กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 763.2 กลับคืนบ้านเกิด เปิดฟ้าจากไป
คนทั้งกลุ่มอาศัยใบบุญของสวีหย่วนเสีย เมื่อไปถึงพรรคชิงหลิงจึงไม่เพียงแต่ผ่านด่านไปได้อย่างราบรื่น คนเฝ้าประตูยังแจ้งข่าวไปยังศาลบรรพจารย์ บอกว่าเจ้าศูนย์ผู้เฒ่าสวีมาเยี่ยมเยือนถึงที่
ญาติที่ห่างไกลไม่สู้เพื่อนบ้านใกล้เคียง ความสัมพันธ์ระหว่างพรรคชิงหลิงกับสวีหย่วนเสียนับว่าไม่เลว ผู้ฝึกยุทธขอบเขตหกคนหนึ่งที่ตอนหนุ่มชอบออกเดินทางไกลไปท่องเที่ยว ถึงอย่างไรก็มิอาจดูแคลน เพียงแต่ว่าเมื่อสวีหย่วนเสียอายุมากขึ้นเรื่อยๆ ข่าวลือเล็กๆ บางอย่างยิ่งนานวันน้ำหนักก็ยิ่งเบาบางลง ดังนั้นพอทางศาลบรรพจารย์ได้รับข่าวจึงไม่คิดจะรบกวนการฝึกตนอย่างสงบของเจ้าประมุข มีแค่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดคนหนึ่งเท่านั้นที่เผยโฉม ขอบเขตถ้ำสถิต เป็นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลาง อายุหกสิบปี เป็นทั้งผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนที่เป็นหนึ่งในตัวสำรองเจ้าประมุข ทั้งยังเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้าประมุขเอง มีนามว่าไช่เซียน วันนี้เขามีหน้าที่มารับรองกลุ่มคนที่มีสวีหย่วนเสียเป็นผู้นำนี้
หากระหว่างทางที่ขึ้นมาบนภูเขา สวีหย่วนเสียมีท่าทางนอบน้อมเดินรั้งอยู่ท้ายขบวน ถ้าเช่นนั้นเจ้าประมุขพรรคชิงหลิงย่อมต้องตัดใจ ‘ออกจากด่านหยุดการฝึกตน’ ได้ลง แต่ในเมื่อมีผู้ฝึกยุทธเฒ่าสวีเป็นผู้นำ คนอื่นๆ ที่เหลือต่างก็เดินขึ้นเขามาพร้อมกับเขา จึงไม่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้แล้ว
ไช่เซียนยืนอยู่บนขั้นสูงสุดของขั้นบันได รอ ‘ต้อนรับ’ แขกผู้ทรงเกียรติ
สวีหย่วนเสียกุมหมัดคารวะมาแต่ไกล “คารวะไช่เซียนซือ”
ใบหน้าของไช่เซียนประดับรอยยิ้ม กุมมือคารวะกลับคืน “เจ้าศูนย์สวี”
อันที่จริงไช่เซียนคอยมองประเมินกลุ่มคนที่อยู่ข้างกายสวีหย่วนเสียอยู่ตลอดเวลา แต่กวอฉุนซีที่เปลี่ยนรูปโฉมใหม่นั้นเขาเหลือบมองผ่านๆ แค่ทีเดียวแล้วก็ไม่มองมากอีก คนธรรมดาสวมชุดผ้าแพรอย่าหวังว่าจะขึ้นเขามาได้เลย
ข้างกายกวอฉุนซีคือบุรุษหล่อเหลาที่มีดวงตาเรียวยาวคนหนึ่ง สวมชุดคลุมตัวยาวสีม่วง เนื้อแพรต่วน มองดูคล้ายลูกหลานตระกูลชนชั้นสูงอยู่หลายส่วน
และยังมีบุรุษท่าทางสุภาพสวมชุดกว้าตัวยาวสีเขียวที่มีรอยยิ้มอ่อนโยน ก่อนหน้านี้ตอนที่สวีหย่วนเสียกุมหมัด บุรุษก็กุมหมัดตามไปด้วย เพียงแต่ไม่ได้เปิดปากเอ่ยคำใด
ยังมีเด็กชายชุดขาวตัวเท่าก้นที่หากดวงตาไม่งอกบนหัวก็คงงอกอยู่บนท้องฟ้า เอาสองมือไพล่หลัง ตอนที่สวีหย่วนเสียกุมหมัด เขาไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ รอกระทั่งบุรุษชุดเขียวกุมหมัด เด็กชายถึงได้กุมหมัดตามด้วยท่าทางไม่ยินยอมพร้อมใจ
ไปถึงบนยอดเขา จวนตระกูลเซียนเรียงรายเป็นแถบที่เลือกชัยภูมิได้อย่างแม่นยำมีไอเมฆล้อมวน กลิ่นอายเซียนบางเบาล่องลอย เฉินผิงอันกวาดตามองไปรอบด้าน เจียงซ่างเจินใช้เสียงในใจยิ้มเอ่ยว่า “ทำไม ซุกซ่อนความลี้ลับไว้งั้นหรือ?”
เฉินผิงอันตอบ “ไม่มี ก็แค่ถูกงูกัดทีเดียวกลัวเชือกไปสิบปีเท่านั้น กังวลว่าจะมียอดฝีมือนอกโลกอย่างพวกเผยหมิ่นซ่อนตัวอยู่”
เจียงซ่างเจินเอ่ยอย่างหน่ายใจ “อะไรกับอะไรกันเนี่ย”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “อดีตเจ้าสำนักเจียงก็ยังมายืนอยู่ที่นี่ไม่ใช่หรือ?”
เจียงซ่างเจินนวดคลึงปลายคาง “มีเหตุผล”
นึกไม่ถึงว่าวันนี้บนภูเขาพรรคชิงหลิงจะมีการเปิดบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำ เป็นเทพธิดาสองคนที่ประลองฝีมือกันอยู่ในศาลา แต่ห่างจากที่แห่งนี้ไปค่อนข้างไกล อยู่ติดกับหน้าผา ยังต้องเดินไปอีกหลายลี้
เดิมทีไช่เซียนคิดว่าแค่ต้มชาภูเขารับรองหนึ่งกาก็น่าจะส่งแขกลงจากภูเขาได้แล้ว เพียงแต่พอชำเลืองตาไปมองกวอฉุนซีก็เกิดเปลี่ยนความคิด เชื้อเชิญให้คนทั้งกลุ่มไปเป็นแขกที่หอชมทัศนียภาพริมหน้าผาด้วยกัน เพียงแค่บอกกฎของขุนเขาสายน้ำไปรอบหนึ่งว่า จำไว้ว่าอย่าบุกเข้าไปใน ‘ม่านจักษุ’ ของบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำเด็ดขาด บอกว่าทางที่ดีที่สุดคือควรอยู่ห่างจากศาลามาอย่างน้อยเก้าสิบก้าว คนทั้งกลุ่มจึงทำตามกฎ เดินเลียบเส้นทางสายเล็กที่มีเงาร่มไม้เขียวครึ้มบนสันภูเขา พอการมองเห็นเปิดกว้างก็พากันหยุดเดิน มองไกลๆ ไปยังศาลาหลังเล็กที่ชายคาตวัดงอน แขวนกรอบป้ายคำว่า ‘เกาไจ’ (สูงมาก) แห่งนั้น
ศาลาคล้ายนกสยายปีกบิน สูงชันอันตราย ศาลาเกาไจ เฉินผิงอันคิดว่าชื่อนี้ไม่เลว
ในเรื่องของการตั้งชื่อนี้ ไม่ว่าจะเป็นชื่อสำนักพรรคหรือชื่อของกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต การแกะสลักตัวอักษรลงบนหน้าผา คนรุ่นหลังนับว่าเสียเปรียบ เหตุผลก็พอๆ กับการแต่งกลอนเขียนวลีนั่นแหละ
เฉินผิงอันอดไม่ไหวใช้เสียงในใจถามว่า “ในใต้หล้าไพศาล ศาลาที่ตั้งชื่อว่าศาลาเกาไจ ที่อื่นมีอีกหรือไม่?”
เจียงซ่างเจินยิ้มกล่าว “ไม่มีหนึ่งร้อย ก็น่าจะมีหลายสิบกระมัง”
เฉินผิงอันพยักหน้า ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่เกรงใจแล้ว
ถึงอย่างไรทางฝั่งของยอดเขาจี้เซ่อก็มีศาลาซานสุ่ย (ขุนเขาสายน้ำ) อยู่แล้ว จะขาดศาลาเกาไจไปได้อย่างไร
เฉินผิงอันมองไปทางกวอฉุนซี บุรุษวัยกลางคนมีสีหน้าเลื่อนลอย เบิกตากว้างเหม่อมองหญิงสาวคนหนึ่งที่เล่นหมากล้อมอยู่ในศาลา
เฉินผิงอันถอนสายตากลับ มองไปทางศาลาใหม่อีกครั้ง อันที่จริงเขาออกจะประหลาดใจอยู่บ้าง เพราะเทพธิดาบนภูเขาที่ประชันวิชาหมากล้อมอยู่กับผู้ฝึกตนหญิงทำเนียบวงศ์ตระกูลของพรรคชิงหลิงในศาลาแต่งกายเหมือนนักพรตหญิงของลัทธิเต๋า บนศีรษะไม่สวมกวานเต๋า แต่ปักเครื่องประดับผมที่มีลักษณะเหมือนดอกเหมย บนตัวเครื่องประดับยังแกะสลักตัวอักษรแถวเล็กๆ คำว่าอารามชิงเหมย (เหมยเขียว) มองเหมยเขียว
เฉินผิงอันเคยได้ยินชื่ออารามชิงเหมยของทะเลสาบหนันถังมาก่อน ว่ากันว่าสวนดอกเหมยของเรือนฉ่าวถังส่งกลิ่นหอมเข้มข้นที่สุด คือตระกูลเซียนลัทธิเต๋าแห่งหนึ่งที่ไม่ใหญ่นัก เพราะว่าระหว่างเส้นทางขึ้นภูเขาทิศตะวันตกที่บ้านเกิดเคยได้เจอกับผู้ฝึกตนคนหนึ่งที่ชื่อโจวฉงหลินโดยบังเอิญ ตอนนั้นนางติดตามอยู่ข้างกายซ่งหยวน หลิวอวิ๋นรุ่น เฉินผิงอันยังจำได้ชัดเจนว่าหลังจากทั้งสองฝ่ายแยกย้ายกันไป เผยเฉียนมีความประทับใจที่ดีมากต่อตัวนาง ตอนนั้นเฉินผิงอันยังรู้สึกแปลกใจเป็นทบทวี เผยเฉียนจึงบอกว่าทะเลสาบหัวใจของโจวฉงหลินผู้นั้นมีเด็กน้อยน่าสงสารที่เสื้อผ้าขาดวิ่น เนื้อตัวผอมแห้งอาศัยอยู่มากมาย นางรู้สึกเสียใจต่อถ้วยข้าวใบใหญ่ที่ว่างเปล่าไม่มีสิ่งใดเป็นอย่างมาก
เจียงซ่างเจินตาแหลม สัมผัสได้ถึงสายสนกลในทันใด จึงถามว่า “เจ้าขุนเขารู้จักพี่สาวคนนี้หรือ? พวกเราจะทักทายนางหน่อยหรือไม่?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่รู้จัก แค่เคยได้ยินชื่อของอารามชิงเหมยทะเลสาบหนันถัง”
เจียงซ่างเจินยิ้มกล่าว “อารามชิงเหมย พรรคเล็ก ตลอดทั้งทะเลสาบหนันถังล้วนไม่เหลืออยู่แล้ว แล้วนับประสาอะไรกับอารามเต๋าเล็กๆ ที่ไม่มีขาวิ่งหนีได้เอง โชคดีที่คนบาดเจ็บล้มตายมีไม่มาก ดังนั้นหลายปีมานี้พวกพี่สาวเทพธิดาที่มาจากอารามเต๋าแห่งนี้จึงยากที่จะฝึกตนอย่างสงบ มีชีวิตสุขสบายกันได้อีกแล้ว จำต้องออกเดินทางไปทั่วสารทิศ ตามหาโชควาสนาอย่างยากลำบาก ช่างชวนให้คนสงสารเวทนายิ่งนัก ตอนที่ข้าเป็นเจ้าสำนักอยู่ที่ทะเลสาบซูเจี่ยนยังเคยซื้อต้นเหมยต้นหนึ่งที่อารามชิงเหมยใช้นำมาดูบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำ น่าเสียดายนัก ไม่มีทางได้เห็นทัศนียภาพที่ ‘ดอกเหมยโน้มต่ำยื่นมือไป ประทินโฉมให้ดวงหน้าของสาวงาม’ อีกแล้ว”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างระอาใจ “ต้นเหมยทั้งต้นหรือ?”
เจียงซ่างเจินพยักหน้า “แน่อยู่แล้ว ทุกครั้งที่มีการเปิดบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำ คนอื่นโยนเงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญถึงจะได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ แต่ข้าแค่โยนเหรียญเงินเกล็ดหิมะเข้าไปเท่านั้น เป็นการค้าที่คุ้มค่ายิ่งนัก”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “โยนเงินเกล็ดหิมะเสร็จแล้ว พอถูกเรียกว่าพี่ชายสองสามทีก็ค่อยโยนเงินร้อนน้อยรัวเข้าไปใช่ไหม?”
เจียงซ่างเจินตอบอย่างอ่อนใจ “เอาเป็นว่าข้าเองก็ไม่ได้ดูบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำของอารามชิงเหมยบ่อยนักก็แล้วกัน ในจักรวาลชายแขเสื้อของข้ามีเก็บไว้อีกร้อยกว่าชิ้น ยุ่งมากเลยล่ะ ตลอดทั้งปีล้วนต้องคอยระมัดระวัง พยายามที่จะโปรยพิรุณให้ทั่วถึง ไม่ให้พี่สาวคนใดถูกเพิกเฉย เจ้าขุนเขาคิดว่าง่ายนักหรือ เปลืองแรงใจยิ่งกว่าการฝึกตนยามอยู่ว่างๆ เสียอีก”
อยู่ว่างๆ ถึงจะฝึกตน…การหาเงินและใช้จ่ายต่างหากถึงจะเป็นงานหลัก คำพูดที่สมควรโดนฟ้าผ่าประเภทนี้ก็มีแต่เจียงซ่างเจินเท่านั้นที่พูดออกจากปากได้ ประเด็นสำคัญคือยังเป็นความจริงอีกด้วย
ตอนนี้เจ้าขุนเขาหนุ่มที่อยู่ข้างกายเขายังไม่รู้ว่า ในอดีตเจียงซ่างเจินยังอาศัยบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำ จ่ายเงินฝนธัญพืชไป ‘แค่’ เหรียญเดียวก็ซื้อต้นเหมยต้นหนึ่งมาจากอารามชิงเหมยได้แล้ว ดังนั้นทุกครั้งที่พี่ใหญ่โจวที่ใช้นามแฝงว่า ‘โจวเซินฉิง’ เปิดปาก พี่สาวเทพธิดาของอารามชิงเหมยจึงมักจะคลี่ยิ้มหวาน จากนั้นจะไปหยุดยืนอยู่ใต้ต้นเหมยพันปีต้นหนึ่งครู่หนึ่งเพื่อโน้มกิ่งเหมยลงมาแตะหน้าผากตัวเอง ไม่อย่างนั้นจะมีคำกล่าวที่ว่า ‘ดอกเหมยประทินโฉมสาวงาม’ เกิดขึ้นมาได้อย่างไร?
เฉินผิงอันพลันหันหน้าไปยิ้มมอง ‘ไช่ถ้ำสถิต’ แห่งพรรคชิงหลิงที่รู้จักสังเกตสีหน้าและแววตาผู้คนเป็นอย่างดี ถามว่า “ไช่เซียนซือ ทำอย่างไรถึงจะสามารถดูบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำของภูเขาลูกนี้ได้?”
ไช่เซียนยิ้มกล่าว “แค่ซื้อหลิงจือหยกเขียวชิ้นหนึ่งก็ได้แล้ว ราคาไม่แพง ห้าเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ตามราคาตลาดของบนภูเขาในทุกวันนี้จะเท่ากับเงินหกพันตำลึงของล่างภูเขา ในเมื่อท่านเป็นสหายของเจ้าศูนย์สวีก็คงไม่พูดถึงการเพิ่มราคาจากการหักเงินเทพเซียนเป็นเงินขาวแล้ว เมื่อซื้อของชิ้นนี้พวกเราจะมอบตำราขุนเขาสายน้ำให้หนึ่งเล่ม ด้านในอธิบายเรื่องของบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำไว้โดยเฉพาะ”
ไช่เซียนคิดแล้วก็เอ่ยเสริมขึ้นมาอีกประโยคว่า “เพียงแต่ว่าบนร่างข้าไม่ได้พกหลิงจือหยกเขียวมาด้วย หากพวกท่านสนใจจริงๆ อีกเดี๋ยวข้าค่อยพาพวกท่านไปดูที่โถงหลิงจือ นอกจากหลิงจือหยกเขียวแล้ว อันที่จริงยังมีวัตถุวิเศษบนภูเขาที่ค่อนข้างหายากอยู่อีกไม่น้อย นอกจากนี้ยังขายของถือเล่น (ถือเป็นของเล่นชนิดหนึ่งในสมัยโบราณ คนมักนิยมถือเล่นอยู่ในมือ ได้แก่พวกหยกสลัก หินสลัก ไม้สลักขนาดเล็กทั้งหลาย) ขนาดกะทัดรัด ของตกแต่งห้องหนังสืออีกบางส่วน ล้วนเป็นการนำหยกหลิงจือที่มีเฉพาะของพรรคพวกเรามาแกะสลัก มาหล่อหลอมอย่างตั้งใจ ราคามีสูงมีต่ำ”
เจียงซ่างเจินหัวเราะ ไช่ถ้ำสถิตผู้นี้ค่อนข้างรู้จักวางตัว ผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนที่เป็นห้าขอบเขตกลางคนหนึ่งไม่วางมาดเฉียบคมข่มผู้อื่น แล้วยังรู้จักเป็นฝ่ายพาดบันไดลงให้กับผู้อื่นอีกด้วย
มิน่าเล่ากวอฉุนซีถึงได้พ่ายแพ้ให้กับไช่ถ้ำสถิต ไม่ใช่แค่ความต่างราวดินโคลนกับก้อนเมฆระหว่างบนภูเขากับล่างภูเขาเท่านั้น
ผู้ฝึกตนหญิงทำเนียบวงศ์ตระกูลของพรรคชิงหลิงที่เป็นขอบเขตถ้ำสถิตเช่นเดียวกันผู้นั้น ระหว่างที่วางหมากก็ได้เหลือบมองมาทางนี้ นางผงกศีรษะให้กวอฉุนซีอย่างมีมารยาท จากนั้นส่งยิ้มทางดวงตาให้แก่ไช่เซียน ไม่ใช่คู่รักเทพเซียนที่จับมือกันทะยานลม ไม่มีริ้วคลื่นกระเพื่อมใสกระจ่างดุจน้ำฤดูใบไม้ร่วงอยู่ในดวงตา ตระกูลเซียนขนาดเล็กอย่างพรรคชิงหลิงนี้ ถ้ำสถิตอายุน้อยสองคน ในอนาคตใครจะได้เป็นเจ้าประมุขล้วนเป็นของในกระเป๋าของบ้านตัวเอง คาดว่าเจ้าประมุขคนปัจจุบันก็คงยินดีจะให้เป็นเช่นนั้น ไม่อย่างนั้นหากเปลี่ยนมาเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์สองคนอื่น แก่งแย่งกันไปช่วงชิงกันมา จะทำลายความสามัคคีปรองดองเอาได้ หากใครคนใดคนหนึ่งจากไปพร้อมกับความขุ่นเคืองก็จะยิ่งเป็นการทำร้ายไปถึงกระดูกและเส้นเอ็น แต่ดูจากท่าทางตอนนี้ เทพธิดาผู้นั้นกับไช่เซียนยังไม่ใช่ข้าวสารที่กลายเป็นข้าวสุก อันที่จริงเรื่องไม่คาดฝันก็อาจจะยังเกิดขึ้นได้ ยกตัวอย่างเช่นฝ่ายแรกฝ่าทะลุขอบเขตเร็วเกินไป กลายเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรคนแรกในประวัติศาสตร์ของพรรคชิงหลิง ถึงเวลานั้นเจ้าประมุขเช่นนางก็จะเป็นคนบนยอดเขาที่ดูแคลนคนกึ่งกลางภูเขาแล้ว ไม่ต่างจากปีนั้นที่พอนางขึ้นเขามาก็ดูแคลนกวอฉุนซีที่อยู่นอกภูเขา
น่าเสียดายที่เทพเซียนผู้เฒ่าขอบเขตชมมหาสมุทรท่านนั้นวางมาดใหญ่โต ไม่ยอมเผยตัว ไม่อย่างนั้นก็จะได้เห็นความไม่ธรรมดาของชุดคลุมอาคมบนร่างกวอฉุนซี เรื่องราวหลังจากนี้จะเปลี่ยนมาเป็นน่าสนใจอย่างมาก ยกตัวอย่างเช่นผู้ฝึกตนหญิงลงจากภูเขาหวนกลับบ้านเกิดไปเยี่ยมญาติ ระหว่างที่เดินทางผ่านศูนย์ฝึกยุทธของอำเภอเซียนโหยว นึกไม่ถึงว่าชายฉกรรจ์เนื้อตัวสกปรกผู้สิ้นหวังตกอับซึ่งในอดีตเคยเติบโตมาด้วยกันจะเกิดแรงใจฮึกเหิม ออกจากบ้านเดินทางไกล แล้วหายตัวไปไม่ทราบร่องรอย…หลังกลับมาถึงภูเขา พอเจ้าประมุขถาม สตรียิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกลึกลับ ยิ่งคิดก็ยิ่งคะนึงหา นับแต่นั้นมาต้องคอยพะวงถึงผลได้ผลเสีย ชื่อหนึ่งที่เกือบจะลืมจากใจไปหมดสิ้นกลับมาวนเวียนอยู่ในใจไม่หยุดอีกครั้ง…ช่างเถิด ถือเสียว่าพี่น้องกวอชายตาให้คนตาบอดมองก็แล้วกัน เวลาบนภูเขายาวนาน ไม่เห็นต้องรีบร้อน ถึงอย่างไรก็ต้องมีโอกาสได้พบเจอกันอีก
เจียงซ่างเจินมองภาพบรรยากาศในช่องโพรงลมปราณของสตรีผู้นั้น เลื่อนเป็นโอสถทองค่อนข้างยากแล้ว แต่หากคิดจะกลายเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรกลับยังพอจะมีความหวังอยู่มาก สำหรับตระกูลเซียนห่างไกลอย่างพรรคชิงหลิงนี้ สามารถหาตัวอ่อนผู้ฝึกตนเช่นนี้ได้ก็ถือว่าศาลบรรพจารย์มีควันเขียวผุดลอยขึ้นมาแล้ว เพียงแต่ว่าเจียงซ่างเจินยังคงรู้สึกเสียใจมากกว่า คนอีกคนหนึ่งที่ประลองวิชาหมากล้อมอยู่ในศาลา แม่นางน้อยของอารามชิงเหมยที่เขาไม่รู้จักคนนั้นหาเงินได้ยากเกินไปแล้ว ถึงกับต้องมาปรากฎตัวในบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำของภูเขาเล็กๆ อย่างพรรคชิงหลิงนี้ ในเมื่อเคยมีความสัมพันธ์กับเจ้าขุนเขาบ้านตน เจียงซ่างเจินจึงโยนเงินร้อนน้อยเหรียญหนึ่งไปให้เงียบๆ จากนั้นจึงใช้เสียงในใจเอ่ยอย่างลับๆ อยู่ท่ามกลางตราผนึกขุนเขาสายน้ำของบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำนั้น “รู้จักพี่ใหญ่โจวหรือไม่?”
สตรีจากพรรคชิงหลิงผู้นั้นมึนงง เพียงแต่อดยินดีอย่างเลี่ยงไม่ได้ ริ้วคลื่นกระเพื่อมของปราณวิญญาณจากเงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญเต็มๆ เมื่อมาอยู่ในพื้นที่คับแคบอย่างศาลาเล็กหลังนี้ ปราณวิญญาณที่อยู่ดีๆ ก็เอ่อล้นออกมาทำให้คนเคลิบเคลิ้มเหมือนเมาสุราได้เลย
ส่วนนักพรตหญิงของอารามชิงเหมยผู้นั้นก็ยิ่งลิงโลด วางเม็ดหมากในมือลง ลุกพรวดขึ้นยืน หันหน้าออกไปนอกหน้าผา ยอบตัวคารวะ จากนั้นจึงเปิดปากเอ่ยว่า “โจวเซินฉิง? โจวเซียนซือ?!”
เจียงซ่างเจินกำลังจะตอบกลับนางไปว่า ‘เรียกโจวเซียนซืออะไรกัน เรียกพี่ใหญ่โจวสิ’ ผลคือถูกเฉินผิงอันถองเข้าให้ จึงได้แต่โยนเงินร้อนน้อยไปอีกหนึ่งเหรียญแล้วเปลี่ยนประโยคเสียใหม่ว่า “วันนี้พี่ใหญ่โจวมีธุระต้องไปทำ ไว้ค่อยคุยกันคราวหน้า”
เฉินผิงอันขมวดคิ้วน้อยๆ เอ่ยอย่างประหลาดใจ “บุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำบนภูเขานี้ หากขยับขยายกว้างออกไปอีกสักหน่อยก็ไม่ถือว่าเป็นรายงานขุนเขาฉบับหนึ่งได้เลยหรอกหรือ?”
เจียงซ่างเจินยิ้มกล่าว “นี่ยังเป็นเพราะราชวงศ์ต้าหลีนำร่องบุกเบิก เพราะอันที่จริงช่วงแรกเริ่มสุดนั้น รายงานขุนเขาสายน้ำและบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำของใต้หล้าไพศาลล้วนถูกสั่งห้ามหมดแล้ว ทว่าแจกันสมบัติทวีปไม่สนใจใยดีกฎของทางศาลบุ๋นเลยแม้แต่น้อย เปิดบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำนำขึ้นมาก่อน แต่ก็ใช้วิธีการที่พบกันครึ่งทาง ไม่สามารถพูดถึงสงครามในครานั้น ไม่อย่างนั้นก็จะถูกราชวงศ์ของแต่ละแคว้นจดบันทึกเอาไว้ จากนั้นผู้ฝึกตนต้าหลีก็จะมาหาถึงที่ ใครทำคนนั้นก็ต้องรับผลของการกระทำเอาเอง ในเมื่อสงครามใหญ่ปิดฉากลงแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องมารับเคราะห์เช่นนี้ แน่นอนว่าก็มีตระกูลเซียนบนภูเขาบางส่วนที่หัวแข็ง ไม่ค่อยเห็นเป็นสำคัญ รู้สึกว่าราชวงศ์ต้าหลีที่ขุนเขาสายน้ำลดน้อยลงไปครึ่งหนึ่ง และอาณาเขตก็จะยังคงลดน้อยลงต่อไปเรื่อยๆ แม้แต่ตัวเองก็ยังเอาตัวไม่รอด ส่วนจุดจบสุดท้ายน่ะหรือ ไม่ผิดไปจากที่คาดเลยสักนิด สกุลซ่งต้าหลีเองก็อำมหิตจริงๆ จัดการกองกำลังตระกูลเซียนที่ไม่รักษากฎกลุ่มใหญ่ไปอย่างลับๆ แต่กลับไม่รีบร้อนจะป่าวประกาศให้ทั้งใต้หล้ารับรู้ รอกระทั่งรวบรวมจนครบห้าสิบตระกูลแล้วถึงปล่อยข่าวออกมา ทางฝั่งของศาลบุ๋นแผ่นดินกลางไม่เพียงแต่ไม่ซักไซ้เอาผิดต้าหลี ยังเลียนแบบทำตามด้วย”
ในสมองของเฉินผิงอันมีคำสองคำผุดขึ้นมา จานกาน ตกปลา
เจียงซ่างเจินทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจังว่า “บนภูเขาของแจกันสมบัติทวีปต่างก็พูดกันว่านี่เป็นฝีมือของหลิ่วชิงเฟิงเจ้ากรมผู้เฒ่าแห่งกรมพิธีการที่อยู่ในเมืองหลวงแห่งที่สองของต้าหลี ไอ้หมอนี่เองก็ไม่เหลือทางถอยไว้ให้ตัวเองแม้แต่น้อย ทว่าดูจากข่าวเบื้องหลังที่ส่งมาจากสำนักเจินจิ้ง อันที่จริงนี่เป็นความคิดของจ้าวเหยารองเจ้ากรมอาญาของเมืองหลวงต้าหลี คนหนุ่มที่เดินออกมาจากถ้ำสวรรค์หลีจู โดยเฉพาะพวกบัณฑิต ช่างจิตใจอำมหิตกันจริงๆ แต่นี่ก็ยิ่งแสดงให้เห็นถึงใจที่แข็งเป็นหินของหลิ่วชิงเฟิง”
——