กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 793.3 เวทคาถาเซียนเหริน
เวลานี้หลี่ชิงจู๋รู้สึกว่าต่อให้ท่านเทพยดาบนสวรรค์มาเยือนเขาก็ไม่กลัวจริงๆ เดิมทีตนก็เป็นฝ่ายมีเหตุผล พูดไปแล้วก็กลายเป็นว่าเจ้าคนผู้นี้ทำร้ายคนอย่างกำเริบเสิบสานอยู่ดี
บนภูเขาดูที่การกระทำไม่ดูที่จิตใจ?
เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน?
หลี่เซิ่งงั้นหรือ?!
ก็แค่เด็กน้อยคนหนึ่งในสายตาของกู้ชิงซง หากมีความสามารถจริงๆ ทำไมเจ้าไม่ไปตีสนิทกับฮว่อหลงเจินเหรินเลยเล่า? ไม่ไปเรียกตัวเองเป็นพี่เป็นน้องกับเซียนกระบี่ใหญ่จั่วโย่วเลยเล่า?
หลี่ชิงจู๋หันหน้าไปมองสตรีที่สวมชุดสีแดง ก่อนจะถอนสายตากลับ แสยะยิ้มกว้าง
ทำไม ข้าผู้อาวุโสมองอีกทีแล้ว แน่จริงก็เอาอีกสิ? เวลานี้ทางฝั่งของเกาะยวนยางต้องมียอดฝีมือจำนวนไม่น้อยคอยจับตามองที่แห่งนี้อยู่แน่นอน ขอร้องให้เจ้าลงมืออำมหิตภายใต้สายตาคนมากมายที่จับจ้องต่อเลยสิ
เฉินผิงอันใช้เสียงในใจยิ้มเอ่ย “เจ้ารู้หรือไม่ว่า อวิ๋นเหมี่ยวที่อยู่บนเกาะยวนยางกำลังรอให้ข้าลงมืออีกครั้ง เขาถึงจะมาปรากฏตัวที่นี่? ดังนั้นขอแค่ข้ายืนนิ่งๆ ไม่ขยับ คุยเล่นกับเจ้าต่อไป เจ้าก็ได้แต่ยืนบื้อขายหน้าผู้คนอยู่ที่นี่? เจ้าว่าตอนนี้ไม่ว่าเจ้าจะพูดอะไร ทำอะไร มีความหมายตรงไหนเล่า?”
“เจ้าลองคิดดูดีๆ อีกที ต่อให้อีกเดี๋ยวอวิ๋นเหมี่ยวออกมาช่วยทวงศักดิ์ศรีคืนให้เจ้า แล้วจะอย่างไร? เรื่องที่หลี่ร้อยปูเดินกร่างท่องยุทธภพอยู่บนเกาะยวนยางก็ยังต้องเป็นเรื่องเล่าแห่งขุนเขาสายน้ำที่คู่ควรให้คนโหมประโคมเขียนอยู่ดีไม่ใช่หรือ? รอให้ทางศาลบุ๋นยกเลิกคำสั่งห้ามรายงานขุนเขาสายน้ำ มันจะแพร่ไปทั่วทั้งทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางหรือไม่? ข้าว่าต้องใช่แน่นอน”
“อีกอย่างพี่ชิงจู๋เจ้าสังเกตเห็นหรือไม่ว่า ผู้ฝึกกระบี่หญิงจากสำนักกระบี่เหมยซานที่เจ้าหลงรักผู้นั้น นับแต่วันนี้ไปก็ถือว่ายิ่งเดินยิ่งไกลห่างจากเจ้าแล้ว? ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่เทพธิดาอารามดอกเหมยที่เดิมทีหลงรักเจ้า เวลานี้สายตาที่มองเจ้าก็เปลี่ยนไปแล้ว? หรือไม่ก็อวิ๋นเหมี่ยวอาจารย์ของเจ้า วันหน้ากลับไปถึงหอเซียนจิ่วเจิน ทุกครั้งที่พบเจอลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจอย่างเจ้าก็จะต้องอดนึกถึงทัศนียภาพอันงดงามของการกระดอนบนผิวน้ำบนเกาะยวนยางไม่ได้?”
หลี่ชิงจู๋หน้าเขียวคล้ำ
เห็นเพียงว่าคนผู้นั้นเริ่มยิ้มพูดอีกครั้ง “เจ้าลองเดาดูสิ คำพูดพวกนี้ที่ข้าพูดกับเจ้า เป็นเสียงในใจที่พูดกับเจ้า หรือว่าทุกคนล้วนได้ยินกันหมดแล้ว?”
“พี่ชิงจู๋เอ๋ยพี่ชิงจู๋ เจ้าคิดว่าที่ข้าให้เจ้ากระดอนบนน้ำกลับไปกลับมาสองรอบเพื่ออะไร แน่นอนว่าช่วยให้เจ้าสร้างชื่อเสียงไปทั่วศาลบุ๋นอย่างไรเล่า หลังจากศึกที่อำเภอพ่านสุ่ยของกู้ชิงซงผ่านไป คาดว่าก็คงเป็นเจ้านี่แหละที่มีหน้ามีตามากที่สุดแล้ว”
“อันที่จริงก็ไม่มีอะไรหรอก ชื่อเสียงจะนับเป็นอะไรได้ ผู้ฝึกตนอยู่บนภูเขาย่อมไม่รู้ร้อนรู้หนาว ไม่ลงจากภูเขาหลายสิบปีก็เป็นเรื่องที่ปกติอย่างมาก อีกอย่างพวกศิษย์พี่และศิษย์น้องชายหญิงของเจ้าที่ดีแต่ฝึกตนอย่างโง่งม ตอนอยู่บนภูเขาก็จะต้องปลอบใจเจ้าหลายคำแน่นอน”
“เจ้าลองคิดดูสิ หอเซียนจิ่วเจินแห่งหนึ่ง ในภูเขานอกภูเขา นับตั้งแต่อาจารย์ไปจนถึงเพื่อนร่วมสำนัก ข้าล้วนช่วยคิดพิจารณาแทนเจ้าหมดแล้ว แม้แต่บนรายงานภูเขาสายน้ำข้าก็ยังช่วยเจ้าตั้งฉายาไว้แล้วสองฉายา หนึ่งคือหลี่ล่องน้ำ อีกหนึ่งคือหลี่ตาเข ดังนั้นเจ้ายังมีหน้ามาขอเงินจากข้าอีกหรือ? ไม่ใช่เจ้าที่ควรให้เงินข้าเป็นค่าตอบแทนหรืออย่างไร?”
หลี่ชิงจู๋หน้าซีดขาว ริมฝีปากสั่นระริก
ครั้งนี้ไม่เหลือความกล้าที่จะเหลือบมองสตรีผู้นั้นอีกแล้ว ถึงขั้นไม่มีอารมณ์ที่จะพูดจาอาฆาตเจ้าคนชุดเขียวที่อยู่ตรงหน้าแล้ว
คำพูดพวกนี้
ก็เหมือนผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งที่ส่งกระบี่ออกมาหนึ่งครั้ง แต่กลับสามารถถามกระบี่ได้ต่อเนื่องสิบปีร้อยปี
เพราะคนที่ออกกระบี่อย่างแท้จริงก็คือคนคุ้นเคยทุกคนที่อยู่ข้างกายหลี่ชิงจู๋
ทุกๆ สามวันห้าวันก็จะต้องมีคนมาช่วยเฉินผิงอันออกกระบี่และถามกระบี่ต่อเขา
“ล้อเจ้าเล่นหรอกน่า ไม่ได้หมายความอย่างนั้นจริงๆ สักหน่อย”
เฉินผิงอันยกเท้าเตะอีกที เตะเจ้าหมอนั่นให้ร่วงลงไปในน้ำ คราวนี้ออกแรงไม่เบา เหมือนตะเกียบอันหนึ่งที่ปักเอียงลงไปในน้ำ ร่างของอีกฝ่ายจึงพุ่งกระแทกเข้าสู่ท้องน้ำโดยตรง “ไปเรียกผู้อาวุโสบ้านเจ้ามาสิ”
จะได้เรียนรู้ขนบธรรมเนียมประจำสำนักของหอเซียนจิ่วเจินอีกครั้ง
ไม่ใช่คนที่ตกปลาอย่างแท้จริง ย่อมยากจะไขความลี้ลับในคำกล่าวนี้
หากปลาที่กระชากขึ้นมาบนฝั่งตัวเล็กเกินไป ตกขึ้นมาได้แล้วก็จะต้องปล่อยไป เกินครึ่งก็น่าจะเอ่ยประโยคนี้ ซึ่งเป็นวลีติดปากพอๆ กับประโยคที่ว่า ‘ทำหลุมล่อปลาน้ำขึ้นสามฉื่อ’
เฉินผิงอันนวดคลึงปลายคาง “ไม่ใช่หัวแข็งธรรมดาเลยนะเนี่ย ขนาดนี้แล้วยังหัวไม่แตกอีก”
หลี่เป่าผิงมองเกาะยวนยางที่อยู่ห่างไปไกลกลางน้ำ ถามเสียงเบา “อาจารย์อาน้อย?”
นางสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของทางฝั่งนั้น
ความหมายของนางก็คือจะให้นางเรียกพี่ใหญ่ของนางมาช่วยหรือไม่
เฉินผิงอันหันหน้าไปยิ้มเอ่ย “เรื่องเล็ก”
ความหมายของเฉินผิงอันเรียบง่ายยิ่งกว่า เรื่องเล็ก อันที่จริงก็คือไม่มีเรื่องอะไร มีอาจารย์อาน้อยอยู่ก็เพียงพอแล้ว
ทางฝั่งของเกาะยวนยางมีคนผู้หนึ่งสีหน้าไม่สบอารมณ์ พอได้รับสัญญาณขอความช่วยเหลือจากลูกศิษย์ผู้สืบทอด ร่างจริงของเซียนเหรินก็ยืนเอาสองมือไพล่หลังอยู่ริมน้ำตลอดเวลา แต่กลับร่ายวิชาอภินิหารมองขุนเขาสายน้ำผ่านฝ่ามือ มองไกลๆ ไปยังคนชุดเขียวที่อยู่ริมลำคลอง
เจ้าประมุขหอเซียนจิ่วเจินอย่างอวิ๋นเหมี่ยวเห็นว่าเจ้าคนผู้นั้นถึงกับกล้าจงใจทำร้ายคนใต้เปลือกตาตนอีกครั้ง ก็ตวาดอย่างเดือดดาลว่า “เจ้าโจรใจกล้า” สี่คำนี้เหมือนฟ้าผ่าที่สะเทือนอยู่เหนือนที จากนั้นเซียนเหรินก็เผยร่างกายธรรม สวมชุดคลุมอาคมสีขาวหิมะ พุ่งตรงมาพร้อมลากสายรุ้งสีขาวตามมาเบื้องหลัง พลังอำนาจกดดันบีบคั้น พริบตาเดียวก็พุ่งมาอยู่เหนือน้ำลำคลอง หลุบตาลงต่ำมองทุกคนที่อยู่ริมลำคลอง
กายธรรมของเซียนเหรินมองมาจากที่สูง พลานุภาพน่ากริ่งเกรง เอ่ยเสียงทุ้มหนักว่า “เจ้าเด็กน้อยเจ้าเป็นใคร ถึงกับทำร้ายคนอย่างส่งเดชในสถานที่สำคัญของศาลบุ๋นโดยไม่ถามหาผิดถูกเช่นนี้?!”
เห็นได้ชัดว่าไม่ได้เข้าร่วมการประชุมครั้งใดๆ ของศาลบุ๋น ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางเอ่ยประโยคว่า ‘เจ้าเด็กน้อยเจ้าเป็นใคร’
อวี๋เยว่เริ่มไม่สบอารมณ์ขึ้นมาแล้วจริงๆ
ข้าผู้อาวุโสคือผู้ฝึกกระบี่หยกดิบ ไม่ฟันเซียนเหริน หรือว่าควรจะฟันผู้ฝึกลมปราณหยกดิบ? นั่นไม่ใช่รังแกคนอื่นหรอกหรือ?
ไม่รู้จักเจ้าลูกกระต่ายน้อยที่นอนเสวยสุขอยู่ในน้ำ ทว่าเซียนเหรินแผ่นดินกลางที่บารมีขจรไกลไปแปดทิศผู้นี้ ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับอวี๋เยว่จริงๆ ในความเป็นจริงแล้วผู้ฝึกตนบนยอดเขาของใต้หล้าไพศาล ผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานและเซียนเหริน บวกกับเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบ ส่วนใหญ่แล้วต่างก็ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับกันและกัน บ้างก็อาศัยรายงานขุนเขาสายน้ำจึงรู้จักอีกฝ่าย ขอแค่อีกฝ่ายไม่ได้ร่ายเวทอำพรางตาก็มักจะจำกันได้เพียงแค่มองปราดเดียว ยกตัวอย่างเช่นเซียนเหรินชุดขาวผู้นี้มีชื่อว่าอวิ๋นเหมี่ยว ฉายาคือลวี่เสีย เขายังมีคู่รักอีกคนหนึ่ง ว่ากันว่าเพิ่งจะเลื่อนเป็นขอบเขตเซียนเหริน คือคู่รักเซียนเหรินของหนึ่งภูเขา ดังนั้นช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ชื่อเสียงและพลังอำนาจของหอเซียนจิ่วเจือนจึงเพิ่มสูงขึ้นมาก
เฉินผิงอันใช้เสียงในใจเอ่ยเตือนอวี๋เยว่ “ผู้อาวุโสห้ามออกกระบี่เด็ดขาด”
รู้สึกไม่ค่อยชินอยู่บ้าง
หากอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ป่านนี้พวกผู้ฝึกกระบี่คงเป่าปากโห่ร้องกันเกรียว ช่วยกันออกกระบี่ไปนานแล้ว? ไม่ทันได้ชมเรื่องสนุกด้วยซ้ำ เพราะจะเสียเวลาดื่มเหล้า
อวี๋เยว่เก็บปราณกระบี่บนร่างไปก่อน “อิ่นกวานตัดสินใจได้เลย ข้าจะรอดูไปก่อน แต่หากอีกเดี๋ยวจำเป็นต้องออกกระบี่ก็ห้ามเกรงใจกันเด็ดขาด บอกกับข้าสักคำ หรือไม่แค่ส่งสายตาให้สักทีก็พอ”
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ เงยหน้ายิ้มเอ่ย “แซ่อู๋ นามเตี๋ย พวกเราไม่รู้จักกัน เจ้าเรียกชื่อนี้ได้เลย”
ไม่ใช่ว่าเซียนเหรินผู้นี้นิสัยดี แต่เป็นเพราะการตีกันบนภูเขา จำเป็นต้องมีคุณธรรมน้ำใจเสียก่อนถึงจะลงมืออย่างเต็มที่ได้
กายธรรมเซียนเหรินยื่นฝ่ามือออกมาเตรียมจะจับไก่ตกน้ำผู้นั้นมาไว้ในมือ
เฉินผิงอันหัวเราะเสียงเย็นเอ่ยว่า “ถามหรือยังว่าข้าตกลงหรือไม่?”
สองนิ้วประกบทำเป็นมุทรากระบี่ ร่ายเวทกระบี่ แสงกระบี่เส้นหนึ่งโผล่มากลางอากาศ ฟันฉับลงบนมือ มือข้างนั้นของกายธรรมเซียนเหรินถูกฟันไปพร้อมกับน้ำในแม่น้ำของเกาะยวนยางด้วย
อวิ๋นเหมี่ยวรู้สึกรับมือไม่ทันอยู่บ้าง แสงกระบี่เส้นนั้นยังพุ่งมาเร็วเกินไป โชคดีที่มือข้างที่โปร่งใสราวกับหยกของกายธรรมเซียนเหริน หรือแม้กระทั่งชายแขนเสื้อกว้างใหญ่สีขาวหิมะต่างก็กลับคืนมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
เฉินผิงอันยิ้มพลางใช้เสียงในใจพูดคุยกับทุกคนที่อยู่ริมน้ำ
กายธรรมเซียนเหรินของอวิ๋นเหมี่ยวหัวเราะหยัน “ลูกศิษย์คนนี้ของข้ามีการกระทำอะไรที่เป็นการล่วงเกิน? เจ้าถึงต้องลงมือรุนแรงเช่นนี้? ทำร้ายอวัยวะภายในของเขา รวมไปถึงช่องโพรงแห่งชะตาชีวิตหกแห่ง?! การลงมือสองครั้งเกือบจะสะบั้นสะพานแห่งความเป็นอมตะของเขา ผู้ฝึกกระบี่จากที่ไหนถึงได้กล้ากระทำการกำเริบเสิบสานเช่นนี้?!”
ทุกคนที่อยู่ริมลำคลองมีสีหน้าปั้นยาก
ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนหญิงที่มาจากสำนักกระบี่เหมยซานและเทพธิดาอารามดอกเหมยที่ก่อนหน้านี้ยังกล้าๆ กลัวๆ ตอนนี้ก็ยังรู้สึกอยากจะหัวเราะ ได้แต่ข่มกลั้นเอาไว้อย่างยากลำบาก จะไม่ยอมแสดงออกทางสีหน้าเด็ดขาด
เพราะก่อนที่เซียนเหรินอวิ๋นเหมี่ยวจากหอเซียนจิ่วเจินจะเปิดปาก เซียนกระบี่ชุดเขียวคล้ายคาดการณ์ได้ล่วงหน้า เอ่ยมาประโยคหนึ่ง บอกว่าเซียนเหรินท่านนี้ของพวกเราเจอไปหนึ่งกระบี่ รู้สึกว่าเจอกับตอแข็งยากจะรับมือแล้ว จะต้องระบายความทุกข์ให้ลูกศิษย์ก่อนแน่นอน เพื่อที่จะดึงเอาคนดูที่อยู่บนยอดเขาของเกาะยวนยางกลุ่มนั้นมาเป็นพวก จากนั้นก็จะต้องถามเรื่องการสืบทอดจากบรรพจารย์ เส้นสายบนภูเขาของข้า ถึงจะตัดสินใจได้ว่าจะประลองบุ๋นหรือประลองบู๊ดี
อวี๋เยว่รู้สึกปลงอนิจจังอย่างถึงที่สุด ใต้เท้าอิ่นกวานที่ได้รับคำชมจากตาเฒ่าผู ฝีมือสมกับคำเล่าลือจริงๆ
อวิ๋นเหมี่ยวสัมผัสได้ถึงท่าทีผิดปกติของทุกคนที่อยู่ริมลำคลอง เพียงแต่ไม่ได้คิดอะไรมาก แล้วก็ไม่อาจแบ่งสมาธิไปสนใจเรื่องอื่นได้ กายธรรมของเซียนเหรินมือหนึ่งกำยันต์ทำมุทรา อีกมือหนึ่งร่ายเวทของสำนักการทหาร
น้ำในแม่น้ำโถมตัวกลายเป็นเจียวหลงสีเขียวตัวหนึ่งที่พุ่งชนร่างของคนชุดเขียวที่อยู่ริมลำคลอง และน้ำในลำคลองตอนบนก็ปรากฏเป็นแม่ทัพเทพร่างทองที่กึ่งเยื้องกรายกึ่งเผยตัวเดินลุยน้ำตรงมา
เฉินผิงอันก้าวออกไปหนึ่งก้าว ไปหยุดยืนอยู่ใจกลางแม่น้ำ ปราณกระบี่ไหลทะลัก ร่างเหมือนยืนอยู่ท่ามกลางดวงจันทร์กลมโตสีขาวหิมะดวงหนึ่ง
ปราณกระบี่ดวงจันทร์ชนเข้ากับมังกรน้ำ พายุลมกรดสะเทือนพัดโหมไม่หยุด น้ำในแม่น้ำไหลเชี่ยวกราก โถมตัวขึ้นเป็นคลื่นยักษ์ตีกระทบริมฝั่งระลอกแล้วระลอกเล่า คนชุดเขียวถึงกับยังมีเวลามาสนใจริมฝั่ง สะบัดชายแขนเสื้อข้างหนึ่งเบาๆ หนึ่งที สะบัดเอายันต์ลำธารสายหนึ่งออกมา ลำธารทอดตัวเป็นเส้นยาวอยู่ริมฝั่งประหนึ่งพลทหารราบตั้งขบวนทัพ ซัดให้ลูกคลื่นทั้งหลายแตกกระจาย แม่ทัพเทพถือหอกยาวไว้ในมือ ลากเอาเส้นแสงสีทองที่ยาวมากเส้นหนึ่ง ลำแสงแวววาวยาวเจ็ดสิบแปดสิบจั้ง จ้วงหอกยาวแทงทะลุดวงจันทร์ปราณกระบี่เข้ามา แต่คนชุดเขียวกลับตั้งมือขึ้นรับ ประกบสองนิ้วคีบปลายหอกไว้เบาๆ
กายธรรมเซียนเหรินยกมือข้างหนึ่งขึ้น ถึงกับมีมังกรเพลิงปรากฏตัวในน้ำ มังกรเพลิงหลายตัวว่ายวนอยู่บนผิวน้ำ ห้อมล้อมคนชุดเขียวผู้นั้นอยู่ไกลๆ สร้างค่ายกลเฉพาะที่มีลักษณะเป็นเตาหลอมโอสถขึ้นมา มังกรที่แท้จริงต้มหลอม น้ำในลำคลองเดือดพล่าน ไอน้ำลอยขึ้นกลางอากาศ
ฝ่ามือข้างหนึ่งยกขึ้นแล้วพลิกกลับตบลงมาหนึ่งที ระหว่างฟ้าดินก็มีกระจกทองสัมฤทธิ์ทรงกลมบานหนึ่งปรากฎขึ้น สาดแสงสะท้อนไปทั่วสี่ทิศ ปกคลุมคนชุดเขียวไว้ภายใน
วิธีการของเซียนเหรินมีให้เลือกใช้มากมายไม่มีที่สิ้นสุด
ต่อสู้กันจนลมโชยน้ำขึ้น
ส่วนเซียนกระบี่หนุ่มที่ดูเหมือนจะตกเป็นรอง มีแรงแค่ตั้งกระบวนท่ารับก็ได้แต่เฝ้าพิทักษ์พื้นที่แคบๆ คอยแบกรับวิชาอภินิหารของเซียนเหรินที่ทำให้คนมองตาลายเหล่านั้นไว้แต่โดยดี
ทางฝั่งของเกาะยวนยางนี้ ผู้ฝึกตนใหญ่ที่มารวมตัวกันมีมากขึ้นเรื่อยๆ มากจนสองมือนับไม่หมดแล้ว ล้วนพากันมาดูเรื่องสนุกที่บรรพจารย์อวิ๋นเหมี่ยวประลองเวทคาถากับคนอื่น
ราชสำนักต้ายงมีขนบธรรมเนียมที่คนทั้งแคว้นทัดบุปผา เป็นเหตุให้มีความสัมพันธ์ที่ดีเยี่ยมกับพื้นที่มงคลร้อยบุปผา ส่วนหอเซียนจิ่วเจินที่ตั้งอยู่ในราชวงศ์ต้ายงนั้น แม้ว่าทุกวันนี้จะเป็นผู้ที่พึ่งพาสกุลซ่งจัวลู่ ทว่าในประวัติศาสตร์ช่วงที่เจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุดก็เคยเป็นกองกำลังอันดับหนึ่งของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมาก่อน ท่ามกลางกาลเวลาอันรุ่งโรจน์ที่หอเซียนจิ่วเจินมีหน้ามีตาเป็นที่สุดนั้น สกุลซ่งจัวลู่ยังต้องส่งลูกหลานให้ไปฝึกตนอยู่ที่หอเซียนจิ่วเจินด้วยซ้ำ
บรรพจารย์ห้าท่านของบ้านตนที่มีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาเดียวกัน บวกกับผู้ถวายงานและเค่อชิงอีกสี่คน จึงมีผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนในเวลาเดียวกันถึงเก้าท่าน
ตอนนั้นบรรพจารย์คนหนึ่งในนั้นยังเป็นขอบเขตบินทะยานอีกด้วย น่าเสียดายที่ไม่อาจพัฒนาก้าวหน้าไปอีกขั้น น่าเสียดายที่มหามรรคาต้องสาบสูญ
รุ่นบรรพบุรุษเคยร่ำรวยมาก่อน
ทุกวันนี้ก็ไม่ถือว่าตกต่ำมากนัก เซียนเหรินสองท่าน บวกกับผู้ถวายงานและเค่อชิงก็มีผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนห้าท่านแล้ว
เส้นสายและระบบวิชาคาถาของหอเซียนจิ่วเจินค่อนข้างจะซับซ้อน เป็นนักพรตสายยันต์ ผู้ฝึกกระบี่ ผู้ฝึกตนสำนักการทหาร ผู้ฝึกยุทธเต็มตัว ล้วนมีการสืบทอดที่แตกต่างกันไป ลูกศิษย์ในสำนักสามารถเลือกเส้นทางการฝึกตนได้ด้วยตัวเอง
คู่รักของบรรพจารย์อวิ๋นเหมี่ยวเองก็มีพื้นที่ลับถ้ำสวรรค์เล็กที่ปริแตกแห่งหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยลมกระโชกแรง ไอฝนสกปรก กลิ่นอายความชั่วร้ายเข้มข้น เชี่ยวชาญการจับผีและเลี้ยงผี
——