กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 776.2 พบเจอขอบเขตสิบสี่
หนิงเหยาไม่ได้รู้สึกลำบากใจอะไร เพราะนี่คือความจริง
ถึงขั้นที่ว่าตลอดทั้งนครบินทะยานต่างก็ไม่มีทางปฏิเสธความจริงข้อนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานและผู้ฝึกยุทธที่อยู่ด้านในสายสิงกวาน บวกกับผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์สายของเฉวี่ยนฝู่ที่ต่างก็คิดถึงอิ่นกวานหนุ่มที่ทิ้งเรื่องราวน่าสนใจเอาไว้มากมาย และมีเรื่องเล่าน้อยใหญ่นับไม่ถ้วนคนนั้น ต่อให้เนื่องจากเหตุผลที่แตกต่างกันไป ผู้ฝึกกระบี่ที่ไม่มีความรู้สึกอันดีใดๆ ต่อเถ้าแก่รองร้านเหล้า คนต่างถิ่นครึ่งตัวผู้นั้น ตอนที่ไปรวมกลุ่มกันดื่มเหล้า ทุกครั้งที่พูดถึงคนผู้นี้ ไม่ว่าจะเอ่ยประโยคว่า ‘มองไกลๆ คืออาเหลียง มองใกล้ๆ คืออิ่นกวาน ’ หรือเอ่ยว่า ‘หนึ่งหมัดต่อยเถ้าแก่รองล้มคว่ำ’ หรือพูดถึงบนสนามรบที่เต็มไปด้วยลวดลายฉูดฉาด ก็ล้วนเป็นหัวข้อการพูดคุย เป็นกับแกล้มแกล้มสุราที่ดีเยี่ยม
ยกตัวอย่างเช่นแม้แต่ในบรรดาตัวอ่อนเซียนกระบี่เก้าคนที่เฉินผิงอันพากลับมายังใต้หล้าไพศาลนั้นก็ยังมีเด็กที่ไม่ชอบอิ่นกวานหนุ่ม อีกทั้งยังไม่ใช่แค่คนเดียว แต่ไม่ว่าใครก็ล้วนไม่ปฏิเสธว่า ยามที่เผชิญหน้ากับศัตรู ค่ายทัพฝ่ายของตัวเอง ยามที่ข้างกายมีหรือไม่อิ่นกวานที่เก็บกระบี่คอยช่วยวางแผน ตรวจสอบช่องโหว่และแก้ไข ยามออกกระบี่ก็สามารถพาตัวไปอยู่ท่ามกลางสถานการณ์อันตราย กล้าสละชีวิตอย่างลืมตาย ความต่างของทั้งสองอย่างนี้ไม่น้อยเลยจริงๆ
เฉินผิงอันได้ยินแล้วก็รู้สึกละอายใจเล็กน้อย ยกเหล้าขึ้นจิบหนึ่งอีก หยิบปลาแห้งตัวหนึ่งของภูเขาลั่วพั่วบ้านตนมากินเป็นกับแกล้ม
หนิงเหยาเอ่ยว่า “อยู่ในใต้หล้าใหม่เอี่ยมที่ทุกหนทุกแห่งเต็มไปด้วยโชควาสนาแห่งนั้น หากใครสามารถสังหารสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาลได้ตนหนึ่ง ต่อให้จะไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ตำแหน่งสูงสิบสองตน แต่ขอแค่โชคดีหน่อย ก็จะได้รับวิชาอภินิหารอย่างหนึ่งมา นักพรตซานชิง นักพรตหญิงหวงถิงแห่งใบถงทวีป สู่จ้งสู่แห่งหลิวเสียทวีป หากอิงตามรายงานของนครบินทะยาน พวกเขาต่างก็ได้รับโชควาสนาเป็นของตัวเอง
ความนัยในคำพูดของหนิงเหยา แน่นอนว่าคือหากเจ้าเฉินผิงอันก็อยู่ในใต้หล้าแห่งที่ห้าด้วย ต่อให้ไม่ดูแลสายอิ่นกวานอะไรของนครบินทะยาน ก็ต้องยุ่งมากอยู่ทุกวัน จะต้องได้เป็นร้านผ้าห่อบุญอันดับหนึ่งอย่างแน่นอน
เฉินผิงอันจึงพูดถึงเรื่องซากปรักของภูเขาไท่ผิง หวังว่าหวงถิงจะไม่ต้องกังวลใจมากนัก ขอแค่ได้กลับมายังใต้หล้าไพศาลก็สามารถสร้างสำนักขึ้นใหม่ได้ทันที
หนิงเหยาพยักหน้าเอ่ย “รอให้ข้ากลับไปแล้วจะต้องบอกกับนักพรตหญิงสักคำ”
พบว่าเฉินผิงอันมองมาที่ตนอย่างเหม่อลอย หนิงเหยาก็ถามว่า “ต้องการให้ข้านำความอย่างอื่นไปบอกเพิ่มเติมไหม? เจ้ารีบหรือไม่?”
เฉินผิงอันพูดอย่างเด็ดเดี่ยว “ไม่ต้อง!”
หนิงเหยาดื่มเหล้าหนึ่งอึก
หมี่ลี่น้อยรู้สึกว่าในที่สุดก็ถึงคราวที่ตัวเองจะได้พูดบ้างแล้ว จึงหันหน้ามาถามเสียงเบาว่า “เผยเฉียน เผยเฉียน ใช่พี่สาวนักพรตหญิงที่เจ้าบอกว่าเป็นคนสอนวิชาแบกกระบี่และวิชาลากดาบให้เจ้าคนนั้นหรือไม่ เจ้ายังบอกด้วยว่านางหน้าตางดงามมาก แต่สายตาที่มองคนกลับธรรมดามาก?!”
อาจารย์และศิษย์สองคนที่นั่งอยู่บนโต๊ะรู้สึกหัวโตขึ้นมาทันใด
เผยเฉียนสีหน้ากระอักกระอ่วน “ข้าเคยพูดหรือ?”
โจวหมี่ลี่มองเผยเฉียน แล้วจึงหันไปมองเจ้าขุนเขาคนดีและฮูหยินเจ้าขุนเขา ลังเลเล็กน้อย ก่อนเอ่ยว่า “ไม่เคยกระมัง?”
นางรู้สึกว่าตัวเองน่าจะพูดอะไรผิดไป จึงรีบดื่มเหล้าหมักข้าวเหนียวอึกใหญ่ หัวเราะร่าเอ่ยว่า “ข้าดื่มไม่ค่อยเก่ง ล้วนเป็นคำพูดของคนเมาทั้งสิ้น”
หนิงเหยาหัวเราะ ดูท่าคงต้องคุยเล่นกับหมี่ลี่น้อยให้มากๆ เสียแล้ว
หากจะพูดถึงวาสนากับผู้อาวุโสบนภูเขาลั่วพั่ว นอกจากพี่หญิงหน่วนซู่แล้ว หากโจวหมี่ลี่บอกว่าตัวเองเป็นที่สาม ก็ไม่มีใครกล้าบอกว่าเป็นที่สอง
ศิษย์พี่สองคนของเฉินผิงอันอย่างจั่วโย่ว จวินเชี่ยน ปีนั้นตอนอยู่บนภูเขาลั่วพั่ว แม้ว่าช่วงเวลาที่มาอยู่บนภูเขาจะไม่นานมากทั้งคู่ แต่ทั้งสองคนกลับพูดคุยกับหมี่ลี่น้อยเยอะที่สุดเหมือนกันอย่างไม่มียกเว้น พวกเขาค่อนข้างชอบคุยกับหมี่ลี่น้อยจริงๆ เพราะภูตน้ำน้อยแห่งทะเลสาบคนใบ้ผู้นี้พูดจาไร้เดียงสาเหมือนเด็กมากที่สุด ผู้ดูแลใหญ่จูเหลี่ยนรอบคอบรัดกุมเกินไป เว่ยป้อเว่ยซานจวินก็ระมัดระวังตัวเกินไป หน่วนซู่ยุ่งมากทุกวัน เฉินหลิงจวินหลบเลี่ยงพวกเขา มีเพียงหมี่ลี่น้อยที่ชอบเดินลาดตระเวนภูเขาคนนี้ที่ทั้งชอบถามนู่นถามนี่ และหากมีใครถามอะไรนางก็ตอบทั้งหมด
เฉินผิงอันรีบเบี่ยงประเด็นทันที การพูดคุยหลังจากนั้นเผยเฉียนถึงได้รู้ว่า ที่แท้อาจารย์พ่อก็เลื่อมใสหลี่สือหลางแห่งนครเถียวมู่มานานมากแล้ว
เผยเฉียนรู้สึกพิลึกพิลั่นเล็กน้อย คล้ายกับยากจะจินตนาการได้ว่าอาจารย์พ่อจะเลื่อมใสคนอื่นได้ขนาดนี้
โจวหมี่ลี่เกาแก้ม
รู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างมาก
ไม่ด้อยไปกว่าปีนั้นที่ประลองบทกวีพ่ายแพ้แล้วถูกคนไล่ออกไปเลย
เฉินผิงอันกลับไม่ได้รู้สึกว่าได้เจอหลี่สือหลาง ‘เทพเซียนมีชีวิต’ ตัวจริงที่อยู่นอกหนังสือผู้นี้แล้วทำให้คนรู้สึกผิดหวังสักเท่าไร เขายิ้มเอ่ยกับเผยเฉียนว่า “ยังจำคำโคลงท่องติดปากที่ข้าสอนเจ้าตอนที่เจ้ายังเด็กช่วงที่เร่งเดินทางตอนกลางคืนในใบถงทวีปเพื่อเอามาใช้ปลุกความกล้าให้เจ้าได้ไหม?”
เฉินผิงอันจิบเหล้าหนึ่งอึก สองนิ้วประกบกันเคาะลงบนผิวโต๊ะเบาๆ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ประตูกับทวาร เส้นทางกับถนน ทิวากับยาวนาน มาตุภูมิกับต่างถิ่น ตำหนักชิงสู่บนพื้นดิน ตำหนักกว่างหันบนท้องฟ้า ถือยันต์วิเศษยันต์ห้าขุนเขา ตรงเอวห้อยกระบี่วิเศษลายเจ็ดดาว”
เผยเฉียนยิ้มกว้าง “ต้มกุ้ยไช่ ตัดคึ่นไฉ่ ต้นไหวกับต้นหลิว ต้นฮุ่ยกับต้นเจีย หมาเหลืองกับนกเขียว แอ่งน้ำกับหน้าผา ตะเกียบหยกขาวใต้ภูเขา โอสถม่วงทองเก้าโคจรตระกูลเซียน”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “อันที่จริงคำพูดพวกนี้ล้วนเป็นคำคล้องจองที่ข้าเลือกมาจากบทประพันธ์ของหลี่สือหลาง แล้วตัดเอามาสอนเจ้าอีกที ครั้งแรกที่อาจารย์พ่อออกจากบ้านเดินทางไกล ก็มักจะท่องคำพวกนี้อยู่เป็นประจำ”
เนื้อหาตัวอักษรที่งดงามพวกนี้เคยอยู่เคียงข้างเด็กหนุ่มรองเท้าเตะเดินข้ามผ่านพันขุนเขาหมื่นสายน้ำมาด้วยกัน ทุกครั้งที่คิดถึงบ้านเกิดก็จะมักจะทำให้เด็กหนุ่มคิดถึงตรอกของบ้านเกิด ต้นไหวของเมืองเล็ก ต้นเจียกลางภูเขา ทุกครั้งที่ท้องร้องโครกครากก็มักจะคิดถึงกลิ่นหอมๆ ของต้นกุ้ยไช่ผัดไข่ คึ่นไฉ่ผัดเต้าหู้อบแห้ง ทำให้เด็กหนุ่มที่ยังไม่รู้ประสาอดนึกไม่ได้ว่าทูตอวิ๋นเปี้ยน เซวี่ยอีเหนียง ตะเกียบหยกขาว โอสถม่วงทอง แท้จริงแล้วคืออะไรกันแน่
“ในตำราเขาบอกไว้ว่าวิธีหาความสุขของคนยากจน ไม่ได้มีเคล็ดลับอะไร มีเพียงแค่วิธี ‘ถอยไปหนึ่งก้าว’ เท่านั้น ตอนนั้นพอข้าอ่านมาถึงตรงนี้ก็รู้สึกว่าผู้อาวุโสคนนี้พูดได้ถูกต้องจริงๆ ดูเหมือนว่ามันจะเป็นอย่างนี้ เรื่องราวและคนมากมายล้วนหนีไม่พ้น ให้ตายอย่างไรก็หนีไม่พ้น ยังจะทำอย่างไรได้อีก ทำอะไรไม่ได้จริงๆ”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “แต่กลับคิดไม่ถึงว่าช่วงหลังของหนังสือเล่มนั้นหลี่สือหลางจะยังยกตัวอย่างอีกข้อหนึ่ง พูดประมาณว่าช่วงเวลาที่อากาศร้อนชื้น ในกระโจมมียุงและแมลงมากมาย คนจรเดินทางท่องเที่ยวพักค้างแรมในศาลาก็ไม่ต้องถูกรบกวน จากนั้นก็พูดถึงศาลา หลักการเหตุผลที่หลี่สือหลางคิดจะใช้สิ่งนี้มาอธิบายก็คือ ‘อย่าบังคับชี้นำให้ผู้อื่นต้องยอมถอย’ เพราะว่าเหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก ‘พูดถึงแค่ตัวเอง ใครบ้างที่ไม่เคยเจอสถานการณ์ยากลำบาก’ ใช้อดีตมาเปรียบเทียบกับปัจจุบัน ไม่รู้ถึงความยากลำบาก แต่รู้ถึงความสุข ดังนั้นทุกครั้งที่ข้าฝึกหมัดเดินนิ่งเสร็จแล้ว หรือไม่ก็ยามที่เจอกับเรื่องอะไรก็ตาม อดทนจนผ่านพ้นด่านยากลำบากไปได้ ก็จะยิ่งรู้สึกว่าคำพูดนี้ของหลี่สือหลางคล้ายได้นำหลักการเหตุผลบางอย่างมาพูดจนสะอาดหมดจดไม่เหลือพื้นที่ว่างอีกแล้ว แต่ตัวเขาเองกลับเอ่ยว่าตัวเอง ‘หากตั้งใจจะลงโทษหรือปูนบำเหน็จ จะไม่เอ่ยออกมาอย่างชัดเจนเด็ดขาด’ แปลกหรือไม่เล่า?”
เผยเฉียนเบิกตากว้าง “อาจารย์พ่อบอกว่าให้ตั้งตัวเป็นศัตรูกับตัวเอง ไม่ต้องรีบร้อนไปเปรียบเทียบกับใคร หากตัวข้าในวันนี้ชนะตัวข้าเมื่อวาน ตัวข้าของพรุ่งนี้ชนะตัวข้าในวันนี้ ก็คือหลักการเหตุผลที่เอามาจากในนี้หรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ก็ใช่น่ะสิ ไม่อย่างนั้นเจ้าคิดว่าหลักการเหตุผลของอาจารย์พ่อล้วนหล่นลงมาจากฟ้าแล้วข้าค่อยรับเอาไว้หรือไร?”
เฉินผิงอันชูถ้วยเหล้าขึ้น หันหน้าไปมองนอกหน้าต่าง แล้วก็จู่ๆ ก็พลันกระดกดื่มจนหมด ถือเป็นการดื่มสุราคารวะถ้วยหนึ่งอยู่ไกลๆ ขอบคุณหลี่สือหลางผู้นั้นจากใจจริง
ในสวนแห่งหนึ่งของนครเถียวมู่ บัณฑิตผมขาวกับหลี่สือหลางยืนเคียงไหล่กัน มองริ้วน้ำที่กระเพื่อมอยู่ในสระ ยิ้มเอ่ยว่า “คำประจบนี้ น้ำใจนี้ เจ้าจะรับไว้หรือไม่เล่า?”
หลี่สือหลางแค่นเสียงเย็นเอ่ย “เจ้าเด็กนั่นนับถือข้าแล้วอย่างไร คนที่นับถือเลื่อมใสในความรู้ความสามารถของข้าหลี่สือหลางบนโลกนี้ไม่ได้มีแค่พันหมื่นเท่านั้น เจ้าเด็กนี้ปลิ้นปล้อนเกินใคร คงไม่ใช่เห็นว่าข้าเป็นคนโง่ที่คิดจะตบหัวแล้วลูบหลังอย่างไรก็ได้หรอกกระมัง ข้ากล้าแน่ใจเลยว่าเจ้าเด็กนั่นรู้ชัดเจนดีว่าตอนนี้เจ้าและข้าแอบฟังเขาอยู่ เพราะเขารู้ว่าหากเรียกชื่อหลี่สือหลางออกมาตรงๆ ข้าที่อยู่ที่นี่จะสามารถสัมผัสได้”
บัณฑิตผู้เฒ่าจุ๊ปากชื่นชม
สีหน้าของหลี่สือหลางเปลี่ยนมาเป็นผ่อนคลายในทันใด ลูบหนวดยิ้มเอ่ย “เพียงแต่ว่าถ้อยคำจากใจจริงประโยคนี้ ดั่งการกอดขาพระเมื่อเกิดเรื่องจวนตัว มีความจริงใจหรือไม่ แค่มองก็เห็นได้แล้ว”
บัณฑิตเฒ่าพยักหน้าเอ่ยคล้อยตาม “ถึงอย่างไรก็เป็นใต้เท้าอิ่นกวานแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ ทว่าแม้แต่เจ้าของเรือก็ยังกล้าวางแผนเล่นงาน แล้วก็ถูกเขาเล่นงานได้จริงๆ ได้รับความชื่นชมเลื่อมใสจากใจจริงจากคนรุ่นหลังที่ฉลาดเฉลียวผู้นี้ ก็คือว่าสือหลางได้มีหน้ามีตาครั้งใหญ่แล้ว”
หลี่สือหลางพยักหน้ารับ เอ่ยว่า “นักพรตวัวดำผู้นั้นกลับได้แต่กินแตงเท่านั้น””
นครหรงเม่าหนึ่งในนครล่างของเรือราตรี ปัญญาชนวัยกลางคนอำพรางกายมายังงานเลี้ยงแห่งหนึ่ง ในงานเลี้ยงเต็มไปด้วยสตรีสวมชุดสีสันสดใส แสงเทียนวูบวาบ ทำให้คนมองสงสัยว่ากำลังมองเทพเซียน มีสตรีคนหนึ่งกำลังดีดพิณ ตรงตำแหน่งประธานคือบุรุษหน้าตาหล่อเหลาที่เป็นฝ่ายยกตำแหน่งเจ้านครให้กับเส้าเป่าเจวี้ยน มีฉายาว่าเหม่ยโจวหลาง
ปัญญาชนวัยกลางคนเดินก้าวออกไปอีกหนึ่งก้าว ไปถึงที่แห่งอื่นอย่างเงียบเชียบ ยิ้มถามบุรุษคนหนึ่งที่เรือนกายพร่าเลือน “เจ้ากับเฉินผิงอันเคยเป็นเพื่อนร่วมงานกันที่กำแพงเมืองปราณกระบี่กระมัง เหตุใดถึงให้เส้าเป่าเจวี้ยนลงมือกับเขา? เป็นเพราะเจ้ากับมหาสมุทรความรู้โจวมี่อดีตสิงกวานมีข้อตกลงบางอย่างต่อกันมานานแล้ว จึงเป็นการกระทำที่ฝืนใจใช่หรือไม่?”
บุรุษที่แม้แต่เจ้าของเรือก็ยังเห็นโฉมหน้าเขาไม่ชัดคนนั้น ที่แท้ก็คือสิงกวานที่อยู่ในคุกของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ตอนอยู่ที่นั่นเขาได้รับผู้ฝึกกระบี่เด็กหนุ่มคนหนึ่งมาเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอด ชื่อว่าตู้ซานอิน
และเซียนกระบี่ประหลาดที่แม้แต่เอกสารคดีของคฤหาสน์หลบร้อนก็ยังไม่มีชื่อแซ่บันทึกไว้ผู้นี้ ครั้งเดียวที่เขาลงมือในฟ้าดินเล็กของคุก ก็คือออกระบี่สังหารอู๋ซวงเจี้ยงเทวบุตรมารนอกโลกขอบเขตบินทะยาน
หลังจากที่คนผู้นี้ออกมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็มาเป็นแขกอยู่บนเรือราตรีมาโดยตลอด เวลานี้บุรุษผู้นี้กำลังพูดคุยกับอาจารย์จางเจ้าของเรือ “เป็นแค่การค้าครั้งหนึ่ง มีสตรีคนหนึ่งอยากหลุดพ้นไปจากแจกันสมบัติทวีป”
ปัญญาชนวัยกลางคนยิ้มเอ่ย “ประหลาดนัก ตัวเฉินผิงอันเองก็มาอยู่บนเรือข้ามฟากลำนี้แล้ว นี่ก็ไม่ใช่โอกาสที่ดีที่สุดที่นางจะหลุดพ้นไปได้หรอกหรือ? ถอยไปพูดหนึ่งก้าว หรือว่าพอเฉินผิงอันไปถึงอุตรกุรุทวีปแล้วจะยังสามารถตัดสินใจเรื่องสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของภูเขาตะวันเที่ยงได้โดยตรง?”
บุรุษเอ่ย “เถียนหว่านเพียงแค่ทำนายดวงดู ดูเหมือนว่าจำเป็นต้องทำเช่นนี้ถึงจะมีโอกาสรอดชีวิตเสี้ยวหนึ่ง”
ปัญญาชนวัยกลางคนถามอย่างกังขา “คือเทวบุตรมารนอกโลกที่ซ่อนตัวอยู่ในไส้ตะเกียงตนนั้น?”
แต่แล้วเขาก็ส่ายหน้าเอ่ยกับตัวเองว่า “ต่อให้เป็นเทวบุตรมารนอกโลกตนนั้นก็ยังคงไม่ถึงขั้นนี้ อยู่ที่นี่ต่อให้เทวบุตรมารนอกโลกเป็นขอบเขตบินะทยานก็ยังค่อนข้างจะไร้ประโยชน์”
บุรุษโบกมือ เป็นการออกคำสั่งไล่แขก
ปัญญาชนวัยกลางคนเพียงแค่ยืนอยู่ที่เดิม จมสู่ภวังค์ความคิด
——