กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 785.3 การประชุม
เรือหอเรือนลำหนึ่งสั่นสะเทือนเบาๆ
กวอโอ่วทิงใช้มือหนึ่งกดด้ามดาบ อีกมือหนึ่งยกขึ้นบอกเป็นนัยแก่ทุกคนว่าอย่าวู่วาม
ผู้เฒ่าหลังค่อมคนหนึ่ง กรอบดวงตาไร้ลูกตา มือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งใช้ฝ่ามือค้ำยันปลายคาง เขายืนอยู่ห่างไปไม่ไกลเพียงลำพัง แสยะปากเอ่ยว่า “เจอลูกศิษย์ของข้าแล้วยังวางมาดใหญ่โตเช่นนี้อีกหรือ? แม้แต่จะเทียบท่าก็ยังตัดใจทำไม่ลง รีบร้อนอยากไปเดินบนเส้นทางน้ำพุเหลืองขนาดนี้เลยหรือ?”
หลี่ไหวเป็นทั้งลูกศิษย์เปิดขุนเขาของเฒ่าตาบอด แล้วก็เป็นลูกศิษย์ปิดประตูด้วย
แต่วันนี้เฒ่าตาบอดกลับเป็นแค่อาจารย์เกินครึ่งตัวของหลี่ไหวเท่านั้น ทว่าเฒ่าตาบอดดันชอบความไร้เหตุผลเช่นนี้เสียนี่
อาเหลียงไม่สนใจความเป็นความตายของเรือหอเรือนอีกต่อไป
เพียงแค่เงยหน้ามองม่านฟ้า
เหล่าวีรบุรุษผู้กล้าในใต้หล้า สามารถช่วยกันค้ำประคองฟ้าที่กำลังจะถล่มลงมา
แล้วก็ต้องสามารถช่วยอุดรูรั่วของฟ้าให้ได้ด้วย
……
งานชุมนุมสามครั้งก่อนหน้านี้ อันที่จริงจัดขึ้นแค่พอให้เป็นพิธีเท่านั้น
การรวมตัว การเยี่ยมเยือนกันเป็นการส่วนตัว การประชุมกันอย่างลับๆ ต่อจากนี้ต่างหากถึงจะเป็นงิ้วฉากสำคัญที่แท้จริง
ยกตัวอย่างเช่นทางฝั่งของเกาะนกแก้วที่เดิมทีไม่มีคนถามไถ่ อยู่ดีๆ ก็มีร้านเหล้าตระกูลเซียนร้านหนึ่งเพิ่มเข้ามา
คือร้านหวงเหลียงที่ในอดีตเคยเปิดที่ภูเขาห้อยหัว เถ้าแก่ผู้เฒ่านอนคว่ำอยู่บนโต๊ะคิดเงินหยอกนกกระจอกบู๊ในกรงเล่น ลูกจ้างหนุ่มเต็มไปด้วยความกังวลใจ เพราะได้ยินมาว่าอาเหลียงผู้นั้นใกล้จะมาถึงแล้ว
ส่วนแม่นางคนนั้นของเถ้าแก่ผู้เฒ่ากลับมีอารมณ์ตรงกันข้ามกับลูกจ้างหนุ่มอย่างสิ้นเชิง นางนั่งอยู่ข้างโต๊ะตัวหนึ่งในมุม ง่วนอยู่กับการแต่งหน้าหวีผม ขวดกระปุกทั้งหลายบนโต๊ะกองกันราวกับภูเขา สตรีกำลังลังเลว่าจะวาดคิ้วไข่มุกย้อยดี หรือว่าจะมวยผมทรงอีกาบินแบบใหม่แต่วาดคิ้วดวงจันทร์ดีกว่ากัน? นางที่นั่งอยู่ตรงข้ามกระจกประทินโฉมมองซ้ายมองขวา จู่ๆ นางก็พลันเปลี่ยนใจ รู้สึกว่าตนมีดวงตาหงส์คู่หนึ่ง หากวาดเส้นขอบตาบนลึกเข้มหน่อย ขอบตาล่างวาดจางสักหน่อย ไม่แน่ว่าอาจจะยิ่งสอดคล้องกับคำว่า ‘งดงามชวนให้คนมองสำราญตา’ อย่างที่กล่าวถึงในนิยายรักประโลมโลกพวกนั้นก็เป็นได้ เพียงแต่ว่ากระตุกผมเส้นเดียวจะสะเทือนไปทั้งร่าง หากเปลี่ยนการวาดคิ้วตา แม้แต่ดอกไม้ที่ติดบนหน้าผาก สีทาปาก ปิ่นประดับผมและชุดกระโปรงก็ต้องเปลี่ยนใหม่ทั้งหมดด้วย นั่นจะไม่น่ากลุ้มแย่หรอกหรือ?
และลูกค้าในร้านตอนนี้ก็มีบรรพจารย์เว่ยแห่งสำนักการทหาร อาจารย์ฟ่านแห่งสำนักการค้า และยังมีเจ้าประมุขหนุ่มคนหนึ่งของสกุลลู่สำนักหยินหยาง บรรพจารย์ผู้เฒ่าสองท่านของสำนักประพันธ์ รวมไปถึงมือกระบี่คนหนึ่งที่มักจะพาดกระบี่ขวางไว้ด้านหลังในแนวนอนด้วยความเคยชิน สวี่รั่วจอมยุทธพเนจรสำนักโม่
องค์รักษ์คนหนึ่งของอาจารย์ฟ่านดื่มจนเมาแล้ว จึงกำลังยั่วยุให้สวี่รั่วที่ดื่มเหล้าอยู่โต๊ะเดียวกันหาโอกาสฟันเจ้าชาติสุนัขผู้นั้นให้ตายด้วยกระบี่เดียว
ผลคือลูกสาวของเถ้าแก่ร้านเหล้าตบโต๊ะ ตวาดด่าเสียงดัง
ในจวนแห่งหนึ่งของภูเขาอ๋าวโถว เป็นครั้งแรกที่ซานจวินห้าท่านของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมารวมตัวกันอย่างครบถ้วน ผลคือมีแขกสองกลุ่มพากันมาเยี่ยมเยือนถึงที่ ฝ่ายหนึ่งคือชางผูที่อยากจะมาขอชะตาบุ๋นหลายๆ อ่างจากเทพใหญ่แห่งภูเขาจิ่วอี๋ ฝ่ายหนึ่งคือผู้ฝึกกระบี่อายุน้อยสองสามคนที่มาจากราชวงศ์เส้าหยวน จูเหมยต้องการมาพบซานจวินหญิงของภูเขาแยนจือที่เป็นพันธมิตรกับตน ดังนั้นซานจวินห้าท่านจึงแยกย้ายกันไป เพียงไม่นานก็มีแขกคนอื่นๆ ทยอยมาเยือน สุดท้ายจึงไม่มีซานจวินสักคนที่อยู่ว่าง
พื้นที่ลับจวนน้ำแห่งหนึ่งที่อยู่บนเกาะยวนยาง หลี่เย่โหวแห่งทะเลสาบเจี่ยวเยว่และหูจวินอีกสี่คนที่เหลือก็กำลังพูดคุยกัน แต่ว่าไม่มีใครเชื้อเชิญตั้นตั้นฮูหยินจากหลุมน้ำลู่ผู้นั้นมาด้วย
หลิวทุ่ยที่ขอบเขตถดถอยจากบินทะยานมาเป็นเซียนเหรินไปหาฉีถิงจี้พร้อมกับเซียนเหรินสองคนอย่างชงเชี่ยนและฉินจ่าว หลิวทุ่ยกำลังสบถด่าเจ้าตะพาบเฒ่าอย่างหวานเหยียนเหล่าจิ่ง
ไหวอินไปหาหลิวจวี้เป่าเทพเจ้าแห่งโชคลาภ หลิวโยวโจวเป็นสหายเก่าแก่กับไหวเฉียนอยู่แล้ว หลิวโยวโจวทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด เพราะตอนนี้อวี้เจวี้ยนฟูก็อยู่ที่นี่ด้วย ทว่างานแต่งงานของนางกับไหวเฉียนคล้ายว่าจะจบลงอย่างค้างคาเช่นนี้
ฮ่วนซาฮูหยินที่ติดตามจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์เดินทางมายังที่แห่งนี้ เป็นฝ่ายไปหาเหวยอิ๋งเจ้าสำนักกุยหยกด้วยตัวเอง สอบถามสถานการณ์ล่าสุดของราชวงศ์ต้าเฉวียน
เฉาสือและหยวนพางเดินไปบนทางสายเล็กที่มีเงาไม้เขียวครึ้มบนภูเขาอ๋าวโถวด้วยกัน ฝั่งตรงข้ามมีคนสองคนที่กำลังเดินลงจากเขามา คือสวีเซวี่ยนและหลินซู่แห่งอุตรกุรุทวีป
การเล่นหมากล้อมสองกระดานบนภูเขาอ๋าวโถว กระดานหนึ่งของวันนี้ไม่ใช่หลินจวินปี้เป็นฝ่ายรับอีกต่อไป แต่เป็นอวี้ชิงชิง คนที่ประลองด้วยคือฟู่จิ้นแห่งนครจักรพรรดิขาว อีกกระดานหนึ่งคือสวี่ป๋ายที่ประลองกับเทียนซือน้อยคนหนึ่งของภูเขามังกรพยัคฆ์
เจ้าประมุขสกุลเจียงอวิ๋นหลินสลัดลูกหลานคนอื่นๆ ทิ้ง เพียงแต่ว่าเจียงอวิ้นโดยสารเรือมาเที่ยวชมเกาะยวนยาง คนนอกสองคนที่อยู่บนเรือคือเจ้าประมุขคนปัจจุบันของจวนทายาทสี่อริยะใหญ่
อำเภอพ่านสุ่ย ฮว่อหลงเจินเหรินเป็นฝ่ายมาเยี่ยมเยือนชิงจงฮูหยิน พอพบเจอหน้ากันก็เอ่ยว่า “โอ้โห เลื่อนขั้นแล้ว ได้เป็นขุนนางใหญ่เชียว”
หูจวินและเทพภูเขาของแผ่นดินกลาง ฮว่อหลงเจินเหรินรู้จักและสนิทสนมด้วยแทบทั้งหมด แน่นอนว่าสตรีอ้วนของหลุมน้ำลู่ผู้นี้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ทว่าตั้นตั้นฮูหยินที่มีฉายาว่าชิงจงผู้นี้กลับหวาดกลัวตาเฒ่าที่อยู่ตรงหน้านี้อย่างมาก
ผู้เฒ่าคนหนึ่งเรือนกายผอมแห้งราวกับลำไม้ไผ่ ร่างเล็กเตี้ย สวมชุดสีม่วงผมสีขาว ตรงเอวห้อยน้ำเต้าบรรจุเหล้าลูกหนึ่ง ก่อนหน้านี้ไปรับลูกศิษย์ที่ตลาด เจอกับอุปสรรคเล็กๆ น้อยๆ คิดจะรับลูกศิษย์สักคนมักยากลำบากเช่นนี้เสมอ
ชายฉกรรจ์ท่าทางทึ่มทื่อคนหนึ่งสวมรองเท้าสานเดินท่องไปใต้หล้า ก็คือจวี้จื่อรุ่นที่สี่ของสำนักโม่
เกาะยวนยาง หลังจากจางเถียวเสียที่มีฉายาว่าหลงป๋อมาเป็นผู้นำ ก็มีคนกลุ่มหนึ่งออกมาตกปลาเช่นกัน
และผู้เฒ่าคิ้วยาวที่ไม่ว่าเจอกับใครก็คล้ายจะมีสีหน้าเป็นมิตรอยู่เสมอผู้นี้ ก่อนที่เผยเปยจะลุกผงาดขึ้นมา เขาก็คืนคนที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้นำวิถีบู๊ของใต้หล้าไพศาล
ห่างจากฝั่งซ้ายมือของจางเถียวเสียไปไม่ไกล คือบุรุษวัยกลางคนคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนม้านั่งไม้ไผ่ตัวเล็ก ตรงเอวรัดข้องปลาใบเล็ก ชอบเตร็ดเตร่ไปตามซากปรักสนามรบเพื่อจับวิญญาณวีรบุรุษและผีร้ายวิญญาณอาฆาต
ฝั่งขวามือยังมีคนอีกสามคน คืออาจารย์และศิษย์สองคนจากสายศาลเหลยกงธวัลทวีป เพ่ยอาเซียงและหลิ่วสุ้ยอวี๋
รวมไปถึงตาเฒ่านิสัยมุทะลุคนหนึ่งของอุตรกุรุทวีปที่เพิ่งมาถึงริมน้ำอย่างหวังฟู่ซู่ เขานั่งลงระหว่างจางเถียวเสียกับเพ่ยอาเซียง ยิ้มเอ่ย “นี่มันพี่หญิงอาเซียงไม่ใช่หรือ”
ทุกวันนี้หวังฟู่ซู่คือผู้ถวายงานสกุลหลูของราชวงศ์ต้าหยวน ครั้งนี้ที่ติดตามมาด้วยก็เพราะว่าอยู่ว่างจนรู้สึกอุดอู้ จึงออกมาผ่อนคลายอารมณ์เสียหน่อย
เพ่ยอาเซียงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
จางเถียวเสียยิ้มถาม “หมัดเท้าของหลี่เอ้อผู้นั้นเป็นอย่างไร?”
หวังฟู่ซู่หลุดหัวเราะพรืด “ธรรมดา หมัดไม่หนัก เท้าไม่เร็ว หากไม่เป็นเพราะเจ้าถามถึง ข้าก็คร้านจะพูดมากด้วยซ้ำ”
จางเถียวเสียพยักหน้ารับเบาๆ กึ่งเชื่อกึ่งกังขา
ในอดีตตอนที่หวังฟู่ซู่พยายามจะเลื่อนเป็น ‘เทพมาเยือน’ เกิดธาตุไฟเข้าแทรก ขุนเขาสายน้ำหมื่นลี้ในฟ้าดินเล็กร่างมนุษย์ ทะเลสาบและมหาสมุทรเดือดพล่าน ภูเขาเหมือนแผ่นดินที่จมยุบลง ภาพบรรยากาศสับสนวุ่นวาย ลมปราณแท้จริงของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวถูกเซียนกระบี่หลายท่านร่วมแรงกันกักเอาไว้
หลิ่วสุ้ยอวี๋ยิ้มถาม “ ‘ธรรมดา’ อย่างไรรึ?”
หวังฟู่ซู่ตอบกลับอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย “หลี่เอ้อออกแรงเต็มที่ สามหมัดยังต่อยข้าให้ตายไม่ได้ จะร้ายกาจได้สักเท่าไรกันเชียว?”
อู๋ซูอริยะบู๊แห่งใบถงทวีปที่อยู่ห่างไกลออกไปยิ่งกว่าหลุดหัวเราะทันใด
ใต้หล้าไพศาลในทุกวันนี้ ความอคติของคนต่างสำนักยังคงมีอยู่ เพียงแต่ว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฟ้าพลิกดิน
ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง แน่นอนว่าต้องเป็นเพียงหนึ่งเดียว
ต่อมาคืออุตรกุรุทวีป บุรพแจกันสมบัติทวีป
นอกจากนี้แล้วหรดีฝูเหยาทวีป ทักษินาตยทวีป ประจิมเกราะทองทวีป พายัพหลิวเสียทวีป ธวัลทวีป ล้วนพอๆ กัน
อาคเนย์ใบถงทวีปเป็นเพียงหนึ่งเดียวเช่นกัน เพียงแต่ว่าอยู่อันดับรั้งท้ายสุด
ดังนั้นอู๋ซูกับเหวยอิ๋งแห่งสำนักกุยหยก อันที่จริงตอนที่อยู่ในงานเลี้ยงสุราก่อนหน้านี้จึงค่อนข้างจะเงียบขรึม
และระหว่างผู้ฝึกยุทธอู๋ซูกับเซียนกระบี่เหวยอิ๋ง ต่อให้จะเป็นคนของใบถงทวีปบ้านเดียวกัน แต่อันที่จริงกลับไม่มีอะไรให้พูดคุยกันได้ ถือว่าเป็นแค่คนรู้จัก ยามเจอหน้าก็แค่ผงกศีรษะทักทายกันเท่านั้น
คนที่ตกปลาอยู่ริมฝั่ง คือเหล่าผู้ฝึกยุทธที่มารวมตัวกัน
ไม่ใช่ขอบเขตสิบ ก็เป็นขอบเขตเก้า
บุ๋นไร้อันดับหนึ่ง บู๊ไร้อันดับสอง
หวังฟู่ซู่ยิ้มเอ่ย “เผยเปยไม่มา ซ่งจ่างจิ้งก็ไม่มา ทำไม ดูแคลนพี่ใหญ่แห่งยุทธภพอย่างผู้อาวุโสหลงป๋อเช่นเจ้าหรือ?”
จางเถียวเสียยิ้มเอ่ย “อย่าตั้งฉายาส่งเดช ยุทธภพอะไร พี่ใหญ่อะไร เล่าลือออกไปจะทำให้เกิดความเข้าใจผิดกันได้ง่าย”
ขอบเขตของเผยเปยเป็นปริศนาใหญ่เทียมฟ้ามาโดยตลอด
สรุปแล้วนางใช่ขอบเขตสิบเอ็ดแล้วหรือยัง?
ส่วนซ่งจ่างจิ้งนั้น ตอนที่อยู่แจกันสมบัติทวีปได้อาศัยค่ายกลรวบรวมโชคชะตาบู๊มาไว้บนร่าง ใช้หนึ่งหมัดต่อยให้ปีศาจใหญ่บนบัลลังก์หยวนโส่วล่าถอย สองหมัดสังหารเซียนเหริน
เช่นเดียวกัน ตอนนั้นสรุปแล้วซ่งจ่างจิ้งเป็นขอบเขตสิบเอ็ดแล้วหรือยัง? หรือจะบอกว่าได้ข้ามผ่านธรณีประตูนั้นไปแล้ว รอกระทั่งค่ายกลแหลกสลายก็ถอยกลับมาที่ขอบเขตสิบอีกครั้ง?
ถ้าอย่างนั้นขอบเขตสิบเอ็ด ยอดสูงสุดแห่งการเรียนวรยุทธ ม้วนภาพขุนเขาสายน้ำที่เห็นในสายตา สรุปแล้วว่าเป็นทัศนียภาพแบบใดกันแน่?
ท่ามกลางสงคราม ส่วนใหญ่แล้วเผยเปยจะใช้สถานะราชครูราชวงศ์ต้าตวนรับหน้าที่โยกย้ายทหารบัญชาการณ์กองทัพเสียมากกว่า โอกาสในการลงมือยังน้อยกว่าลูกศิษย์อย่างเฉาสือเสียอีก
เฉาสือที่อยู่ในสนามรบของฝูเหยาทวีปและเกราะทองทวีปได้ออกหมัดไปเยอะมาก ผลงานทางการสู้รบยิ่งใหญ่มาก
คนหนุ่มคนหนึ่งจะมีอนาคตหรือไม่ ดูแค่ว่ายิ่งคนข้างกายพูดถึงอาจารย์ผู้ถ่ายทอดวิชาของเขาน้อยแค่ไหน โอกาสได้ดิบได้ดีของเขาก็มีมากเท่านั้น
ยกตัวอย่างเช่นเจิ้งจวีจงแห่งนครจักรพรรดิขาว การสืบทอดเป็นเช่นไร เหตุใดทั้งๆ ที่เป็นเจ้านคร แต่กลับมีศิษย์น้องหญิง ศิษย์น้องชายหลายคนซึ่งมีหันเชี่ยวเซ่อ เจ้าหอแก้วใส คนเฝ้าน้ำตกเป็นหนึ่งในนั้น? อาจารย์ผู้ถ่ายทอดวิชาให้พวกเขาคือใคร? กลับเป็นเรื่องที่ไม่มีใครสืบเสาะได้มานานแล้ว
เจ้าแห่งบุปผาของพื้นที่มงคลร้อยบุปผากำลังจัดงานเลี้ยงต้อนรับหลิ่วชีหลาง
หนึ่งปีสี่ฤดูกาลสิบสองเดือน แบ่งออกเป็นเทพีบุปผาเจ้าชะตาสี่ท่าน เทพีบุปผาสิบสองเดือน และเทพีบุปผาสิบสองเดือนนี้ก็จะเชิญบุรุษคนหนึ่งมาเป็นเค่อชิงเพียงหนึ่งเดียวของตัวเอง จึงเป็นเหตุให้พวกเขามีคำเรียกขานที่ไพเราะว่าเทพบุตรบุปผา ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นปัญญาชนมีความรู้หรือเทพเซียนบนภูเขาที่สามารถแต่งบทกวีเกี่ยวกับดอกไม้ได้ราวกับ ‘ลายมือแห่งเทพ’ บุคลิกลักษณะ ขอบเขตตบะ ความเฉียบแหลมด้านการใช้ถ้อยคำสำนวน แน่นอนว่าจะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปไม่ได้ แต่เหนือสิ่งนี้ขึ้นไปยังมียศที่สมมติขึ้นมาของเค่อชิงไท่ซ่างอยู่อีก ยกตัวอย่างเช่นป๋ายเหย่ดุจดอกโบตั๋น
ออกจากบ้านเดินทางไกลครั้งนี้ นอกจากเจ้าแห่งบุปผาของพื้นที่มงคลและเทพีบุปผาเจ้าชะตาทั้งสี่ท่านแล้ว ยังมีเทพีบุปผาเฟิ่งเซียนที่มีโฉมหน้าเป็นเด็กสาวคนหนึ่ง คุณสมบัติของนางในพื้นที่มงคลร้อยบุปผาเรียกได้ว่าน้อยนิด ตำแหน่งเทพต่ำต้อย มีชื่อเล่นว่ารุ่ยเฟิ่งเอ๋อร์ กว่าจะเลื่อนเป็นซานมิ่งระดับเจ็ดได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ได้รับคำเรียกขานอย่างไพเราะว่า ‘อวี่เค่อ’ เพียงแต่คำกล่าวที่ว่า ‘บ่าวเบญจมาศ งามแต่สามัญ’ กลับทำให้เด็กสาวรู้สึกเศร้าหม่นหมองมาโดยตลอด และยิ่งนานก็ยิ่งแพร่ไปกว้างขวาง และคนที่เอ่ยประโยคซึ่งทำให้นางเศร้าใจนี้ก่อนใครก็คือลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจท่านหนึ่งของซูจื่อ
บวกกับที่หนึ่งร้อยปีที่ผ่านมานี้ไม่มีบทกวีติดปากผู้คนเผยแพร่ออกไป งานประเมินแห่งพื้นที่มงคลครั้งหน้าที่อาจารย์ป๋ายซานและจางอี้ โจวฝูชิงร่วมกันจัดขึ้น ก็มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าระดับขั้นของนางจะลดมาเป็นอีมิ่งระดับเก้าแล้ว
ทางฝั่งของท่าเรือเวิ่นจิน ที่ใดมีบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำของเทพธิดา บุรุษคนหนึ่งที่เหน็บงอบไม้ไผ่ไว้ใต้รักแร้ก็จะเสนอหน้าไปที่นั่น ยื่นหัวผลุบๆ โผล่ๆ กระโดดสองสามที โบกมือสี่ห้าครั้ง ไม่อย่างนั้นก็จะยืนอยู่ที่เดิม ชูสองนิ้ว ยิ้มกว้างสดใส
เทพธิดาบางคนที่พอจะเก็บอารมณ์ได้ก็เพียงแค่มีสายตาไม่พอใจ เอ่ยเตือนชายฉกรรจ์ที่เกะกะสายตาผู้นั้นว่า “เจ้าขยับออกไปนะ!”
ส่วนสตรีที่นิสัยไม่ได้ดีขนาดนั้นก็จะบอกให้เขา “ไปตายไกลๆ!” โดยตรง
แม่นางน้อยในทุกวันนี้ไม่เข้าใจเรื่องชวนฝันเสียเลย ชายฉกรรจ์อึ้งงันไร้คำพูด ก็แค่จากใต้หล้าไพศาลไปร้อยกว่าปีเท่านั้นมิใช่หรือ? เขารู้สึกเสียใจเล็กน้อย วิถีทางโลกไยจึงเป็นเช่นนี้ไปได้
หลี่ไหวที่เรียนรู้และจดจำบทเรียนได้แล้วพานักพรตเนิ่นขยับออกมาอยู่ไกลๆ
อาเหลียงวิ่งตุปัดตุเป๋มาข้างกายหลี่ไหว ถามว่า “ต่อจากนี้จะเอาไงต่อ พวกเราไปหาที่พักก่อน หรือว่าจะตรงไปหาเฉินผิงอันที่สวนกงเต๋อเลย? หากอยากจะเจอกันก็ต้องทำเวลาหน่อย เพราะว่าอีกเดี๋ยวก็จะเริ่มประชุมกันแล้ว”
หลี่ไหวถาม “เจ้าเป็นใคร?”
อาเหลียงเอ่ยอย่างหน่ายใจ “นายท่านใหญ่หลี่ ช่วยมีคุณธรรมหน่อยเถอะ”
หลี่ไหวเอ่ยอย่างอัดอั้น “เฉินผิงอันต้องมาพบข้าสิ”
อาเหลียงถอนหายใจ ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร ปีนั้นระหว่างที่เดินทางไกลก็เป็นหลี่ไหวที่สนิทสนมกับเฉินผิงอันที่สุด ไม่ทำตัวห่างเหินกับเฉินผิงอันที่สุด
อาเหลียงพลันตบหน้าผากตัวเอง
ยอมแล้วจริงๆ
ห่างไปไม่ไกลบนท่าเรือเวิ่นจิน บุรุษสวมชุดกว้าสีเขียวสะพายกระบี่คนหนึ่งคลี่ยิ้มเต็มใบหน้า เดินมาหาช้าๆ
เส้นทางที่เลือกก็พิถีพิถันอย่างยิ่ง สามารถหลบพ้นบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำพวกนั้นมาได้พอดี
นักพรตเนิ่นมองเห็นคนผู้นั้น เส้นเอ็นหัวใจก็พลันขมวดเกร็ง
หลี่ไหวยิ้มกว้างสดใส วิ่งตะบึงไปหาตลอดทาง แล้วพลันหยุดเท้า ตีมือกับเฉินผิงอันหนักๆ
อาเหลียงกับนักพรตเนิ่นยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง
อาเหลียงยิ้มเอ่ย “มีความเท่ห์ได้ครึ่งหนึ่งของข้าแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “มิกล้า”
พริบตานั้น
ก็มีเสียงทุ้มอบอุ่นเสียงหนึ่งดังขึ้นในหัวใจของทุกคนที่มีคุณสมบัติได้เข้าร่วมการประชุม “เริ่มการประชุม”
เฉินผิงอันเอ่ยกับหลี่ไหว “เดี๋ยวข้าค่อยมาหาเจ้าใหม่”
มือกระบี่ชุดเขียวกับชายฉกรรจ์สวมงอบ เงาร่างของคนทั้งสองพลันหายไปจากท่าเรือเวิ่นจิน
กระทั่งบัดนี้เนื่องจากมีคนได้รับกระบี่บินแจ้งข่าว ผู้คนจึงพากันพุดคุยวิพากษ์วิจารณ์ คนดูทุกคนที่อยู่ท่าเรือถึงเพิ่งจะรู้เรื่องหนึ่ง คนสองคนนั้นถึงกับเป็นคนที่สามารถเข้าร่วมการประชุมของศาลบุ๋นได้
บนลานกว้างศาลบุ๋น ฟ้าดินสดใสปลอดโปร่ง ที่นั่งไม่ได้การแบ่งลำดับหลักรอง ทุกคนล้อมวงกันเป็นวงกลมขนาดใหญ่พอดี
อริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊อ เจ้าลัทธิหลักและรองสามท่านของศาลบุ๋น ผู้อำนวยการใหญ่ รองผู้อำนวยการของสถานศึกษาสามแห่ง เจ้าขุนเขาสำนักศึกษาเจ็ดสิบสองแห่ง บรรพจารย์ของเมธีร้อยสำนัก เจ้าสำนักใหญ่แห่งต่างๆ ขอบเขตบินทะยาน ขอบเขตเซียนเหริน ผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทาง ฮ่องเต้ของราชวงศ์ ซานจวินของขุนเขาใหญ่ สุ่ยจวินของห้าทะเลสาบ เจ้าของพื้นที่มงคลถ้ำสวรรค์…
อริยะปราชญ์ผู้กล้าแห่งใต้หล้าไพศาลล้วนมารวมตัวกันที่นี่ สายตาของแต่ละคนสอดส่ายไปมามองประเมินกันและกัน
ปรมาจารย์มหาปราชญ์ไม่ได้ปรากฏตัว
หลี่เซิ่งที่เป็นผู้ดำเนินการประชุมครั้งที่หนึ่งนี้ก็ไม่ได้รีบร้อนเปิดปาก
มีคนห้าคนยืนอยู่ด้วยกัน ตำแหน่งที่ยืนน่าสนใจอย่างถึงที่สุด
ฉีถิงจี้ ลู่จือ อาเหลียง จั่วโย่ว
อาเหลียงไม่ได้ยืนอยู่ข้างกายหย่าเซิ่ง จั่วโย่วก็ไม่ได้ยืนอยู่ข้างกายเหวินเซิ่ง
และคนที่ยืนอยู่ระหว่างฉีจิ้งจี้ ลู่จือ อาเหลียงและจั่วโย่ว
บุรุษหนุ่มเรือนกายสูงเพรียวที่ยืนอยู่ตรงกลางพอดี ก็คืออิ่นกวานแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ เฉินผิงอัน
ทันใดนั้น
ราวกับว่าทั้งใต้หล้า ได้พากันหันไปมองคนผู้เดียวอย่างพร้อมเพรียงกัน โดยไม่ได้นัดหมาย
——