กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 781.4 ผู้ที่อยู่ในกฎในเกณฑ์คือบุคคลผู้ยอดเยี่ยมแห่งแคว้น
- Home
- กระบี่จงมา Sword of Coming
- บทที่ 781.4 ผู้ที่อยู่ในกฎในเกณฑ์คือบุคคลผู้ยอดเยี่ยมแห่งแคว้น
หลังจากพูดจบอู๋ซวงเจี้ยงก็ส่ายหน้า วางถ้วยชาลงด้วยท่าทางระอาใจอย่างเห็นได้ชัด หยิบพู่กันด้ามหนึ่งออกมา พร้อมกระดาษยันต์หนึ่งแผ่น และยันต์แผ่นนั้นแม่งก็คือยันต์ ‘เขียว’ อีกแผ่นหนึ่ง…
ทำเอาเฉินผิงอันมองตาถลน เจ้าตัวดี ไม่เสียแรงที่เป็นผู้อาวุโสที่พูดคุยกับนักพรตซุนถูกคอ!
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืนด้วยความเร็วที่ฟ้าผ่าไม่ทันเอามือป้องหู ใช้ฝ่ามือตบกดยันต์เขียวแผ่นนั้นเอาไว้ก่อน จากนั้นค่อยหยิบยันต์กระดาษธรรมดาแผ่นหนึ่งออกมาโยนให้ชุยตงซานอย่างว่องไว ชุยตงซานรับยันต์ล้ำค่าที่อาจารย์มอบให้มาไว้แล้วลุกขึ้นยืนค้อมเอวก้มหัวต่ำ ยื่นมือสองข้างออกไปรับพู่กันตระกูลเซียนที่มีชื่อว่า ‘ก่อเกิดบุปผา’ จากมือเทพเซียนผู้เฒ่าอู๋มาอย่างนอบน้อม
ชุยตงซานวาดภาพของสามภูเขาลงไปในกระดาษยันต์สีเหลือง จากนั้นออกแรงสะบัดพู่กัน ‘ก่อเกิดบุปผา’ ที่อยู่ในมืออย่างแรง ราวกับมันคือพู่กันล่างภูเขาที่จุ่มหมึกมาไม่มากพอ พู่กันจึงแห้งขอด
เจียงซ่างเจินบ่นน้องชุยไปหนึ่งคำ ก่อนจะวิ่งตุปัดตุเป๋มามอบพู่กันด้ามหนึ่งที่ตัวเองเก็บรักษามาเป็นอย่างดีให้กับเทพเซียนผู้เฒ่าอู๋
ทันใดนั้นคนทั้งสามก็อึ้งตะลึงไปแทบจะพร้อมกัน ชุยตงซานชำเลืองตามองพู่กันในมือ เงยหน้ามองอาจารย์แวบหนึ่ง เฉินผิงอันมองชุยตงซานแล้วก้มหน้าลงมองกระดาษสีเขียวในมือของตัวเอง
ส่วนอู๋ซวงเจี้ยงหยิบเอายันต์สามภูเขาที่วาดลงบนกระดาษยันต์สีเหลืองแผ่นนั้นมา ถือพู่กันที่เจียงซ่างเจินส่งมอบให้ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อาจารย์ชุยและเจ้าสำนักเจียงไม่ต้องการให้ข้าช่วยวาดยันต์ให้แล้วหรือ?”
อู๋ซวงเจี้ยงยกมือขึ้นกระดิกนิ้ว “สองแผ่น”
เจียงซ่างเจินและชุยตงซานต่างก็ยื่นส่งกระดาษยันต์สีเขียวที่ยังถือไว้ไม่ทันร้อนของตัวเองออกไปให้เขาคนละแผ่นทันที อู๋ซวงเจี้ยงเก็บพู่กันไว้ในชายแขนเสื้อ แล้วกวักมืออีกครั้ง
ชุยตงซานจึงได้แต่มอบ ‘ก่อเกิดบุปผา’ ด้ามนั้นออกไปแต่โดยดี คิดไม่ถึงว่าอู๋ซวงเจี้ยงรับพู่กันไปแล้วจะเก็บยันต์เขียวสองแผ่นที่วางไว้บนโต๊ะไปไว้ในแขนเสื้อพร้อมกันด้วย ครั้นจึงกวักมือมาทางเฉินผิงอัน
เห็นได้ชัดว่ายันต์แผ่นที่ถูกเฉินผิงอันเก็บใส่ไว้ในกระเป๋าเพื่อความสบายใจแผ่นนั้นก็ต้องคืนให้อู๋ซวงเจี้ยงเช่นเดียวกัน
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างจนใจ “ผู้อาวุโส แบบนี้เกินไปหน่อยหรือไม่?”
อู๋ซวงเจี้ยงกล่าว “ใครขอบเขตสูงคนนั้นพูดอะไรก็ต้องว่าตามนั้น ก่อนหน้านี้ใครเป็นคนพูดล่ะ?”
เจียงซ่างเจินตามองจมูก จมูกมองใจ
คนทั้งกลุ่มขโมยไก่ไม่สำเร็จแล้วยังต้องเสียข้าวเปลือกไปอีกหนึ่งกำมือ ยังเสียยันต์เขียวไปอีกหนึ่งแผ่น หรือควรจะพูดให้ถูกก็คือเหมือนจะเป็นสองแผ่น
ชุยตงซานแข็งใจเอ่ยว่า “อาจารย์ ยันต์แผ่นนั้นท่านเก็บไว้เถอะ ข้ากับโจวอันดับหนึ่งยังมีอีกแผ่นหนึ่ง”
เจียงซ่างเจินตบหน้าผากตัวเอง ผลคือถูกชุยตงซานถองเข้าให้
อู๋ซวงเจี้ยงหัวเราะ โบกมือหยิบเอายันต์เขียวสองแผ่นออกมาอีกครั้ง ในมือถือพู่กัน ‘ก่อเกิดบุปผา’ รวบรวมสมาธิเล็กน้อย ครั้นจึงวาดยันต์สามภูเขาสองแผ่นเสร็จในรวดเดียว ยื่นส่งให้เจียงซ่างเจินและชุยตงซาน สุดท้ายยังคืนพู่กัน ‘ก่อเกิดบุปผา’ ด้ามนั้นให้เด็กหนุ่มชุดขาว เอ่ยว่า “ขออวยพรล่วงหน้าให้อาจารย์ชุยจรดพู่กันบุปผากำเนิด เขียนบทกวีอมตะออกมาได้หลายๆ บท”
ควรจะค้าขายกับคนอื่นอย่างไรคือเรื่องหนึ่ง อารมณ์ดีมอบของขวัญให้คนอื่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
เฉินผิงอันทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง ได้เรียนรู้แล้ว ได้เรียนรู้แล้ว
ชุยตงซานและเจียงซ่างเจินต่างก็คีบยันต์ไว้คนละแผ่น เตรียมจะไปจากเรือราตรี อาศัยสิ่งนี้หวนกลับไปยังแผ่นดินของแจกันสมบัติทวีป
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เดินมาหยุดอยู่ข้างกายพวกเขา มือหนึ่งกดศีรษะของชุยตงซาน จากนั้นก็พลันกอดเจียงซ่างเจิน ใช้หมัดทุบหลังเจียงซ่างเจินเบาๆ
กับชุยตงซาน กับเจียงซ่างเจิน เฉินผิงอันไม่มีอะไรให้ต้องพูดมาก
เจียงซ่างเจินมีสีหน้ากระอักกระอ่วนอย่างหาได้ยาก ลังเลอยู่เล็กน้อยค่อยกอดตอบเฉินผิงอัน
ชีวิตนี้ดูเหมือนจะยังไม่เคยกอดบุรุษมาก่อนเลยนะ
ต่อให้เป็นเจียงเหิงทายาทสายตรง ปีนั้นที่อยู่ในห่อผ้าอ้อมก็เหมือนจะยังไม่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ เขาที่เป็นบิดาไม่เคยกอดอีกฝ่ายเลยจริงๆ
เฉินผิงอันถอยหลังไปสองก้าว ยิ้มกล่าว “เดินทางปลอดภัยทั้งคู่”
เจียงซ่างเจินทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด
เฉินผิงอันสงสัยเล็กน้อย
เจียงซ่างเจินจึงกดเสียงต่ำเอ่ยว่า “ได้ยินมาว่าที่นี่มีนครหลิงซีอยู่ สตรีที่เป็นเจ้านครของที่นั่น ข้าเลื่อมใสชื่นชมมานาน หากเป็นไปได้ล่ะก็ รบกวนเจ้าขุนเขาไปพูดคุยกับนางแทนข้าสักคำ พูดว่าอะไรก็ได้ เจ้าขุนเขาเป็นคนพูดจาถูกต้องเหมาะสมที่สุดแล้ว”
เฉินผิงอันได้ยินแล้วก็รู้สึกหัวโตขึ้นมาทันใด ถูกต้องเหมาะสมกับนายท่านใหญ่เจียงเจ้าน่ะสิ เขาจึงหันหน้าไปมองหนิงเหยาด้วยสีหน้าที่ดูลำบากใจเล็กน้อย
หนิงเหยาเอ่ย “ตัวตรงไม่กลัวเงาเอียง เรื่องแบบนี้ก็ยังต้องใจฝ่อด้วยหรือ? บนเส้นทางยุทธภพซ่อนเงินสามร้อยตำลึง (มาจากประโยคที่แห่งนี้ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง เปรียบเปรยถึงคนที่ร้อนตัว ยิ่งต้องการปกปิดกลับยิ่งเป็นการเปิดเผย) ไว้กี่ที่กันล่ะ?”
เฉินผิงอันถอนสายตากลับมา ยิ้มบางๆ ให้กับเจียงซ่างเจินแสดงให้เห็นว่ารู้สึกขอบคุณอีกฝ่ายจากใจจริง
เจียงซ่างเจินถามหยั่งเชิง “ถ้าอย่างนั้นก็…ไม่ต้องคุยแทนแล้ว?”
อู๋ซวงเจี้ยงนั่งดื่มชาชมเรื่องสนุกอย่างสบายอารมณ์อยู่ตรงนั้น รู้สึกว่าเจ้าสำนักเจียงผู้นี้เป็นคนมหัศจรรย์เสียจริง ถูกชะตาด้วยยิ่งนัก
ชุยตงซานรีบช่วยเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันใด “อาจารย์ หากท่านว่างก็ไปที่นครเซิงเซ่อสักรอบ หากได้เจออาจารย์ผู้เฒ่าที่ถือโคมเดินขึ้นบันไดเขียนอักษรบนหน้าประตู (ป่างซู คือคำเรียกตัวอักษรโบราณ ใช้เรียกตัวอักษรที่ประดิษฐ์อยู่หน้าประตูพระราชวัง ภายหลังหมายถึงตัวอักษรขนาดใหญ่ที่เห็นได้เด่นชัด) ด้วยขาสองข้างที่สั่นระริก สุดท้ายตกใจกลัวจนผมขาวภายในชั่วค่ำคืน ท่านจะต้องช่วยศิษย์บอกกับเขาสักคำว่า ตัวอักษรของเขาเขียนได้ไม่เลวเลยจริงๆ ไม่ควรถูกลูกหลานรุ่นหลังสั่งห้ามไม่ให้เขียนอักษรบนหน้าประตูอีก”
เฉินผิงอันรู้ว่าชุยตงซานหมายถึงใครจึงตอบตกลงโดยไม่ลังเล
เจียงซ่างเจินคีบยันต์ขึ้นมา ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “รบกวนเจ้าขุนเขาให้นำความไปบอกต่อแล้ว ไปล่ะๆ”
ชุยตงซานหยิบเอาไม้เท้าเดินป่าสีเขียว ‘สิงชี่หมิง’ ชิ้นนั้นออกมา ค้ำไว้บนพื้นเบาๆ หัวเราะเสียงดังเอ่ยว่า “อาจารย์รักษาตัวด้วย ศิษย์ก็ต้องไปแล้วเช่นกัน”
เด็กหนุ่มชุดขาว บัณฑิตชุดเขียว เรือนกายของคนทั้งสองเปล่งวูบแล้วหายไป
อู๋ซวงเจี้ยงหันไปมองนอกหน้าต่าง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ฟ้าใกล้จะสว่างแล้ว”
อู๋ซวงเจี้ยงหันหน้ากลับมา ลุกขึ้นยืน “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ถ่วงเวลาการพูดคุยของพวกเจ้าสองคนแล้ว? ข้ายังต้องไปเฝ้าโต๊ะคิดเงิน”
เฉินผิงอันถาม “ผู้อาวุโสจะออกจากเรือราตรีกลับคืนไปยังตำหนักสุ้ยฉูตอนไหน?”
อู๋ซวงเจี้ยงยิ้มกล่าว “ดูอารมณ์แล้วกัน ต่อให้ออกไปจากเรือราตรีก็อาจจะไปเยือนใต้หล้าเปลี่ยวร้างก่อนรอบหนึ่ง”
หลังจากอู๋ซวงเจี้ยงจากไป เฉินผิงอันกับหนิงเหยาก็ไปที่ห้องของเผยเฉียน หมี่ลี่น้อยยังนอนหลับฝันหวาน หลังจากที่อาจารย์พ่อและอาจารย์แม่นั่งลงแล้ว เผยเฉียนก็จับศีรษะของหมี่ลี่น้อยโยกเบาๆ ปลุกนางไม่ตื่นจึงยื่นมือไปปิดจมูกและปากของแม่นางน้อย หมี่ลี่น้อยขมวดคิ้วมุ่นเบาๆ ผลักมือของเผยเฉียนออกอย่างสะลึมสะลือ ดูท่าน่าจะยังหลับต่อไปได้อีกพักหนึ่ง เผยเฉียนจึงได้แต่เอ่ยว่า “หมี่ลี่น้อย ได้เวลาลาดตระเวนภูเขาแล้ว!”
หมี่ลี่น้อยกระโดดผลุงขึ้นทันที ขยี้ตาอย่างแรง โหวกเหวกเสียงดังว่า “ได้เลย ได้เลย!”
จากนั้นก็มองเห็นเจ้าขุนเขาคนดี ฮูหยินเจ้าขุนเขา และยังมีเผยเฉียนที่ยิ้มชั่วร้าย แม่นางน้อยยกสองมือป้องข้างปาก หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง เผยเฉียนไม่ได้หลอกกันจริงด้วย พอตื่นขึ้นมาก็จะได้เห็นทุกคนแล้ว
หนิงเหยาเอ่ยกับเฉินผิงอันที่มีสีหน้าเหนื่อยล้า “เจ้าหลับสักพักก่อน ข้าจะคุยเล่นกับเผยเฉียนและหมี่ลี่น้อย”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับแล้วฟุบตัวนอนคว่ำกับโต๊ะหลับสนิทไปทันใด
ส่วนเรื่องที่ว่าหมี่ลี่น้อยจะหลุดปากพูดอะไรหรือไม่ เขาไม่มีเวลามาสนใจแล้วจริงๆ ถึงอย่างไรตัวตรงก็ไม่ต้องกลัวว่าเงาจะเอียง
ตรงหน้าประตูโรงเตี๊ยม อู๋ซวงเจี้ยงที่ยังคงมีโฉมหน้าของลูกจ้างหนุ่มนั่งอยู่บนม้านั่ง ยกขาไขว่ห้าง หลับตาลง โคลงศีรษะพลางสีเอ้อหู (เครื่องสีชนิดหนึ่งคล้ายซอสองสายหรือซอด้วงของไทย) บางครั้งที่ลืมตาขึ้นก็จะคลี่ยิ้มอ่อนโยน เหลือบมองไปทางด้านข้างคล้ายข้างกายมีสตรีคนหนึ่งนั่งกอดผีผาอยู่ นางใช้เสียงผีผาร้องคลอไปกับเสียงเอ้อหู อยากเห็นคนมีรักในใต้หล้าได้ครองรักอยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่า
เฉินผิงอันนวดคลึงหว่างคิ้วตื่นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เพราะเสียงเอ้อหูนั่นหนวกหูอยู่มากจริงๆ
หนิงเหยาดพาเผยเฉียนและหมี่ลี่น้อยกลับไปที่ห้องของตัวเอง เฉินผิงอันจึงจงใจสกัดกั้นเสียงของเอ้อหู ถอดรองเท้าไปนั่งขัดสมาธิบนเตียงแล้วเริ่มเข้าฌานทำสมาธิ จิตใจจมจ่อมอยู่ภายใน
รอกระทั่งเฉินผิงอันตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าเป็นยามสนธยาแล้ว โชคดีที่ไม่มีเสียงเอ้อหู เฉินผิงอันสวมรองเท้าเดินไปยังห้องโถงใหญ่ของโรงเตี๊ยม พบว่าพวกหนิงเหยาสามคนล้วนอยู่ที่นั่น ส่วนอู๋ซวงเจี้ยงกำลังเปิดตำราเล่มหนึ่ง ไม่สีเอ้อหูแล้ว แต่เริ่มทำตัวเป็นนักเล่านิทานแทน หนิงเหยาสามคนแทะเมล็ดแตง บนโต๊ะยังวางปลาลำธารตากแห้งไว้จานหนึ่ง เป็นผู้ฟังที่ให้การสนับสนุนอย่างดี
เฉินผิงอันจึงได้แต่ยืนอยู่ที่เดิม ฟังไปครู่หนึ่งก็เริ่มมีเหงื่อเย็นๆ ไหลลงมา อู๋ซวงเจี้ยงเล่าว่าในตำราบอกว่ามีจอมยุทธหญิงในยุทธภพคนหนึ่งถามจอมยุทธเด็กหนุ่มว่า ไม่ทราบว่าคุณชายชื่อแซ่อะไร ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะได้พบเจอกันอีกครั้ง? และยังมีภูตจิ้งจอกงดงามในป่าเขาที่บังเอิญพบเจอกัน นางคลี่ยิ้มหวานถามเด็กหนุ่มว่าฉวยโอกาสที่ทัศนียภาพงดงามราตรีที่เป็นใจเช่นนี้ ไม่มาเล่นสนุกกันแล้วคิดจะทำอะไร?
ฟังมาถึงตรงนี้หมี่ลี่น้อยก็ขมวดคิ้วถามเผยเฉียนว่าหมายความว่าอย่างไร เล่นคือเล่นอย่างไร เผยเฉียนบอกว่าไม่รู้ หนิงเหยาเหล่ตามองคนบางคน ยิ้มเอ่ยว่าสามารถถามคนในสถานการณ์ดูได้นะ
เฉินผิงอันหัวเราะฮ่าๆ ก้าวยาวๆ เข้าไปหาพร้อมมาดแห่งความเที่ยงตรงไพศาล “เผยเฉียน หมี่ลี่น้อย ไปทำพวกถั่วลิสง ถั่วแระต้ม แตงกวาทุบมาหน่อย ข้าจะได้ดื่มเหล้ากับนายท่านใหญ่อู๋สักหน่อย”
“ข้าไม่ดื่มเหล้า”
อู๋ซวงเจี้ยงปิดตำราลง หน้าหนังสือหลายหน้าถูกพับมุมเอาไว้ คาดว่าคงเป็นส่วนที่มีการพูดถึงเรื่องจำพวก ‘ฉวยโอกาสที่ทัศนียภาพงดงามราตรีที่เป็นใจเช่นนี้’ อยู่
อู๋ซวงเจี้ยงลุกขึ้นเดินไปยืนเอนตัวพิงกรอบประตู ทว่ากลับทิ้งบันทึกขุนเขาสายน้ำเล่มนั้นเอาไว้บนโต๊ะ เฉินผิงอันนั่งลงแล้วรู้สึกเหมือนนั่งอยู่บนพรมเข็ม ไม่รู้เลยว่าตัวเองมาเข้าร่วมวงความครึกครื้นที่อาจเสี่ยงโดนทุบนี้ซะแล้ว
อู๋ซวงเจี้ยงหันหน้ามายิ้มเหลือบมองโต๊ะตัวนั้น
หวนนึกถึงอดีตอันห่างไกล สำนักของตนก็เคยมีความครึกครื้นเช่นนี้อยู่เหมือนกัน
เฉินผิงอันหาข้ออ้างง่ายๆ มาที่ประตูใหญ่ ยืนเป็นเทพทวารบาลเฝ้าประตูคนละด้านกับอู๋ซวงเจี้ยง
คนทั้งสองต่างเอาสองมือสอดไว้ในชายแขนเสื้อ
คนนอกมองไป พวกเขาจึงดูเหมือนกันมาก
อู๋ซวงเจี้ยงเอ่ยเสียงเบาว่า “หากข้าคำนวณไม่ผิด อีกไม่นานเจ้าก็จะต้องไปเยือนศาลบุ๋นแผ่นดินกลางรอบหนึ่ง มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าต้องเอาจิตหยินออกเดินทางไกล ถึงเวลานั้นเจ้าจะได้ครอบครองสองสถานะ ยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนบนยอดเขากลุ่มใหญ่ของไพศาล ลูกศิษย์คนสุดท้ายสายเหวินเซิ่ง อิ่นกวานแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่”
เฉินผิงอันเงียบคิดไปครู่หนึ่ง “ไปปรึกษาว่าจะจัดการใต้หล้าเปลี่ยวร้างอย่างไรหรือ?”
อู๋ซวงเจี้ยงพยักหน้ารับ ยิ้มเอ่ย “ไม่อย่างนั้นจะเป็นเรื่องใดได้อีก ค่อนข้างคล้ายคลึงกับการประชุมริมลำคลองเมื่อหมื่นปีก่อนอยู่บ้าง หากไม่ผิดไปจากที่คาด เจ้าจะยังเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดอีกด้วย”
ปรมาจารย์มหาปราชญ์และหลี่เซิ่ง ไม่รู้ว่าจะปรากฏตัวหรือไม่
แต่ต้องมีหย่าเซิ่ง เหวินเซิ่ง เจ้าลัทธิหลักและรองเจ้าลัทธิของศาลบุ๋นสามคน อาจารย์ผู้เฒ่าฝูเซิ่ง ผู้อำนวยการใหญ่ของสถานศึกษาสามท่าน เจ้าขุนเขาเจ็ดสิบสองสำนักศึกษา เป็นต้น
ฝูลู่อวี๋เสวียน เทียนซือใหญ่แห่งภูเขามังกรพยัคฆ์ เจิ้งจวีจงแห่งนครจักรพรรดิขาว เผยเปย ฮว่อหลงเจินเหริน ชิงจงฮูหยินแห่งหลุมน้ำลู่ หลิวจวี้เป่าแห่งธวัลทวีป ไหวอิน อวี้พ่านสุ่ย เป็นต้น
อาจจะยังมีเทพใหญ่ภูเขาสุ้ยซานที่น้อยครั้งนักจะปรากฏตัว รวมไปถึงพวกฮูหยินภูเขาชิงเสิน และพวกบรรพจารย์ของเมธีร้อยสำนักด้วย
เพราะผลลัพธ์จากการประชุมในครั้งนี้จะตัดสินสถานการณ์ในอนาคตของสองใต้หล้า
อู๋ซวงเจี้ยงเอนศีรษะพิงประตูใหญ่ “ผู้ที่อยู่ในกฎในเกณฑ์ คือบุคคลผู้ยอดเยี่ยมแห่งแคว้น”
เฉินผิงอันกล่าว “มิกล้า”
อู๋ซวงเจี้ยงยิ้มบางๆ “พูดถึงตัวข้าเอง พูดถึงสำนักที่ข้าสร้างขึ้นมาเองกับมือ ภูเขาเขียวน้ำใส รังเด็กหนุ่ม”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ล้วนชวนให้คนเลื่อมใสเช่นเดียวกับอารามเสวียนตูของนักพรตซุน”
อู๋ซวงเจี้ยงคลี่ยิ้ม “หากตัดประโยคหลังไปจะดีกว่านี้”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ภูเขาลั่วพั่วของพวกเรา ท่องอยู่ในยุทธภพ ขนบธรรมเนียมประจำตระกูลเที่ยงตรงอย่างมาก คำว่าจริงใจมาเป็นอันดับหนึ่ง”
อู๋ซวงเจี้ยงลูบคลำปลายคาง “ดูเหมือนว่ามีเพียงข้อนี้ที่ตำหนักสุ้ยฉูของข้าเทียบกับภูเขาลั่วพั่วของเจ้าไม่ได้”
เฉินผิงอันไม่ต่อคำ
ที่มาของขนบธรรมเนียมบนภูเขาลั่วพั่วกลายมาเป็นปริศนาที่ไม่เล็กไม่ใหญ่มาโดยตลอด ก็เหมือนเรื่องที่ว่าทุกวันในกระเป๋าของโจวหมี่ลี่ใส่เมล็ดแตงไว้มากน้อยแค่ไหนกันแน่
เจ้าขุนเขาบอกว่าล้วนได้มาจากลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจคนหนึ่ง ชุยตงซานสาบานว่าเป็นคุณความชอบของศิษย์พี่หญิงใหญ่ เผยเฉียนบอกว่าเป็นความรู้บนโต๊ะอาหารของพ่อครัวเฒ่า นางแค่ฟังมาบ้างเล็กน้อย เรียนรู้มาอย่างผิวเผินเท่านั้น จูเหลี่ยนบอกว่าเป็นลมร้ายเอนเอียงที่แพร่มาจากภูเขาพีอวิ๋น จะขวางอย่างไรก็ขวางไม่อยู่ เว่ยป้อบอกว่าเป็นตอนที่เล่นหมากล้อมกับพี่น้องต้าเฟิง ทำให้ได้รับผลประโยชน์มากมาย
น่าเสียดายที่เจิ้งต้าเฟิงซึ่งเฝ้าหน้าประตูภูเขาอย่างยากลำบากมานานหลายปี ทุกวันนี้อยู่ในใต้หล้าแห่งที่ห้า ไม่มีโอกาสจะได้โต้เถียงใดๆ
อู๋ซวงเจี้ยงพูดพึมพำกับตัวเองว่า “ใช้ไข่ตีหิน ต่อให้ใช้ไข่หมดทั้งใต้หล้า หินก็ยังคงอยู่ ไม่อาจทำลายมันได้”
เฉินผิงอันกล่าว “ข้าว่าไม่แน่เสมอไปหรอก”
อู๋ซวงเจี้ยงพยักหน้า “ความจริงใจสามารถทำให้หินทองแตกออกได้ ถึงอย่างไรก็ควรจะเชื่อสักหน่อย”
เขาถามอีกว่า “รู้หรือไม่ว่าข้าชอบคำพูดประโยคไหนของอริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊อมากที่สุด?”
เฉินผิงอันเอ่ยหยั่งเชิง “ใช้คุณธรรมตอบแทนคุณธรรม ใช้ความเที่ยงตรงตอบแทนความแค้น?”
อู๋ซวงเจี้ยงจุ๊ปากพูด “สมองนี่ได้มายังไง? ขนาดเรื่องนี้ก็ยังเดาได้ด้วยหรือ?”
บนโต๊ะในห้อง หมี่ลี่น้อยใช้สองมือวางยันไว้บนโต๊ะ ตะโกนเสียงดัง “เจ้าขุนเขา อาจารย์อู๋ ปลาตากแห้งใกล้จะหมดแล้วนะ”
อู๋ซวงเจี้ยงหันหน้ามายิ้มเอ่ย “ไม่เป็นไร ส่วนของข้ายกให้เจ้า”
เฉินผิงอันเองก็พยักหน้ายิ้มเอ่ยคล้อยตาม
หมี่ลี่น้อยเม้มปากแล้วค่อยพยักหน้ารับ ยกสองมือขึ้นชูนิ้วโป้ง ไม่รู้ว่ากำลังเอ่ยขอบคุณหรืออยากพูดว่าไม่มีปัญหา ปลาตากแห้งน้อยๆ ไม่ต้องกังวลกันแน่
อู๋ซวงเจี้ยงพลันทอดถอนใจเอ่ย “ครอบครัวอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข”
เฉินผิงอันรับคำเบาๆ “ก็คือช่วงเวลาของปีใหม่”
——