว่า “บนชั้นมีหนังสือร่ำรวยจริง ในใจไร้เรื่องราวก็คือเทพเซียน ร่ำรวยคือความจริง หนังสือที่เก็บไว้บนชั้นนี้ไม่ใช่ว่าเงินเกล็ดหิมะแค่ไม่กี่เหรียญจะซื้อหามาได้ ส่วนเทพเซียนนั้นช่างเถิด อย่างมากข้าก็แค่ระแวงผีสงสัยเทพเท่านั้น แต่องค์ชายกลับมีผีอยู่ในใจแน่นอน…หนังสือเล่มนี้พบเห็นได้ยาก แต่กลับเป็นถึงฉบับจัดพิมพ์ครั้งแรกของทางการที่ได้รับอนุญาตจากศาลบุ๋นด้วย? เจ้าอารามให้ข้ายืมอ่านสักหน่อยสิ”
เฉินผิงอันเก็บ ‘ภาพปรากฎการณ์ฟ้าเรียงดวงดาว’ ใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ ตำราที่เกี่ยวข้องกับปรากฎการณ์ฟ้าชัยภูมิดินล้วนถูกที่ว่าการของราชสำนักสั่งห้าม พวกชาวบ้านไม่อาจเก็บไว้เป็นการส่วนตัวได้
เฉินผิงอันเดินมาหยุดอยู่หน้าชั้นวางหนังสือ ในห้องไม่มีลมเย็น ทว่าหนังสือที่ทางอารามเก็บสะสมไว้กลับยังพลิกเปิดหน้าไปอย่างว่องไว เฉินผิงอันพลันใช้สองนิ้วคีบหนังสือโบราณเล่มหนึ่ง หยุดการเปิดหน้าของมัน คือตำราโบราณฉบับสมบูรณ์ชุดหนึ่งที่ไม่แพร่หลายในล่างภูเขามากนัก ต่อให้จะเป็นหอหนังสือของตระกูลเซียนบนภูเขา อย่างมากสุดก็ได้แต่มีจุดจบที่ต้องกินฝุ่นเท่านั้น
เพราะ ‘เหอกวานจื่อ’ ฉบับสมบูรณ์ชุดนี้ ‘ถ้อยคำที่ใช้สูงส่งยอดเยี่ยม’ แต่กลับ ‘กว้างใหญ่ไร้ประโยชน์’ ความรู้ที่บรรยายอยู่ในหนังสือสูงเกินไป ลึกล้ำยากจะทำความเข้าใจ แล้วก็ไม่ใช่วิชาหลอมลมปราณที่มีหลักฐานอ้างอิงอะไรด้วย ดังนั้นจึงกลายมาเป็นตำราที่นักสะสมหนังสือยุคหลังเก็บสะสมเอาไว้ประดับหน้าตาบารมีเท่านั้น ส่วนเรื่องที่ว่าตำราลัทธิเต๋าเล่มนี้จะเป็นของจริงหรือของปลอม รองเจ้าลัทธิศาลบุ๋นสองท่านฝ่ายในของลัทธิขงจื๊อยังเคยเถียงกันด้วยเรื่องนี้ แล้วยังเป็นการเถียงแบบที่ต้องเขียนจดหมายตอบโต้กันไปมาบ่อยๆ ทำสงครามกันผ่านหน้ากระดาษ ทว่าคนรุ่นหลังส่วนใหญ่ยังคงมองมันเป็นหนังสือปลอมที่สวมชื่อเอาเท่านั้น
หลิวเม่าชำเลืองตามองความเคลื่อนไหวของทางฝั่งนั้นแล้วถอนหายใจเอ่ยเสียงเบา “ร้องไห้คร่ำครวญ เบิกบานช่วยเหลือ เรื่องเล่าประหลาดหยุดยั้ง”
เฉินผิงอันหลุดหัวเราะพรืด “ก็สอนวิชาการปกครองให้กับเหล่าเจ้าแผ่นดินอย่างพวกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือ? ทำไมองค์ชายสามถึงไม่ตั้งใจเรียนเล่า? ดังนั้นถึงได้บอกอย่างไรล่ะว่าคนมีเงินอ่านหนังสือมากไปก็ไม่ดี ยิ่งเข้าใจหลักการเหตุผลมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้หลักการเหตุผลน้อยลงเท่านั้น”
เฉินผิงอันพลันเงียบเสียงไป ตรงชั้นหนังสือนี้มีตำราอีกหลายเล่มวางติดกันได้แก่ ‘คัมภีร์คำนวณเกาะกลางทะเล’ ‘วิชาคำนวณซี่ฉ่าว’ ‘ตำราคณิตเก้าบท’ …
ตำราเหล่านี้ถูกเปิดอ่านครบหมดแล้ว เป็นตำราประเภทที่มีคำอรรถาธิบายอยู่เยอะที่สุด เฉินผิงอันคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าหลิวเม่าจะหลงใหลในศาสตร์ของการคำนวณเช่นนี้ เมื่อครู่เหลือบตามองไปเห็นภาพในบางจุดก็เต็มไปด้วยตัวเลข ทำเอาเฉินผิงอันมึนงงไปหมด เหมือนกับกำลังอ่านตำราสวรรค์อยู่อย่างไรอย่างนั้น เห็นได้ชัดว่าความเชี่ยวชาญของหลิวเม่าไม่ตื้นเขิน สูงกว่าความสามารถในการฝ่าทะลุขอบเขตในการฝึกตนมากนัก
หลิวเม่าเอ่ย “หนังสือพวกนั้นไม่ให้ยืม หากเอาไปจะถือว่าเจ้าแย่งชิงไป ถ้าอย่างนั้นก็ยิ่งไม่ต้องคืนแล้ว”
เฉินผิงอันยกชายแขนเสื้อขึ้น หนังสือคำนวณห้าหกเล่มล้วนหล่นมาอยู่ในกระเป๋า “คืน ทำไมจะไม่คืนเล่า มียืมมีคืน ยืมใหม่ย่อมไม่ยาก”
วัสดุของตำราและเนื้อหาตัวอักษรในตำราอีกหลายเล่มล้วนมองไม่ออกว่าเป็นมาอย่างไร
เฉินผิงอันยังคงไม่ค่อยวางใจสักเท่าไร บังคับแส้ปัดฝุ่นของหลิวเม่ามาไว้ในมือ ชั่งน้ำหนักอยู่ครู่หนึ่ง สะบัดอีกสองสามที สุดท้ายบีบด้ามไม้ให้แหลกไปทีละชุ่น
หลิวเม่าตีหน้าเคร่ง “ไม่ต้องคืนแล้ว ถือเสียว่าเป็นของขวัญพบหน้าที่ผินเต้ามอบให้เซียนกระบี่เฉินด้วยความจริงใจก็แล้วกัน”
เฉินผิงอันวางแส้ปัดฝุ่นที่สูญเสียด้ามไม้ไปแล้วลงบนโต๊ะ หันหน้ามายิ้มเอ่ยว่า “ไม่ได้หรอก นี่เป็นของรักที่อยู่กับองค์ชายมานาน วิญญูชนไม่แย่งชิงของรักของผู้อื่น แม้ข้าจะไม่ใช่บัณฑิตที่แท้จริงอะไร แต่ตำราของอริยะปราชญ์ก็ยังเคยได้อ่านมาหลายเล่ม”
แส้ปัดฝุ่นเป็นแค่ของล่างภูเขาทั่วไป สูญเสียด้ามไม้ที่ปริแตกไปแล้วเป็นเช่นนี้ ด้ายหางกวางก็เช่นเดียวกัน แม้ว่าวัตถุชิ้นนี้จะไม่ได้มีชื่อเสียงราคาแพง แต่ถึงอย่างไรก็เป็นของรักของชอบของเจ้าอารามผู้นี้
หลิวเม่าหัวเราะหยัน “เซียนกระบี่เฉินถ่อมตัวแล้ว เป็นบัณฑิตมากเลยล่ะ คู่ควรกับคำเรียกขานว่า ‘อาจารย์’ ที่ใต้เท้าเจ้าเมืองเรียกเลยทีเดียว”
เฉินผิงอันเริ่มยกมือขึ้นปัดผ่านหนังสือพวกนั้นเบาๆ แล้วทำการหลอมตัวอักษรที่อยู่ในตำราทั้งหลายไปตามใจปรารถนา ขณะเดียวกันก็เอ่ยด้วยว่า “กลับต้องขอบคุณศาลบุ๋นที่สั่งห้ามเผยแพร่รายงานขุนเขาสายน้ำมาห้าปี ไม่อย่างนั้นชื่อเสียงของข้าในตอนนี้คงฉาวโฉ่ระบือไปทั่วทุกหัวถนนแล้ว”
หลิวเม่าขมวดคิ้วมุ่น “วันนี้เซียนกระบี่เฉินพูดจาตลกหลายเรื่องนัก”
เฉินผิงอันเดินเนิบช้า อักษรแต่ละตัวถูกนำมาหล่อหลอมแล้วคัดเลือกเอาไว้ ก่อนจะหายวับไปกลางอากาศอย่างรวดเร็ว ถามชวนคุยว่า “ปีนั้นบอกไปแล้วไม่ใช่หรือว่า ครั้งหน้าที่พบกัน เจ้าต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้จักข้า?”
หลิวเม่าส่ายหน้า “ลืมไปแล้ว”
“ข้าอาจจะจำผิด น่าจะพูดกับหลิวฉง”
เฉินผิงอันพยักหน้า ถามอีกว่า “เจ้ายังคิดไม่เข้าใจอีกหรือว่าเหตุใดข้าถึงต้องพาเหยาเซียนจือมาด้วย?”
หลิวเม่ายิ้มตอบ “ทำไม ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างเซียนกระบี่เฉินกับสกุลเหยาต้าเฉวียน ยังต้องหลบเลี่ยงคำครหาอีกหรือ?”
เฉินผิงอันดีดนิ้วหนึ่งที ฟ้าดินถูกสกัดกั้น ในห้องพลันเปลี่ยนมาเป็นสถานที่ไร้อาคมแห่งหนึ่งทันใด
หลิวเม่าตื่นตระหนกทำอะไรไม่ถูก ทว่าในเวลาชั่วพริบตานั้นเขากลับเหม่อลอยไปเสี้ยวขณะหนึ่ง
เพราะว่าในห้องมีมือกระบี่สะพายกระบี่สวมชุดเขียวปรากฏตัวอีกหลายคน แต่ละคนมีสีหน้าต่างกัน ยืนอยู่ในตำแหน่งที่ต่างกัน พูดพร้อมเพรียงด้วยน้ำเสียงแตกต่าง ทว่าเป็นเสียงของบุรุษอีกคนหนึ่ง “หลิวเม่า เจ้าช่างเป็นเศษสวะที่หนุนไม่ขึ้นจริงๆ หากรู้อย่างนี้แต่แรกควรจะเปลี่ยนไปเลือกเกาซื่อเจิน หากข้าเป็นเฉินผิงอัน หรือไม่ก็ความอดทนของเฉินผิงอันไม่ดีถึงเพียงนี้ แค่ตรวจสอบจิตวิญญาณของเจ้าง่ายๆ เหมือนพลิกเปิดหน้าหนังสือ เวลานี้เจ้าก็คงตายไปแล้ว”
หลิวเม่าทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด เพียงแต่ว่าชั่วพริบตาเขาก็คืนสติกลับมาได้ ลุกพรวดขึ้นยืน แต่จากนั้นก็นั่งกลับลงไปอย่างห่อเหี่ยวอีกครั้ง
ในที่สุดก็ได้คำตอบเสียที
เฉินผิงอันเก็บนกในกรงกลับมา ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “พี่เฝ่ยหรานสมกับเป็นชาติสุนัขจริงๆ ไม่มีน้ำใจระหว่างพี่น้องและคุณธรรมในยุทธภพแม้แต่น้อย”
หลิวเม่าเริ่มหลับตาทำสมาธิ รอความตายอยู่เฉยๆ
เขามีหลักฐานอยู่ชิ้นหนึ่งจริง แต่ไม่ครบถ้วนทั้งหมด ปีนั้นก่อนที่เฝ่ยหรานจะหายเข้ากลีบเมฆไป ได้เคยมาหาหลิวเม่าที่อารามหวงฮวาอย่างลับๆ ครั้งหนึ่งจริง
ส่วนหลักฐานที่พูดถึงนั้น เป็นจริงหรือเท็จ จนถึงทุกวันนี้หลิวเม่าก็ยังไม่กล้าแน่ใจ ถึงอย่างไรในสายตาของคนนอกก็มีแต่จะคิดว่าเป็นหลักฐานที่หนักแน่นดุจขุนเขา
หลิวเม่าพลันลืมตาขึ้น “ความจริงเป็นเช่นไร เจ้าเดาออกหรือ?”
เฉินผิงอันเขย่งปลายเท้ายืดตัวนั่งลงบนโต๊ะหนังสือ เขาหันตัวไปค้อมเอวจุดตะเกียงดวงนั้นขึ้นมาอีกครั้งก่อน จากนั้นจึงสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “พอจะเดาได้เจ็ดแปดส่วนแล้ว เพียงแต่ว่ายังขาดกุญแจสำคัญบางอย่างไป ไหนเจ้าลองเล่ามาสิ ไม่แน่ว่าอาจมีชีวิตรอดได้”
หลิวเม่าพลันหัวเราะ จุ๊ปากเอ่ยชมเชย “เจ้าไม่ใช่เฝ่ยหรานจริงๆ หรือ? พวกเจ้าสองคนเหมือนกันมากเกินไปจริงๆ ยิ่งแน่ใจว่าพวกเจ้าไม่ใช่คนคนเดียวกัน ข้ากลับยิ่งรู้สึกว่าพวกเจ้าคือคนคนเดียวกัน”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “คืนนี้พวกเราคุยเล่นกันไปไม่น้อย สามารถพูดคุยอย่างจริงจังกันได้แล้ว องค์ชายรีบช่วยเหลือตัวเองเถิด”
หลิวเม่ากลับลุกขึ้นยืน คล้ายกับได้ยกหินก้อนใหญ่ออกจากอก จึงหัวเราะเสียงดังลั่น “หากข้าเชื่อฟังคำสั่งของเฝ่ยหรานทั้งหมด ขอแค่ใต้เปลี่ยวร้างแพ้สงคราม สูญเสียใบถงทวีปไปอีกครั้ง ข้าก็ควรจะเสี่ยงอันตรายหนีไปจากนครเซิ่นจิ่งทันที ถ้าอย่างนั้นขอแค่ข้าไปถึงสำนักศึกษาต้าฝูที่ทุกวันนี้สร้างขึ้นมาใหม่ วันนี้ใครจะเป็นนักโทษก็บอกได้ยากจริงๆ น่าเสียดายที่ข้าขี้ขลาดเกินไป เสียดายชีวิตเกินไป ฝึกตนแต่ดันกลัวตาย หากปีนั้นตอนที่เพิ่งถูกขัง ข้าเดิมพันด้วยชีวิตอย่างไม่เสียดาย เดิมพันแพ้ ก็หนีไม่พ้นสูญเสียชีวิตห่วยๆ ชีวิตหนึ่งไปเท่านั้น แต่หากเดิมพันชนะ ก็สามารถช่วงชิงขุนเขาสายน้ำกิจการแห่งตระกูลนี้กลับคืนมาให้สกุลหลิวได้แล้ว”
เฉินผิงอันมีความอดทนดีเยี่ยม เอ่ยเนิบช้าว่า “เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า ข้าต่างหากที่ถึงจะเป็นคนที่คาดหวังให้นักพรตหลงโจวมีชีวิตอยู่อย่างดีต่อไปบนโลกใบนี้มากที่สุด?”
หลิวเม่าพยักหน้า “ดังนั้นข้าถึงได้กล้าลุกขึ้นพูดกับเซียนกระบี่เฉินอย่างไรล่ะ”
เฉินผิงอันมีสีหน้าระอาใจ “รำคาญคนฉลาดอย่างพวกเจ้าที่สุดเลยล่ะ พูดคุยด้วยแล้วเหนื่อยนัก”
หลิวเม่าไม่เอ่ยคำใด เพียงยิ้มมองกลับไปยังเซียนกระบี่เฉินท่านนี้
เฉินผิงอันผายฝ่ามือข้างหนึ่งออกมา บอกเป็นนัยแก่หลิวเม่าว่าเชิญพูดสิ่งที่คิดได้ตามสบาย
หลิวเม่านั่งกลับลงไปอีกครั้ง
เรื่องมาถึงขั้นนี้ ไม่มีอะไรให้ต้องปิดบังอีกต่อไปแล้ว เขาจึงเริ่มพูดถึงแผนการของเฝ่ยหรานไปเรื่อยๆ หลิวเม่าพูดเยอะมาก ละเอียดมาก ไม่ใช่ว่าหลิวเม่าจงใจทำเช่นนี้ แต่เป็นเพราะเฝ่ยหรานถึงขั้นช่วยนักพรตหลงโจวท่านนี้คิดแผนการน้อยใหญ่ไว้เรียบร้อยแล้ว รายละเอียดหลายสิบข้อ ลำพังเพียงแค่จะจัดการกับ ‘ความคิด’ บางอย่างเช่นไร ควรเอาไปวางไว้ที่ไหน จะป้องกันการ ‘ถามใจ’ ของเซียนเหรินห้าขอบเขตบนหรืออริยะปราชญ์สำนักศึกษาบางท่านเช่นไรก็ละเอียดยิบแล้ว อีกทั้งเฝ่ยหรานยังบอกแก่หลิวเม่าอย่างชัดเจนว่า หากถูกวิชาอภินิหารฝืนบังคับ ‘เปิดภูเขา’ หลิวเม่าก็ต้องตาย ทำเอาเฉินผิงอันที่ได้ฟังรู้สึกเหมือนได้เปิดโลกครั้งใหญ่
เฉินผิงอันเงี่ยหูตั้งใจฟังอยู่ตลอด เพียงแค่เอ่ยแทรกไปประโยคเดียวว่า “หลิวเม่า เจ้าเคยคิดเรื่องหนึ่งบ้างหรือไม่ ยกตัวอย่างเช่นแท้จริงแล้วทางฝั่งของศาลบุ๋นแผ่นดินกลางไม่มีทางที่จะสงสัยในตัวข้าเลย”
——