กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 761.4 ไม่ถูก
เผยหมิ่นถอนหายใจ “รู้ว่าเจ้ายังกึ่งเชื่อกึ่งกังขา นี่ก็เป็นเรื่องปกติ ข้าคนนี้ค่อนข้างกลัวความวุ่นวาย ไม่ได้กังวลว่าเจ้าจะไปฟ้องศาลบุ๋น แต่เพราะยังทำตามคำสัญญาไม่ได้ จึงไม่อาจไปจากที่แห่งนี้ง่ายๆ ไม่สู้เล่าเรื่องหนึ่งให้เจ้าฟัง ข้าพอจะถือว่าเป็นหนึ่งในอาจารย์อาจารย์ของลู่ไถได้ เด็กคนนั้นเป็นผู้ฝึกกระบี่แต่กลับกลัวความสูง อันที่จริงไม่ได้แกล้งทำ แต่เพราะตอนที่เขาเป็นเด็กหนุ่ม เคยได้รับตำรากระบี่เล่มหนึ่งที่ข้าเขียนมาจากพื้นที่ลับหอเก็บตำราของสกุลลู่ คำว่าตำรากระบี่ แท้จริงแล้วก็คือด้านในเก็บซ่อนปณิธานกระบี่บริสุทธิ์สี่ขุมของกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสี่เล่มเอาไว้ เจ้าเด็กคนนั้นจึงทำการถามกระบี่อย่างโง่งมครั้งหนึ่ง นอกจากจะขอบเขตถดถอยแล้ว จิตแห่งมรรคายังได้รับความเสียหาย ไม่อย่างนั้นหากเปลี่ยนมาเป็นผู้ฝึกกระบี่ทั่วไป มีคุณสมบัติเช่นเขา บวกกับกำลังทรัพย์ของสกุลลู่ ป่านนี้ก็คงได้เป็นเซียนกระบี่ก่อกำเนิดคนหนึ่งไปนานแล้ว”
เฉินผิงอันกล่าว “เข้าใจแล้ว ร่องรอยของผู้อาวุโสจะไม่ถูกแพร่งพรายไปยังภายนอก”
ผู้เยาว์อ่อนวัยที่รู้ความเช่นนี้ กลับทำให้เผยหมิ่นรู้สึกเวทนาอย่างอดไม่ได้
แต่เฉินผิงอันกลับเอ่ยว่า “ข้ารู้จักลู่ไถ ก็คือหลิวไฉผู้ฝึกกระบี่หนึ่งในสิบคนรุ่นเยาว์เช่นเดียวกับข้า มีคนคิดอยากจะเล่นงานข้า อีกทั้งวิธีการที่ใช้ยังแยบยลยิ่ง ไม่มีทางทำให้ข้าได้แต่เสียเปรียบอย่างเดียว ดังนั้นก็ไม่เป็นไร ข้าสามารถรอคอยได้ ไม่ได้รอหลิวไฉผู้นั้น แต่รอคนที่อยู่เบื้องหลัง”
วิชาดรรชนีกระบี่ของเรือนจิ้งซินพื้นที่มงคลดอกบัว
เป็นเรื่องเล็ก แต่เรื่องเล็กบวกกับเรื่องเล็ก โดยเฉพาะยังบวกกับ ‘หนึ่งในอาจารย์ของลู่ไถ’ เบาะแสค่อยๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดก็ถูกเฉินผิงอันยกเส้นสายทั้งเส้นขึ้นมาได้
ราชวงศ์ต้าเฉวียน ฮ่วนซาฮูหยิน เหยาจิ้นจือฮ่องเต้หญิงที่มีความงามเย้ายวนตามธรรมชาติ ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางของใต้หล้าไพศาล ราชวงศ์ที่อาจารย์ป๋ายเหย่และเผยหมิ่นแห่งเวทกระบี่อยู่ร่วมกัน แล้วยังมีวัดเทียนกงอีกแห่งหนึ่ง เรื่องราวที่ฮองเฮาเคยมาขอฝนที่วัดเทียนกง อีกทั้งเผยหมิ่นที่อยู่ในวัดเทียนกงยังทิ้งเรื่องราวไว้อีกเรื่องหนึ่ง
ปีนั้นอยู่ในเมืองเล็กอันเป็นบ้านเกิด สาเหตุเพราะใบไหวใบหนึ่งที่ร่วงลงมา เฉินผิงอันที่เจอเหยาจึงเลือกจะหยุด ก่อนจะจับผลัดจับผลูหลงเข้าไปในพื้นที่มงคลดอกบัว ได้ไปเยือนพื้นที่ลับแปลกประหลาดแห่งหนึ่งลักษณะคล้ายพื้นที่มงคลกระดาษขาวมารอบหนึ่ง และตอนที่อยู่ป้อมอินทรีบินก่อนหน้านั้น ชายฉกรรจ์ที่ร่ายเวทอำพรางตาผู้นั้นก็เคยเผยโฉมมาก่อนจริงๆ ตอนนั้นเดินสวนไหล่ผ่านเฉินผิงอันที่เดินออกจากประตูไป เวลานั้นเฉินผิงอันเพียงแค่รู้สึกประหลาด แต่กลับไม่เคยคิดอย่างลึกซึ้ง ทว่าต่อให้คิดอย่างลึกซึ้ง เฉินผิงอันในเวลานั้นก็ไม่มีทางคิดไปไกลได้อย่างแน่นอน
ดูท่าคงจะเหมือนกับเผยหมิ่น เดิมทีการดำรงอยู่ของวัดเทียนกงก็คือการ ‘ทักทาย’ อย่างหนึ่ง คือการเตือนที่ไม่ถือว่าเป็นการเตือน ก็เหมือนชายฉกรรจ์ที่ยื่นถังหูลู่ให้ในวัยเยาว์ ในหลายๆ สถานที่ล้วนมีการซุ่มแผนการโจมตีที่มีต่อเฉินผิงอันไว้ล่วงหน้าแล้ว แค่ต้องดูที่ว่าเฉินผิงอันจะยินดีหรือไม่ จะอยากคิดไปให้ไกลอีกสองสามก้าวหรือไม่ รู้จักจำแล้วหรือยัง เชื่อหรือยังว่าหนึ่งในหมื่นที่น่าเหลือเชื่อทั้งหลายก็คือหนึ่งในหมื่นที่มีได้ทั่วทุกหนแห่งจริงๆ
ปีนั้นเดินทางท่องเที่ยวไปพร้อมกับลู่ไถ ลู่ไถเคยพูดหยอกเย้า เพราะดูแคลนน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกนั้นของเฉินผิงอัน ลู่ไถจึงเคยพูดเองว่าเขามีบรรพบุรุษน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่อยู่ลูกหนึ่ง ดังนั้นภายหลังที่ได้ยินเรื่องของสิบคนรุ่นเยาว์ เฉินผิงอันถึงได้เอาเขาไปคิดเชื่อมโยงกับผู้ฝึกกระบี่ ‘หลิวไฉ’
ลู่ไถ เผยหมิ่นแห่งเวทกระบี่ ราชวงศ์ต้าเฉวียนแห่งใบถงทวีปที่ไม่ถือว่าอยู่ห่างจากทางเข้าของอารามกวานเต๋ามากนัก เหยาจิ้นจือเองก็ได้ขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้หญิงอย่างราบรื่นหลังจากมาขอฝนที่วัดเทียนกง
ล้วนเป็นเบาะแสเล็กๆ น้อยๆ ที่กระจัดกระจายทั้งสิ้น
ก็เหมือนอย่างบนเส้นทางการเดินทางไปขอศึกษาต่อในปีนั้น นิยายเรื่องเล่าในยุทธภพเล่มหนึ่ง หลี่ไหวสนใจแค่ฉากการฆ่าฟันอันน่าอกสั่นขวัญผวาของเหล่าจอมยุทธเท่านั้น แต่เป่าผิงน้อยกลับสนใจพวกบุคคลตัวเล็กๆ ซึ่งไม่มีบทพูดแม้แต่ประโยคเดียว รวมไปถึงขุนเขาสายน้ำที่เหมือนมีเสียงนกขับขานดังรื่นหูในตำราพวกนั้นมากกว่า อันที่จริงทั้งสองคนล้วนไม่ผิด พลิกเปิดตำราสามารถพลิกเปิดไปตามแต่ใจ ทว่าบนเส้นทางของชีวิตคนนอกตำรา โดยเฉพาะการเดินขึ้นเขาฝึกตน เฉินผิงอันกลับจำต้องเบิกตาให้กว้างเพราะกลัวว่าจะพลาดตัวอักษรตัวใดไป
อยู่ดีๆ เผยหมิ่นก็ถามขึ้นว่า “เจ้าเรียนวิชากระบี่จากศิษย์พี่จั่วโย่วของเจ้ามาสำเร็จกี่ส่วนแล้ว?”
เฉินผิงอันตอบไปตามสัตย์จริง “ไม่ถึงหนึ่งส่วน”
……
ในขณะที่ฟ้าดินเล็กปราณกระบี่ของเผยหมิ่นถูกหนึ่งกระบี่ของอาจารย์ฟันให้ปริแตก อีกทั้งอาจารย์ยังติดตามเผยหมิ่นไปยังจุดอื่นแล้ว ชุยตงซานก็ส่งกระบี่บินแจ้งข่าวไปยังยอดเขาเสินจ้วนก่อน จากนั้นก็หวนกลับมาที่นอกเรือนห้องทำสมาธิอีกครั้ง ปีนกำแพงข้ามเข้าไป เดินก้าวยาวๆ ไปเบื้องหน้า เดินไปหาผู้เฒ่าที่ยืนอยู่หน้าประตู กั๋วกงผู้เฒ่าแห่งราชวงศ์ต้าเฉวียน
ดูท่าจะถูกแสงกระบี่นั้นทำให้ตกใจไม่เบา ถึงได้ยืนบื้อเป็นไก่ไม้อยู่หน้าประตูไม่ขยับไปไหน
เด็กหนุ่มชุดขาวยกสองมือเท้าเอวฉับ ยืนอยู่ห่างจากประตูห้องทำสมาธิมาอีกสิบกว่าก้าวก็เอ่ยอย่างเดือดดาลว่า “เจ้ามองอะไร?! บุตรชายเห็นบิดาน้ำตาไหลพรากจากสองตางั้นหรือ? แล้วทำไมไม่ร้องไห้ให้ข้าดูเสียทีล่ะ!”
เกาซื่อเจินหัวเราะ ไม่มีเหล่าเผยคอยเฝ้าอยู่หน้าประตู ลมฝนพัดปลิวทำให้ผู้เฒ่าเริ่มรู้สึกหนาวขึ้นมาบ้างแล้ว
เด็กหนุ่มชุดขาวบิดเอวกระโดดหนึ่งทีก็พลิ้วกายไปอยู่ตรงจุดที่ห่างจากห้องทำสมาธิแค่ห้าหกก้าว หันหลังให้เกาซื่อเจิน ชี้ไปยังตำแหน่งที่ตัวเองยืนอยู่ก่อนหน้านี้ ยกชายแขนเสื้อขึ้นด่าตัวเองว่า “ข้ามองเจ้าแล้วจะทำไม?! บิดามองบุตรชาย สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดินแล้ว!”
จากนั้นเด็กหนุ่มชุดขาวก็หมุนตัวกลับมา เกาซื่อเจินมองดวงหน้านั้นแล้วสีหน้าก็พลันเลื่อนลอย ร่างส่ายโงนเงนจนต้องยื่นมือไปจับประตูห้องเอาไว้
ชุยตงซานดีดนิ้วหนึ่งที สลายเวทอำพรางตาที่เป็นใบหน้าของเกาซู่อี้ทิ้งไป หัวเราะคิกคักเอ่ยว่า “เหล่าเกาอ่า เจ้ารู้หรือไม่ว่า ข้ากับคนแซ่เกามีวาสนาต่อกันนักล่ะ”
เกาซื่อเจินเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “เขามีลูกศิษย์แบบเจ้าได้อย่างไร? เรื่องล้อเล่นบางอย่างเอามาหยอกล้อกันไม่ได้”
ชุยตงซานพยักหน้ารับอย่างแรง “แปลกใจหรือไม่เล่า? เหล่าเกาเจ้าโมโหหรือไม่?”
ระหว่างที่พูดใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนกลับไปเป็นใบหน้าของเกาซู่อี้อีกครั้ง
เกาซื่อเจินหรี่ตาลง ฝ่ามือข้างหนึ่งวางอยู่บนประตู มืออีกข้างกำเป็นหมัดอยู่ด้านหลัง “รู้สึกว่าสนุกก็เชิญทำต่อไปเถอะ”
‘เกาซู่อี้’ ผู้นั้นตีอกชกตัว “ทำให้เหล่าเกาที่อายุมากปูนนี้ต้องเป็นคนผมขาวส่งคนผมดำ ซู่อี้อกตัญญู สมควรตายจริงๆ”
เกาซื่อเจินเอ่ยเสียงเย็นชา “สนุกมากหรือ?”
ชุยตงซานหัวเราะหึหึ เดินขยับไปด้านข้างหนึ่งก้าว เป็นเด็กหนุ่มชุดขาวที่เดินก้าวออกมา ตำแหน่งเดิมกลับทิ้ง ‘เกาซู่อี้’ เอาไว้
ฝนที่ตกกระหน่ำจึงกระทบหล่นลงบนร่างของคนหนุ่ม เพียงไม่นานเขาก็กลายเป็นเหมือนไก่ตกน้ำ คนหนุ่มเงียบงันไม่เอ่ยคำใด สีหน้าเศร้าเสียใจ เพียงแค่จ้องมองเกาซื่อเจินอยู่อย่างนั้น ในดวงตาของคนหนุ่มมีความละอายใจ มีความไม่พอใจ ความคิดถึง ความอาลัยอาวรณ์ การอ้อนวอน…
ส่วนเด็กหนุ่มชุดขาวกลับขยับไปด้านข้างทีละก้าวทีละก้าว ร่างโยกไปโยกมา ขยับออกห่างจากคนหนุ่มผู้นั้นไปเรื่อยๆ
เกาซื่อเจินที่หัวใจเหมือนถูกมีดกรีดก้มหน้าลง พึมพำว่า “ขอร้องเซียนซือโปรดเก็บเวทคาถาลงไปด้วย”
ก่อนจะค่อยๆ เงยหน้าขึ้นช้าๆ เกาซื่อเจินเบี่ยงตัว เอวของกั๋วกงผู้เฒ่าที่แก่ชราแต่กลับยังเปี่ยมไปด้วยกำลังวังชาค้อมลงไปมากกว่าเดิมโดยที่ไม่รู้ตัว พูดด้วยสีหน้าหม่นหมองว่า “เซียนซือโปรดเข้ามานั่งในห้อง”
ชุยตงซานกลับยิ้มถาม “ไม่มองให้มากอีกหน่อยจริงๆ หรือ? โอกาสหาได้ยาก ผ่านหมู่บ้านนี้ไปก็ไม่มีร้านนี้แล้ว”
เกาซื่อเจินส่ายหน้า หมุนตัวเดินกลับเข้าไปนั่งในห้องก่อน
ชุยตงซานจึงให้ ‘เกาซู่อี้’ ขยับเท้าไปยืนอยู่ตรงหน้าต่าง
เข้ามาในห้อง นั่งลงบนเก้าอี้ที่เผยหมิ่นนั่งก่อนหน้านี้ ชุยตงซานก็ยืดคอยาวออกไปมองตัวอักษรคำว่าป่วยคำใหญ่บนหน้ากระดาษ แล้วพยักหน้า “เหล่าเกาเจ้าควรมาที่วัดแห่งนี้ ค่อยๆ รักษาอาการป่วยทางใจของตัวเองไปทีละนิดจริงๆ”
ชุยตงซานวางสองมือไว้บนที่วางแขนของเก้าอี้ แล้วเริ่มโยกเก้าอี้ให้ ‘ขยับเดินไปเบื้องหน้า’ อย่างต่อเนื่อง
เล่าลือกันว่าเผยหมิ่นแห่งเวทกระบี่ขว้างกระบี่เข้าไปในกลุ่มก้อนเมฆ แสงกระบี่สาดทะลุนภากาศ กระบี่หล่นลงไปยังทวีปอื่น สามารถประชันแสงกับตะวันจันทรา ทำให้คนเกิดความศรัทธาเลื่อมใส
เกาซื่อเจินเอ่ย “สถานที่แห่งนี้คือดินแดนสงบร่มเย็นของลัทธิพุทธ”
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “เมื่อจิตใจสงบนิ่ง ที่ไหนบ้างที่ไม่ใช่ดินแดนแห่งความสงบร่มเย็นของพุทธศาสนา เพียงแต่ว่าหากใจไม่มั่นคง กลับยังพูดได้ง่าย เข้าวัดมาจุดธูปมีประโยชน์ คัดคัมภีร์ในห้องทำสมาธิก็มีประโยชน์ แต่ถ้าจิตใจของคนคนหนึ่งชั่วร้ายไปแล้ว ต่อให้เจ้าโขกหัวอยู่ใต้เบื้องบาทของพระโพธิสัตว์ไม่หยุด ภูเขาหลิงซาน (สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาพุทธในอินเดีย) ก็ยังคงอยู่ไกลสุดขอบฟ้ามิอาจไปถึง ยิ่งกลัวก็แต่ว่าจิตใจคนผู้หนึ่งชั่วร้ายแล้วแต่กลับยังไม่รู้ตัว ขอพรให้ช่วยปัดเป่าเคราะห์กลับไม่เป็นผล กลับกันยังจะบ่นที่เหล่าพระโพธิสัตว์ไม่ช่วยเหลือ เจ้าว่าควรจะตำหนิใครถึงพอจะถือว่ามีเหตุผลอยู่บ้าง?”
เกาซื่อเจินกล่าว “เซียนซือท่านอยากจะถามอะไร? ต้องการอะไรกันแน่? เชิญพูดมาได้เลย”
ชุยตงซานหยุดเก้าอี้ สองแขนกอดอก ชายแขนเสื้อกว้างสีขาวหิมะสองข้างระหล่นลงเบื้องล่าง เปลี่ยนท่านั่งมาเป็นโน้มตัวไปด้านหน้า ข้อศอกค้ำอยู่กับที่เท้าแขนเก้าอี้ จากนั้นใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งเท้าคาง “พูดมาได้เลย? หากรอให้พ่อบ้านเฒ่าคนนั้นของเจ้ากลับมา ก็ถึงคราวที่เจ้าได้พูดบ้างแล้วใช่ไหม? นายท่านกั๋วกงแห่งจวนเซินกั๋วกงต้าเฉวียน คนรุ่นใหม่สู้คนรุ่นเก่าไม่ได้เลยจริงๆ เจ้าคนที่อยู่นอกหน้าต่างนั่นสู้คนที่อยู่ในห้องนี่ไม่ได้ ส่วนเจ้าคนที่อยู่ในห้องนี่ก็สู้เจ้าพวกคนที่นอนอยู่ในหลุมไม่ได้”
เกาซื่อเจินเริ่มหลับตาปิดปากเงียบ
ชุยตงซานหัวเราะฮ่าๆ “พี่ใหญ่เกาโกรธแล้วจริงๆ หรือ อย่าเลย”
คนหนุ่มนอกหน้าต่างเริ่มยื่นมือออกมาตีหน้าต่าง ประหนึ่งเคาะลงบนห้องหัวใจ พร่ำท่องประโยคหนึ่งท่ามกลางเสียงสายฝนไม่หยุดว่า ‘อย่าตายนะ’
น้ำตาไหลอาบใบหน้าเหี่ยวชราของเกาซื่อเจินอย่างห้ามไม่ได้ เขาเงยหน้ามองเหม่อไปทางหน้าต่าง
ชุยตงซานเลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้น น่าสนใจ ฝีมือการแสดงของเหล่าเกาผู้นี้ไม่เลวเลย ชุยตงซานยังคงกังวลถึงสถานการณ์การต่อสู้ของอาจารย์จึงไม่มีอารมณ์มาประชันเรื่องฝีมือการแสดงกับเกาซื่อเจิน เขาถอนหายใจ “ก็ได้ๆๆ ทั้งในห้องนอกห้องเลิกแสร้งทำเป็นเสียใจกันสักที ปีนั้นศพของเกาซู่อี้ถูกพากลับมานครเซิ่นจิ่ง ดังนั้นจวนกั๋วกงจึงแอบสร้างร่างทองให้เกาซู่อี้ นี่เป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว เจ้าคิดจะปกปิดก็ปกปิดไม่อยู่หรอก วันหน้าคบค้าสมาคมกับข้าบ่อยเข้า เจ้าก็จะรู้เองว่าคิดจะหลอกข้า อันที่จริงยังยากกว่าหลอกผีเสียอีก”
สีหน้าของเกาซื่อเจินเปลี่ยนมาเป็นเย็นชาในชั่วพริบตา หันหน้ามาจ้องมองเด็กหนุ่มชุดขาวที่ ‘พูดจาเหลวไหล’ เขม็ง
เมื่อเด็กหนุ่มชุดขาวไม่มีท่าทางไม่อินังขังขอบต่อสิ่งใดอีกต่อไป สาเหตุอาจเป็นเพราะผิวพรรณขาวนวล อีกทั้งยังสวมชุดสีขาวหิมะทั้งร่าง ดวงตาคู่นั้นจึงดูมืดลึกมากเป็นพิเศษ “เพียงแต่ว่าข้าค่อนข้างสงสัยเรื่องหนึ่ง เหตุใดด้วยกำลังทรัพย์ของจวนกั๋วกงแล้ว เจ้าถึงไม่ให้เกาซู่อี้กลับมาเห็นแสงตะวันอีกครั้งด้วยสถานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำ ไม่ได้รับเขาเข้าไปอยู่ในทำเนียบขุนเขาสายน้ำของหนึ่งแคว้น ปีนั้นรอกระทั่งศพของเกาซู่อี้ย้ายจากชายแดนมาถึงเมืองหลวง ต่อให้จะมีเซียนซือคอยรวบรวมจิตวิญญาณมาให้ตลอดทาง แต่ถึงท้ายที่สุดการที่จิตวิญญาณจะไม่สมบูรณ์ก็เป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว ดังนั้นตำแหน่งเทพย่อมไม่มีทางสูงได้ เทพวารีแห่งสายน้ำลำดับสอง หรือไม่ก็ฝู่จวินเทพภูเขาของภูเขาทายาท ล้วนเป็นทางเลือกที่ไม่เลว”
อันที่จริงเกาซื่อเจินมีเรื่องให้พูด แต่เขาไม่มีทางพูดมันออกมาอย่างแน่นอน
เพราะว่าตอนอยู่บนภูเขาลูกเล็กท่ามกลางค่ำคืนที่ฝนพรำในปีนั้น เซียนกระบี่เด็กหนุ่มเคยเอ่ยประโยคหนึ่งที่ทำให้เกาซื่อเจินกริ่งเกรงอย่างถึงที่สุด
‘คนอย่างเกาซู่อี้ผู้นี้ ข้าหวังว่าชาติหน้าที่เขาไปเกิดใหม่ อย่าได้มาเจอกับข้าอีก ไม่อย่างนั้นข้าจะฆ่าเขาอีกครั้ง’
เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน เกาซื่อเจินจึงไม่กล้านำจิตวิญญาณที่ไม่สมบูรณ์ของเกาซู่อี้มาหล่อร่างทองสร้างศาลเพื่อให้เขาเสวยสุขกับควันธูป แต่หากจะให้เกาซู่อี้ไปเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของศาลเถื่อนที่สถานะถูกซ่อนเร้นอำพราง เกาซื่อเจินก็ตัดใจไม่ลงอีก ยิ่งกลัวว่าวันใดเฉินผิงอันผู้นั้นหวนคืนกลับมายังสถานที่เดิม พอสืบสาวเบาะแสเจอแล้วจะไปทุบทำลายร่างทองของเกาซู่อี้อีกครั้ง นั่นก็คงเท่ากับว่า ‘ชาติหน้าไปเกิดใหม่ ถูกฆ่าอีกครั้ง’ แล้วจริงๆ
ชุยตงซานขยับนิ้ว มองเกาซื่อเจินด้วยสีหน้าน่าสงสาร ความคิดจิตใจของอีกฝ่ายไหลรินเหมือนน้ำไหล อันที่จริงเมื่อเซียนเหรินคนหนึ่งทิ้งตัวจมเข้าไปอยู่ด้านในนั้นก็เหมือนการล่องเรือบนแม่น้ำ ตรวจสอบดูความคิดจิตใจของเขาได้ง่ายดายเหมือนเปิดหน้าหนังสือ แต่เกาซื่อเจินกลับไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย
เพียงแต่ว่าชุยตงซานก็อดตำหนิอาจารย์นิดๆ ไม่ได้ ปีนั้นมีวีรกรรมยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ มีคำพูดห้าวเหิมขนาดนี้ แต่กลับไม่เล่าให้ลูกศิษย์ฟังสักคำ จะปิดบังกันไว้ทำไม
อันที่จริงต่อให้ไม่ได้ใช้วิชาอภินิหาร ชุยตงซานก็เดาหลายๆ เรื่องได้เช่นกัน แต่ก็น่าประหลาดนัก ปีนั้นอาจารย์อยู่ข้างกาย ตนที่เป็นลูกศิษย์จึงค่อนข้างเกียจคร้านไม่ค่อยอยากคิดอะไรมากมายนัก
ชุยตงซานอ้าปากหาว ยืดตัวบิดขี้เกียจ ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ตะเกียงน้ำมันดวงที่อยู่ในห้องลับของจวนกั๋วกงดวงนั้น พอข้ากลับไปถึงนครเซิ่นจิ่งแล้วจะช่วยพี่ใหญ่เกาเติมน้ำมันให้เองนะ”
เกาซื่อเจินลุกพรวดขึ้นยืน “เจ้ากล้า?!”
ชุยตงซานยกสองมือขึ้น “ก็ได้ๆๆ ข้าไม่กล้า ข้าไม่กล้า”
เกาซื่อเจินนั่งกลับลงไปอย่างห่อเหี่ยว
ฝ่ายชุยตงซานกลับลุกขึ้นเดินไปที่หน้าประตูห้อง เอนตัวพิงกรอบประตู หันหลังให้เกาซื่อเจิน สองมือของเด็กหนุ่มชุดขาวสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ พูดอย่างเฉยเมยว่า “หากคืนนี้อาจารย์ต้องเสียเปรียบ แล้วข้าหนีรอดไปได้ ข้าจะต้องให้เจ้าไปอยู่เป็นเพื่อนเกาซู่อี้ มีชีวิตอยู่เพื่อพึ่งพากันและกันทุกวัน หันหน้าเข้าหากัน จิตวิญญาณพัวพันอยู่ด้วยกัน แยกไม่ออกว่าใครเป็นลูกใครเป็นพ่อ นี่ยังไม่ถือว่าเป็นเรื่องน่าสนใจอะไร บางครั้งเจ้าจะเห็นเกาซู่อี้เป็นอนุภรรยาที่รักในอดีต ส่วนเกาซู่อี้บางครั้งก็จะเห็นเจ้าเป็นสาวใช้ หรือไม่ก็พี่หญิงเทพธิดาบางท่าน แบบนั้นต่างหากถึงจะน่าสนใจ ถึงอย่างไรใบถงทวีปก็เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยมลพิษสกปรกอยู่แล้ว ไม่ขาดเรื่องโสมมจำพวกนี้หรอก”
เกาซื่อเจินนั่งนิ่งค้างอยู่บนเก้าอี้ เหงื่อแตกโซมทั่วร่าง ได้แต่หวังให้ผู้ดูแลเฒ่าเผยเหวินเยว่มีชีวิตรอดกลับมายังวัดเทียนกงให้ได้
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “กลับล่ะ”
นกในกรงค่อยๆ ถูกเก็บลงไป
เป็นความเข้าอกเข้าใจผู้อื่นซึ่งมีเฉพาะในตัวของอาจารย์เท่านั้น
เพียงไม่นานอาจารย์ก็เผยตัวยืนเคียงบ่าพร้อมกับเผยหมิ่น เพียงแต่ว่าอาจารย์หยุดอยู่ที่หน้าประตูภูเขาของวัดเทียนกง ส่วนเผยหมิ่นนั้นมาปรากฏตัวอยู่ในลานนอกห้องทำสมาธิโดยตรง
ชุยตงซานหันหน้ากลับมา ยิ้มกว้างเอ่ยว่า “พี่ใหญ่เกา ไว้เจอกันใหม่นะ”
ชุยตงซานเดินออกไปนอกห้องทำสมาธิ ก้าวเดียวก็มาอยู่นอกประตูวัด
เฉินผิงอันหน้าขาวซีด แต่กลับยิ้มเอ่ยว่า “ไม่เป็นไร บาดเจ็บสาหัส แต่กลับไม่ได้บาดเจ็บไปถึงรากฐานของมหามรรคา”
ชุยตงซานพยักหน้ารับ ใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “เจียงซ่างเจินต้องกำลังอยู่ระหว่างเดินทางมาแน่นอน ขอแค่สามคนร่วมมือกันก็สามารถลองดูได้”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ต้องถึงขั้นนั้นหรอก กลับไปที่อารามหวงฮวากันก่อน ระหว่างทางจะเล่ารายละเอียดให้เจ้าฟัง แต่อีกเดี๋ยวพอต้องเข้าไปในค่ายกลขุนเขาสายน้ำของนครเซิ่นจิ่ง เจ้าต้องเป็นคนลงมือแล้ว”
——