กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 788.1 ริมลำคลอง
สองใต้หล้ายังคงคุมเชิงกันอยู่ไกลๆ เพียงแต่บัดนี้ แนวเส้นตรงของใต้หล้าไพศาลนั้น ทุกคนล้วนเดินออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าว
คาดว่าคงมีคนประมาณสามส่วนที่จะติดตามอิ่นกวานหนุ่มซึ่งสวมชุดกว้าสีเขียว สวมรองเท้าผ้าไปต่อสู้กับใต้หล้าเปลี่ยวร้างอีกครั้งทันที
คนอีกเจ็ดส่วนที่เหลือต่างก็เดินก้าวตามหลี่เซิ่งไป
สามส่วน น้อยมากหรือ? เยอะมากแล้ว
อีกทั้งในสามส่วนนี้ยังมีผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่สามคนที่เป็นบินทะยานสามคน เซียนเหรินหนึ่งคน มีฝูลู่อวี๋เสวียนที่กำลังจะผสานมรรคากับธารดวงดาว เลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ มีเทียนซือใหญ่แห่งภูเขามังกรพยัคฆ์ที่ไม่เคยทิ้งคำอาฆาตพยาบาท มีเจ้านครจักรพรรดิขาวที่สามารถซ่อนหมากสองตัวไว้ในภูเขาทัวเยว่ มีคู่อาจารย์และศิษย์ที่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบอย่างเผยเปย เฉาสือ มีคนหนุ่มอย่างหยวนพาง สวี่ป๋ายที่จะเป็นเสาคานของใต้หล้าไพศาลในอนาคต แล้วนับประสาอะไรอริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊อของสถานศึกษาและสำนักศึกษาศาลบุ๋นที่คนมากมายหาใช่ว่าไม่อยากเดินก้าวออกไป แต่จำเป็นต้องรอให้หลี่เซิ่งเดินนำไปก่อนก้าวหนึ่งเท่านั้น
ดังนั้นอันที่จริงจึงไม่ใช่สามส่วน อย่างน้อยที่สุดจะต้องเป็นห้าส่วน
นี่หมายความว่าอะไร หมายความว่าศาลบุ๋นของใต้หล้าไพศาลอาจเปิดฉากทำสงครามได้ทุกที่ทุกเวลา มอบของขวัญกลับคืนแก่ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง แบ่งแยกใต้หล้าแห่งหนึ่งออกมาได้อย่างแท้จริง
อีกทั้งขอแค่ทำสงครามกันขึ้นมาจริงๆ ก็จะต้องดุเดือดรุนแรงอย่างมาก ไม่ใช่แค่การต่อยตีกันเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น สำหรับทั้งสองฝ่ายแล้วล้วนไม่มีพื้นที่ให้ถอยกลับ เพราะนี่ไม่ใช่อาจารย์ผู้อาวุโสท่านหนึ่งของศาลบุ๋นวางท่าข่มขู่เพราะต่อรองราคาไม่ได้ ไม่ใช่เพราะอริยะปราชญ์คนใดคนหนึ่งของลัทธิขงจื๊อเลือดร้อนๆ พุ่งขึ้นหัว จากนั้นก็ต่อยตีกันแบบไม่เจ็บไม่คัน ช่วงชิงผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ มาให้ใต้หล้าไพศาลได้แล้วก็จะหยุดเมื่อพอสมควร
ยกตัวอย่างเช่นอาเหลียงต้องไปหาผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่ปากไร้หูรูดผู้นั้นแน่นอน ส่วนจั่วโย่วก็ต้องถามกระบี่ต่อเซียวสวิ้น แบ่งเป็นตาย
จ้าวเทียนซือจะต้องพกตราประทับเทียนซือ สะพายกระบี่เซียนว่านฝ่าตรงดิ่งเข้าไปยังใจกลางของเปลี่ยวร้าง ไปหาหย่วนโส่วเพื่อประลองมรรคกถา ส่วนก่อนจะไปเจอตัวหยวนโส่ว ระหว่างที่เดินทางไกลท่องไปตามขุนเขาสายน้ำ เทียนซือใหญ่ท่านนี้จะทำอะไร แน่นอนว่าต้องถือโอกาสกำจัดปีศาจปราบมารไปด้วย
ยักษ์ใหญ่แห่งวิถีมารที่อำพรางตัวอย่างลึกล้ำไม่เคยแสดงฝีมืออย่างเจิ้งจวีจงก็จะยิ่งเป็นดั่งปลาได้น้ำ กระทำการไร้ยำเกรง เผยเปย เฉาสือ ซ่งจ่างจิ้ง หรือถึงขั้นที่ว่าอาจเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางทุกคนของใต้หล้าไพศาล ที่ต่างทยอยกันเดินทางไปเยือนใต้หล้าเปลี่ยวร้าง นี่ยิ่งหมายความว่าเซียนกระบี่ต่างถิ่นของกำแพงเมืองปราณกระบี่ทุกคนที่กลับคืนมายังบ้านเกิดแล้วจะหวนกลับไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกครั้ง รบเคียงบ่าเคียงไหล จับมือกันขี่กระบี่มุ่งหน้าไปทางทิศใต้อีกครั้ง
จะมีผู้ฝึกยุทธปล่อยหมัด มีเซียนกระบี่ปล่อยกระบี่
วลีบทความของหลิ่วชี ซูจื่อจะทยอยกันสำแดงมหามรรคาในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง
จวี้จื่อแห่งสำนักโม่จะสร้างนครอีกแห่งในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง จอมยุทธพเนจรสำนักโม่ของสามเปี๋ยโม่ก็จะมีศัตรูร่วมกันอีกครั้ง ยินดีสละชีวิตไม่กลัวตายอยู่ในต่างบ้านต่างเมือง
ฮว่อหลงเจินเหรินแห่งยอดเขาพาตี้จะสอนให้ใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้รู้ว่าอะไรคือคำกล่าวที่ว่าผินเต้าพอจะเข้าใจเวทคาถาสองบทอย่างน้ำและไฟอยู่บ้าง
หากสนามรบเปลี่ยนตำแหน่ง ไปอยู่ในต่างบ้านต่างเมือง ถึงอย่างไรสี่ด้านแปดทิศก็ล้วนมีแต่ศัตรู ผู้ฝึกตนใหญ่บนยอดเขาของไพศาลทุกคนย่อมไม่รู้สึกเหมือนถูกมัดมือมัดเท้าอีกต่อไป
อีกทั้งกลัวก็แต่ว่าเวทคาถา กระบี่บินจากบนยอดเขาและหมัดเท้าจากปรมาจารย์ผู้ฝึกยุทธที่มาจากใต้หล้าไพศาลเหล่านี้ การรวมตัวกัน การผลักดันรุดหน้า การเฝ้าพิทักษ์แล้วค่อยจู่โจมรุดหน้าอีกครั้งของกองทัพใหญ่แต่ละกองจะต้องผ่านการวางแผนและจัดวางกำลังอย่างประณีติแม่นยำมาก่อน แต่ละขั้นตอนร้อยเรียงต่อกัน ทุกช่วงทุกตอนล้วนเต็มไปด้วยสีสันแห่งทฤษฎีคุณความชอบและลาภยศที่ ‘แสวงหาผลประโยชน์ที่ใหญ่ที่สุด ไม่ว่าใครก็ล้วนตายได้’ ไม่ต้องแบกรับภาระจากคำว่าเมตตาธรรมคุณธรรมไว้อีกต่อไป พิทักษ์ไพศาล ใครจะอยู่ใครจะตาย ต้องทบทวนถามใจตัวเอง มีเรื่องให้ต้องลำบากใจทุกเรื่อง ต้องคอยห่วงหน้าพะวงหลังอยู่ทุกจุด ไม่ว่าเรื่องใดก็ล้วนอืดอาดเยิ่นเย้อ โจมตีเปลี่ยวร้าง ยังจะมีอะไรให้ต้องคิดมากอีกเล่า ถึงอย่างไรก็มาอยู่ในสนามรบแล้ว ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนบนภูเขาหรือกองทัพฝีมือดีล่างภูเขา ไม่ว่าจะเป็นการผลักดันจากการที่บ้านเมืองระส่ำระส่ายตกอยู่ในอันตาย หรือการล่อลวงจากคุณความชอบในการบุกเบิกพื้นที่ หรือการแก้แค้นที่ไม่สนใจค่าตอบแทน ล้วนหนีไม่พ้นต้องตัดสินเจ้าตายข้ารอดกับใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็เท่านั้น
ลู่จือสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง สีหน้าสดชื่นแจ่มใส นิ้วหัวแม่มือลูบด้ามกระบี่เบาๆ ถามว่า “อาเหลียง จั่วโย่ว ไม่สู้พวกเราสามคนไปเยือนภูเขาทัวเยว่ด้วยกัน?”
เลียนแบบเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส หลงจวิน กวานจ้าวของเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน สามคนจับมือกันไปถามกระบี่ต่อใต้หล้าเปลี่ยวร้าง
ถึงอย่างไรทุกวันนี้ฉีถิงจี้ก็คือเจ้าประมุขของสำนักหนึ่ง ไม่สะดวกที่จะไปถามกระบี่ต่อภูเขาทัวเยว่โดยพลการ หากสำนักกระบี่หลงเซี่ยงขาดเพียงแค่ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งไป ก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรมากนัก
จั่วโย่วเอ่ย “ข้าจะถามกระบี่ต่อเซียวสวิ้นก่อน หากยังออกกระบี่ได้ก็จะไปภูเขาทัวเยว่ด้วย”
อาเหลียงก้มหน้าใช้นิ้วบิดชายเสื้อ พูดบ่นอย่างไม่พอใจ “พี่หญิงลู่ไม่เรียกน้องอาเหลียงสักคำ ข้าเสียใจจนเกือบจะยกกระบี่ไม่ขึ้นแล้ว”
สีหน้าของลู่จือไม่ค่อยน่ามองนัก คำกล่าวว่า ‘ยกกระบี่ไม่ขึ้น’ นี้ เดิมทีใครเล่าจะคิดมาก? แต่ก็เพราะเจ้าชาติสุนัขผู้นี้ที่เมื่อก่อนตอนอยู่บนโต๊ะเหล้าของกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้แพร่คำพูดนี้ออกไป กลายเป็นคำพูดสัปดน จากนั้นระหว่างคู่รักผู้ฝึกกระบี่หนุ่มสาวคู่หนึ่ง คำกล่าวนี้ก็เริ่มกลายเป็นเรื่องตลกขำขันบางอย่าง ขนบธรรมเนียมของกำแพงเมืองปราณกระบี่ถูกอาเหลียงจับมาผสมรวมกัน เหมือนน้ำตกที่อยู่ดีๆ ก็โผล่มากลางอากาศแล้วพลันร่วงหล่นลงมา จากนั้นก็มีเถ้าแก่รองมาอีก น้ำตกนั้นจึงร่วงลงแล้วร่วงลงอีก เพียงแต่ว่าเมื่อเปรียบเทียบกันแล้วเขาดูสำรวมกว่าก็เท่านั้น
ลู่จือเอ่ย “สร้างสำนักเบื้องล่างอยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง เมื่อเทียบกับเลือกที่ตั้งเป็นฝูเหยาทวีปแล้วจะดีกว่าหรือไม่?”
ฉีถิงจี้ยิ้มกล่าว “ไม่ต้องเลือกหรือสละทิ้ง ล้วนทำได้ทั้งสองอย่าง”
ลู่จือสามารถรับหน้าที่เป็นเจ้าสำนักคนแรกของสำนักเบื้องล่างในฝูเหยาทวีป ส่วนตัวเลือกคนที่จะมาเป็นเจ้าสำนักเบื้องล่างในใต้หล้าเปลี่ยวร้างในอนาคต ก็สามารถเลือกเอาเซียนกระบี่สักคนที่เดินทางไปเยือนทิศใต้ก็ได้แล้ว
อาเหลียงจ้องเขม็งไปบนพื้นดิน ราวกับกำลังลังเลว่าจะเดินออกไปข้างหน้าอีกก้าวก่อนใครให้มีหน้ามีตาดีหรือไม่
พอสวมชุดลัทธิขงจื๊อก็ไม่กล้าพูดมาก แล้วก็ไม่กล้าดื่มเหล้ามากจริงๆ เกรงว่าชื่อเสียงอันองอาจที่สั่งสมมาจะถูกทำลายลงภายในวันเดียว
อาเหลียงน้อยเนื้อต่ำใจเป็นที่สุด ใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “พี่หญิงลู่ ไม่อย่างนั้นเจ้าเดินไปเป็นเพื่อนข้าก้าวหนึ่งดีไหม?”
ลู่จือชมเชยมาโดยตรง “ทำไมเจ้าไม่เดินตรงไปฝั่งตรงข้ามเลยเล่า?”
อาเหลียงเหลือบมองฝั่งตรงข้าม
ลู่จือหัวเราะหยัน “หากเจ้ามีความกล้านี้จริง ก็เชิญเจ้าลูบขาได้ตามสบาย”
อาเหลียงกระทืบเท้า ใช้สองมือตีอกตัวเองเบาๆ เอ่ยว่า “ชีวิตนี้ไม่รู้จะผ่านวันเวลาไปอย่างไรแล้ว”
ดวงตาอาเหลียงพลันเป็นประกาย ถามว่า “หากข้าไม่มีความกล้านี้ ก็จะถูกพี่หญิงลู่ลูบคลำได้ตามใจชอบแล้วหรือไม่?”
ลู่จือใช้นิ้วโป้งดันด้ามกระบี่ “ได้สิ จะเฉือนขาที่สามมาให้เจ้าด้วยเลย”
หลิวจวี้เป่าเทพเจ้าแห่งโชคลาภอาจเป็นคนที่ต้องขอบคุณอิ่นกวานหนุ่มมากที่สุดในบรรดาคนที่ยืนอยู่บนแนวเส้นของศาลบุ๋น ไม่ว่าจะโดยส่วนตัวหรือโดยส่วนรวม เขาก็ล้วนหวังให้เกิดสงครามต่อสู้กันที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างสักครั้ง
อีกทั้งในบรรดาพันธมิตรใหญ่ทั้งหลายของสกุลหลิวธวัลทวีปครั้งนี้จะไม่มีแค่อวี้พ่านสุ่ยอีกแล้ว แต่เป็นเจิ้งจวีจงและนครจักพรรดิขาว ฉีถิงจี้แห่งสำนักกระบี่หลงเซี่ยง เหวยอิ๋งแห่งสำนักกุยหยก รวมไปถึงพวกหลิวทุ่ยแห่งฝูเหยาทวีป
การรวมตัวและแยกย้ายของทรัพย์สินเงินทองในใต้หล้า สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็มีความรู้แค่สี่ตัวอักษรเท่านั้น จัดสรรกันใหม่
สถานการณ์ใดที่สามารถทำให้เงินเทพเซียนจำนวนนับไม่ถ้วนที่หล่นมาอยู่ในกระเป๋าแล้วราวกับมีขาขยับเคลื่อนไหวไปได้ใหม่มากที่สุด? แน่นอนว่าต้องเป็นการทำสงคราม สนามรบอยู่ในใต้หล้าไพศาล สกุลหลิวธวัลทวีปหาเงินต้องอิงตามกฎเกณฑ์ ถึงขั้นที่ว่ายังต้องตัดใจจ่ายเงินได้ลง คือการใช้เงินขาวของวันนี้ไปหาทองคำของวันพรุ่งนี้ อันที่จริงความเสี่ยงย่อมไม่น้อย ไม่อย่างนั้นครั้งสุดท้ายที่ได้พบหน้าชุยฉาน หลิวจวี้เป่าจะต้องขอยืนยันเรื่องหนึ่งให้แน่ใจให้ได้ สรุปแล้วเจ้าซิ่วหู่จะมีชีวิตรอดหรือไม่
เรื่องจริงได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าความกังวลของหลิวจวี้เป่าเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง การประชุมของศาลบุ๋นที่มีแต่คนกันเองก่อนหน้านี้ได้มีการเสนอกฎเกณฑ์บางอย่างซึ่งอันที่จริงได้ทำให้หลิวจวี้เป่าสัมผัสได้ถึงลางที่ไม่ค่อยดี แต่หากสนามรบอยู่ที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็ไม่ต้องมีข้อพิถีพิถันอะไรมากมายอีกแล้ว เรื่องที่ต้องยำเกรงมีน้อย พันธนาการก็น้อย ทว่าผลประโยชน์กลับเยอะมาก
ฮ่องเต้จักรพรรดิเก้าพระองค์ที่มาจากราชวงศ์ล่างภูเขา ต่างก็มีความคิดเช่นเดียวกันไม่มากก็น้อย
อิ่นกวานหนุ่ม ราวกับว่ากระบี่ของคนผู้นี้คนเดียวก็สามารถเป็นปรมาจารย์ผู้กล้าหนึ่งล้านคนได้แล้ว
หากอิ่นกวานหนุ่มผู้นี้สามารถกลายมาเป็นแขนซ้ายขวาให้กับตนได้ ต่อให้จะยังไม่เหมาะจะมาเป็นราชครู แต่หากสำนักของเฉินผิงอันมาตั้งอยู่ในภูเขาสายน้ำบ้านเกิดของตน จะไม่ใช่ว่ายอดเยี่ยมมากหรอกหรือ?
เพียงแต่ว่าจู่ๆ พวกฮ่องเต้ก็เกิดสงสัยขึ้นมา ดูเหมือนจะไม่เคยได้ยินชื่อเรียกของสำนักอย่างเป็นรูปธรรมของเซียนกระบี่ที่หนุ่มขนาดนี้มาก่อนนะ? ได้ก่อตั้งสำนักแล้วหรือยัง? ถ้าอย่างนั้นสามารถสานสัมพันธ์ ดำเนินการกันดูสักครั้ง? หากจะบอกว่าที่ตั้งสำนักต้องเป็นแจกันสมบัติทวีปบ้านเกิดอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ต่อให้ถอยมาเลือกอันดับรอง ที่ตั้งของสำนักเบื้องล่างล่ะ? เหตุผลก็เรียบง่ายอย่างยิ่ง ในขุนเขาสายน้ำบ้านเกิดของตน ไม่ว่าเฉินผิงอันจะมาเป็นกุนซือของจักรพรรดิคนต่อไปหรือจะเป็นผู้นำบนภูเขาในอาณาเขตของราชวงศ์แห่งหนึ่ง ผู้ครองแคว้นก็สามารถนอนหนุนหมอนสูงได้อย่างไร้ความกังวลแล้ว
เพราะเบื้องหลังของอิ่นกวานหนุ่มอย่างเฉินผิงอันนี้มีเซียนกระบี่ทุกคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ยืนอยู่ นอกจากสี่คนที่มาเข้าร่วมการประชุมวันนี้แล้ว ยังมีเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะของแจกันสมบัติทวีป ฉีจิ่งหลง ลี่ไฉ่แห่งอุตรกุรุทวีป เซี่ยงซงฮวาแห่งธวัลทวีป เซี่ยจื้อแห่งฝูเหยาทวีป ซ่งพิ่น ซือถูจีอวี้แห่งเกราะทองทวีป ผูเหอแห่งหลิวเสียทวีป…
นอกจากนี้ก็ยิ่งมีหนิงเหยาแห่งนครบินทะยาน เล่าลือกันว่าเป็นคนรักของเฉินผิงอัน นางคือบุคคลอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้าห้าสีเชียวนะ!
ประเด็นสำคัญก็คืออิ่นกวานยังหนุ่มอยู่มาก อายุน้อยเกินไปแล้ว และความสำเร็จบนมหามรรคาของเฉินผิงอันก็จะต้องสูงมากอย่างแน่นอน
อวี้พ่านสุ่ยใช้เสียงในใจพูดกับฮ่องเต้เด็กหนุ่ม “ฝ่าบาท หากท่านมีความสามารถดึงตัวเฉินผิงอันมาเป็นตี้ซือ (อาจารย์ของจักรพรรดิ) ของราชวงศ์เสวียนมี่พวกเราได้ วันหน้าข้าก็ไม่สนใจว่าท่านจะกินดื่มเล่นสนุกอะไรอีกแล้ว ไม่สนเลยสักเรื่อง ขอแค่ท่านเบิกบานใจก็พอ เป็นอย่างไร? หลายปีที่ผ่านมานี้แม้แต่ภาพวังวสันต์ที่จะเปิดอ่านวันละหลายๆ หน้าหน่อยก็ยังต้องมีคนคอยควบคุม ท่านเหนื่อยใจ อันที่จริงข้าเองก็เหนื่อย ฝ่าบาทกลอุบายลึกล้ำ หากไม่ใช่เพราะไม่อาจฝึกตนได้ ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะมีชีวิตเกินกว่าข้าไม่ได้ ต้องตายก่อนข้า ไม่อย่างนั้นข้าคงต้องกังวลใจว่าวันหน้าจะถูกท่านเปิดโลงเอาศพออกมาโบยแล้ว”
คำพูดคำจาระหว่างอวี้พ่านสุ่ยกับฮ่องเต้เด็กหนุ่มที่อยู่ข้างกายนี้ ล้วนจริงใจเปิดเผยต่อกันมาโดยตลอด ตอนที่ฮ่องเต้ยังเป็นองค์ชายเยาว์วัยอยู่ในวังส่วนพระองค์ ก็เป็นสภาพการณ์แบบเดียวกันนี้
ท่านปู่อวี้สามารถส่งเจ้าไปนั่งบนบัลลังก์มังกรหลายสิบปี ดังนั้นเจ้าต้องเชื่อฟัง ต้องกตัญญูยิ่งกว่าลูกหลานแท้ๆ อย่าได้เลียนแบบจักรพรรดิยุคสุดท้ายของราชวงศ์ต้าเฉิงที่ดึงดันจะแอบมาฟ้องศาลบุ๋น ทำอะไรไม่อยู่ในกฎเกณฑ์ ละเมิดเส้นบรรทัดฐานที่บรรพบุรุษสองตระกูลกำหนดเอาไว้ ผลลัพธ์เล่าเป็นอย่างไร? สำหรับกฎระเบียบแต่ละข้อของศาลบุ๋น เส้นแบ่งเขตอยู่ที่ไหน สกุลอวี้ศึกษาจนเชี่ยวชาญปรุโปร่งยิ่งกว่าเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาใดๆ เสียอีก
คำพูดของคนกันเองที่คล้ายคลึงกับการปิดประตูคุยกันนี้ อวี้พ่านสุ่ยมักจะพูดคุยกับฮ่องเต้เด็กหนุ่มอยู่เป็นระยะ
ฮ่องเต้เด็กหนุ่มเอ่ยอย่างกังขา “ท่านปู่อวี้ ท่านเองก็ไม่เคยเจออิ่นกวานมาก่อน เหตุใดถึงต้องให้ความสำคัญต่อเขาขนาดนี้”
อวี้พ่านสุ่ยหัวเราะ “เพราะข้าหวังว่าใต้หล้าไพศาลจะมีซิ่วหู่อายุน้อยเพิ่มมาอีกหนึ่งคน ต่อให้จะเดินไปบนทางสายเดียวกับที่ชุยฉานเคยเดิน แต่ก็สามารถเริ่มต้นอย่างงดงามและจบลงอย่างงดงามได้”
ฮ่องเต้เด็กหนุ่มเอ่ยอย่างตกตะลึง “ท่านปู่อวี้มีคำวิจารณ์ต่อเขาสูงขนาดนี้เชียวหรือ”
ฮ่องเต้สกุลหลูราชวงศ์ต้าหยวนสองจิตสองใจเล็กน้อย ก่อนจะถามเสียงเบา “ท่านราชครู ได้ยินมาว่าอิ่นกวานเคยไปเที่ยวถ้ำสวรรค์วังมังกรมาก่อน มีความสัมพันธ์ที่ดีเยี่ยมกับสำนักกระบี่ไท่ฮุย ทะเลสาบกระบี่ฝูผิง แล้วยังมีสำนักพีหมาที่อยู่ทางทิศใต้สุด กับสวนน้ำค้างวสันต์ที่อยู่ทางทิศตะวันออกด้วย?”
หยางชิงข่งแห่งหน่วยฉงเสวียนยิ้มเอ่ย “มีความสัมพันธ์ดีเยี่ยมจริงๆ อันที่จริงหากจะคิดกันจริงจังขึ้นมา ต้าหยวนของพวกเราก็มีความสัมพันธ์ควันธูปส่วนหนึ่งกับภูเขาลั่วพั่วด้วย เมื่อหลายปีก่อนมีงูเขียวขอบเขตก่อกำเนิดตัวหนึ่งมาเดินลงน้ำที่อุตรกุรุทวีป ตระกูลเซียนใหญ่แห่งต่างๆ และที่ว่าการท้องถิ่นที่ตั้งอยู่เลียบริมน้ำของราชวงศ์ต้าหยวนพวกเราเคยร่วมมือกับหลิงหยวนกงและหลงถิงโหวช่วยเปิดทางปกป้องอีกฝ่าย ดังนั้นฝ่าบาทรอก่อนเถิด คราวหน้าที่อิ่นกวานมาเยือนอุตรกุรุทวีป ไม่แน่ว่าอาจจะได้พบเขาก็เป็นได้”
ฮ่องเต้สกุลหลูพยักหน้ารับ เพียงแต่ว่าความรู้สึกค่อนข้างซับซ้อน
หยางชิงข่งยิ้มกล่าว “ยศราชครู ต่อให้ข้ายินดีมอบให้ ฮ่องเต้ก็อยากจะมอบให้ แต่ด้วยนิสัยของเฉินผิงอัน เขาก็ไม่มีทางยอมรับอยู่ดี แต่หากเปลี่ยนมาเป็นยศเปล่าๆ ล่างภูเขาที่มีน้ำหนักมากพอ ขอแค่ฝ่าบาทเจรจากับเขารู้เรื่อง อีกฝ่ายก็ไม่มีทางปฏิเสธ ภูเขาลั่วพั่วแห่งนั้นของเฉินผิงอัน อันที่จริงมีการทำการค้ากับอุตรกุรุทวีปอยู่ตลอด หากคิดจะพัฒนาไปอีกก้าว ก็ยากที่จะอ้อมผ่านราชวงศ์ต้าหยวนไปได้ นี่ก็คือโอกาสของฝ่าบาทแล้ว”
อันที่จริงในเรื่องนี้ได้ซ่อน ‘ใจคน’ ที่เป็นมายาเลื่อนลอยที่สุดเอาไว้ด้วย
ก็เหมือนอย่างฮว่อหลงเจินเหริน นาทีก่อนยังรู้สึกว่าศาลบุ๋นใครคิดจะตีรันฟันแทงกันก็ไป อยากจะหาใครไปโอ้อวดบารมีด้วยก็ตามสบาย ถึงอย่างไรผินเต้าก็จะเริ่มตั้งใจฝึกตนแล้ว หากลงสนามรบก็ต้องทุ่มชีวิตแก่ๆ นี้ลงไปด้วย ตลอดทั้งยอดเขาพาตี้ ลูกศิษย์ผู้สืบทอดทั้งหลายอย่างสายเถาซาน สายจื่อเสวียน ขอแค่เป็นคนที่ต่อสู้ได้ก็ล้วนไปต่อยตีที่แจกันสมบัติทวีปหมดแล้ว ดังนั้นศาลบุ๋นก็อย่ามาพูดเรื่องสถานการณ์ใหญ่ในใต้หล้าอะไรกับผินเต้า
เพราะก่อนหน้านี้ฮว่อหลงเจินเหรินได้มั่นใจเรื่องหนึ่ง เว้นเสียจากว่าฝ่ายในของศาลบุ๋นมีการบอกกล่าวกันก่อนแล้ว จากนั้นหลี่เซิ่งเปิดปากพูดเอง จึงจะทำสงครามได้ ไม่อย่างนั้นการต่อสู้ครั้งนี้ ไพศาลคิดจะทำสงครามก็มีแต่จะพาคนไปตายเปล่าๆ เพราะเป็นแค่ชั้นวางดอกไม้เท่านั้น เรื่องจริงได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าศึกใหญ่ที่เกี่ยวพันกับเรื่องที่ว่าใต้หล้าสองแห่งจะตกเป็นของใคร ผู้ฝึกตนบนภูเขาเลือกอย่างไร แน่นอนว่าสำคัญมาก แต่ล่างภูเขาเป็นอย่างไร นั่นต่างหากถึงจะเป็นกุญแจสำคัญที่ตัดสินแพ้ชนะอย่างแท้จริง
——