กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 767.3 ปฏิทินเหลืองเก่าแก่ที่เปิดไม่ได้
ระหว่างทางที่กลับกันไป หลิวเสี้ยนหยางก็ร่ายกระบวนท่าหมัดหวังปาไปหนึ่งชุด เหลียวซ้ายแลขวาอยู่รอบหนึ่งก็หยิบหินก้อนหนึ่งขว้างใส่เป็ดตัวหนึ่งที่กำลังเล่นน้ำอย่างเบิกบาน แล้วจึงแอบลงไปในน้ำ พอขึ้นฝั่งมาแล้วก็ยัดเป็ดตัวนั้นใส่ชายแขนเสื้อ จากนั้นก็ชักเท้าวิ่งตะบึง คืนนี้มีกับแกล้มสำหรับมื้อดึกแล้ว
เฉินผิงอันทนมองไม่ไหวจึงไปที่เมืองเล็ก เดินไปทางทิศตะวันตกตลอดทาง ไปดื่มเหล้ากับหลี่เอ้อ
สตรีออกเรือนแล้วเห็นเฉินผิงอันมาเป็นแขกที่บ้านก็ถอนหายใจเฮือกๆ เอ่ยเพียงว่าทำไมถึงเพิ่งมา ทำไมถึงเพิ่งมา
บนโต๊ะอาหาร สองสามีภรรยานั่งตรงตำแหน่งประธาน หันเฉิงเจียงย่อมต้องนั่งอยู่ข้างกายหลี่หลิ่ว บุรุษชุดเขียวที่มาเป็นแขกนั่งอยู่ตรงตำแหน่งเก้าอี้ของหลี่ไหว
หันเฉิงเจียงพลันค้นพบว่าดูเหมือนจะมีบางอย่างผิดปกติ
คงไม่ใช่ว่าคนเฝ้าศาลหลินที่เป็นเทพเซียนบนภูเขากับต่งครึ่งเมืองที่มีเงินทองไหลมาเทมา ต่างก็ไม่ใช่ภัยคุกคามที่แท้จริงกระมัง? แต่เป็นเจ้าขุนเขาที่มองดูแล้วใจดีมีเมตตา เขาต่างหากที่เป็นเสือหน้ายิ้มที่อำพรางตัวตนอย่างลึกล้ำถึงที่สุด คือศัตรูตัวร้ายที่แท้จริง?
บนโต๊ะสุรา ครอบครัวหลี่เอ้อต่างก็ไม่เห็นเฉินผิงอันที่เป็นคนนอกเป็นคนนอก ดังนั้นจึงพูดคุยกันค่อนข้างเรื่อยเปื่อยตามแต่ใจ
เดิมทีหันเฉิงเจียงก็เป็นคนที่ไม่ชอบคิดมากอยู่แล้ว ประเด็นสำคัญคือเจ้าขุนเขาเฉินผู้นั้นเพียงแค่คารวะสุราตนเท่านั้น ไม่ได้จงใจยุให้ดื่มเหล้า นี่ทำให้หันเฉิงเจียงโล่งเหมือนยกภูเขาออกจากอก
ตามคำกล่าวของหลิวเสี้ยนหยาง คนต่างถิ่นคนหนึ่งติดตามภรรยาของตัวเองกลับบ้านเกิด ยามที่บุรุษนั่งอยู่บนโต๊ะสุราต้องดื่มเองก่อนหนึ่งรอบ คนที่อยู่บนโต๊ะสุราค่อยดื่มเป็นเพื่อนอีกหนึ่งรอบ ดื่มครบสองรอบแล้ว หากไม่หาเหล้าใต้โต๊ะมาดื่มต่อก็ถือว่ายอมรับบุตรเขยที่เป็นคนต่างถิ่นแล้ว ถ้าไม่มีความสามารถที่จะดื่มเหล้าให้ครบรอบ วันหน้ายามนั่งกินข้าวบนโต๊ะ หากไม่แตะต้องเหล้าก็ได้แต่ดื่มเหล้าร่วมกับเด็กๆ ที่ยังสวมกางเกงเปิดก้นอย่าง ‘ตามแต่ใจ’ เท่านั้น
ครั้งแรกที่หลี่หลิ่วออกไปจากถ้ำสวรรค์หลีจู ก็คือติดตามบิดามารดาไปยังยอดเขาสิงโตของอุตรกุรุทวีป ตอนนั้นก็เป็นบัณฑิตหันเฉิงเจียงที่พาเด็กรับใช้เดินตามพวกเขาไปตลอดทางพอดี อันที่จริงนี่ก็คือวาสนาอย่างหนึ่ง ในความเป็นจริงแล้วชีวิตนี้ของหันเฉิงเจียงกับ ‘หลี่หลิ่ว’ ที่ละทิ้งร่างกลับมาจุติใหม่หลายครั้ง อีกทั้งทุกครั้งยังจดจำอดีตชาติได้ ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีความเคียดแค้น แล้วก็เคยมีวาสนาต่อกันมาก่อน อีกทั้งยังไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แต่เป็นสองครั้ง ครั้งหนึ่งที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง อีกครั้งหนึ่งคือที่หลิวเสียทวีป
ดังนั้นชีวิตนี้หลี่หลิ่วถึงได้ผูกสมัครเป็นคู่บำเพ็ญเพียรบนภูเขากับอีกฝ่าย หันเฉิงเจียงถึงได้ติดตามหลี่หลิ่วกลับมายังบ้านเกิด ในอดีตจากไป วันนี้หวนคืนกลับมา ล้วนเคียงคู่อยู่ด้วยกัน ก็คือการสานวาสนา จากนั้นจึงคลายความแค้นและคลายวาสนาจากกัน เพียงแต่ว่าเดิมทีทั้งสองฝ่ายตกลงกันไว้เรียบร้อยแล้วว่าจะแยกทางกันเมื่อมาถึงเมืองเล็กบ้านเกิดของหลี่หลิ่ว นับจากนี้ไปจะได้กลับมาพบเจอกันอีกหรือไม่ก็ต้องดูแค่ว่าหลี่หลิ่วจะหาเขาพบหรือไม่ ทว่าสตรีออกเรือนแล้วที่ตลอดทางไม่ว่าจะมองตรงมองตะแคงลูกเขยอย่างไรก็ไม่ถูกชะตา กลับรู้สึกว่าเพิ่งจะแต่งงานกันได้แค่ไม่กี่วันก็ฉีกสัญญางานแต่ง ช่างไร้เหตุผลสิ้นดี ใต้หล้านี้มีสตรีที่ไหนแล้งน้ำใจเย็นชาแบบนี้บ้าง เอาเป็นว่าไม่ว่าใครก็ล้วนเป็นเช่นนี้ได้ มีเพียงบุตรสาวบ้านตนเท่านั้นที่ไม่ได้ ต่อให้งานแต่งของลูกสาวจะจัดขึ้นอย่างลวกๆ เพียงแค่จัดงานที่เมืองเล็กตีนเขายอดเขาสิงโตครั้งหนึ่ง ทางตระกูลหันก็ไม่มีผู้อาวุโสคนใดมาร่วมงานพิธี ทำให้สตรีออกเรือนแล้วกลายเป็นตัวตลกของคนบ้านใกล้เรือนเคียงอยู่นาน มีสตรีบางคนยังจงใจพูดจากระแหนะกระแหนนาง บอกว่าลูกเขยแซ่หันที่พาตัวเองมาส่งถึงบ้านผู้นี้ ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็สู้คนหนุ่มแซ่เฉินที่เคยมาช่วยงานในร้านปีนั้นไม่ได้ รูปโฉมหล่อเหลา มือเท้าว่องไว มีมารยาทต่อผู้อื่น ช่วยทำการค้าก็ทั้งหัวดีทั้งมีคุณธรรม หากหลิ่วเอ๋อร์บ้านพวกเจ้าแต่งกับคนผู้นั้นได้ เจ้าก็จะมีโชคในช่วงบั้นปลายแล้ว…
แต่สตรีออกเรือนแล้วที่ไม่ว่าจะลำเอียงรักบุตรชายอย่างไร ไม่ว่าจะอยากให้สามีของหลี่หลิ่วช่วยเหลือหลี่ไหวแค่ไหน ไม่ว่าในอดีตจะคิดถึงเฉินผิงอันเพียงใด ทว่าหลักการเหตุผลบางอย่างที่เรียบง่ายที่สุด แต่ไหนแต่ไรมาสตรีล้วนเข้าใจได้อย่างชัดเจนเสมอ ยกตัวอย่างเช่นเป็นคนต้องรู้หน้าที่ อยู่ร่วมกับเพื่อนบ้านใกล้เคียง ทะเลาะส่วนทะเลาะ ข่วนหน้าส่วนข่วนหน้า แต่จะทำร้ายคนอื่นลับหลังไม่ได้ ส่วนเรื่องที่บุตรสาวแต่งงานกับคนอื่นแล้ว พอหันหลังกลับก็ไม่ยอมรับการแต่งงาน นั่นก็ยิ่งทำให้สตรีไม่อาจยอมรับได้ บุตรสาวต่อให้เจ้าจะฝึกวิชาเซียนบนภูเขามามากแค่ไหน แต่เจ้าก็ยังเป็นบุตรสาวข้าไม่ใช่หรือ? หลักการเหตุผลใหญ่เทียมฟ้าบนภูเขาก็คงไม่ใหญ่ไปกว่ามารดาของเจ้าหลี่หลิ่วได้หรอกกระมัง
มื้อนี้เฉินผิงอันดื่มเหล้าไปไม่น้อย เพียงแต่ว่าแค่ดื่มพอกรึ่มๆ เท่านั้น ทว่าหันเฉิงเจียงกลับดื่มจนเมา หลี่หลิ่วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนบอกเขาว่าไม่ต้องดื่มแล้ว แต่กลับไม่อาจห้ามเขาได้ หันเฉิงเจียงยืนอยู่ตรงนั้น ถือถ้วยขาวใบใหญ่แกว่งไปแกว่งมา บอกว่าจะต้องดื่มกับอาจารย์เฉินอีกถ้วยให้ได้ ดูท่าคงจะเมามากแล้วจริงๆ หลี่เอ้อมองลูกเขยที่คออ่อนผู้นี้กลับยิ้มพลางพยักหน้า แม้ว่าจะดื่มเหล้าไม่เก่ง แต่พฤติกรรมหลังดื่มกลับพอใช้ได้ แพ้อะไรแพ้ได้ แต่เสียหน้าไม่ได้ นี่คือหลักการเก่าแก่แล้ว
ภูเขาเจินจูลูกนั้นห่างจากบ้านของหลี่เอ้อไม่ไกลมากนัก
เฉินผิงอันเดินไปถึงตีนเขาแล้วจึงเดินช้าๆ ไปยังยอดเขาที่ไม่ใหญ่ ทอดสายตามองไกลไปยังเมืองเล็กในยามค่ำคืน โคมไฟจากถนนฝูลวี่และตรอกเถาเย่ร้อยเรียงกันเป็นแถบ พ้นจากส่วนนั้นไปจึงเห็นแสงไฟที่เลือนราง กระจายอยู่เป็นจุดๆ เหมือนดวงดาว
จากนั้นเฉินผิงอันก็ทะยานลมเดินทางไกล ไปยังตัวจังหวัด ที่นี่ไม่มีการห้ามเข้าออกเคหะสถานยามค่ำคืน ยื่นเอกสารผ่านด่านแล้วก็ไปหาต่งสุ่ยจิ่งที่อยู่ในเมือง อันที่จริงหาเขาเจอไม่ง่ายนัก ต้องอ้อมไปเจ็ดแปดตลบ กว่าจะเจอเรือนเล็กหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ห่างไกล ต่งสุ่ยจิ่งยืนรอเฉินผิงอันอยู่หน้าประตู ต่งสุ่ยจิ่งในทุกวันนี้ได้เชื้อเชิญผู้ฝึกตนเซียนดินสองคนจากกองทัพให้มารับหน้าที่เป็นเค่อชิงผู้ถวายงาน อันที่จริงก็คือให้มาเป็นองค์รักษ์ประจำตัวเขา หลายปีมานี้กองกำลังของแต่ละฝ่ายที่จับจ้องกิจการของเขา ใช่ว่าจะไม่มีคนที่ใช้วิธีการต่ำช้า หากจ่ายเงินแล้วฟาดเคราะห์ได้ ต่งสุ่ยจิ่งก็ไม่แม้แต่จะขมวดคิ้วสักครั้ง แล้วก็เพราะขอบเขตหยกดิบหาได้ยาก ไม่อย่างนั้นด้วยกำลังทรัพย์ของต่งสุ่ยจิ่งในทุกวันนี้ เขาก็สามารถเลี้ยงดูปูเสื่อผู้ถวายงานสูงศักดิ์เช่นนี้ได้อย่างเต็มที่
มีคนมาเยี่ยมเยือน หาตัวต่งสุ่ยจิ่งเจอ ผู้ถวายงานเซียนดินสองคนที่มีชาติกำเนิดมาจากผู้ฝึกตนติดตามกองทัพต้าหลีก็จะต้องแจ้งให้กับเจ้าประมุขอย่างต่งสุ่ยจิ่งทราบ
และผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่ง หากเคยเป็นผู้ฝึกตนติดตามกองทัพของต้าหลี นั่นก็จะกลายเป็นยันต์คุ้มกันกายที่ใหญ่ที่สุดแล้ว
ต่งสุ่ยจิ่งสามารถทุ่มเงินเชื้อเชิญพวกเขามาเป็นองค์รักษ์ของตัวเองได้ ลำพังอาศัยแค่การทุ่มเงินย่อมทำไม่สำเร็จ ยังคงต้องยกคุณความชอบให้กับการสร้างสะพานสานความสัมพันธ์ของเฉาเกิงซินกับกวนอี้หราน บวกกับ ‘การค้าเล็กๆ’ สองสามอย่างที่ต่งสุ่ยจิ่งมีร่วมกับกองทัพต้าหลี
เฉาเกิงซินอดีตขุนนางผู้ตรวจการ เจ้าเมืองหยวนเจิ้งติ้ง เป็นสหายของต่งสุ่ยจิ่งมาตั้งนานแล้ว แม่ทัพกองทัพม้าเหล็กต้าหลีที่ตั้งค่ายพิทักษ์อยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยน กวนอี้หราน ภายหลังได้เข้าไปอยู่กรมครัวเรือนของเมืองหลวงต้าหลี รวมไปถึงตระกูลซุน ตระกูลฟ่านแห่งนครมังกรเฒ่า แล้วขยับขึ้นเหนือไปเรื่อยๆ จนถึงอุตรกุรุทวีป ล้วนมีสหายด้านการค้าของต่งสุ่ยจิ่งอยู่ บนภูเขาล่างภูเขา ราชสำนักยุทธภพ ล้วนมีหมด ทุกวันนี้ในมือของต่งสุ่ยจิ่งดูแลกิจการสิบกว่าอย่าง อีกทั้งไม่ว่าจะเป็นกิจการใหญ่หรือเล็กก็ล้วนไม่สะดุดตา
นอกจากถนนใหญ่หลายส่วนในนครของตัวจังหวัดแล้ว เรือนที่พักและร้านค้าอีกเกือบสองร้อยแห่ง โรงเตี๊ยมตระกูลเซียนสามแห่งในเขตหลงโจว ล้วนเป็นกิจการภายใต้ชื่อของต่งครึ่งเมืองผู้นี้ นอกจากนี้ยังมีท่าเรือตระกูลเซียนสองแห่ง แห่งหนึ่งอยู่บนเส้นทางมังกรเดิน อีกแห่งหนึ่งอยู่ในอาณาเขตของขุนเขาใต้ อันที่จริงล้วนเป็นของเขาทั้งหมด เพียงแต่ว่าล้วนไม่ได้เห็นชื่อต่งสุ่ยจิ่งนี้ เป้าประสงค์ใหญ่อย่างหนึ่งในการทำการค้าของต่งสุ่ยจิ่งก็คือต้องช่วยสหายหาเงินธรรมดาและเงินเทพเซียนที่ทั้งออกหน้าออกตาได้และทั้งสะอาดหมดจด
เข้ามาในห้อง ต่งสุ่ยจิ่งก็ยิ้มถามว่า “มากินเกี๊ยวน้ำหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “คิดถึงมานานหลายปีแล้ว”
บนโต๊ะอาหาร หนึ่งคนต่อเกี๊ยวน้ำหนึ่งถ้วย เฉินผิงอันเอ่ยสัพยอก “ได้ยินมาว่านายพลเอกท่านหนึ่งกับทูตผู้ตรวจการท่านหนึ่งของต้าหลี ต่างก็แย่งชิงกันอยากได้เจ้าไปเป็นเขยขวัญอย่างนั้นหรือ?”
ต่งสุ่ยจิ่งหัวเราะ “หากตอบตกลงจริงๆ การค้าก็คงทำให้ใหญ่ไม่ได้แล้ว”
หลายๆ ครั้งการเลือกบางอย่างก็คือการสร้างศัตรูอย่างหนึ่ง
ต่งสุ่ยจิ่งหยุดตะเกียบ เอ่ยอย่างจนใจว่า “สาดเกลือลงบนบาดแผล ไม่มีคุณธรรมเอาซะเลย”
เฉินผิงอันเพียงยิ้มไม่เอ่ยอะไรอีก
ต่งสุ่ยจิ่งกล่าวว่า “ทางฝั่งของราชสำนักต้าหลี อีกเดี๋ยวต้องมีคนมาหาเจ้าแน่นอน ข้าเดาว่าความเป็นไปได้ที่จะเป็นจ้าวเหยามีค่อนข้างมาก”
ในลานบ้านมีเงาร่างของผู้เฒ่าคนหนึ่งปรากฏตัว
ต่งสุ่ยจิ่งหันหน้าไปยิ้มเอ่ย “พูดตามตรงได้เลย ที่นี่ไม่มีคนนอก”
ผู้ถวายงานเซียนดินคนนั้นจึงกล่าวว่า “ที่จวนของผู้ว่าการจังหวัดเพิ่งจะมีแขกผู้สูงศักดิ์กลุ่มหนึ่งมาถึง ไม่ได้มาทางท่าเรือภูเขาหนิวเจี่ยว”
ต่งสุ่ยจิ่งพยักหน้ารับ
เฉินผิงอันกินเกี๊ยวน้ำเสร็จแล้วก็วางตะเกียบลง ลุกขึ้นยิ้มเอ่ย “บอกว่าใครจะมาคนนั้นก็มา ต่งสุ่ยจิ่งเจ้าใช้ได้เลยนี่นา”
ต่งสุ่ยจิ่งเอ่ย “ในเมื่อพวกเราต่างก็ยังกินไม่อิ่ม ก็จะทำเกี๊ยวน้ำให้เจ้ากินแก้กระหายแทนสุรา ไม่ต้องเปลี่ยนที่แล้ว”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็ไม่ได้ออกไปจากเรือนหลังนี้ นั่งกลับลงไปอีกครั้ง
กระทั่งคนทั้งสองกำลังจะกินเกี๊ยวน้ำชามที่สองหมดก็มีแขกมาเคาะประตูบ้าน
ต่งสุ่ยจิ่งยิ้มกล่าว “พวกเจ้าคุยกันได้ตามสบาย เพื่อหลบเลี่ยงข้อครหา ข้าคงไม่ออกไปพบแขกแล้ว”
เฉินผิงอันเอ่ย “มีใครเขาหลบเลี่ยงข้อครหาอย่างเจ้าด้วยหรือ?”
ต่งสุ่ยจิ่งตอบ “อันที่จริงก็เพราะได้พึ่งใบบุญของเจ้า ถึงได้ทำให้คนบางคนรู้กาลเทศะ วันหน้าจะได้จับจ้องเงินไม่กี่ตำลึงที่หามาได้ด้วยความยากลำบากในกระเป๋าข้าน้อยๆ หน่อย เงินของข้ามีไม่มาก ไม่ทำให้คนอิ่มตายได้”
เฉินผิงอันเอ่ยสัพยอกด้วยการรับคำต่อจากเขา “แต่จะต้องร้อนลวกปากยิ่งกว่าเกี๊ยวน้ำถ้วยหนึ่งแน่นอน วางใจเถอะ ไม่พูดถึงความสัมพันธ์ส่วนตัว ถึงขั้นไม่พูดถึงการค้า แค่เกี๊ยวน้ำสองชามของคืนนี้ ข้าก็ควรจะช่วยนำความไปบอกแทนเจ้าสักประโยคแล้ว”
ต่งสุ่ยจิ่งกุมหมัดคลี่ยิ้ม
เฉินผิงอันยิ้มตาหยีเอ่ย “ใช่แล้ว ลืมบอกไปว่าข้าเพิ่งกลับมาจากบ้านของท่านอาหลี่”
ต่งสุ่ยจิ่งถอนหายใจเดินหนี หากเฉินผิงอันบอกแบบนี้แต่แรก เกี๊ยวน้ำสักถ้วยก็อย่าหวังว่าจะเอามาวางบนโต๊ะให้
เรือนไม่ใหญ่ ไม่มีข้ารับใช้
ต่งสุ่ยจิ่งที่เป็นเจ้าบ้านไปห้องหนังสือเพื่อหลบเลี่ยงคำครหา ยกบ้านให้กับแขกสองกลุ่ม
เฉินผิงอันจึงได้แต่เดินไปเปิดประตูด้วยตัวเอง
เจ้ากรมพิธีการผู้เฒ่าของเมืองหลวงแห่งที่สองของต้าหลี หลิ่วชิงเฟิง ผู้เฒ่าท่านนี้ได้รับการยอมรับจากผู้คนว่าเป็นแขนที่ใหญ่ที่สุดที่ช่วยฮ่องเต้งัดข้อกับซ่งมู่อ๋องเจ้าเมือง
บัณฑิตวัยชราที่บ้านเกิดคือแคว้นชิงหลวนผู้นี้เรือนกายผ่ายผอม หนังหุ้มกระดูก ทว่าดวงตากลับฉายประกายเจิดจ้า
หลางจงแห่งกองข่าวกง (กองงานใต้อาณัติของกรมขุนนาง หลักๆ แล้วดูแลเรื่องการพิจารณาโทษ การให้รางวัลและระเมินผลการปฏิบัติงานของขุนนาง) กรมขุนนางเมืองหลวงต้าหลี จ้าวเหยา บ้านเกิดคือถ้ำสวรรค์หลีจู
และยังมีหลางจงกองบวงสรวงแห่งกรมพิธีการเมืองหลวงต้าหลีอีกคนหนึ่ง ประสบการณ์โชกโชนอย่างยิ่ง รับหน้าที่ดูแลจานกานหลางทั้งหมดของต้าหลี
เฉินผิงอันมองไปยังบัณฑิตเฒ่าวัยไม้ใกล้ฝั่งในกลุ่มของคนสามคน แล้วประสานมือคารวะ “คารวะอาจารย์หลิ่ว”
หลิ่วชิงเฟิงคลี่ยิ้มพลางคารวะกลับคืนอย่างเนิบช้า “คารวะคุณชายเฉิน”
ต่างฝ่ายต่างยืดเอวขึ้นตรงแล้ว เฉินผิงอันก็ยิ้มเอ่ยว่า “โชคดีที่ตรอกเล็ก รถเทียมวัวเข้ามาไม่ได้”
หลิ่วชิงเฟิงยิ้มอย่างรู้ทัน “โชคดีที่บนทางไม่มี ‘เจิ้งเฉียน’ มาขวางทาง และบริเวณใกล้เคียงก็ไม่มีสระน้ำด้วย”
จ้าวเหยาใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “ตอนอยู่นครบินทะยาน ข้าได้เจอหนิงเหยาครั้งหนึ่ง นางสบายดี”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างขุ่นเคือง “เจ้าเป็นใครกัน เกี่ยวกับผายลมอะไรด้วย”
จ้าวเหยาเหมือนคนใบ้กินหวงเหลียน ต่อให้ขมขื่นแค่ไหนก็พูดบอกใครไม่ได้ คู่รักบนภูเขาที่อยู่ห่างกันคนละขอบฟ้าคู่นี้ เหตุใดถึงชอบรังแกคนอื่นเหมือนกันแบบนี้นะ
จ้าวเหยาพลันเอ่ยว่า “ข้าเคยเจอบุตรสาวของพวกเจ้าแล้ว หน้าตาน่ารักมาก คิ้วตารูปลักษณ์เหมือนมารดาของนางมากหน่อย”
เฉินผิงอันร้องอ้อหนึ่งที ม้วนชายแขนเสื้อขึ้น นาทีถัดมาร่างของคนสองคนที่อยู่ตรงตรอกนอกประตูก็พลันหายวับไป
หลางจงผู้เฒ่ากองงานบวงสรวงขมวดคิ้วแน่น หลิ่วชิงเฟิงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไม่เป็นไร มาจากสายบุ๋นเดียวกัน อาจารย์อากับศิษย์หลานแค่รำลึกความหลังกันเท่านั้น”
หลางจงผู้เฒ่าจึงได้แต่แสร้งโง่ รำลึกความหลังกันก็คงไม่ต้องถึงขั้นม้วนชายแขนเสื้อเหวี่ยงหมัดหรอกกระมัง เพียงแต่ว่าถึงอย่างไรก็ห้ามปรามไม่อยู่ ถ้าอย่างนั้นก็ถือเสียว่าคนสำนักเดียวกันทักทายพูดคุยเรื่องในวันวานกันก็แล้วกัน
ครู่หนึ่งต่อมา เฉินผิงอันกลับมาจากอีกด้านของตรอกเล็กเพียงคนเดียว ท่าทางสดชื่นปลอดโปร่ง ยิ้มพูดว่าจ้าวหลางจงเอ่ยขอตัวไปนอนหลับก่อนแล้ว
ในตัวเมือง มีบัณฑิตชุดเขียวหน้าปูดจมูกบวมคนหนึ่งห้อยตัวอยู่บนกิ่งไม้ สลบเหมือดไปแล้วจริงๆ
——