กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 783.1 อริยะปราชญ์ผู้กล้าแห่งใต้หล้า
เรือข้ามทวีปลำหนึ่งเดินทางไกลมาเยือนทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เรือข้ามฟากลำนี้ถือเป็นของสำนักกระบี่หลงเซี่ยงที่เพิ่งสร้างขึ้นใหม่ได้ไม่กี่ปีของทักษินาตยทวีป
ฉีถิงจี้เจ้าสำนัก เซียนกระบี่ผู้อาวุโสท่านหนึ่งที่เคยแกะสลักตัวอักษรลงบนกำแพงเมืองปราณกระบี่
ลู่จือผู้ถวายงานอันดับหนึ่ง ว่ากันว่ายังควบตำแหน่งผู้คุมกฎชั่วคราวด้วย นางเองก็เคยเป็นหนึ่งในสิบเซียนกระบี่ใหญ่บนยอดเขาสูงสุดของกำแพงเมืองปราณกระบี่
นอกจากนี้ยังมีเส้าอวิ๋นเหยียนเซียนกระบี่จากเรือนชุนฟานภูเขาห้อยหัว ถัวเหยียนฮูหยินแห่งสวนดอกเหมยที่มารับหน้าที่เป็นเค่อชิงด้วยกัน
นอกจากนี้ภายในเวลาไม่ถึงสิบปี ฉีถิงจี้ก็รับลูกศิษย์ไปแล้วสิบแปดคน ล้วนเป็นตัวอ่อนเซียนกระบี่ของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางและทักษินาตยทวีปทั้งสิ้น ถูกขนานนามให้เป็นสิบแปดกระบี่
เล่าลือกันว่าสำนักกระบี่หลงเซี่ยงมีการทำการค้ากับทั้งสกุลหลิวธวัลทวีปและสกุลอวี้แห่งแผ่นดินกลาง กับสกุลเฉินผู้รอบรู้ของทักษินาตยทวีปก็ยิ่งมีความสัมพันธ์เหนือสามัญ
เนื่องจากเป็นเพราะฉีถิงจี้ที่ช่วยออกกระบี่ปกป้องเฉินฉุนอันออกไปยังมหาสมุทร แล้วก็เป็นฉีถิงจี้อีกที่ถามกระบี่เพื่อเฉินฉุนอัน
เก้าทวีปของไพศาล ฉีถิงจี้ทยอยปรากฏตัวบนสนามรบสามแห่ง ผลงานทางการสู้รบเกรียงไกร โดดเด่นสะดุดตา
และยังมีผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานในท้องถิ่นของฝูเหยาทวีปนามว่าหลิวทุ่ยผู้นั้น หากไม่เป็นเพราะฉีถิงจี้ออกกระบี่ขัดขวางปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ตนหนึ่ง คาดว่าชื่อนี้ก็คงจะเป็นเหมือนชื่อของสวินยวนแห่งใบถงทวีปที่ถูกกระโจมเจี่ยจื่อแกะสลักไว้บนหัวกำแพงเมืองไปแล้ว หลิวทุ่ยขอบเขตถดถอยกลายเป็นเซียนเหริน ก็ได้ปิดด่านรักษาบาดแผลอยู่ในถ้ำสวรรค์เล็กกระเบื้องขาวซึ่งเป็นสำนักเบื้องล่างในหลิวเสียทวีปอยู่นานหลายปี ว่ากันว่าครั้งนี้ก็จะออกจากด่านมาเข้าร่วมการประชุมด้วย หลิวทุ่ยทั้งซาบซึ้งใจและยิ่งเคารพนับถือในตัวฉีถิงจี้ บนภูเขามีข่าวลือเล็กๆ บางอย่างบอกว่าหลิวทุ่ยออกจากด่านครั้งนี้ นอกจากมาเพื่อการประชุมที่ศาลบุ๋นแล้ว หลักๆ ยังต้องการเสนอตัวไปเป็นเค่อชิงของสำนักกระบี่หลงเซี่ยงอีกด้วย
ฝูเหยาทวีปคือทวีปเล็ก อาณาเขตของขุนเขาสายน้ำใหญ่กว่าแจกันสมบัติทวีปเล็กน้อยเท่านั้น ตอนนั้นหลิวทุ่ยกลายเป็นขอบเขตบินทะยานสำเร็จ ก็ถูกเรียกขานว่าเป็นผู้ ‘ไขประวัติการณ์’ หากหลิวทุ่ยใช้สถานะของเจ้าสำนักแห่งสำนักเบื้องบนไปรับหน้าที่เป็นเค่อชิงของสำนักอื่น ก็จะกลายเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ของไพศาลอีกเช่นกัน
เรือข้ามฟากลำนี้ขยับเข้าใกล้ท่าเรือตระกูลเซียนแห่งหนึ่งที่มีชื่อว่าท่าเรือเวิ่นจินของศาลบุ๋นมากแล้ว
ฉีถิงจี้ที่ยืนชมทัศนียภาพอยู่บนหัวเรือพลันออกคำสั่งให้เรือข้ามฟากชะลอความเร็วลงเพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อศาลบุ๋น
แม้ว่าฉีถิงจี้จะเป็น ‘เทพเซียนผู้อาวุโส’ อย่างสมชื่อคนหนึ่ง แต่กลับมีรูปโฉมอ่อนเยาว์หล่อเหลา
แล้วก็เพราะว่าศาลบุ๋นยังไม่ยกเลิกคำสั่งห้ามจัดพิมพ์รายงานขุนเขาสายน้ำ ไม่อย่างนั้นลำพังเพียงแค่มาดนี้ของฉีถิงจี้ก็คงทำให้มีผู้ฝึกตนหญิงที่เลื่อมใสศรัทธาในตัวเขาเพิ่มมาอีกกลุ่มใหญ่ทันที
ฉีถิงจี้ อู๋เฉิงเพ่ย ซุนจวี้เฉวียน หมี่อวี้ ล้วนเคยถูกขนานนามให้เป็นสี่บุรุษรูปงามของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ภายหลังมีเพิ่มมาอีกห้าคน แต่ว่านั่นเป็นการแต่งตั้งตัวเอง
เวลานี้มีคนผู้หนึ่งยืนเคียงบ่ากับฉีถิงจี้
สตรีผู้หนึ่ง เรือนกายสูงเพรียว บนใบหน้าคล้ายจะผอมตอบลงเล็กน้อย
เมื่ออยู่ในสายตาของคนทั่วไป นางที่ยืนอยู่ข้างกายฉีถิงจี้ก็มีแค่สามคำเท่านั้น ไม่คู่ควร
และนางก็คือโฉมสะคราญ ‘งามล่มเมือง’ ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ เซียนกระบี่ใหญ่หญิง ลู่จือ
ฉีถิงจี้ยิ้มเอ่ย “ไปร่วมงานพิธีการที่ภูเขาลั่วพั่วมารอบเดียวก็ทำให้สำนักข้ามีเค่อชิงห้าขอบเขตบนเพิ่มมาถึงสองคน ข้าต้องขอบคุณใต้เท้าอิ่นกวานของพวกเราคนนั้น ไม่รู้ว่าการประชุมครั้งนี้ เจ้าหมอนี่จะมาด้วยหรือไม่”
นอกจากอริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊อแล้ว ผู้ฝึกตนของแต่ละฝ่ายที่มาเข้าร่วมการประชุมของศาลบุ๋นในอีกสิบวันข้างหน้าครั้งนี้ ล้วนถูกจัดให้อยู่ในสี่สถานที่รอบศาลบุ๋น
ด้านนอกท่าเรือเวิ่นจิน ศาลบุ๋นสร้างท่าเรือตระกูลเซียนขึ้นมาชั่วคราวสามแห่งเพื่อต้อนรับแขกจากทั่วสารทิศที่มาจากเก้าทวีปของไพศาล
ทักษินาตยทวีป ฝูเหยาทวีป ใบถงทวีป ผู้ฝึกตนของสามทวีปนี้ เรือข้ามฟากจะจอดเทียบท่าที่ท่าเรือเวิ่นจินซึ่งอยู่ทางทิศใต้ จากนั้นก็จะไปเข้าพักที่เมืองเล็กในอำเภอของอำเภอแห่งหนึ่งที่มีชื่อว่าพ่านสุ่ย เป็นเพียงอำเภอทั่วไป สิ่งเดียวที่แตกต่างจากที่อื่นก็คงเป็นเพราะอยู่ใกล้ศาลบุ๋นแผ่นดินกลางเท่านั้น
หากไม่ผิดไปจากที่คาด ขอแค่เฉินผิงอันมาร่วมการประชุม เกินครึ่งก็น่าจะปรากฎตัวที่ท่าเรือชั่วคราวทางทิศตะวันออก
บุคคลที่เป็นตัวแทนแจกันสมบัติทวีปมาร่วมการประชุมครั้งนี้ มีซ่งจ่างจิ้งที่มาแทนฮ่องเต้ต้าหลีซ่งเหอ และยังมีฉีเจินเทียนจวินแห่งสำนักโองการเทพ รวมไปถึงเจ้าประมุขสกุลเจียงอวิ๋นหลิน นอกจากซ่งจ่างจิ้งที่มาเพียงลำพังแล้ว สำนักโองการเทพและสกุลเจียงอวิ๋นหลินล้วนเหมือนสำนักกระบี่หลงเซี่ยง ต่างฝ่ายต่างพาลูกศิษย์มาด้วยกลุ่มหนึ่ง แม้ว่าจะไม่อาจเข้าร่วมการประชุมได้ ได้แค่มาเที่ยวชมบริเวณโดยรอบศาลบุ๋น แต่ทุกวันนี้ในอาณาเขตพันลี้รอบรัศมีศาลบุ๋นมีการป้องกันอย่างเข้มงวด สามารถติดตามเรือข้ามฟากเข้ามาพักในสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่งได้ สำหรับผู้ฝึกตนทั่วไปแล้วก็ถือเป็นเกียรติอย่างใหญ่หลวงมากแล้ว
ลู่จือเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “ข้ารู้ว่าระหว่างพวกท่านสองคนใช้แผนการต่อกันมาโดยตลอด แต่ข้าหวังว่าเจ้าสำนักอย่าได้ลืมเรื่องหนึ่ง แผนการทั้งหมดของเฉินผิงอันล้วนเป็นเพราะหวังดีต่อกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่มีใจที่เห็นแก่ตัว ไม่ใช่ว่าเขาจงใจเป็นปรปักษ์ต่อท่าน ยิ่งไม่ได้จงใจเป็นศัตรูกับฉีโซ่ว ไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่มีทางแนะนำเส้าอวิ๋นเหยียนให้มารับหน้าที่เป็นเค่อชิงของสำนักกระบี่หลงเซี่ยง ส่วนเรื่องที่มากกว่านั้น ยกตัวอย่างเช่นหวังให้สำนักกระบี่กับภูเขาลั่วพั่วเป็นดั่งพี่น้องร่วมอุทร ผูกสมัครเป็นพันธมิตรอะไรกันนั่น ข้าไม่เพ้อฝัน อีกทั้งข้าเองก็ไม่เข้าใจข้อห้ามในเรื่องนี้ คนที่เชี่ยวชาญเรื่องพวกนี้คือพวกท่าน”
ลู่จือที่อยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ก็มีนิสัยเช่นนี้
แต่ไหนแต่ไรมานางมักจะพูดจาตรงไปตรงมาเสมอ หากไม่ใช่เพราะมีความสามารถทำให้นางพูดจาน่าฟังได้ ถ้าอย่างนั้นก็คงเพราะมีความสามารถทำให้นางหยุดพูดจาไม่น่าฟัง
ฉีถิงจี้ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อาจารย์ลู่โปรดวางใจ ข้ายังไม่ถึงขั้นมีนิสัยเหมือนเด็กเช่นนี้ ยิ่งไม่มีทางทำให้ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของตัวเองวางตัวลำบาก”
ลู่จือมีรอยยิ้มอย่างที่หาได้ยาก เอนพิงราวรั้วมองไปยังทิศไกล เอ่ยเนิบช้าว่า “พวกท่านต่างก็เชี่ยวชาญเรื่องการเข้าเมืองตาหลิ่วหลิ่วตาตามจริงๆ ข้ากลับทำไม่ได้”
เฉินผิงอันที่อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ฉีถิงจี้ที่อยู่ในใต้หล้าไพศาล
ฉีถิงจี้รู้สึกจนใจเล็กน้อย ยื่นมือไปตบราวรั้วเบาๆ ใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “ในบรรดาลูกศิษย์ หนึ่งในสองลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่ข้าเห็นดีมากที่สุดกลับชื่นชมเลื่อมใสเฉินผิงอันเพียงผู้เดียว แล้วยังขอร้องอาจารย์อย่างข้าว่า ขอแค่นางได้เลื่อนเป็นโอสถทองจะต้องช่วยนางไปขอตำราสองร้อยเซียนกระบี่มาจากใต้เท้าอิ่นกวานเล่มหนึ่ง เจ้าว่าน่ารำคาญหรือไม่เล่า”
นี่ต้องโทษเส้าอวิ๋นเหยียนที่เป็นเค่อชิงคนนั้น ยามกินอิ่มว่างงานก็มักจะเล่าถึงอิ่นกวานหนุ่มให้เป็นบุคคลที่มีน้อยนักบนโลกใบนี้ ประเด็นสำคัญคืออายุน้อยหล่อเหลา แล้วยังรักเดียวใจเดียวอีกด้วย
แม่นางน้อยฟังแล้วจะไม่หวั่นไหวได้อย่างไร
บุรุษลุ่มหลงในรัก นั่นต่างหากถึงจะมีเสน่ห์มากที่สุด
เพราะถึงอย่างไรในกำแพงเมืองปราณกระบี่ เรื่องเกี่ยวกับเถ้าแก่รองก็มีเรื่องเล่าเปี่ยมสีสันมากมายที่สามารถพูดถึงได้
อีกทั้งเส้าอวิ๋นเหยียนยังมีเจตนาร้ายถึงได้เลือกเฉพาะเรื่องดีๆ มาพูด
ลู่จือกล่าว “ไม่ต้องกังวล แม่หนูนั่นหน้าตางดงามเกินไป หากได้พบกับเฉินผิงอันจริงๆ นางจะต้องตื่นเต้นจนพูดไม่ออก เฉินผิงอันก็ยิ่งไม่พูดอะไรมาก ถึงเวลาแค่ทักทายปราศรัยตามมารยาท ทั้งสองคนก็ไม่มีเรื่องอะไรให้พูดคุยกันแล้ว มีแต่จะกระอักกระอ่วนจนนึกเสียใจภายหลังที่ได้มาพบเจอกัน”
ฉีถิงจี้หัวเราะเสียงดังลั่น
หันหน้าไปมองลู่จือ ฉีถิงจี้พลันเอ่ยสัพยอกว่า “อาจารย์ลู่ ข้าสงสัยใคร่รู้อย่างยิ่งว่าต้องเป็นวีรบุรุษแบบใดถึงจะเข้าตาเจ้าได้?”
ลู่จือส่ายหน้า เปลี่ยนบทสนทนาว่า “หลิวทุ่ยจะมาเป็นเค่อชิงของสำนักกระบี่จริงๆ หรือ?”
ฉีถิงจี้พยักหน้า “ไม่รู้ว่าจะปฏิเสธอย่างไรแล้ว น่ารำคาญเหมือนกัน”
ลู่จือยิ้มเอ่ย “ความรำคาญแบบนี้ก็หาได้ยากนะ”
ฉีถิงจี้ฟุบตัวอยู่บนราวรั้ว เอ่ยสะท้อนใจเสียงเบา “มาสร้างบ้านลงหลักปักฐานอยู่ต่างบ้านต่างเมืองเช่นนี้แล้วนะ”
ลู่จือเงียบงันไม่เอ่ยคำใด ความคิดล่องลอยไปไกล กลับไปถึงบ้านเกิด คิดถึงเรื่องราวเก่าๆ และคนในอดีตมากมาย
บนผนังของร้านเหล้าแห่งหนึ่งเคยมีป้ายสงบสุขปลอดภัยแผ่นหนึ่งที่ไม่เคยลงชื่อแขวนไว้ เขียนเพียงประโยคว่า ‘อันที่จริงลู่จือไม่งดงาม แต่ขายาว หมายตามานานหลายปีแล้ว ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็มองไม่พอ’
แม้ว่าป้ายสงบสุขปลอดภัยจะไม่ได้ลงชื่อ แต่ลายมือเด่นชัด คาดว่าคงเป็นเพราะอันที่จริงแล้วผู้ฝึกกระบี่คนนั้นก็ไม่ได้จงใจปิดบังตัวตนของตัวเอง
การชอบอยู่ห่างๆ บางครั้งก็มักอดทำให้คนที่ชอบรับรู้ไม่ได้ นั่นถึงจะยินยอมพร้อมใจ
เพียงแต่ไม่รอให้ลู่จือได้ถือสาเจ้าแก่บ้ากามผู้นั้น ผู้ฝึกกระบี่ที่ทุกครั้งจะชอบถือถ้วยเหล้านั่งยองอยู่ริมทางกลับรบตายอยู่นอกเมืองไปแล้ว
นอกจากป้ายสงบสุขปลอดภัยแผ่นนั้น อันที่จริงชั่วชีวิตที่ผ่านมาผู้ฝึกกระบี่ก็เคยพูดคุยกับลู่จือแค่ไม่กี่คำเท่านั้น ดังนั้นบนโลกจึงไม่มีใครรู้อีกว่าเป็นเพราะชอบนางมากเกินไป หรือเพราะไม่ได้ชอบนางมากขนาดนั้น
ช่วงเวลาไม่กี่ปีสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ทุกคนก้าวเดินฝีเท้าเร่งร้อน นึกจะจากไปก็จากไป
เคยมีเถ้าแก่หนุ่มคนหนึ่งมาขอเหล้าดื่ม บางครั้งที่ดื่มเหล้ามากไปกลับกลายเป็นว่าดวงตายิ่งสว่างเจิดจ้า คิ้วตาเบิกบาน บอกว่าวันหน้ารอให้เขากลับบ้านเกิดเมื่อไหร่จะยังเปิดร้านเหล้า ขายเหล้า ขายบะหมี่หยางชุน แล้วก็ขายหม้อไฟกับเต้าหู้เหม็น คนกำแพงเมืองปราณกระบี่ของพวกเราไปที่นั่นสามารถแหกกฎ สามารถลดราคา แล้วก็สามารถติดเงินไว้ก่อนได้
มีคนถามว่า ติดเงินไม่ได้มีความหมายอะไร ไม่ต้องคืนเงินได้หรือไม่ คนหนุ่มยิ้มเอ่ยว่า รอพวกเจ้าไปดื่มเหล้าก่อนค่อยว่ากัน
มีคนถามอีกว่า จ้างแม่นางน้อยยกเหล้ามาหลายๆ คนหน่อยได้หรือไม่ เอาแบบที่มีน้ำมีนวลจนสามารถตักน้ำออกมาได้น่ะ เถ้าแก่หนุ่มด่าขำๆ ว่าใต้หล้านี้ไม่มีร้านเหล้าที่ต้องให้เถ้าแก่ทุ่มด้วยชีวิตถึงจะหาเงินยากลำบากน้อยนิดแค่นั้นมาได้เช่นนี้หรอก
ทุกคนพากันหัวเราะครืน
ต่างบ้านต่างเมืองที่ยังไม่ได้กลายเป็นบ้านเกิดแห่งนั้น ร้านเหล้าของนครบินทะยานยังคงอยู่ เพียงแต่ว่าเถ้าแก่หนุ่มไม่อยู่แล้ว เหล่าผู้ฝึกกระบี่ในอดีต หลายคนต่างก็ไม่อยู่แล้ว
เส้าอวิ๋นเหยียน ถัวเหยียนฮูหยินพาพวกลูกศิษย์ผู้สืบทอดสองสามคนของฉีถิงจี้เดินมาใกล้
เผชิญหน้ากับบุรุษที่เป็นทั้งเจ้าสำนักและเป็นทั้งอาจารย์ เด็กหนุ่มเด็กสาวพวกนี้เคารพยำเกรงอย่างมาก กลับเป็นลู่จือที่พวกเขามีท่าทีใกล้ชิดสนิทสนมอย่างเห็นได้ชัด
คนทั้งกลุ่มคารวะฉีถิงจี้แล้วก็มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งถามว่า “อาจารย์ลู่ จะได้พบเจออาเหลียง จั่วโย่ว หนิงเหยา แล้วก็อิ่นกวานผู้นั้นจริงๆ หรือ?”
หนิงเหยาพกกระบี่บินทะยานมายังใต้หล้าไพศาล ผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์ของสำนักกระบี่หลงเซี่ยงต่างก็รับรู้
ลู่จือส่ายหน้า “ไม่รู้เหมือนกัน”
เด็กหนุ่มคนนั้นถาม “มีครั้งหนึ่งอิ่นกวานดื่มเหล้าจนเมาเลยกล้าพูดว่าการที่หนิงเหยาชอบเขาก็เพราะชื่นชอบหน้าตาของเขา เลื่อมใสในความสามารถของเขาจริงหรือ?”
เส้าอวิ๋นเหยียนยิ้มกล่าว “ต้องไม่กล้าแน่นอน มีคนแกล้งเขา”
ถัวเหยียนฮูหยินยิ้มหวาน “นั่นก็ไม่แน่ สุราเพิ่มความกล้าให้คนดื่ม ใต้เท้าอิ่นกวานจะมีอะไรที่ไม่กล้าพูด ไม่กล้าทำบ้างเล่า สองทัพคุมเชิงกัน พกกระบี่นำอยู่ทัพหน้า ชี้ปลายกระบี่ไปยังราชาบนบัลลังก์ทุกตน”
เส้าอวิ๋นเหยียนยิ้มกล่าว “นี่เจ้าชมเขาหรือหลอกด่าเขากันแน่ ไม่อย่างนั้นให้ข้าช่วยเจ้าเอาไปพูดให้ใต้เท้าอิ่นกวานฟังซ้ำอีกรอบดีหรือไม่?”
นางหลุดหัวเราะพรืด “ก็ตามใจสิ”
หลังจากที่เข้าร่วมงานพิธีที่ภูเขาลั่วพั่ว ถัวเหยียนฮูหยินก็มีความกล้าเพิ่มขึ้นมาไม่น้อย
ทุกวันนี้นางยังคงทำตาม ‘คำสั่ง’ ของใต้เท้าอิ่นกวาน มารับหน้าที่เป็นผู้ถวายงานของสำนักกระบี่หลงเซี่ยงร่วมกับเส้าอวิ๋นเหยียน ทุกครั้งที่ถัวเหยียนฮูหยินพูดถึงอิ่นกวานก็จะยิ่งมีสีหน้าสงบเยือกเย็นมากขึ้น
มีเด็กหนุ่มอีกคนหนึ่งพูดว่า “อิ่นกวานก็แค่ตำแหน่งขุนนางสูง ข้ายังคงนับถืออาจารย์จั่วมากกว่า เวทกระบี่เป็นอันดับหนึ่งในโลกหล้า!”
มีคนแย้งว่า “แน่นอนว่าอาจารย์จั่วต้องร้ายกาจมาก แต่ข้ารู้สึกว่ายังคงเป็นอาเหลียงที่ห้าวหาญมากยิ่งกว่า เพราะถึงอย่างไรเขาก็คือผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบสี่ที่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัด!”
ฉีถิงจี้เดินจากไปด้วยรอยยิ้ม ไม่ค่อยยินดีจะฟังคำวิพากษ์วิจารณ์ที่ไร้เดียงสาพวกนี้สักเท่าไร
ฉีถิงจี้ ลู่จือแห่งใต้หล้าไพศาล
เฉินซี หนิงเหยาแห่งนครบินทะยานใต้หล้าแห่งที่ห้า
น่าหลันเซาเหว่ยที่เดินทางไกลไปยังใต้หล้ามืดสลัว เฒ่าหูหนวกที่หวนกลับคืนสู่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างอีกครั้ง
บวกกับอาเหลียง จั่วโย่ว เฉินผิงอัน
หากว่ายังรวมพวกเซียนกระบี่แห่งไพศาลอย่างเซี่ยซงฮวา ลี่ไฉ่ หลิวจิ่งหลง ผูเหอ และซ่งพิ่นเข้าไปด้วย
ก็ดูเหมือนว่าระหว่างฟ้าดินจะยังคงมีกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่ตั้งตระหง่านไม่ล้มลงอยู่
ใต้หล้าไพศาลในทุกวันนี้ อันที่จริงยังไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไรว่าระหว่างผู้ฝึกกระบี่สองคนที่เคยร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาที่กำแพงเมืองปราณกระบี่มีความสัมพันธ์อย่างไรกันแน่
กำแพงเมืองปราณกระบี่ในอดีตก็เหมือนสถานที่ฝึกตนที่บริสุทธิ์ที่สุดแห่งหนึ่งบนโลก
ผู้ฝึกกระบี่ในท้องถิ่นคือรอความตาย ผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นคือพาตัวไปตาย
รอกระทั่งทั้งสองฝ่ายมีคนที่รอดชีวิตมาได้ หากยังได้กลับมาพบเจอกันอีกครั้ง ก็จะกลายเป็นคนสนิทคนรู้ใจ คือสหายที่ผ่านความเป็นความตายมาด้วยกัน
……
ศึกที่นครหรงเม่าระหว่างอู๋ซวงเจี้ยงและสิงกวานซึ่งเป็นคนนอกของเรือข้ามฟากทั้งสองคน คือเทพเซียนตีกันที่สมชื่ออย่างแท้จริง เดือดร้อนลามไปทั่วเรือราตรีทั้งลำ
อู๋ซวงเจี้ยงกดขอบเขตอยู่ที่ขอบเขตบินทะยาน ทำการถามกระบี่กับสิงกวานผู้นั้นครั้งหนึ่ง
ไท่ป๋าย เต้าจ้าง ว่านฝ่า เทียนเจิน กระบี่จำลองของกระบี่เซียนสี่เล่มฟันเรือข้ามฟากทั้งลำออกเป็นสอง สี่ แปดและสิบหกท่อน
ปัญญาชนวัยกลางคนกับภิกษุที่หลับตาคนหนึ่งเผยกายพร้อมกัน “เจ้าตำหนักอู๋สามารถเก็บกระบี่ได้แล้วหรือยัง?”
เรือราตรีที่เดิมทีแตกออกเป็นเสี่ยงๆ พลันมารวมกันเป็นหนึ่งในชั่วพริบตา ไม่มีความแตกต่างใดๆ ถึงขั้นไม่มีความเสียหายด้านปราณวิญญาณแม้แต่น้อย มีความมหัศจรรย์ที่คล้ายคลึงกับกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่ถูกบรรพบุรุษใหญ่แห่งเปลี่ยวร้างฟันออกเป็นสองท่อน
อู๋ซวงเจี้ยงยิ้มบางๆ “อาจารย์จางกำลังสอนข้าว่าควรทำตัวเป็นคนอย่างไรงั้นหรือ?”
กระบี่จำลองสี่เล่มลอยอยู่รอบด้าน ปลายกระบี่ชี้ไปยังสี่ทิศ
คนเฝ้าปีของตำหนักสุ้ยฉูอย่างป๋ายลั่วก็ปรากฏตัวทันที
สิงกวานถือกระบี่ด้วยมือข้างเดียว ด้านหลังมีวงแสงสีทองหนึ่งวงสีเงินยวงหนึ่งวงลอยสูงขึ้นกลางอากาศ ประดุจดวงตะวันจันทราที่ลอยตัวอยู่ร่วมกันบนม่านฟ้า คล้ายดวงตาคู่หนึ่งของสิ่งศักดิ์สิทธิ์หนึ่งคู่ ส่องสว่างแหวกความว่างเปล่า หลุบตาก้มต่ำลงมองโลกมนุษย์
ก็คือกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มของสิงกวานผู้นี้
——