กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 764.2 บนยอดเขาจี้เซ่อ
ซ่งจี๋ซินกลับมีสีหน้าแช่มชื่น ยื่นมือมาคว้าแขนของเฉินผิงอัน กดเสียงต่ำเอ่ยว่า “ไม่ต้องรีบร้อน ข้ารอได้!”
เฉินผิงอันสะบัดแขนเบาๆ สลัดมือของซ่งจี๋ซินทิ้งไป “นิสัยเสียๆ อย่างโลภมากชอบความสมบูรณ์แบบ วันหน้าต้องปรับเปลี่ยนบ้างแล้ว”
เดินไปถึงหน้าประตูศาล ขาดอีกแค่ก้าวเดียวก็จะก้าวข้ามธรณีประตูออกไป ซ่งจี๋ซินพลันเอ่ยว่า “จำไว้ว่าต้องแยกส่วนรวมกับส่วนตัวออกจากกันอย่างชัดเจน อย่าให้โอกาสใดๆ แก่คนอื่น”
นิ้วโป้งข้างขวาของเฉินผิงอันดันอยู่ที่ด้ามกระบี่อย่างเงียบเชียบแล้ว “เจ้าอย่าลืมว่าใช้มือขวาถือธูป เท้าซ้ายก้าวออกไปล่ะ”
ซ่งจี๋ซินยิ้มพลางยกเท้าซ้ายก้าวข้ามธรณีประตู เดินออกไปจากศาลลำน้ำใหญ่ หลังจากเดินลงบันไดไปแล้วก็หมุนตัวกลับมามองกลอนคู่
เฉินผิงอันเองก็ทำแบบเดียวกัน จึงมายืนเคียงบ่ากับซ่งจี๋ซินอีกครั้ง
ซ่งจี๋ซินถาม “ยังมีกรอบป้ายที่ว่างเปล่านั้น มีความคิดอะไรหรือไม่? หากเจ้ามีความคิด ข้าสามารถทำได้อย่างเงียบเชียบ ไม่มีช่องโหว่แม้สักเสี้ยว”
เฉินผิงอันเงียบไม่ตอบ
ซ่งจี๋ซินเอ่ยเบาๆ ว่า “ทางฝั่งของยอดเขาของแต่ละทวีป อันที่จริงต่างก็รู้ว่าคนที่ถูกตั้งบูชาในศาลลำน้ำคือใคร แล้วก็รู้ว่าเทวรูปในห้องโถงหลักเป็นเพียงแค่ของประดับเท่านั้น เชื่อว่าอีกไม่นานก็จะมีคนเสนอแนะให้ต้าหลีเปลี่ยนมาเป็นจื้อกุยที่สมชื่อสมศักดิ์ศรีมากกว่า เพราะถึงอย่างไรนางก็คือมังกรที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดียวบนโลก และจื้อกุยมีนิสัยอย่างไร เจ้าเองก็รู้ดี นางต้องไม่มีทางปฏิเสธแน่นอน ถึงขั้นยังรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดินอีกด้วย ประเด็นสำคัญคือในเรื่องนี้ ขนาดข้าก็ยังไม่อาจใช้เหตุผลมาพูดคุยกับนางได้ พอถึงช่วงเวลานั้น คาดว่าหลังจากฮ่องเต้ปฏิเสธไปครั้งสองครั้งก็คงจะพยักหน้าตอบตกลงแล้ว จะว่าไปแล้วเจ้าคลายพันธะสัญญากับจื้อกุยแต่เนิ่นๆ ไม่รับโชควาสนาส่วนนั้นไป อันที่จริงก็ทำถูกแล้ว ผลประโยชน์ที่ได้รับมหาศาล ทว่าภัยแฝงที่อาจตามมาเบื้องหลังก็มีไม่น้อย”
เฉินผิงอันพยักหน้า “วันหน้าขอแค่เป็นวิธีการที่ใช้เล่นงานสายเหวินเซิ่งของพวกเรา ไม่ว่าจะเป็นเบื้องหน้าหรือเบื้องหลัง เฉินผิงอันและภูเขาลั่วพั่วล้วนจะรับไว้ แน่นอนว่าเจ้าเองก็อย่าได้อยู่นิ่งเฉย”
ซ่งจี๋ซินยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเราสองคนจะยังมีวันที่ได้เคียงบ่าร่วมมือกัน”
เฉินผิงอันอืมรับหนึ่ง “เป็นเรื่องที่น่าหงุดหงิดใจมากจริงๆ”
ซ่งจี๋ซินบื้อใบ้พูดไม่ออก
เขาเงียบไปพักใหญ่ นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ สีหน้าก็เปลี่ยนมาเป็นเคร่งเครียด “ต้องระวังผู้ฝึกตนกลุ่มหนึ่งที่ออกเดินทางไกลไปเยือนทวีปต่างๆ หากพบเจอโดยบังเอิญ ทางที่ดีที่สุดก็ควรอ้อมไปให้ไกล คนกลุ่มนี้นอกจากมีผู้เฒ่าสองคนที่เป็นผู้ปกป้องมรรคาแล้ว คนที่เหลือล้วนอายุไม่มาก สถานะพิเศษอย่างถึงที่สุด และยามลงมือทำอะไรก็ยิ่งลึกลับ ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยชอบทะยานลม แต่ชอบใช้สองขาเดินขึ้นเขาลงห้วยมากกว่า ผู้ฝึกกระบี่บางส่วนของอุตรกุรุทวีปที่อยู่ต่อในแจกันสมบัติทวีป ก่อนหน้านี้ก็เจอกับความลำบากใหญ่หลวงไปแล้ว เวลานี้ยังไม่รู้ร่องรอยของพวกเขา เหมือนหายไปกลางอากาศอย่างไรอย่างนั้น ต้องรู้ว่าคนหนึ่งในนั้นยังเป็นเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบด้วย อีกทั้งเรื่องนี้ นอกจากคนจำนวนน้อยนิดของต้าหลีซึ่งรวมถึงตัวข้าเองแล้ว บนภูเขาล่างภูเขา ก็ยังมีไม่ถึงห้าคน เพราะคนอื่นๆ ล้วนไม่มีคุณสมบัติพอที่จะได้รู้ การที่ข้ารู้เรื่องนี้ยังเป็นเพราะอีกฝ่ายได้ ‘ทักทาย’ มายังสกุลซ่งต้าหลีของพวกเรา ถือว่าเป็นมารยาทที่ควรมีต่อเจ้าบ้าน หลีกเลี่ยงไม่ให้อุตรกุรุทวีปสูญเสียผู้ฝึกกระบี่ไปหลายสิบคนแล้วพวกเรายังต้องคอยตามหากันอย่างส่งเดช แต่โอกาสที่เจ้าจะได้เจอกับพวกเขาคงมีไม่มาก”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็พยักหน้า “หากเดาไม่ผิดน่าจะเป็นผู้ฝึกลมปราณสำนักหยินหยางและสำนักคำนวณที่มีศาลบุ๋นแผ่นดินกลางเป็นผู้นำ กำลังทำการกำหนดขีดระดับเวลาใหม่ รวมไปถึงยืนยันในเรื่องของความสั้นยาว น้ำหนักและพื้นที่ความจุ นี่คือเรื่องใหญ่อันดับหนึ่งของใต้หล้าไพศาลหลังจากสงครามใหญ่ผ่านพ้นไป จำเป็นต้องมีคนเดินทางไปทั่วขุนเขาสายน้ำของเก้าทวีปถึงจะสามารถตั้งมาตรฐานในการวัดความยาว ความจุและน้ำหนักที่หลี่เซิ่งกำหนดไว้ในอดีตได้ใหม่อีกครั้ง หากใครไปเจอเข้ากับพวกเขาในเวลานี้ ไม่เรียกว่ารนหาที่ตายจะเรียกว่าอะไร กินข้าวแดงในคุกของศาลบุ๋นหลายปีก็ยังถือว่าศาลบุ๋นมีเหตุผลมากแล้ว”
สภาพดินฟ้าอากาศของใต้หล้าไพศาลในทุกวันนี้ไม่ถือว่ามั่นคงมากนัก นอกจากจะเป็นเพราะได้รับอิทธิพลจากการที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างชักนำแล้ว ยังเกี่ยวข้องกับ ‘รูโหว่’ บางอย่างของตัวมหามรรคาของใต้หล้าไพศาลเองด้วย ดังนั้นเฉินผิงอันถึงเดาว่าอุปกรณ์ทั้งหลายที่ใช้คำนวณความยาว ความจุและน้ำหนักอย่างแม่นยำ ได้เกิดความคลาดเคลื่อนบางอย่าง และความต่างเพียงเสี้ยวเดียวของพวกมันก็เท่ากับว่าทุกอย่างล้วนถือเป็นโมฆะทั้งหมด ส่วนใครที่สามารถสร้างความเสียหายทางมหามรรคาประเภทนี้ได้ ก็ไม่จำเป็นต้องเดาเลย ก็คือบรรพบุรุษใหญ่ภูเขาทัวเยว่ รวมไปถึงมหาสมุทรความรู้โจวมี่ นอกจากนี้แล้วไม่ว่าปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ตนใดก็ล้วนไม่อาจทำได้
และผลกระทบบนมหามรรคาที่ลึกล้ำยาวไกลซึ่งมองไม่เห็นนี้ ผู้ฝึกลมปราณบนยอดเขาคนหนึ่งของใต้หล้าไพศาล ยิ่งขอบเขตสูงเท่าไรก็จะยิ่งสัมผัสได้อย่างลึกซึ้งมากเท่านั้น
ซ่งจี๋ซินจุ๊ปากยิ้มพูด “ไม่เสียแรงที่เป็นอิ่นกวาน แม้แต่เรื่องนี้ก็ยังคาดเดาได้”
คนทั้งสองหมุนตัวกลับ สาวเท้าเดินไปเนิบช้า เฉินผิงอันถามว่า “หม่าขู่เสวียนก่อเรื่องส่งเดชเช่นนี้ ไม่มีใครควบคุมบ้างเลยหรือ?”
เซอเยว่ ฉุนชิง สวี่ป๋าย หนึ่งคนรุ่นเยาว์และสองตัวสำรองของหลายใต้หล้า
แม้ว่าหม่าขู่เสวียนผู้นี้จะทำอะไรโอหังกำแหง แต่อย่างน้อยที่สุดก็ไม่เคยพูดจาคุยโว ดังนั้นทั้งสามคนนั้นก็คงต้องเคยเจอกับความยากลำบากด้วยน้ำมือของหม่าขู่เสวียนมาก่อนจริงๆ ดูเหมือนว่าเซอเยว่จะไม่เชี่ยวชาญการเข่นฆ่าสักเท่าไร ส่วนฉุนชิงแห่งถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ รวมไปถึงเด็กหนุ่มเจียงไท่กงผู้นั้น เฉินผิงอันไม่เคยพบมาก่อน จึงบอกได้ยาก ทว่าอิงตามรายงานขุนเขาสายน้ำฉบับที่แพร่ไปถึงหัวกำแพงเมืองของปีนั้น สองคนหลังนี้อายุน้อยเกินไป อีกทั้งดูเหมือนว่าจะไม่ได้ท่องยุทธภพมาอย่างโชกโชนด้วย พ่ายแพ้ให้แก่หม่าขู่เสวียน อันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
ซ่งจี๋ซินกล่าว “คุณความชอบทางการสู้รบมีมากเกินไป จึงเอามาผลาญใช้อย่างสิ้นเปลืองได้ตามใจ แล้วนับประสาอะไรกับที่ความสามารถในการหาเรื่องคนอื่นของหม่าขู่เสวียน คนอื่นไม่รู้ เจ้าและข้าจะยังไม่รู้ด้วยหรือ? ประลองฝีมือกันบนภูเขา อีกทั้งยังเป็นคนรุ่นเดียวกัน ไม่มีการแบ่งเป็นตาย คนนอกมาล้อมวงดูเรื่องสนุกกันแทบไม่ทัน จะมีใครห้ามเล่า ทุกวันนี้หม่าขู่เสวียนที่อยู่ในแจกันสมบัติทวีปสามารถเดินกร่างได้แล้ว ผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เลื่อมใสหม่าขู่เสวียนจากใจจริงก็ยิ่งมีมากมายนับไม่ถ้วน คนที่ไม่ชอบนิสัยกำเริบเสิบสานของเขา นึกอยากจะให้หม่าขู่เสวียนดื่มน้ำเย็นแล้วสำลักตาย เวลาเดินสะดุดล้มขอบเขตถดถอย ฝ่ายคนหนุ่มสาวบนภูเขาที่ชอบหม่าขู่เสวียนกลับนึกอยากจะให้พรุ่งนี้หมู่เสวียนได้เป็นเซียนเหริน วันมะรืนได้เป็นขอบเขตบินทะยานไปเลยด้วยซ้ำ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “อันที่จริงก็แค่เพราะเขายังไม่เคยได้เจอกับเฉาสือหรือไม่ก็เฝ่ยหราน ไม่อย่างนั้นหม่าขู่เสวียนก็คงต้องได้เปลี่ยนชื่อทันทีแล้ว”
ซ่งจี๋ซินถาม “หม่าขู่เสวียนรอเจ้าอยู่ที่นั่น?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “แยกตัวอวี๋สืออู้ออกไปแล้วด้วย”
ซ่งจี๋ซินถามอย่างคลางแคลง “ทำไมเจ้าถึงเปลี่ยนใจล่ะ?”
เฉินผิงอันตอบ “เพราะว่าเขายังไม่ถอดใจ ไม่เห็น ‘เรื่องเดิมไม่ทำซ้ำสาม’ เป็นจริงเป็นจัง ดังนั้นเลยจงใจรอข้าอยู่ริมลำน้ำใหญ่ ยังคงเป็นเจ้าที่เข้าใจเขาดีที่สุด เรื่องอย่างการท้าทายคนอื่นนี้ หม่าขู่เสวียนเชี่ยวชาญมากจริงๆ แล้วก็เพราะเจ้านิสัยดี ไม่อย่างนั้นหลายปีมานี้ตาใหญ่มองตาเล็ก เป็นข้าคงทนไม่ไหวไปนานแล้ว”
ซ่งจี๋ซินรู้สึกหน่ายใจเล็กน้อย ด่าทีได้ถึงสองคน ดีเลย พวกเจ้าสองคนก็ไปตีกันเลย
ซ่งจี๋ซินเดินไปยังรถม้าไม่สะดุดตาคันหนึ่งที่จอดอยู่ห่างไปไกล สารถีก็คือผู้ถวายงานอันดับต้นๆ ของเมืองหลวงแห่งที่สองของต้าหลี
หันหน้ากลับไปมอง อ๋องเจ้าเมืองหนุ่มพบว่าเจ้าคนผู้นั้นยังยืนอยู่ที่เดิม คล้ายกับรอให้ตนขึ้นรถ ซ่งจี๋ซินจึงคลี่ยิ้มแล้วโบกมือลา ในใจกลับรู้สึกแปลกประหลาด พอมาคิดดูอีกทีก็พลันปล่อยวาง เพราะถึงอย่างไรก็เป็นเพื่อนบ้านกันมานานหลายปีและยังถือว่าเป็น…คนร่วมสำนัก ก็อีกฝ่ายพูดว่า ‘สายเหวินเซิ่งของพวกเรา’ นี่นะ แล้วพอคิดอีกที สีหน้าของซ่งจี๋ซินก็เปลี่ยนมาเป็นเหยเก หากอิงตามลำดับศักดิ์แล้ว มารดามันเถอะ เฉินผิงอันจะไม่ถือว่าเป็นอาจารย์อาน้อยของตนหรอกหรือ?
คนแบบนี้ เหตุใดถึงกลายมาเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของสายเหวินเซิ่งได้นะ?
ซ่งจี๋ซินนั่งอยู่ในห้องโดยสารของรถม้าแล้วเริ่มใคร่ครวญปัญหาข้อนี้อย่างจริงจัง
คนที่ไม่เคยเป็นเพื่อนบ้านกับเฉินผิงอันย่อมไม่มีทางจินตนาการออกเลยว่าเจ้าเด็กบ้านนอกขาเปื้อนโคลนผู้นี้คิดถึงเงินจนเป็นบ้าขนาดไหน วันทั้งวันตั้งแต่เช้าจรดเย็น ตั้งแต่ต้นปียันท้ายปี สรุปก็คือไม่เคยคิดถึงเรื่องเรียน ไม่เคยได้อ่านตำรา มีแค่สองเรื่องเท่านั้น หาเงิน ประหยัดเงิน และตามคำกล่าวของเจ้าคนขาเปื้อนโคลนในปีนั้นก็คือ คนไม่มีเงิน การประหยัดเงินก็คือการหาเงิน จำได้ว่าพอเฉินผิงอันเอ่ยประโยคนี้จบ จื้อกุยกำลังใช้ไม้ขนไก่ตีผ้าห่มอยู่ในลานบ้าน ซ่งจี๋ซินนั่งอยู่บนหัวกำแพง แกว่งส่ายถุงเงินใบหนึ่ง ถามเฉินผิงอันว่าสิ้นปีแล้ว จะยืมเงินไปซื้อกลอนคู่ ภาพเทพทวารบาลหรือไม่ ตอนนั้นเฉินผิงอันบอกว่าไม่ต้อง
เจ้าหมอนี่มักจะขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรเป็นประจำ อีกทั้งจะขายให้กับร้านตระกูลหยางด้วยราคาที่ต่ำที่สุดของราคาตลาดเท่านั้น เจ้าคนขาเปื้อนโคลนไม่เคยถามถึงเรื่องราคา
คนบ้านใกล้เรือนเคียง ขอแค่มีธุระ บอกกล่าวสักคำ เฉินผิงอันก็จะไปช่วยเหลือ ทำไร่ทำนา ไปแย่งน้ำกลางดึก งานมงคลทั้งหลาย ทุกครั้งที่ต้องเฝ้าศพ จะต้องเฝ้าจนถึงวันพรุ่งนี้ ขนาดญาติยังทนไม่ไหวหลับไปแล้ว เด็กหนุ่มกลับยังนั่งอยู่ที่นั่นเพียงลำพัง…
ทุกครั้งที่ถึงสิ้นปีต้องช่วยกันฆ่าหมู เด็กหนุ่มที่ออกแรงไม่น้อย เมื่อต้องนั่งล้อมวงที่โต๊ะอาหารตามประเพณีกลับกินแค่ข้าวถ้วยใหญ่ถ้วยเดียว คีบเนื้อกินคำเดียวก็ออกมาจากโต๊ะ มีคนฆ่าไก่ หากมีขนไก่ที่คนไม่ต้องการ เขาก็จะบอกกล่าวไว้ก่อน จากนั้นค่อยเก็บกลับบ้านเอาไปทำไม้ปัดขนไก่ ลูกขนไก่
ผ่าฟืนเผาถ่าน เพราะกลัวว่าจะเกิดปัญหากับคนหนุ่มวัยฉกรรจ์ คิดอยากจะเผาถ่านก็ต้องวิ่งขึ้นภูเขาหลายรอบ ทุกปีล้วนหากมีส่วนที่เหลือเกินมา เขาก็จะแบกถ่านแต่ละถุงออกจากภูเขา แบกกลับมาถึงบ้าน จากนั้นค่อยแบกไปตามบ้านใกล้เรือนเคียง มอบมันให้กับเพื่อนบ้าน ยังบอกอีกว่าไม้ฟืนไม่ค่อยดี เผาเป็นถ่านได้แย่ไปสักหน่อย เลยขายไม่ได้เงิน หากมีคนรั้งเขาไว้ให้กินข้าว หรือไม่ก็มีพวกคนเฒ่าคนแก่ตอบแทนน้ำใจคืนด้วยไข่ไก่หรืออะไร เขาก็ไม่ยอมตอบตกลง มักจะหาข้ออ้างง่ายๆ แล้ววิ่งจากมา
หาป่าไผ่ขุดหน่อไม้ตากหน่อไม้แห้ง เพียงแค่เหลือบไปเห็นของตกแต่งห้องหนังสือของเพื่อนบ้านแวบเดียว ก็เริ่มค่อยๆ เก็บสะสมเศษเครื่องกระเบื้องที่เตาเผามังกรทิ้งมาทีละนิด ยามอยู่ว่างไม่มีอะไรทำก็มักจะพาเจ้าขี้มูกยืดน้อยไปพลิกๆ ค้นๆ ที่ภูเขากระเบื้องด้วยกัน จากนั้นทำโครงไม้ขึ้นมาเอง หากชิ้นส่วนเครื่องกระเบื้องที่เก็บมาพวกนั้นมีภาพที่ค่อนข้างสมบูรณ์แบบหรือค่อนข้างคล้ายคลึงกัน ก็จะเอามาประกอบรวมกันทำเป็นแผ่นบังลม เฉินผิงอันเคยถามซ่งจี๋ซินว่าจะซื้อหรือไม่ ตอนนั้นอันที่จริงซ่งจี๋ซินอยากได้แผ่นบังลมที่เศษกระเบื้องล้วนเป็นลวดลายมังกรอย่างมาก แต่ตอนนั้นเจ้าขี้มูกยืดน้อยตะโกนเสียงดังสนั่นฟ้า บอกว่าแผ่นบังลมอันหนึ่งซื้อจื้อกุยสิบคนมาอุ่นผ้าห่มได้เลย หากขนาดนี้แล้วยังไม่ซื้อก็เท่ากับว่าทำให้ฝากระดานโลงศพในหลุมบรรพบุรุษเผยออ้าแล้ว…ทำเอาซ่งจี๋ซินที่ได้ยินหงุดหงิดใจ เจ้าลูกกระต่ายน้อยผู้นั้นยืนเหยียบอยู่บนม้านั่งของลานบ้านติดกัน โหวกเหวกไปด้วยพลางสลัดขี้มูกมาทางลานบ้านของซ่งจี๋ซินไปด้วย ซ่งจี๋ซินจึงบอกว่าของเล่นนี้ฝีมือหยาบเกินไป มอบให้ใครก็ยังไม่มีใครต้องการ อาศัยสิ่งนี้มาหาเงินช่างไร้จิตสำนึกเกินไปแล้ว หลังจากนั้นมาเฉินผิงอันก็ไม่ไปเก็บเศษชิ้นส่วนของแตกหักที่ภูเขากระเบื้องเคลือบอีกต่อไป แผ่นบังลมหลายชิ้นที่เดิมทีทำไว้เรียบร้อยแล้วก็เอาไปมอบให้คนอื่น หลิวเสี้ยนหยาง กู้ช่านแห่งตรอกหนีผิง และยังมีเพื่อนบ้านใกล้เคียงที่เด็กๆ ในบ้านไปเรียนหนังสือที่โรงเรียน
ก่อนอายุสิบสี่ ลูกจ้างเตาเผาที่เติบโตมาด้วยการขอข้าวจากบ้านโน้นบ้านนี้ ดูเหมือนว่าจะชดใช้คืนน้ำใจที่ติดค้างให้กับทุกคนในยามเยาว์จนหมดสิ้นแล้ว
ไม่รู้ว่าเหตุใด อ๋องเจ้าเมืองที่หลับตาพักผ่อน เพียงแค่คิดถึงในปีนั้น มีครั้งหนึ่งตนพาสาวใช้กลับมายังตรอกหนีผิง เจอกับเด็กหนุ่มรองเท้าเตะยืนอยู่หน้าประตูบ้านเขาพอดี ก่อนจะควักกุญแจมาเปิดประตู เด็กขาเปื้อนโคลนเหลือบตามองประตูและกำแพงบ้านของเพื่อนบ้านแวบหนึ่งอย่างรวดเร็ว พอเปิดประตูแล้วก็ยังอดไม่ไหวเดินถอยหลังกลับมาหลายก้าว มองเพิ่มอีกสองสามที
แค่คิดซ่งจี๋ซินก็รู้สึกเสียใจภายหลังขึ้นมานิดๆ หากรู้แต่แรกปีนั้นก็คงจะจ่ายเงินเหรียญทองแดงแค่ไม่กี่เหรียญซื้อแผ่นบังลมเศษกระเบื้องพวกนั้นมาแล้ว ยังพอจะจำได้รางๆ ว่า อันที่จริงฝีมือไม่เลวเลย แล้วยังตั้งใจอย่างมาก มีครบทั้งดอกไม้พืชหญ้าและสกุณาของสี่ฤดูกาล
จำได้ว่าตอนเด็กบางครั้งซ่งจี๋ซินก็จะทิ้งจื้อกุยเอาไว้ แล้วไปเดินเล่นอยู่ข้างนอกเพียงลำพัง กลับมาบ้านมืดค่ำหน่อย ซ่งจี๋ซินที่แท้จริงแล้วไม่ได้ใจกล้าอะไร ด้วยกลัวผีมาก จึงวิ่งไปพลางเรียกชื่อของเฉินผิงอันไปด้วย และทุกคืนคนวัยเดียวกันที่ไม่จุดตะเกียงในบ้านก็มักจะแง้มประตูเปิดดังแอด เป็นการตอบรับเขาอยู่ไกลๆ
หลังจากที่เฉินผิงอันไปเรียนเผาเครื่องปั้นที่เตาเผามังกร ซ่งจี๋ซินอายุมากแล้ว ได้เรียนหลักการเหตุผลในตำราที่บอกว่าขงจื๊อไม่สอนเรื่องลึกลับและวิญญาณมาบ้างแล้ว จึงไม่ทำตัวเหลวไหลแบบนั้นอีก แล้วก็รู้สึกว่าขายหน้าด้วย บวกกับกลัวว่าจะเสียงดังรบกวนจื้อกุย และยิ่งพอมาตอนหลัง ทั้งสองฝ่ายทะเลาะกันครานั้น คาดว่าต่อให้ฝ่ายหนึ่งยินดีจะเรียก อีกฝ่ายหนึ่งก็คงไม่ยินดีจะตอบรับแล้ว แต่เจ้าขี้มูกยืดน้อยที่อาศัยอยู่สุดซอยด้านหนึ่งของตรอกหนีผิงกลับเข้ามาแทนที่ซ่งปันไฉ ไม่รู้ว่าเหตุใดทุกครั้งที่กู้ช่านออกไปนอนคว่ำริมคันนาเพื่อตกปลาไหลเพียงลำพัง เวลากลับบ้านมักจะชอบอ้อมระยะทาง จะต้องเดินผ่านตลอดทั้งตรอกหนีผิงแล้วค่อยกลับบ้าน ตรงเอวของเจ้าขี้มูกยืดน้อยจะห้อยข้องจับปลาไม้ไผ่สานใบเล็กไว้ใบหนึ่ง วิ่งไปพลางตะโกนเรียกชื่อของเฉินผิงอันอย่างดังไปด้วย ขอแค่เฉินผิงอันอยู่บ้านก็จะต้องเดินออกมานอกบ้าน ส่วนใหญ่แล้วจะยืนอยู่ที่หน้าประตูเรือน พูดคุยเล่นกับกู้ช่านสองสามคำ บางครั้งหลิวเสี้ยนหยางรำคาญก็จะตะเบ็งเสียงด่ากลับไปว่าเรียกหาผีเหรอ ก่อนที่กู้ช่านจะหยุดเดินก็จะต้องตะโกนกลับมาว่าเรียกชื่อบรรพบุรุษเจ้าน่ะสิ รีบเรียกหวังจูตัวขี้เกียจนั่นให้ลุกจากเตียง ไปจุดธูปด้วยกัน ขอร้องให้บนหลุมศพมีควันเขียวผุดขึ้นมา…อันที่จริงซ่งจี๋ซินรู้ดีว่า หากไม่เป็นเพราะเฉินผิงอันห้ามเจ้าขี้มูกยืดน้อยเอาไว้ ซึ่งไม่รู้ว่าเขาพูดโน้มน้าวกู้ช่านอย่างไร บ้านของซ่งจี๋ซินก็คงต้องเปลี่ยนกลอนคู่ เปลี่ยนภาพเทพทวารบาลทุกวัน ซ่งจี๋ซินไม่เสียดายเงินแค่ไม่กี่แดงพวกนั้น แต่ใครเล่าจะไม่หงุดหงิดใจ
กู้ช่านเจ้าตะพาบน้อยผู้นี้เจ้าคิดเจ้าแค้นกว่าเฉินผิงอันมากนัก เขาสามารถกัดฟันไม่หลับไม่น้อย รอคอยอย่างยากลำบากจนกระทั่งถึงกลางดึกสงัด แล้วค่อยวิ่งมาขว้างหินใส่หน้าต่างบ้านตนได้จริงๆ ปีนั้นรู้สึกว่าน่าขำ แต่ภายหลังยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าจุดที่น่ากลัวมากที่สุดนั้นอยู่ที่ว่า ทุกครั้งที่เจอกับฝนตกหรือหิมะตก บนพื้นในตรอกจะมีรอยรองเท้ายาวเหยียด เป็นของคนโต อีกทั้งเป็นรอยเท้าสองรอยที่แยกจากกันแค่เล็กน้อย ปรากฏขึ้นถึงแค่กลางตรอกเท่านั้น หมายความว่ากู้ช่านฝ่าอากาศที่ฝนตกหิมะตก ออกจากบ้านของตัวเองมาแล้วก็อ้อมไปอีกฝั่งหนึ่งของตรอกเล็ก แล้วค่อยเดินมาทางบ้านของเฉินผิงอันและซ่งจี๋ซิน พอขว้างหินเสร็จก็วิ่งกลับไปทางเดิม จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ ซ่งจี๋ซินก็ยังอดสงสัยใคร่รู้ไม่ได้ว่ารองเท้าของผู้ใหญ่คู่นั้น สรุปแล้วกู้ช่านต้องการใส่ร้ายใครกันแน่ ปีนั้นสรุปแล้วเขาไปขโมยมาจากบ้านใคร แล้วเจ้าขี้มูกยืดน้อยผู้นี้ ‘เดินไปตลอดทาง’ ได้อย่างไร
ต้องรู้ว่ากู้ช่านในเวลานั้นเพิ่งจะอายุสี่ขวบเท่านั้น
กู้ช่านในเวลานี้ ดูเหมือนว่าอายุจะยังไม่ถึงสามสิบปี ก็ได้กลายเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของเจ้านครจักรพรรดิขาวแล้ว และกลายเป็น ‘คนที่ใช้เหตุผล’ ที่ขึ้นชื่อในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางแล้ว
หากจะบอกว่าเฉินผิงอันตอนเด็ก เพียงแค่เพราะตัวเขาเองไม่อาจกลัวปัญหาได้ จึงกลายเป็นคนที่ไม่กลัวปัญหาจนเกิดเป็นความเคยชินตามธรรมชาติ ถ้าอย่างนั้นความอดทนของกู้ช่านก็ติดตัวมาแต่กำเนิดจริงๆ
ต่อให้วันนี้ซ่งจี๋ซินได้กลับมาพบกับเฉินผิงอันอีกครั้ง เขาก็ยังคงรู้สึกว่ากู้ช่านเหมือนผู้ฝึกตนเต็มตัวมากกว่าเฉินผิงอันเสียอีก เป็นผู้ฝึกตนอิสระโดยเนื้อแท้ หรือควรพูดว่าเกิดมาก็คู่ควรกับการเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของนครจักรพรรดิขาวอยู่แล้ว
อีกทั้งในอนาคตอีกร้อยปี ซ่งจี๋ซินก็มั่นใจอย่างยิ่งว่ากู้ช่านจะต้องกลายเป็นหนึ่งในผู้ฝึกตนมีพรสวรรค์ไม่กี่คนที่โดดเด่นที่สุดของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง หรืออาจจะไม่ใช่หนึ่งในด้วยซ้ำ?
พอซ่งจี๋ซินคิดมาถึงตรงนี้ก็พลันหัวเราะ เอ่ยเสียงเบาว่า “ตรอกหนีผิงของพวกเราเป็นสถานที่ที่ดี ตอนเด็กข้าไม่ควรกลัวผีเลย”
——