กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 772.2 จากลาที่ยุทธภพ
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “อีกสี่วันเปลี่ยนสถานที่ ไม่แน่ว่าพวกเราอาจได้กินเต้าหู้เหม็น”
เผยเฉียนยิ้มอย่างรู้กัน รู้สึกรอคอยเล็กน้อย ใช้เครื่องประทินโฉมอะไรนั่น เป็นภาระเหน็ดเหนื่อยเกินไป เผยเฉียนมีแต่จะรู้สึกว่ามันขัดขวางการออกหมัดของตน ดังนั้นนางจึงไม่สนใจจริงๆ แต่พี่หญิงสือโหรวที่ตรอกฉีหลงกลับชอบเรื่องพวกนี้มาก ไม่รู้ว่าภายในสามวันจะมีโอกาสเอาเครื่องประทินโฉมสองสามอย่างไปจากนครเถียวมู่แห่งนี้หรือไม่
หมี่ลี่น้อยยืนอยู่ในตะกร้าไม้ไผ่ ได้ยินว่าเต้าหู้เหม็นก็น้ำลายไหลขึ้นมาทันที ต้องรีบยกมือเช็ดปาก ไม่ว่าอะไรก็ฟังไม่เข้าใจ ไม่ว่าอะไรก็จำไม่ได้ มีเพียงเต้าหู้เหม็นที่ทำให้แม่นางน้อยชุดดำอยากกิน พะวงหาอย่างติดใจ
เฉินผิงอันขยับเท้าเล็กน้อย มาหยุดอยู่ด้านข้างแผงลอยที่ปูด้วยผ้าฝ้าย ทรุดตัวลงนั่งยอง สายตาขยับเคลื่อนไปอย่างต่อเนื่อง เลือกของที่ถูกใจ สุดท้ายเลือกธนูคันเล็กจิ๋วขนาดเท่าฝ่ามือมาคันหนึ่ง ถามคนหนวดหยิกที่ได้ครอบครองกองทัพชุดเกราะสิบหมื่นว่า “ธนูคันนี้ขายอย่างไร?”
โถใส่น้ำชุบทองใบเล็กบนแผงก่อนหน้านี้ เส้าเป่าเจวี้ยนที่ตอบคำถามของนักพรตวัวดำได้ไปครองแล้ว
บนผืนผ้าเวลานี้จึงยังเหลือกิ่งเหมยเหี่ยวที่มัดรวมกันมัดเล็กหนึ่งมัด และอ่างกระเบื้องเซียนน้ำใบเล็กหนึ่งใบ
ม้วนภาพหนึ่งม้วน ด้านนอกแปะกระดาษแผ่นเล็กๆ เขียนตัวอักษรงดงามว่า ‘สอนสตรีในใต้หล้าหวีผมประทินโฉม’
กระถางปลูกดอกไม้สามลิงงมจันทร์หลอมจากเหล็กหนึ่งชิ้น ที่ทับกระดาษไม้อูมู่หนึ่งชิ้น แกะสลักคำว่า ‘ไม่ยอมตามลม เงียบสงัดไร้สำเนียง ใต้เท้าเที่ยงตรง ทับเพื่อความสงบ’ ลงท้ายสองคำว่า ‘ซูเย่’
สุดท้ายคือธนูคันเล็กที่วางไว้ตรงมุมชิ้นนั้น รูปแบบโบราณเรียบง่าย ขนาดเล็กกะทัดรัด ราวกับเป็นของเด็กเล่น ตัวอักษรที่แกะสลักเล็กมากจนแทบจะมองไม่เห็น ‘อวิ๋นเมิ่งฉางซง’
บุรุษเคราหยิกเห็นคนผู้นี้เลือกไปเลือกมา สุดท้ายกลับเลือกเพียงธนูเล็กคันนี้ก็ส่ายหน้าพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ขายก็ขาย เพียงแค่ลูกค้าเจ้าซื้อได้ไม่ง่าย ต้องรวบรวมหนังสือหลายเล่มให้ครบถ้วนเสียก่อน อย่างน้อยที่สุดคือสามเล่ม หลังจากเอามาให้ข้าดูแล้ว คุณชายค่อยใช้หนังสือเล่มหนึ่งในนั้นมาแลก ส่วนเรื่องอื่นๆ ข้าคงไม่พูดมากแล้ว”
เฉินผิงอันพยักหน้า ในใจมีความคิดบางอย่างแล้ว จึงหันไปมองม้วนภาพ ถามว่า “ภาพนี้ขายอย่างไร? ยังคงใช้สิ่งของแลกสิ่งของเหมือนเดิมหรือ?”
บุรุษเคราดกพยักหน้ายิ้มเอ่ย “คุณชายฉลาด การค้าขายของร้านข้าต้องใช้สิ่งของแลกเปลี่ยนสิ่งของจริง เพียงแต่ของที่ต้องการไม่ได้อยู่ในนครเถียวมู่ ไม่เพียงแต่ระยะทางยาวไกล อีกทั้งยังมีการป้องกันอย่างเข้มงวด หากคุณชายยังคงไม่ถอดใจก็ลองไปหาสถานที่แห่งหนึ่งดู อยู่ที่ตีนเขาทิศเหนือของภูเขาหลีซาน ตรงหน้าผามีร่องรอยของสมบัติแห่งสวรรค์แกะสลักอยู่ หากคุณชายสามารถเข้าไปในโลกที่สงบร่มเย็นแห่งนั้นได้ เมื่อไปถึงริมสระหยกมรกตก็ให้เอาเทวรูปสาวงามชิ้นหนึ่งกลับมา ก็จะสามารถแลกเปลี่ยนเอาม้วนภาพไปได้ ถึงเวลานั้นย่อมต้องมีโชควาสนาอย่างหนึ่งเป็นฝ่ายมาพบคุณชายเอง”
เฉินผิงอันถาม “พูดเช่นนี้ก็แสดงว่าม้วนภาพและโลกสงบร่มเย็นที่เป็นร่องรอยของสมบัติสวรรค์นั่นต่างก็เป็นภาพมายา โชควาสนาถัดมาต่างหากจึงจะเป็นของจริง?”
นอกจากเส้าเป่าเจวี้ยนและเสิ่นเจี้ยวคานแล้ว แม้ว่าสิ่งที่ได้เห็นและได้ยินในนครเถียวมู่วันนี้ล้วนเป็นเทพเซียนมีชีวิต แต่กระนั้นก็ยังมีการแบ่งระดับขั้น ต้องดูที่ระดับความสูงต่ำของการ ‘รู้แจ้งเข้าใจตัวเอง’ เหมือนชายฉกรรจ์เคราดกที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ นักพรตวัวดำก่อนหน้านั้น และยังมีในร้านขายอาวุธที่อยู่ใกล้เคียง ตู้ซิ่วไฉที่คิดถึงขิงถงหลิงบ้านเกิดตัวเองและน้ำบ๊วยของฉูโจว เห็นได้ชัดว่า ‘มีชีวิตชีวา’ มากกว่า ทำอะไรก็ ‘ตามแต่ใจ’ มากกว่า
ชายฉกรรจ์หนวดงอยิ้มกว้าง ตอบไม่ตรงคำถาม “หากคุณชายใจเด็ดสักหน่อย และความสามารถในการไปเยี่ยมเยือนเซียนสำรวจค้นหามีมากพอ ก็สามารถขนเทวรูปหยกขาวของสนมนางกำนัลมากมายเหล่านั้นออกมาจากโลกสงบร่มเย็นได้ทั้งหมด ถ้าอย่างนั้นโชคด้านความรักก็จะไม่เล็กแล้ว”
เผยเฉียนพลันรวมเสียงให้เป็นเส้นเอ่ยว่า “อาจารย์พ่อ ดูเหมือนว่าข้าเคยอ่านเจอเรื่องนี้ในหนังสือ หากบันทึกนั้นเป็นความจริง ตีนเขาทางทิศเหนือของภูเขาหลีซานก็หาเจอได้ง่ายแล้ว แต่หน้าผาสมบัติสวรรค์กลับหาได้ยาก แต่พวกเราก็แค่ต้องหานายพรานหรือเด็กเลี้ยงวัวในพื้นที่คนหนึ่งให้เจอ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะสามารถนำทางเราได้ เมื่อมีคนเขียนอักษรสองคำว่า ‘หลบร้อน’ ประตูหินของถ้ำสวรรค์ก็จะสามารถเปิดออกด้วยตัวเอง ว่ากันว่าด้านในมีสระน้ำอยู่แห่งหนึ่ง ใช้หยกมรกตแกะสลักเป็นบ่อน้ำ แสงคลื่นส่องประกายระยิบระยับประหนึ่งน้ำมีชีวิต เพียงแต่ว่าทัศนียภาพของคนหยกในถ้ำออกจะ…งดงามบรรเจิดเกินไปสักหน่อย ถึงเวลานั้นอาจารย์พ่อเข้าไปข้างในคนเดียว ข้ากับหมี่ลี่น้อยจะรออยู่ข้างนอกก็แล้วกัน”
เฉินผิงอันหัวเราะอย่างฉุนๆ “แม้แต่เรื่องนี้ก็รู้ด้วยหรือ? เจ้าไปอ่านเจอเรื่องลับๆ พวกนี้จากตำราเบ็ดเตล็ดเล่มไหนกันแน่?”
เผยเฉียนกะพริบตาปริบๆ “เป็นพี่หญิงไจ้ซีที่เล่าให้ฟัง ปีนั้นตอนที่อยู่เกราะทองทวีป ทุกครั้งที่สงครามปิดฉากลง นางชอบเล่าเรื่องมหัศจรรย์พันลึกพวกนี้ให้ข้าฟังมากที่สุด ข้าก็แค่ฟังไปอย่างนั้นเอง ตอนนั้นข้าถามพี่หญิงไจ้ซีว่าสระน้ำใหญ่แค่ไหน หยกมรกตมีมากขนาดนั้นเอามาขายเป็นเงินเทพเซียนได้เท่าไร พี่หญิงไจ้ซียังด่าว่าข้าโลภมากอยู่เลย”
ชายฉกรรจ์เห็นเฉินผิงอันจับตามองที่ทับกระดาษไม้อูมู่อีกก็เป็นฝ่ายเอ่ยว่า “คุณชายเอาตำราพิณฉบับสมบูรณ์เล่มหนึ่งมาแลก”
เฉินผิงอันกระจ่างแจ้งอยู่ในใจ ไม่ต้องสงสัยแล้วว่าต้องเป็น ‘กว่างหลิงหยุดหายใจ’ เล่มนั้น จึงกุมหมัดเอ่ย “ขอบคุณผู้อาวุโสที่ก่อนหน้านี้พูดคุยกับเฟิงจวิน ผู้น้อยจะไปหาหนังสือในเมืองมาเดี๋ยวนี้”
ชายฉกรรจ์หนวดงอเพียงแค่ผงกศีรษะรับ ยิ้มเอ่ยว่า “คุณชายรับลูกศิษย์ที่ดีมา”
เฉินผิงอันพาเผยเฉียนกับหมี่ลี่น้อยออกมาจากแผงลอย ไปที่ร้านขายอาวุธแห่งนั้นก่อน เจ้าของร้านนั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะคิดเงิน กำลังกัดกินรากบัวอ่อนพร้อมกับขิงขาว เห็นเฉินผิงอันที่จากไปแล้วย้อนกลับคืนมา ชายฉกรรจ์ก็ทั้งไม่ประหลาดใจแล้วก็ไม่ถามอะไร
เฉินผิงอันประสานมือคารวะ “คารวะอาจารย์อู่ซง”
ชายฉกรรจ์ถาม “เจ้ามียศตำแหน่งติดตัวหรือไม่?”
เฉินผิงอันลุกขึ้นตอบอย่างนอบน้อม “ผู้เยาว์ไม่มียศจากการสอบเคอจวี่ แต่มีลูกศิษย์เป็นปั้งเหยี่ยน”
ชายฉกรรจ์รู้สึกขำเล็กน้อย เป็นฝ่ายเอ่ยถาม “เจ้าต้องการเทียบกลิ่นบุปผาที่เจ้านครเส้าช่วยเสริมเนื้อหาให้ครบถ้วนก่อนหน้านี้หรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “เทียบกลิ่นบุปผา อาจารย์อู่ซงเก็บไว้ต้องมีประโยชน์แน่นอน ผู้เยาว์แค่อยากจะทำหน้าหนาขอภาพควายจากอาจารย์อู่ซงมาภาพหนึ่ง”
ชายฉกรรจ์รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “ประทังชีพอยู่บนเรือข้ามฟาก กฎก็คือกฎ ไม่อาจมีข้อยกเว้น ในเมื่อรู้ว่าข้าคือตู้ซิ่วไฉแล้ว ยังรู้ว่าข้าวาดภาพเป็น ถ้าอย่างนั้นเกินครึ่งก็คงเข้าใจประโยคที่ว่าบทความของท่านอาจารย์ยอดเยี่ยมเลิศล้ำ ท่านแนะนำผลงานใหม่แก่ใต้หล้าที่ภูเขาอู่ซง อะไรคือ ‘ผลงานใหม่’ สินะ? ช่างเถิด เรื่องนี้อาจทำให้เจ้าลำบากใจอยู่บ้าง แต่ขอแค่เจ้าพูดถึงหัวข้อผลงานที่ข้าเคยเขียนมาในชีวิตสักบทหนึ่งได้ก็พอแล้ว ในเมื่อเจ้าได้ปลายกระบี่ท่อนหนึ่งของกระบี่เซียนไท่ป๋ายมาจากป๋ายเหย่ เชื่อว่าจะรู้เรื่องนี้ย่อมไม่ยาก”
เฉินผิงอันมีสีหน้ากระอักกระอ่วน
ปลายกระบี่ไท่ป๋ายอยู่ดีๆ ก็ได้มาตอนอยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ สำหรับอาจารย์อู่ซงที่สามารถตอบโต้เรื่องบทกวีกับป๋ายเหย่ได้ผู้นี้ เฉินผิงอันก็แค่รู้ชื่อและประวัติความเป็นมาของเขาคร่าวๆ เท่านั้น เรื่องบทกวีผลงานอะไรของเขานั่นกลับไม่รู้เลยแม้แต่น้อย อันที่จริงการที่เฉินผิงอันรู้จักอาจารย์อู่ซงได้ หลักๆ แล้วยังเป็นเพราะสถานะ ‘อาจารย์หล่อหลอม’ ของตู้ซิ่วไฉผู้นี้ พูดง่ายๆ ก็คือบทกวีที่ป๋ายเหย่เขียน เฉินผิงอันจำได้ แต่อาจารย์อู่ซงที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้เคยเขียนอะไรบ้าง เขากลับไม่รู้แม้แต่ตัวอักษรเดียว
หมี่ลี่น้อยที่อยู่ในตะกร้าไม้ไผ่พยักหน้ารับรัวๆ ราวกับไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือกช่วยเจ้าขุนเขาคนดียิ่งกระอักกระอ่วนมากกว่า ได้แต่เกาแก้มเท่านั้น
ตู้ซิ่วไฉหัวเราะ “ในเมื่อเมื่อครู่นี้กระบี่ยาวยังอยู่ พอย้อนกลับมาดันกลายเป็นว่ากระบี่ไม่อยู่กับตัวพอดี เจ้าหนูเจ้าก็ไม่ต้องหวังเรื่องโชควาสนาแล้ว ภาพควายก็ยิ่งไม่ต้องคิดให้มากความ”
ชายฉกรรจ์ถอนหายใจ เรื่องที่ป๋ายเหย่พกกระบี่เดินทางไปยังฝูเหยาทวีปเพียงลำพัง ทำให้คนรู้สึกเสียใจจริงๆ แล้วก็ต้องจากลากันทั้งอย่างนี้ ดอกท้อวสันต์สายน้ำลึกล้ำจริงเสียด้วย
เฉินผิงอันรู้สึกเสียดายเล็กน้อย ไม่กล้าคาดหวังว่าจะได้โชควาสนาไปมากกว่านี้ จึงได้แต่กุมหมัดบอกลา นึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ก็ถามว่า “อาจารย์อู่ซงดื่มเหล้าหรือไม่?”
ชายฉกรรจ์เพียงยิ้มไม่ตอบคำ
เฉินผิงอันจึงหยิบเอาเหล้าหมักตระกูลเซียนสองกาออกมาจากวัตถุจื่อชื่อ วางไว้บนโต๊ะคิดเงิน กุมหมัดอีกครั้ง คลี่ยิ้มกว้างเอ่ยว่า “ได้พบเจอกับท่านอาจารย์นอกภูเขาอู่ซง บังอาจมอบสุราให้ท่าน เป็นความโชคดีของข้าน้อย”
ชายฉกรรจ์มองแผ่นหลังของคนหนุ่มชุดเขียวที่เดินก้าวข้ามธรณีประตูออกไป ยื่นมือไปหยิบเหล้ามากาหนึ่ง พยักหน้า เป็นเด็กรุ่นหลังที่สามารถเดินไปไกลในฟ้าดินได้ ดังนั้นจึงตะโกนเรียก “เจ้าหนู หากไม่ยุ่งก็ไม่สู้ลองไปเยี่ยมเยือนอาจารย์ปูเวิงได้”
เฉินผิงอันหมุนตัวกลับมาทันใด ก้าวๆ เร็วเดินกลับเข้ามาในร้าน เอาเหล้าออกมาอีกสองกา
ตู้ซิ่วไฉอึ้งตะลึง “ทำอะไรน่ะ?”
เฉินผิงอันถามเสียงเบา “ขอถามว่า ‘จารึกอี้เฮ้อ’ เล่มบรรพบุรุษของตัวอักษรใหญ่นั่น สรุปแล้วใช่ฝีมือของอาจารย์ปูเวิงหรือไม่?”
ตู้ซิ่วไฉยื่นสองมือออกไปรับเหล้าใหม่สองกามา ยิ้มบางๆ ไม่เอ่ยอะไร
เฉินผิงอันจึงได้แต่จากไปอีกครั้ง ไปเดินดูตามร้านหนังสือแห่งต่างๆ ในนครเถียวมู่ สุดท้ายก็ไปเจอตำรา ‘ภาษาบ้าน’ จากร้านจื่อปู้ ตำรา ‘ลวี่หล่าน’ จากร้านเต้าจ้างและ ‘บันทึกพักเมฆ’ จากร้านหนังสือเปี๋ยลู่ หนังสือ ‘ภาษาบ้าน’ นั้น เฉินผิงอันอาศัยความทรงจำที่กระจัดกระจายของตัวเองไปหาร้านหนังสือจิงปู้ก่อน สอบถามแล้วไร้ผล เถ้าแก่บอกแค่ว่าไม่มีหนังสือเล่มนี้อยู่ จึงไปที่ร้านเว่ยซู ก็ไม่ได้อะไรติดมือกลับมาเหมือนกัน สุดท้ายถึงจะซื้อหนังสือเล่มนี้มาได้จากร้านจื่อปู้ เมื่อแน่ใจแล้วว่าด้านในมีบันทึกถึงธนูคันนั้นถึงได้ถอนหายใจโล่งอก ที่แท้หากอิงตามรายการหนังสือประวัติศาสตร์ของนครเถียวมู่ ตำแหน่งของหนังสือเล่มนี้ขยับจาก ‘จิงปู้’ ลงไปเป็น ‘จื่อปู้’ (การเรียงลำดับหมวดหมู่แรกจากสี่หมวดของหนังสือแบ่งออกเป็นจิง สื่อ จื่อและจี๋) แต่ไม่เหมือนกับใต้หล้าไพศาลที่ถูกมองเป็นหนังสือเว่ยซู (หนังสือหรือบทประพันธ์ที่ไม่ระบุชื่อผู้แต่งอย่างแน่ชัด หรือหนังสือที่มีการสวมรอยเขียนแทน ข้อมูลเนื้อหาถูกปลอมแปลงขึ้นมา) แล้วก็ไม่ได้วางขายในร้านหนังสือเบ็ดเตล็ด ทำให้เฉินผิงอันต้องไปเสียเที่ยวมาหนึ่งรอบ
เพียงแต่ว่าพอถึงตอนคิดเงิน เฉินผิงอันถึงได้ค้นพบว่าการค้าร้านหนังสือในนครเถียวมู่ ราคาหนังสือไม่แพงเลยจริงๆ ทว่าเงินเทพเซียนกลับไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง อย่าว่าแต่เงินเกล็ดหิมะเลย เงินฝนธัญพืชก็ยังไร้ความหมาย ต้องใช้เงินเหรียญทองแดง ก้อนเงินก้อนทองที่ถูกผู้ฝึกตนบนภูเขามองเป็นภาระเท่านั้น โชคดีที่เผยเฉียนกับหมี่ลี่น้อยต่างก็พกกระปุกเก็บเงินกันคนละใบมาด้วย หมี่ลี่น้อยก็ยิ่งขันอาสา ห้ามเผยเฉียนไว้ แย่งจ่ายเงินแทน แม่นางน้อยที่ในที่สุดก็ได้สร้างคุณความชอบหัวเราะฮ่าๆ โคลงศีรษะอย่างเบิกบานใจ รีบควักเอาทองก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งออกมาจากในห้องเก็บเงินส่วนตัวของตัวเอง มอบให้กับเจ้าขุนเขาคนดี พูดอย่างใจป้ำว่าไม่ต้องคืนแล้ว เงินเล็กน้อย ขนหน้าแข้งไม่ร่วง
นางยืนอยู่ในตะกร้าไม้ไผ่ สุดท้ายกระแอมเบาๆ หนึ่งที เผยเฉียนยิ้มพลางพยักหน้า บอกเป็นนัยว่าตนต้องจดลงในสมุดบันทึกคุณความชอบแน่นอน
จ่ายเงินไปไม่ถึงสองตำลึงเงินก็สามารถซื้อหนังสือมาได้สามเล่ม มากพอให้เฉินผิงอันเอาไปแลกธนูคันเล็กมาจากร้านของชายฉกรรจ์เคราดกแล้ว ก็แค่มอบหนังสือเล่มใดเล่มหนึ่งออกไปก็สามารถแลกเปลี่ยนมาเป็นโชควาสนาครั้งหนึ่งได้แล้ว
แต่เฉินผิงอันกลับยังคงหาร้านหนังสือร้านอื่น สุดท้ายเดินข้ามธรณีประตูร้านหมิงเจีย กฎระเบียบร้านหนังสือของนครเถียวมู่มีอยู่ว่า ถามหาหนังสือว่ามีหรือไม่มี มีถามก็ต้องมีตอบ แต่หากเป็นตำราที่ไม่มีอยู่ในร้านแล้วลูกค้ายังถามถึง ก็จะไม่ยอมตอบเด็ดขาด แล้วยังจะถูกมองค้อนใส่อีกด้วย ในร้านหนังสือหมิงเจียแห่งนี้ เฉินผิงอันไม่สามารถซื้อหนังสือเล่มนั้นมาได้ แล้วยังต้องจ่าย ‘เงินอยุติธรรม’ ไปด้วยก้อนหนึ่ง รวมทั้งหมดสามตำลึงเงิน ซื้อหนังสือโบราณที่น้ำหมึกเหมือนใหม่มาสองสามเล่ม ส่วนใหญ่พูดถึงเรื่องสิบคำถามยี่สิบเอ็ดข้อวินิจฉัยของฝ่ายหมิงเจียเสียมากกว่า เพียงแต่ว่าบันทึกบางอย่างในตำรา มีรายละเอียดชัดเจนและลึกล้ำยิ่งกว่าของใต้หล้าไพศาล แม้จะบอกว่าหนังสือพวกนี้ไม่อาจเอาออกไปจากเรือข้ามฟากได้แม้แต่เล่มเดียว แต่ระหว่างการเดินทางท่องเที่ยวครั้งนี้ ขอแค่เฉินผิงอันเพียงเปิดหนังสืออ่านหนังสือ ถึงอย่างไรความรู้ในตำราก็เป็นของจริงแท้แน่นอน และศาสตร์การวินิจฉัยแยกแยะของฝ่ายหมิงเจีย และศาสตร์แห่งตรรกะของลัทธิพุทธ เฉินผิงอันก็ให้ความสนใจมานานแล้ว ทั้งยังตั้งใจศึกษาเพิ่มเติมด้วย
ตอนนั้นเถ้าแก่ร้านหนังสือหมิงเจียคือคนหนุ่มรูปโฉมสุภาพสง่างาม ท่างทางมีสติปัญญาน่านับถือ สีหน้าของเขาสดชื่นกระปรี้กระเปร่ายิ่ง เขามองเผยเฉียนก่อน แล้วถึงได้หันหน้ามายิ้มถามเฉินผิงอัน “เจ้าหนู เจ้าอยากเป็นเจ้านครของนครที่บุกเบิกที่ดินเองหรือไม่? เพียงแค่เอาของสิ่งหนึ่งมาแลกเปลี่ยน ข้าก็สามารถช่วยเจ้าเปิดนครแห่งใหม่โดยที่ไม่ทำลายกฎเกณฑ์ ผลประโยชน์มากมายที่จะได้รับต่อจากนี้จะไม่เป็นรองเส้าเป่าเจวี้ยนผู้นั้นเลย”
เฉินผิงอันประสานมือคารวะคนผู้นี้ “ความหวังดีของท่านอาจารย์ข้าขอรับเอาไว้แล้ว เพียงแต่ว่าน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่หาวเหลียงนั่นเป็นของตกทอดของคนรู้จักซึ่งเป็นคนบ้านเดียวกันครึ่งตัว ไม่อาจนำมาทำการค้ากับท่านอาจารย์ได้จริงๆ ไม่อย่างนั้นก็อย่าว่าแต่การไปมาหาสู่ด้านการค้าเลย เมื่อข้าน้อยได้รับบุญคุณจากความรู้ของฝ่ายหมิงเจียมามากมายเช่นนี้ เดิมทีต่อให้มอบให้ท่านอาจารย์โดยตรงก็ย่อมไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว”
หาวเหลียงชิ้นนั้นเป็นเซียนกระบี่หมี่ฮู่ที่มอบให้กับเฉินผิงอัน ช่วงแรกเริ่มสุดเฉินผิงอันไม่ได้รับเอาไว้ เพราะหวังว่าหมี่อวี้ที่ออกไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่จะสามารถเก็บรักษาของชิ้นนี้เอาไว้ได้ เพียงแต่หมี่อวี้ไม่ยินดีทำเช่นนั้น สุดท้ายเฉินผิงอันจึงได้แต่มอบให้กับเผยเฉียน ให้ลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาคนนี้เป็นผู้เก็บรักษาไว้
เถ้าแก่หนุ่มมองเฉินผิงอัน จู่ๆ ก็พลันปรบมือหัวเราะ “ความรู้หลากหลายในใต้หล้า คิดจะได้มามีอะไรยาก ไม่ยากเลยสักนิด มีเพียงความจริงใจเท่านั้น วันนี้ได้ฟังถ้อยคำที่จริงใจจากเด็กรุ่นหลัง ก็ได้ปลอบประโลมจิตใจของข้าอย่างมากแล้ว ดังนั้นจึงจะมอบสองสามประโยคให้เจ้าโดยไม่คิดเงิน หนังสือเล่มที่เจ้าต้องการหา อันที่จริงไม่ถือว่าเป็นหนังสือแล้ว เพราะมีตัวอักษรน้อยนิดแค่นั้น มันไม่อยู่ที่นี่ แต่อยู่ที่ร้านหนังสือหมวดจื้อซู (หนังสือที่บันทึกเกี่ยวกับด้านธรรมชาติและด้านสังคมตามภูมิภาคต่างๆ มีทั้งในประวัติศาสตร์และในยุคปัจจุบัน) ร้านแรกบนถนน ชื่อหนังสือว่า ‘บันทึกจิงจี๋’ และ ‘คัมภีร์โส่วป๋าย’ ที่อยู่ในรายการของลัทธิเต๋า จำไว้ว่าเป็นหมวดจื้อซู เพราะเนื้อหาที่บันทึกอยู่ด้านในจะมากกว่าหมวดเต้าจ้าง” (คำเรียกรวมหนังสือของลัทธิเต๋า)
เฉินผิงอันเอ่ยขอบคุณแล้วจากไป แล้วก็ได้ซื้อตำราจารึก ‘คัมภีร์โส่วป๋าย’ ได้จากร้านหนังสือแห่งแรกหลังจากที่เข้าเมืองมาจริงๆ เพียงแต่ว่าเฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็ยังยอมเดินอ้อมไปไกลหน่อย แล้วก็จ่ายเงินสิ้นเปลืองไปอีกหนึ่งก้อน ย้อนกลับมายังร้านหนังสือเต้าจ้าง ซื้อหนังสือเพิ่มอีกหนึ่งเล่ม
ระหว่างทางโจวหมี่ลี่ยกฝ่ามือขึ้นมาป้องข้างปาก กระซิบกระซาบพูดคุยกับเผยเฉียน “ร้านหนังสือร้านหนึ่งมีหนังสือวางไว้มากมายขนาดนั้น ทว่าเถ้าแก่ของแต่ละร้านแค่ดึงออกมาง่ายๆ เล่มหนึ่งก็ล้วนเป็นหนังสือที่เราต้องการตามหาทั้งสิ้น ประหลาดนัก ประหลาดนัก”
เผยเฉียนยิ้มเอ่ย “ในฟ้าดินเล็ก ความคิดจิตใจมักดลบันดาล”
โจวหมี่ลี่ทำท่ากระจ่างแจ้งในฉับพลัน “ข้าเดาถูกจริงๆ ด้วย”
ตอนที่เฉินผิงอันเดินเตร็ดเตร่หาหนังสือไปทั่วนั้น ตู้ซิ่วไฉก็เดินออกมาจากร้าน มาหยุดอยู่ข้างคนเคราหยิก ถอนหายใจหนึ่งที “เกี่ยวพันกับในใจของผู้ฝึกตน การเลือกและการสละทิ้งที่มีต่อความรู้สามลัทธิร้อยสำนัก การกระทำเช่นนี้ของเจ้าหนูนั่นอันตรายมากเลยนะ หากไม่เป็นเพราะเป็นคนสายบุ๋นสายหนึ่งของลัทธิขงจื๊อ ทำแบบนี้ก็อาจจะไม่เป็นไร เลือกและสละได้ตามใจชอบ ถึงอย่างไรก็ไม่ทำร้ายจิตแห่งมรรคาแม้แต่น้อย ต่อให้ทำร้ายก็หนีไม่พ้นหลังจบเรื่องอ่านหนังสือเพิ่มให้มากอีกหน่อย ก็จะสามารถชดเชยแก้ไขได้เช่นกัน”
ชายฉกรรจ์พยักหน้า “ดังนั้นแรกเริ่มข้าถึงได้ไม่อยากขายธนูคันนี้ให้เขา หากจงใจหลอกล่อให้คนซื้อขายก็ออกจะไร้คุณธรรมเกินไปหน่อย เพียงแต่ว่าเจ้าหนูนั่นตาแหลมยิ่งนัก รู้จักดูของ ก่อนหน้านี้ตอนที่มานั่งยองแล้วทำเป็นแสร้งมองไปมองมา อันที่จริงกลับหมายตาธนูคันนี้ไว้ตั้งแต่แรกแล้ว แต่ข้าก็ไม่อาจทำลายกฎเป็นฝ่ายบอกกับเขาว่าธนูคันนี้ร้อนลวกมือได้”
ตู้ซิ่วไฉยิ้มเอ่ย “แต่หากทำการค้านี้สำเร็จจริงๆ เจ้าก็จะสามารถปลดเปลื้องพันธนาการได้อย่างสิ้นเชิง ไม่ต้องอาศัยกองทัพชุดเกราะสิบหมื่นอะไรนั่นไปตัดหัวคนผู้นั้น ถึงจะหลุดพ้นพันธนาการได้ ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องดี พวกเราแต่ละคนล้วนวาดพื้นที่เป็นกรงขังให้ตัวเอง รอคอยอยู่ที่นี่อย่างยากลำบากมาร้อยปีพันปี ภาพเหตุการณ์เดิมๆ เกิดขึ้นซ้ำไปซ้ำมาปีแล้วปีเล่า ชวนให้คนเหน็ดเหนื่อยจริงๆ มองจนแทบอยากจะอาเจียนออกมาอยู่แล้ว”
——