กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 774.4 หนิงเหยามาพบเฉินผิงอัน
ชายฉกรรจ์อดทนข่มกลั้นกับความปากมากของงูขาวตัวนั้นนานถึงหนึ่งเค่อเต็มๆ สุดท้ายอดไม่ไหวจึงอ้าปากหาว ลุกขึ้นนั่ง เอ่ยอย่างจนใจว่า “ไม่ก่อกวนแล้วยังจะทำอะไรได้อีก? ถึงอย่างไรก็ควรต้องหาเรื่องทำเสียบ้าง”
แต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์ผู้ทรงปรีชาหรือกษัตริย์โง่เขลา ไม่ว่าจะเป็นฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นหรือกษัตริย์ผู้ที่แคว้นล่มสลาย ก็ล้วนเป็นบุคคลที่ทิ้งชื่อไว้ยาวนานในประวัติศาสตร์ทั้งสิ้น
อันที่จริงในนครชุยก่งแห่งหนึ่ง ส่วนใหญ่แล้วก็มีแค่การทะเลาะถกเถียงกันระหว่างเหล่าราชาและขุนนางเท่านั้น คาดว่าขอแค่เรือราตรียังคงอยู่ ทั้งสองฝ่ายก็คงได้แต่ทะเลาะโต้เถียงกันต่อไปเรื่อยๆ ส่วนยามที่แต่ละบ้านปิดประตู พ่อแก่ด่าลูกชาย บรรพบุรุษด่าลูกหลานอกตัญญูนั้นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแล้ว ทุกบ้านล้วนมีคัมภีร์ที่อ่านยากเหมือนกันหมด
งูขาวชูหัวขึ้น เอ่ยอย่างเดือดดาลว่า “เจ้าพวกตาไร้แวว รีบเอาเหล้ามาให้ข้าดื่มสักกาสิ! หากไม่มีสุราดีๆ เจ้าก็ใช้กระบี่กรีดขาตัวเองสักที นายท่านใหญ่เช่นข้าจะได้เอามากล้อมแกล้มแทนสุรา”
ชายฉกรรจ์ยิ้มเอ่ย “รอให้คู่รักเทพเซียนคู่นั้นมาเป็นแขกที่บ้านพวกเราเมื่อไหร่ ข้าค่อยช่วยเจ้าขอเหล้าหมักตระกูลเซียนของแท้มาให้เจ้าสักสองสามกาก็แล้วกัน”
งูขาวเงียบเสียงไป จากนั้นก็พึมพำเบาๆ ว่า “เหล้าหัวขาดดื่มไม่ได้ ถึงเวลานั้นเจ้าอย่าเอาแต่เรียกตัวเองเป็นพี่เป็นน้องกับคนอื่นเขา เชื้อเชิญให้เขากินน้ำแกงงูตุ๋นอะไรเข้าล่ะ”
“น้ำเหมือนประกายในดวงตาที่งดงามชวนให้คนหวั่นไหว ภูเขาเหมือนขนคิ้วที่สาวงามวาดเขียน อยากถามคนเดินเท้าว่าจะไปแห่งหนใด ไปยังสถานที่ที่ขุนเขาสายน้ำตัดสลับกัน”
ชายฉกรรจ์สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งที สองมือกอดฝักกระบี่เอาไว้ ยิ้มเอ่ยว่า “อ่อนเยาว์ทั้งยังมีชีวิต ช่างทำให้คนอิจฉาจริงๆ”
งูขาวตัวนั้นขดตัวม้วนเข้าหากัน ถามว่า “เจ้าที่เป็นคนไม่มีความสามารถใด รู้จักร่ายบทกวีมีสำบัดสำนวนตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ชายฉกรรจ์ยืดเอวบิดขี้เกียจ เอ่ยว่า “พวกเราไปดูกันว่ามีเพลงเด็กแต่งใหม่แล้วหรือยัง หรือว่าจะไปเดินเล่นที่ศาลาฉางผิงดี?”
งูขาวตัวนั้นหลุดหัวเราะพรืด “แน่จริงก็ไปศาลาอูเจียงสิ!”
ชายฉกรรจ์หยิบกระบี่ลุกขึ้นยืน “มีความกล้า ไม่มีความสามารถ”
ควงกระบี่เป็นท่าเล่นลวดลาย ไม่ทันระวังกระบี่ยาวจึงหลุดร่วงลงพื้น งูขาวตัวนั้นสะบัดหางหนึ่งที กวาดกระบี่ยาวออกไปในแนวขวางไกลหลายสิบจั้ง นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ก็เอ่ยเตือนว่า “จี้ซื่อจวินเจ้าผีทวงหนี้ผู้นี้ขอค่าตอบแทนเป็น ‘กฎหมายข้อบังคับ’ จากเจ้าอีกแล้ว เขากำลังไปร้องทุกข์ฟ้องสตรีผู้นั้น บอกว่าช่วงนี้เขาไม่มีข้าวสารจะกรอกหม้อจริงๆ ช่วยไม่ได้ ไม่ใช่ว่าเขาพูดจาเหลวไหล เพราะทุกๆ สามวันห้าวันจะต้องเลี้ยงเหล้าดีๆ แก่ซือหม่าสักทีหนึ่ง พอดื่มจนเมามาย ความกล้าหาญมีมากพอ ก็เปลี่ยนตัวซือหม่าไปป้อนหมัดจนอิ่ม ถึงอย่างไรค่าเหล้าค่ายาก็เป็นค่าใช้จ่ายของแท้แน่นอน เจ้าจะไปตำหนินายท่านผู้เฒ่าที่วิ่งมาร้องระบายทุกข์ไม่ได้จริงๆ แต่ทุกวันนี้นายท่านผู้เฒ่าจงใจสวมรองเท้าเก่าที่พื้นสึกเกือบหมดแล้วคู่นั้น ก็ออกจะทำเลยเถิดเกินไปสักหน่อยแล้ว”
งูขาวพลันเอ่ยอย่างเดือดดาล “เจ้าถลึงตามองข้าผู้อาวุโสทำไม ขายข้าผู้อาวุโสแล้วจะได้เงินสักกี่แดงกัน? ปัญญาอ่อน!”
ชายฉกรรจ์ถอนสายตากลับคืน เดินลงขั้นบันไดไปทีละก้าว ถามว่า “สตรีผู้นั้นเป็นขอบเขตบินทะยานจริงๆ หรือ?”
งูขาวกลิ้งไถลลงมาจากขั้นบันได เอ่ยว่า “ต้องใช่แน่ และไม่รู้ว่าเหตุใด พอเห็นสตรีผู้นั้น แล้วเมื่อครู่ได้เห็นเซียนกระบี่หนุ่มคนนั้น หนังตาของข้าผู้อาวุโสถึงได้กระตุกตลอดเวลา แข้งขาอ่อน ใจสั่นก็ไม่หยุด”
ชายฉกรรจ์ค้อมเอวไปหยิบกระบี่ยาวเล่มนั้นขึ้นมาแบกไว้บนบ่า ก้มหน้ามองไป “ข้าได้ยินไม่ชัด เจ้าพูดอีกรอบหนึ่งสิ?”
งูขาวอับอายจนพานเป็นความโกรธ เลื้อยฉิวไป เตรียมจะกัดน่องเล็กของชายฉกรรจ์คนนั้น ถือเสียว่าเป็นสุรากระบวยเล็กๆ ไม่กี่ตำลึงก็แล้วกัน ผลคือถูกชายฉกรรจ์เตะโด่ง จากนั้นยังเอาฝักกระบี่ตบเต็มแรงจนปลิวกระเด็นไปอีก
ชายฉกรรจ์ยืนกอดกระบี่ ใบหน้าเต็มไปด้วยความพึงพอใจ พยักหน้าเอ่ยว่า “แบบนี้ก็มีความองอาจของกษัตริย์มากแล้ว”
เพียงแต่ว่าไม่นานชายฉกรรจ์ก็รู้สึกกลุ้มใจขึ้นมาอีก พอคิดถึงสตรีคนนั้นของตน แล้วไพล่นึกไปถึงคู่รักเทพเซียนของเซียนกระบี่หนุ่มคนนั้น ก็รู้สึกว่าคนเปรียบเทียบกับคนชวนให้คนโมโหตายได้จริงๆ
เพียงแต่ไม่ว่าจะอย่างไร เขาก็ยังชอบนาง
ชายฉกรรจ์เกียจคร้านที่ใช้กระบี่เคาะไหล่เดินไปช้าๆ ผู้นี้รู้สึกว่าตอนที่ตนอายุสามสิบห้า นางเพิ่งจะอายุยี่สิบ นางในปีนั้น งดงามมาก
เส้าเป่าเจวี้ยนมายังยอดเขาแห่งหนึ่งที่ไม่ถือว่าอยู่ในอาณาเขตของสิบสองนครบนเรือข้ามฟาก เมฆหมอกลอยอ้อยอิ่ง บนยอดเขามีปัญญาชนวัยกลางคนที่รูปร่างผอมบางยืนอยู่คนหนึ่งกับภิกษุที่นั่งงีบหลับอยู่บนเบาะรองนั่งคนหนึ่ง
บริเวณโดยรอบภูเขาหูซานแห่งนี้โอบล้อมไปด้วยทะเลเมฆกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา พอจะมองเห็นนครแต่ละแห่งได้อย่างเลือนรางว่าเป็นเหมือนจอกแหนใบแล้วใบเล่าที่ล่องลอยไม่หยุดนิ่งอยู่บนผิวน้ำ ทันใดนั้นทัศนียภาพก็แปรเปลี่ยนไป กลายมาเป็นเหมือนว่าอยู่นอกฟ้า ดวงดาวแต่ละดวงเล็กดั่งเมล็ดงา ทุกอย่างล้วนปรากฏอยู่ในสายตา สาดประกายจ้าดุจธารสีเงิน พอกะพริบตาอีกที ทัศนียภาพก็เปลี่ยนไปอีก ราวกับว่ามีคนพากันยกเท้าขึ้น ประหนึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ร่างสูงใหญ่ตนแล้วตนเล่าที่ก้าวเดินอยู่บนเส้นทางบรรพกาล ภูเขาหูซานเป็นเพียงฝุ่นเม็ดหนึ่งบนเส้นทางสายนั้น
เส้าเป่าเจวี้ยนคารวะปัญญาชนก่อน จากนั้นจึงยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “ท่านเจ้าของเรือ เหตุใดต้องให้ข้าตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์กับเฉินผิงอันเช่นนี้ด้วย?”
หากไม่ตอบตกลงทำเรื่องนี้ เขาก็ไม่เพียงแต่จะรักษาตำแหน่งเจ้านครของนครหรงเม่าเอาไว้ไม่ได้ ถึงขั้นที่ว่ายังไม่อาจหลุดพ้นไปจากความฝัน แม้จะบอกว่าเป็นแค่จิตสำนึกเสี้ยวหนึ่งเท่านั้นที่จะจมอยู่ในฟ้าดินของเรือลำนี้นับแต่นี้ไป
ทว่าสำหรับนักท่องฝันอย่างเส้าเป่าเจวี้ยนแล้ว ในฐานะหนึ่งในตัวสำรองสิบคนรุ่นเยาว์ของหลายใต้หล้า ปณิธานอยู่ที่การเดินขึ้นสู่ยอดสูงสุดของมหามรรคา นี่จึงแทบจะเกี่ยวพันกับอนาคตทั้งหมดบนมหามรรคาซึ่งมีค่าพอๆ กับชีวิตแล้ว
ขอแค่ดวงจิตเสี้ยวหนึ่งไม่อาจหลุดพ้นไปได้ ไม่ว่ายามที่เขาฝ่าคอขวดก่อกำเนิดจะเจอกับจิตมารแบบใดรุกราน ปราการกีดขวางถัดไปบนมหามรรคา หากพูดตามคำกล่าวของลัทธิพุทธก็คือใหญ่ราวกับเขาพระสุเมรุตั้งขวางอยู่บนเส้นทาง และสำหรับความรู้ของสามลัทธิร้อยสำนักแล้ว ก็มีเพียงลัทธิพุทธเท่านั้นที่เส้าเป่าเจวี้ยนศึกษาหาความรู้มาน้อยที่สุด ไม่อย่างนั้นเขาก็คงไม่มีทางพลาดแค่โชควาสนาของลัทธิพุทธไปครั้งแล้วครั้งเล่า ต่อให้เรียกร้องอยากได้เพียงใดก็มิอาจได้มาครองเช่นนี้
ปัญญาชนวัยกลางคนย้อนถาม “ลองเดาดูสิว่า หลังจากที่เขาเข้าเมืองมาแล้ว ได้พูดกับคนในท้องถิ่นของเรือข้ามฟากทั้งหมดซึ่งรวมถึงตัวเจ้าเองด้วยไปกี่คำ?”
เส้าเป่าเจวี้ยนส่ายหน้า ได้แต่ยิ้มจืดเจื่อน เรื่องนี้เขาจะเดาออกได้อย่างไร
ปัญญาชนวัยกลางคนเดินเนิบช้าไปยังริมหน้าผาของยอดเขา “เขาเป็นคนต่างถิ่น เจ้าเองก็ถือว่าเป็นคนต่างถิ่นครึ่งหนึ่ง ดังนั้นจึงพอเหมาะพอดี คนอื่นๆ ต่างก็ไม่เหมาะที่จะทำเรื่องนี้”
การวางแผนเล่นงานสามครั้งของเส้าเป่าเจวี้ยน รวมไปถึงสถานการณ์ที่จัดเตรียมไว้หลังจากนี้ จะสำเร็จหรือไม่ ไม่ได้สำคัญเลยสักนิด
เรือข้ามฟากไม่ได้คาดหวังว่าเจ้านครเส้าตัวสำรองสิบคนรุ่นเยาว์จะสามารถรั้งเฉินสืออีอิ่นกวานหนึ่งในคนรุ่นเยาว์สิบคนเอาไว้ได้
ไม่เพียงแต่ขอบเขตของทั้งสองฝ่ายต่างกัน ที่มากกว่านั้นคือความคิดจิตใจ
สิ่งที่ปัญญาชนวัยกลางคนต้องการมีเพียงอาศัยการปรากฎตัวของเส้าเป่าเจวี้ยนในนครเถียวมู่ การพัวพันก่อกวนบางอย่าง ทำให้อิ่นกวานหนุ่มคนนั้นพูดคุยกับคนบนเรือราตรีมากหน่อย ไปเยี่ยมเยือนเซียนเพื่อช่วงชิงมหามรรคามากหน่อย ดั่งคำกล่าวที่ว่ายิ่งมากยิ่งมีประโยชน์
ยิ่งเฉินผิงอันพูดคุยบนเรือราตรีมากเท่าไร ตัวอักษรที่เกี่ยวข้องมีมากเท่าไร น้ำหนักที่เขาอยู่บนเรือข้ามฟากลำนี้ก็จะยิ่งหนักมากเท่านั้น ตัวอักษรทุกตัวจะเป็นดั่งตะปูหนึ่งดอก คำพูดทุกประโยคจะเป็นดั่งโซ่ตรวนหนึ่งเส้น โชควาสนาในแต่ละครั้งก็จะเป็นดั่งกรงขังเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยขวากหนาม สุดท้ายเพียงแค่ความคิดบังเกิดขึ้นในใจของคนหนุ่มผู้นั้น เขาก็จะต้องรู้สึกเจ็บปวดราวกับหัวใจถูกคว้าน
นี่ก็คือวิถีการรับรองแขกของเรือข้ามฟาก คนทั่วไปไม่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ เซียนเหรินชงเชี่ยนก็ยังไม่คู่ควร
ดังนั้นถึงได้บอกว่าการที่ยอมแหกกฎปล่อยให้เฉินผิงอันสามคนเข้ามาในนครเถียวมู่โดยตรง เพราะมีข้อพิถีพิถันบางอย่าง
ปัญญาชนวัยกลางคนทอดสายตามองไปยังทางเส้นเล็กของชนบทในนครป๋ายเหยี่ยน ยิ้มเอ่ยว่า “คนคำนวณไม่สู้ฟ้าลิขิตงั้นหรือ? นี่จะค่อนข้างยุ่งยากแล้ว”
เขายิ้มกล่าวกับเส้าเป่าเจวี้ยน “ตัวเจ้าเองก็เตรียมทางถอยไว้เรียบร้อยแล้ว ยังจะต้องกลัวภัยแฝงที่จะตามมาอะไรอีก หลงปินแห่งนครจีเฉวี่ยนผู้นั้นพร่ำเรียกคำแล้วคำเล่าว่าอาจารย์เฉิน ทั้งยังช่วยฟู่หลิงโหวเปิดปากขอลวดลายตราประทับ ดังนั้นการที่เจ้าจงใจเสี่ยงอันตรายเปิดโปงสถานะอิ่นกวานของเฉินผิงอัน อันที่จริงถือเป็นการกระทำที่ฉลาดมาก กลับกลายเป็นว่าสามารถขจัดหมื่นหนึ่งในใจของอีกฝ่ายไปได้ อีกอย่าง ถึงท้ายที่สุดแล้วหากเจ้าถูกบีบให้ต้องคุมเชิงกับเขาจริงๆ ก็สามารถสาดน้ำสกปรกมาบนตัวข้าได้ ข้าจะรับปากเจ้าตั้งแต่ตอนนี้เลยแล้วกัน ดังนั้นไม่จำเป็นต้องรู้สึกว่ามีภาระใดๆ”
เส้าเป่าเจวี้ยนเงียบงันไม่พูดจา
อาจารย์จางเจ้าของเรือท่านนี้มีตบะขอบเขตบินทะยาน
เรือลำนี้คือสมบัติล้ำค่าตระกูลเซียนที่อาศัยการซ่อมแซมแก้ไขมาเลื่อนระดับขั้นอย่างต่อเนื่อง ทุกวันนี้จึงกลายมามีระดับของอาวุธเซียนแล้ว
อีกทั้งบนเรือราตรี ช่วงนี้ยังเปิดนครใหม่อีกสี่แห่ง
นี่ก็คือหนึ่งในเหตุผลที่ว่าเหตุใดช่วงนี้เส้าเป่าเจวี้ยนถึงต้องวิ่งวุ่นไปทั่วอย่างเหน็ดเหนื่อยมิอาจหยุดพัก
อีกทั้งที่พึ่งที่ใหญ่ที่สุดของเส้าเป่าเจวี้ยนยังไม่ใช่สถานะเจ้านครของนครหรงเม่าอะไรด้วย แต่เป็นระหว่างที่เขาหลับและตื่นในแต่ละครั้ง สามารถทิ้งร่างจริงไว้ในสถานที่ฝึกตนของหลิวเสียทวีป และการท่องฝันบนเรือราตรีในแต่ละครั้งจะมีการผลัดเปลี่ยนดวงจิต อาศัยสิ่งนี้มาเข้าสู่ความฝันซ้ำไปซ้ำมา ทุกครั้งจะช่วยเพิ่มเติมความรู้ให้แต่ละนครของบนเรือ อาศัยทางลัดเส้นนี้มาสะสมคุณความชอบที่มากพอด้วยความเร็วสูงสุด ช่วงชิงตำแหน่งเจ้านครของนครหรงเม่าหนึ่งในสี่นครล่างมาได้
เพียงแต่จนถึงทุกวันนี้เส้าเป่าเจวี้ยนก็ยังไม่อาจแน่ใจถึงความเป็นตาย ขอบเขตที่แท้จริง รากฐานมหามรรคาและความสามารถก้นกรุของอาจารย์จางผู้นี้ได้เลย ทุกอย่างเป็นมายาล่องลอยเกินไป ผีไม่รู้เทพไม่เห็นเกินไป
บนเรือราตรีลำหนึ่ง ก็เป็นอย่างคำโบราณที่ว่าไว้ ในตำราย่อมมีเรือนทองคำ มีธัญพืชนับพันอย่าง มีสาวงามดุจหยก อีกทั้งความรู้ที่ทุกคนรู้มาล้วนสามารถนำมาแลกเปลี่ยนเป็นเงิน สามารถทำให้พวกเทพเซียนมีชีวิตได้ต่อชีวิตยาวออกไป ประกอบจิตวิญญาณ หลอมจริงให้กลายเป็นลวง รักษาสติปัญญาเสี้ยวหนึ่งไม่ให้สลายหายไป
ปัญญาชนวัยกลางคนทอดสายตามองทะเลเมฆห่างไกล เส้าเป่าเจวี้ยนมองตามสายตาของเขาไปก็พบว่านั่นคือนครหงเหมา (ขนห่านหงส์) ที่หนักมากที่สุดในบรรดาสิบสองนครของเรือราตรีลำนี้ มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่านครเวิ่นต๋า (ถามตอบ) และคำว่า ‘หนัก’ ที่กล่าวถึงนี้ก็คือน้ำหนักที่จริงแท้แน่นอน สิบสองนครของเรือข้ามฟากมีการแบ่งเล็กใหญ่หนักเบามาโดยตลอด
เส้าเป่าเจวี้ยนที่ต่อให้เป็นเจ้านครของนครแห่งหนึ่งก็ยังไม่อาจเข้าไปในนครหงเหมาได้ จึงแค่เคยได้ยินคำบอกเล่าบางอย่างที่ไม่ประติดประต่อมาเท่านั้น
แตกต่างจากนครมู่เถียวที่เคารพหลักการบางอย่างในประวัติศาสตร์เช่น ‘แสวงหาความจริง’ ‘ยอมขาดดีกว่ามี’ อย่างเข้มงวด นครหงเหมาสอดคล้องกับชื่อของมันพอดี นั่นคือได้บันทึกเรื่องยิบย่อยเอาไว้นับไม่ถ้วน มีใหญ่มีเล็ก แต่เพราะล้วนเป็นปฏิทินเหลืองเก่าแก่ของนอกเรือข้ามฟาก แม้แต่เทพเซียนก็ยังยากที่จะเปิดอ่านได้ ดังนั้นจึงเบาเหมือนขนห่านหงส์ ไร้ซึ่งน้ำหนักใดๆ เอกสารในเมืองกองซ้อนกันเป็นภูเขา บันทึกเรื่องราวทั้งบนและล่างภูเขา ราชสำนักวงการขุนนาง หมู่บ้านร้านตลาดในยุทธภพ มีเรื่องราวบันทึกไว้นับไม่ถ้วน บางเรื่องก็มีสาเหตุ แล้วก็มีผลลัพธ์ แต่นครหงเหมาไม่เคยไปสนใจว่าผลลัพธ์พวกนี้จริงหรือเท็จ ไม่เคยจงใจสืบเสาะหาความจริงอะไร ยกตัวอย่างเช่นเอกสารสั่งการของที่ว่าการขุนนางฉบับหนึ่ง คำพูดสรุปแบบตอกปิดฝาโลงประโยคหนึ่งของนักปราชญ์ในศาลบรรพชนบ้านเกิดในท้องถิ่น คำพูดทวงความเป็นธรรมประโยคหนึ่งที่ผู้มีชื่อเสียงบางท่านในยุทธภพเอ่ยออกมาเพื่อยุติความขัดแย้ง ล้วนมีบันทึกไว้หมด และเรื่องบางอย่างที่ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ เพราะไม่มีผลลัพธ์ในใต้หล้าไพศาล ดังนั้นจึงได้แต่เขียนลงไปช่วงท้ายรายการด้วยสองคำว่า ‘ไร้ผลลัพธ์’
ปัญญาชนวัยกลางคนเอ่ย “ไปทำธุระของเจ้าเถอะ”
เส้าเป่าเจวี้ยนประสานมือคารวะอำลาเจ้าของเรือท่านนี้อย่างนอบน้อม
ในที่สุดภิกษุที่นั่งอยู่บนเบาะรองนั่งก็ลืมตา
ปัญญาชนวัยกลางคนยิ้มกล่าว “เจ้าว่าเฉินผิงอันจะสัมผัสได้หรือไม่?”
ภิกษุเริ่มงีบหลับไปอีกครั้ง
ปัญญาชนวัยกลางคนสอดสิบนิ้วของสองมือประสานกัน นิ้วโป้งเคาะกันเบาๆ เอ่ยเนิบช้าว่า “อุตรกุรุทวีป นักฆ่าของภูเขาเกอลู่ อาศัยมือซ้ายหลบพ้นหายนะมาได้ จนถึงทุกวันนี้ก็ยังจำได้แม่น คำเตือนจากลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขา กรงขังแห่งภูเขาสายน้ำ ภาพสะท้อนกลับหัวของตัวอักษร และยังรู้ชัดเจนถึงชื่อของเรือราตรีลำนี้ เส้นสายแห่งผลกรรม เส้นสายของตงไห่อารามกวานเต๋า บนเส้นทางของการเติบโต เริ่มมั่นใจมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าทุกๆ ความรู้ ทุกๆ หลักการเหตุผลล้วนมีพลัง แต่ขณะเดียวกันก็เป็นภาระอย่างหนึ่ง ดูเหมือนว่าจะค่อนข้างเป็นปัญหาจริงๆ แล้ว คนหนุ่มคนหนึ่งรับมือได้ยากขนาดนี้เลยหรือ?”
ทุกราชวงศ์ล้วนมีมาตรฐานทางกฎหมายเป็นของตัวเอง ทุกสถานที่ล้วนมีขนบธรรมเนียมของตัวเอง ทุกคนล้วนมีวิถีของการอยู่ร่วมสังคมเป็นของตัวเอง
เขานึกถึงเรื่องเก่าแก่บางอย่างในอดีต
ในบรรดาแขกผู้มีเกียรติในประวัติศาสตร์ของเรือข้ามฟาก มีลู่เฉินที่ปีนั้นยังไม่ได้บินทะยานไปเยือนใต้หล้ามืดสลัว รวมไปถึงเซียนฉาคนพายเรือข้างกายลู่เฉินที่ใช้นามแฝงว่ากู้ชิงซง
และยังมีเจี่ยเซิงแห่งไพศาลในอดีต โจวมี่มหาสมุทรความรู้ในภายหลัง ระหว่างทางที่เดินทางไปเยือนภูเขาห้อยหัว ได้ถูกเชิญให้ขึ้นมาบนเรือราตรี
รวมไปถึงซิ่วหู่ชุยฉานที่เดินทางจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางกลับมายังแจกันสมบัติทวีปอันเป็นบ้านเกิด ราชครูต้าหลีในภายหลัง
ปัญญาชนวัยกลางคนหลุดหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ “หนึ่งคือลูกศิษย์คนแรกของสายบุ๋น หนึ่งคือลูกศิษย์คนสุดท้าย ซิ่วหู่เปิดประตู เจ้าปิดประตู? ร้ายกาจขนาดนี้จริงๆ หรือ?”
……
ท่ามกลางม่านราตรี
นักพรตวัวดำสัมผัสได้ถึงความผิดปกติเสี้ยวหนึ่งจึงรีบพลิกกายลงจากหลังวัว ไม่รู้ว่านักพรตเฒ่าเก็บแตงโมมาตอนไหนอีก เขานั่งยองอยู่ริมทาง หันหลังให้สตรีขอบเขตบินทะยานที่คล้ายจะเริ่มกระวนกระวายไม่เป็นสุข นักพรตเฒ่าสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ร้องตวาดเบาๆ หนึ่งที กดลมปราณลงสู่จุดตันเถียน ใช้ฝ่ามือผ่าแตงโม วางครึ่งหนึ่งไว้ข้างเท้าก่อน จากนั้นก็ก้มหน้ากัดกินแตงโมอีกครึ่งหนึ่งที่เหลือ
เพียงไม่นานก็มีคนชุดเขียวผู้หนึ่งปรากฏตัวอย่างโซซัดโซเซ เผยกายอยู่ข้างกายหนิงเหยา
บนทางเส้นเล็กในชนบทสายหนึ่ง บนพื้นดินมีแต่แสงจันทร์
เฉินผิงอันปรากฏตัวอยู่บนถนน อันที่จริงหนิงเหยารอคอยเขาอยู่ที่เดิมตลอดมา ในที่สุดก็รอจนได้พบกับคนผู้นี้
เขามองนาง นางมองเขา
ในอดีตตอนที่อยู่ตรงหน้าประตูบานหนึ่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ หลังจากที่เขาได้กลับมาเจอกับนางอีกครั้งหลังจากลากันไปนาน ก็ได้เอ่ยประโยคหนึ่งว่า เฉินผิงอันแห่งใต้หล้าไพศาลมาพบหนิงเหยา
เป็นการกลับมาเจอกันอีกครั้งหนึ่งแล้ว
เพียงแต่ว่าครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายต่างก็อยู่ต่างบ้านต่างเมือง
และบ้านเกิดแรกเริ่มสุดของคนทั้งสอง เมืองเล็กยังคงอยู่ ทว่าถ้ำสวรรค์หลีจูกลับไม่มีอยู่แล้ว กำแพงสองท่อนยังคงอยู่ แต่กำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่มีอยู่แล้ว
ทว่านางยังคงเป็นนาง หนิงเหยายังคงเป็นหนิงเหยาคนนั้นตลอดกาล
เฉินผิงอันยิ้มกว้างสดใส เพียงแต่ว่าไม่นานก็เริ่มยู่หน้าน้อยๆ เม้มปากแน่น จากนั้นเพียงชั่วพริบตาสายตาก็สว่างเจิดจ้า มุมปากกระดกขั้นอีกครั้ง กลั้นยิ้ม สายตาอ่อนโยน
ไม่ได้พูดอะไรสักคำ แต่ก็คล้ายว่าได้เอื้อนเอ่ยทุกคำออกมาหมดแล้ว
หนิงเหยา หลายปีมานี้ ข้าคิดถึงเจ้ามาก ลำบากอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เป็นไร วันนี้ได้พบเจอเจ้า ก็ดีมากที่สุดแล้ว
นางสีหน้าแช่มชื่น เชิดหน้าขึ้นน้อยๆ คิ้วตาเบิกบานสดใส เอ่ยกับคนผู้นั้นว่า “หนิงเหยาแห่งนครบินทะยานมาพบเฉินผิงอัน!”
——