กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 796.4 มรสุมกลางสุราผ่านไปอีกครั้ง
เจิ้งจวีจงชี้ไปที่หัวของกู้ช่าน “การเข่นฆ่าที่แท้จริง จริงๆ แล้วอยู่ในนี้”
“หญิงชราอ่อนแอไร้เรี่ยวแรงวางแผงขายของ สามารถเก็บเงินจากคนหนุ่มแข็งแรงได้ เด็กสาวอายุน้อยกล้าเดินไปตามตรอกซอกซอยเพียงลำพัง เพราะเหตุใด?”
ฟู่จิ้นตอบ “ฟ้าดินสิ่งศักดิ์สิทธิ์ กฎหมายบรรทัดฐาน”
ส่วนเรื่องที่อาจารย์ได้เลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่อย่างเงียบเชียบนั้น ฟู่จิ้นไม่ประหลาดใจแม้แต่น้อย ถึงขั้นที่ว่าในใจไม่มีริ้วคลื่นใดๆ ปรากฏด้วยซ้ำ
เจิ้งจวีจงส่ายหน้ายิ้มเอ่ย “นี่จะพอเสียที่ไหน”
ฟู่จิ้นเริ่มครุ่นคิดเรื่องนี้อย่างลึกซึ้ง การถ่ายทอดความรู้ของนครจักรพรรดิขาวไม่ได้มีแค่เรื่องมรรคกถาเท่านั้น
กู้ช่านพลันถามว่า “อาจารย์เลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างแล้วหรือ?”
นี่คือเรื่องใหญ่เทียมฟ้าที่สามารถช่วงชิงโชคชะตาของเปลี่ยวร้างมาได้เลยนะ!
ก็เหมือนกับที่หลิวชาเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ในใต้หล้าไพศาล เหตุใดผู้ฝึกกระบี่เคราดกผู้นี้ไม่อาจกลับคืนไปยังใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้เด็ดขาด? ก็เพราะว่าหลิวชาช่วงชิงเอาโชคชะตาของไพศาลไปมากเกินไป
มิน่าเล่าศาลบุ๋นและหลี่เซิ่งถึงได้ต้องมองเจิ้งจวีจงเสียใหม่ ผสานมรรคาขอบเขตสิบสี่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง หากนี่ไม่ใช่คุณความชอบทางการสู้รบแล้วแบบไหนถึงจะเรียกว่าเป็นคุณความชอบด้านการสู้รบ?
เจิ้งจวีจงยิ้มเอ่ย “ขั้นตอนอันตรายอยู่บ้าง แต่ผลลัพธ์กลับไม่ผิดไปจากที่คาด”
กู้ช่านกุมหมัดเอ่ย “ขอแสดงความยินดีกับอาจารย์ด้วย”
มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าคงอาศัยช่วงเวลาที่บรรพบุรุษใหญ่ภูเขาทัวเยว่อยู่ที่ซากปรักร่องเจียวหลง ประลองตบะกับปรมาจารย์มหาปราชญ์ที่อยู่บนยอดเขาสุ้ยซาน มหาสมุทรความรู้โจวมี่อยู่ที่ใบถงทวีป ประลองเวทคาถาอยู่กับชุยฉาน ฉีจิ้งชุน
หันเชี่ยวเซ่อเอ่ยสัพยอก “โชคดีที่หลิ่วชื่อเฉิงไม่รู้เรื่องนี้ ไม่อย่างนั้นเขาจะไม่ดีใจเหมือนบุปผาผลิบานเลยหรือ”
หลิ่วชื่อเฉิงผู้นี้ไม่ได้เสียสติธรรมดา ขอบเขตของศิษย์พี่ก็คือขอบเขตของข้า นครจักรพรรดิขาวของศิษย์พี่ก็คือนครจักรพรรดิขาวของข้า ใครกล้ามาขวางทางก็จะเอาหัวโหม่งให้ตายไปเลย
เจิ้งจวีจงพูดคุยถึงบทสนทนาก่อนหน้านี้ต่ออีกครั้ง “ตำราที่อาจารย์ลี่หมินเป็นคนเขียน พวกเจ้าน่าจะเคยอ่านกันแล้ว”
หันเชี่ยวเซ่อที่นั่งอยู่บนธรณีประตูยกมือข้างหนึ่งขึ้น “ข้าไม่เคยอ่านนะ ไม่แม้แต่จะเคยได้ยินมาก่อน”
เจิ้งจวีจงมองแผ่นหลังของศิษย์น้องหญิง
เป็นเพราะตนไม่ได้ถ่ายทอดวิชาให้นานเกินไป นางก็เลยเริ่มไม่รู้จักหนักเบาแล้วอย่างนั้นหรือ? ยังรู้สึกว่าอยู่กับศิษย์พี่อย่างตนแล้วพูดจาไร้ความยำเกรง ก็จะสามารถช่วงชิงความรู้สึกดีๆ มาจากกู้ช่านได้แล้ว?
หันเชี่ยวเซ่อรู้สึกเสียวสันหลังวาบ รีบพูดทันทีว่า “อีกเดี๋ยวข้าจะไปกินตำราเล่มนั้น”
แน่นอนว่ากินจริงๆ เป็นความหมายตามตัวอักษร
ปีนั้นศิษย์พี่อยู่ว่างไม่มีอะไรทำ เห็นว่าการฝึกตนของนางยากที่จะพัฒนาไปได้อีกขั้น จึงเคยแบ่งดวงจิตไปช่วย ‘ปกป้องมรรคา’ ให้นางในตลาดแห่งหนึ่งเป็นเวลาสามร้อยปี มองดูนางคลุกเปื้อนธุลี ไม่รู้อะไรสักอย่าง มึนๆ งงๆ พูดถึงแค่ช่วงไม่กี่สิบปีสุดท้ายนั้น หันเชี่ยวเซ่อคือคุณหนูตระกูลชั้นสูงที่พลอดรักกับบัณฑิตตกอับหน้าบุปผาใต้แสงจันทร์ คือสตรีชาวเรือที่ชาติกำเนิดน่าสงสาร คือคนขายของข้างทาง คือคนฆ่าสัตว์ก้นใหญ่ คือคนชันสูตรศพ คือคนบอกเวลายามค่ำคืน คือปีศาจจิ้งจอกตนหนึ่งที่สติปัญญาเพิ่งเปิดออก
จากนั้นเพียงชั่วพริบตา ชายหญิงและภูตเหล่านี้ก็มารวมตัวกันในนาทีใดนาทีหนึ่ง ชั่ววินาทีที่นางฟื้นตื่นขึ้นมา เป็นหันเชี่ยวเซ่อเหมือนกัน มองดู ‘หันเชี่ยวเซ่อ’ เหล่านั้น
นอกจากมองหน้ากันเองตาปริบๆ แล้ว จะยังมีผลลัพธ์เป็นแบบใดได้อีก
ศิษย์พี่ที่ความรู้เลิศล้ำผู้นี้ ดูเหมือนว่าชีวิตของการฝึกตนหลายพันปีคงจะ ‘เบื่อหน่าย’ เกินไปหน่อย ระหว่างนั้นยังเคยเสียเวลาไปนานหลายปีเพื่อถามเองตอบเองในเรื่องหนึ่ง
นั่นคือคำถามที่ไม่ว่าใครก็ไม่มีทางคิดถึง
จะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าเจิ้งจวีจงไม่ใช่มรรคาจารย์เต๋า…
ศิษย์พี่ศิษย์น้องสองคนที่เคยอ่านหนังสือเล่มนั้นมาแล้ว ต่างคนต่างก็มีคำตอบ เพียงแต่ว่าไม่ค่อยกล้าแน่ใจมากนัก
ฟู่จิ้นเอ่ย “ความรู้ในบทความยังขาดข้อพิถีพิถัน ไม่ว่าจะทำอะไรก็ล้วนเป็นฌานสุนัขจิ้งจอก เป็นมารนอกรีต?”
กู้ช่านเอ่ย “จูจื่ออธิบายคัมภีร์ เรื่องของการเข้าข้างตัวเอง คนรุ่นหลังหูตาคับแคบ ไม่เกี่ยวอะไรกับจื่อจูหรือ?”
เจิ้งจวีจงส่ายหน้า เอ่ยเตือนลูกศิษย์สองคนไปประโยคหนึ่ง “บทที่สี่สิบแปด”
ศิษย์พี่ศิษย์น้องสองคนต่างก็กระจ่างแจ้ง ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว
ในตำรามีคนบอกว่าต้องเรียบเรียงตำราสามเล่มให้ได้ หนึ่งคือตำราระเบียบพิธีการ หนึ่งคือตำราตัวอักษร หนึ่งคือตำราขนบพื้นบ้าน
ฟู่จิ้นครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะหนึ่งก็พยักหน้า “ก็จริง บัณฑิตในใต้หล้านี้มีไม่น้อย แต่คนที่ไม่รู้ตัวอักษรกลับมีมากยิ่งกว่า”
สถานที่มากมายของใต้หล้าไพศาล อันที่จริงแล้วหลักการเหตุผลไม่ใช่หลักการเหตุผลของอริยะปราชญ์ในตำรา แต่เป็นขนบธรรมเนียมอันดีงามของพื้นบ้านและกฎระเบียบประจำตระกูล
หันเชี่ยวเซ่อที่นั่งอยู่บนธรณีประตูฟังด้วยความปวดหัว ใช้ปิ่นเล็กบางแต้มชาดทาปาก เอามาแตะบนริมฝีปากเบาๆ เข้ากับจุดสีที่แต้มอยู่ข้างลักยิ้มอย่างมาก
กู้ช่านเปิดปากเอ่ยเตือน “สามารถเลียนแบบสตรีชั้นสูงใน ‘ภาพต่าวเลี่ยน’ ที่ตรงหว่างคิ้ววาดเป็นดอกไม้ลักษณะคล้ายหยดน้ำได้ เมื่อเทียบกับการแต้ม ‘ลายอักษรหัวใจ (心)’ และลายดอกเหมยแล้ว ยังน่าดูยิ่งกว่า จะทำให้การแต่งหน้าครั้งนี้เหมือนถูกแต้มนัยน์ตามังกร”
หันเชี่ยวเซ่อคลี่ยิ้มหวาน พยักหน้าเบาๆ นางเชื่อมั่นในสายตาของกู้ช่าน
บนม้วนภาพ การต่อสู้ที่ควรเกิดขึ้น การต่อสู้ที่ไม่ควรเกิดขึ้น ล้วนสิ้นสุดลงแล้ว
เจิ้งจวีจงมองถัวเหยียนฮูหยินกับเทพีบุปผาดอกเฟิ่งเซียนแล้วถามว่า “หากพวกเจ้าคือเฉินผิงอัน จะยินดีช่วยหรือไม่ จะช่วยอย่างไร ทำอย่างไรถึงจะทำให้เทพีบุปผาเฟิ่งเซียนไม่ถึงขั้นระดับถดถอยกลายเป็นอีมิ่งขั้นเก้า โดยที่เฉินผิงอันเองก็ได้ผลประโยชน์สูงที่สุด?”
เรื่องนี้คือการประเมินที่ร้อยปีจะเกิดขึ้นสักครั้งของพื้นที่มงคลร้อยบุปผา เนื่องจากก่อนหน้านี้จางเหวินเฉียนหนึ่งในสี่บัณฑิตที่เป็นลูกศิษย์ของซูจื่อได้ดูแคลนดอกเฟิ่งเซียนอย่างหนัก ไม่ชอบความงามที่ธรรมดาสามัญของดอกไม้ชนิดนี้ เหยียดหยามว่าเป็นดอกไม้ชั้นต่ำ และจางเหวินเฉียนผู้นี้ก็เป็นคนที่แข็งกระด้างตรงไปตรงมา เป็นขุนนางที่ซื่อสัตย์สุจริต ก่อนจะเดินขึ้นเขามาฝึกตนได้เป็นขุนนางเล็กๆ ในพื้นที่หนึ่งมาหลายสิบปี ชื่อเสียงดีเยี่ยม ความรู้ความสามารถก็สูงยิ่งกว่า ดังนั้นคำวิจารณ์ของ ‘เฝยเซียน’ ผู้นี้ สำหรับเทพีบุปผาเฟิ่งเซียนแล้วจึงแทบจะเป็นหายนะเอาชีวิตที่จู่ๆ ก็พุ่งเข้าใส่
ถัวเหยียนฮูหยินที่มาจากสวนดอกเหมยของภูเขาห้อยหัวยินดีสานสะพานความสัมพันธ์ให้กับเด็กสาวเทพีบุปผา มาขอให้อิ่นกวานหนุ่มช่วยเหลือ
หันเชี่ยวเซ่อที่นั่งอยู่ตรงหน้าประตูคิดว่าในเมื่อเสียเปรียบกับเรื่องหนังสือ ก็ควรจะทวงคืนกลับมาจากนอกหนังสือ
นางเปิดปากก่อนด้วยการถามหยั่งเชิงว่า “จ่ายเงินซื้อบทความบางส่วนมาช่วยดอกเฟิ่งเซียนนั่นสร้างชื่อเสียสิ ทุกวันนี้ทางฝั่งของศาลบุ๋นไม่ได้ขาดแคลนบัณฑิตที่มีบทกวีเต็มท้องเสียหน่อย เฉินผิงอันยังเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของซิ่วไฉเฒ่าเหวินเซิ่งด้วย หาเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษามาสักสองสามคนแล้วขอกลอนสักสามสี่บทมาก็คงไม่ยากกระมัง ไม่ต้องจ่ายเงินด้วยซ้ำ ต่อให้เป็นกลอนพรรณนาบุปผาที่ฝืนใจแต่งออกมา มาตรฐานไม่สูงพอ แต่ขอแค่มีจำนวนมากหน่อย อีกทั้งยังแพร่ไปจากทางฝั่งของศาลบุ๋น ถึงอย่างไรก็ยังได้ผลทันตาเห็นอยู่ดี”
“หากไม่ได้จริงๆ เฉินผิงอันก็ไปหาเฝยเซียนนั่นสิ พูดจาโน้มน้าวดีๆ สักหน่อย ไม่ใช่ว่าอยากเป็นคนหนุ่มหรอกหรือ ออกกระบี่ได้ แสร้งทำเป็นทวงความไม่เป็นธรรมแทนเด็กสาวเทพีบุปผา ก็มีเหตุผลทั้งหมด เรื่องของการคัดเลือกเทพีบุปผาของพื้นที่มงคล เป็นเรื่องที่อาจารย์ป๋ายซาน จางอี้และโจวฝูชิงสามคนเป็นคนจัดการ ดูเหมือนว่าทุกวันนี้จางอี้จะอยู่ที่ภูเขาอ๋าวโถว ต่อให้เฉินผิงอันไปชนตอที่จางเหวินเฉียน แล้วก็ไม่ได้ถามกระบี่ ถ้าอย่างนั้นก็ไปหาจางอี้ ถึงอย่างไรคนผู้นี้ก็เคารพเลื่อมใสในความรู้ของซิ่วไฉเฒ่าที่สุดแล้ว”
“ไม่อย่างนั้นก็ไปหาซูจื่อเสียเลย ก่อนหน้านี้ก็บอกแล้วไม่ใช่หรือว่าเฉินผิงอันมีเงินร้อนน้อยเหรียญนั้น? ซูจื่อใจกว้าง เห็นเงินร้อนน้อยเหรียญนั้นแล้ว เกินครึ่งก็น่าจะยินดีพูดจาดีๆ สองสามประโยค ไม่แน่ว่าดื่มเหล้าไปแล้วอาจยกกลอนพรรณนาบุปผาให้กับเทพีบุปผาเฟิ่งเซียน สยบข่มคำวิจารณ์ของลูกศิษย์ตัวเองโดยตรงเลยก็เป็นได้”
กู้ช่านส่ายหน้าเบาๆ
ได้ไม่คุ้มเสีย
หันเชี่ยวเซ่อจึงรู้ว่าตัวเองพูดผิดอีกแล้ว
เจิ้งจวีจงกล่าว “ยินดีใช้สมอง ถึงอย่างไรก็ดีกว่าไม่ใช้สมองเสียเลย”
หันเชี่ยวเซ่อพรูลมหายใจยาวเหยียด
ฟู่จิ้นเอ่ย “ทำเช่นนี้ ยังไม่ต้องพูดว่าจะสำเร็จหรือไม่ ต่อให้สำเร็จแล้ว การค้าครั้งนี้ของเฉินผิงอัน อย่าว่าแต่ได้กำไรเลย จะขาดทุนอย่างหนักเสียมากกว่า เดิมทีจางเหวินเฉียนก็เป็นบัณฑิตหัวแข็งอยู่แล้ว ความรู้สึกที่มีต่อเฉินผิงอัน หรือถึงขั้นมีต่อคนตลอดทั้งสายเหวินเซิ่ง เรียกได้ว่ามีอคติอยู่บ้างจริงๆ”
กู้ช่านเอ่ย “ดังนั้นจึงไม่อาจอ้อมผ่านจางเหวินเฉียนไปได้เด็ดขาด ยิ่งไม่อาจไปหาซูจื่อ ใครเป็นคนผูกคนนั้นก็ต้องแก้เอง”
เจิ้งจวีจงหรี่ตา “ปฏิเสธคนอื่นจำต้องมีเงินทุน”
ฟู่จิ้นร่างคำพูดไว้คร่าวๆ นานแล้ว เขาเอ่ยว่า “จางเหวินเฉียนเลื่อมใสกำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างมาก เป็นสหายรักของหยวนชิงสู่ เฉินผิงอันก็แค่ใช้ป้ายสงบสุขปลอดภัยในร้านเหล้า แค่เอาป้ายที่หยวนชิงสู่ทิ้งตัวอักษรไว้ไปให้ ถือเสียว่าเป็นการให้จางเหวินเฉียนช่วยพากลับไปยังต้าหรางสุ่ยแห่งทักษินาตยทวีป”
เจิ้งจวีจงส่ายหน้า “นี่เป็นแค่กลยุทธ์ระดับล่าง ยังเป็นการจงใจทิ้งร่องรอยเอาไว้ด้วย”
ส่วนที่หันเชี่ยวเซ่อพูด อะไรที่วกวนรุงรังพวกนั้น ไม่ถือว่าเป็นกลยุทธ์เลยด้วยซ้ำ
ในสมองของกู้ช่านมีบทประพันธ์และบทกลอนของจางเหวินเฉียน รวมไปถึงผลงานที่เฝยเซียนเขียนขึ้นร่วมกับอาจารย์ซูจื่อและสหายรักหลายคนวาบผ่านไปอย่างรวดเร็ว แสงสว่างพลันเปล่งวาบในหัวของเขา เอ่ยว่า “ซูจื่อมีความสามารถด้านตัวอักษรเลิศล้ำ คุณความชอบที่ใหญ่ที่สุดบนเส้นทางความรู้คือกำจัดการแบ่งแยกสูงศักดิ์ต่ำต้อยของ ‘ความต่างระหว่างบทกวีและวลี’ ทำให้บทความหลุดพ้นพันธนาการใหญ่บนมหามรรคาที่กล่าวว่า ‘ถ้อยคำงามฉูดฉาด’ มาได้ ถ้าอย่างนั้นดอกเฟิ่งเซียนของพื้นที่มงคลร้อยบุปผาจะสามารถมองเป็นวลีท่ามกลางหมู่มวลพืชพรรณบุปผาในใต้หล้าได้หรือไม่? เจ้าจางเหวินเฉียนมองดอกเฟิ่งเซียนเป็น ‘ความงามที่สามัญ’ และ ‘ความต่ำต้อย’ ไม่ใช่หรือ นี่ไม่เหมือนกับสภาพการณ์ที่ ‘ซืออวี๋’ (คำเรียกอีกอย่างหนึ่งของวลีในบทกลอน) ของปีนั้นถูกดูแคลนว่าเป็นถ้อยคำหวานเลี่ยนหรอกหรือ? เฉินผิงอันสามารถลงมือจากเรื่องนี้ได้หรือไม่?”
เจิ้งจวีจงยิ้มกล่าว “กลยุทธ์กลาง หากไม่ผิดไปจากที่คาด เฉินผิงอันน่าจะทำเช่นนี้ เขาไม่มีทางเลือกกลยุทธ์บนเพราะจะแสดงให้เห็นชัดเจนว่าเขาฉลาดเกินไป คนบางคนที่มีใจย่อมเกิดความกริ่งเกรง ดังนั้นกลยุทธ์บนที่สามารถแก้ไขเรื่องนี้ได้กลับจะกลายเป็นกลยุทธ์ล่างบนเส้นทางการฝึกตนตลอดทั้งเส้นของเฉินผิงอัน”
ทางฝั่งของเกาะยวนยาง เฉินผิงอันรับปากว่าจะช่วยจริงดังคาด
เพียงแค่รับเงินฝนธัญพืชถุงหนึ่งมาจากเทพีบุปผาเฟิ่งเซียนเพื่อเป็นเงินมัดจำ ไม่ได้รับเมล็ดพันธ์ดอกเฟิ่งเซียนที่มีมูลค่าควรเมืองถุงนั้นเอาไว้ อีกทั้งทั้งสองฝ่ายยังตกลงกันว่า หากสุดท้ายแล้วไม่อาจช่วยเหลือได้ก็จะคืนเงินให้ นี่ทำให้เด็กสาวรู้สึกมึนงงเล็กน้อย ก่อนหน้านี้พี่หญิงถัวเหยียนไม่ได้บอกว่าคนผู้นี้คือคนละโมบในทรัพย์สินเงินทองหรอกหรือ? อีกทั้งดูเหมือนว่าพอมองเซียนกระบี่ชุดเขียวในระยะใกล้ เขามีสีหน้าเป็นมิตร สายตาอ่อนโยน เหมือนบัณฑิตมากเลยนะ
เจิ้งจวีจงกล่าว “กลยุทธ์กลางที่แท้จริง ยังคงมีความต่างจากที่กู้ช่านพูดอยู่บ้าง”
ฟู่จิ้นมองคนชุดเขียวที่อยู่ในม้วนภาพ นี่เป็นครั้งแรกที่จักรพรรดิขาวน้อยผู้นี้ให้ความสำคัญกับคนผู้นี้อย่างแท้จริง
อันดับแรกก็ช่วยเทพีบุปผาเฟิ่งเซียนก่อน มีพระคุณบนมหามรรคา
รองลงมาก็ให้หน้าถัวเหยียนฮูหยินไม่น้อย
เหตุใดข้างกายของเจ้าแห่งบุปผาของพื้นที่มงคลร้อยบุปผา นอกจากเทพีบุปผาเจ้าชะตาสี่ท่านแล้ว กลับพาเด็กสาวเทพีบุปผาคนนี้มาแค่คนเดียว? แน่นอนว่าเป็นเพราะเหนียงเนียงเจ้าแห่งบุปผารักและเอ็นดูแม่นางน้อยคนนี้มากที่สุด
ดังนั้นเฉินผิงอันกับเหนียงเนียงเจ้าแห่งบุปผาจึงได้ผูกบุญสัมพันธ์ที่ไม่เล็กต่อกันไว้แล้ว
ข้อที่สี่ จางเหวินเถียวไม่เพียงแต่ไม่เดือดดาล มีแต่จะยิ่งปลาบปลื้ม การประลองวิชาความรู้ระหว่างบัณฑิตด้วยกัน ในฐานะลูกศิษย์คนสุดท้ายของสายเหวินเซิ่ง ถึงกับสามารถมีความรู้ที่ใกล้เคียงกับสายของอาจารย์ตนขนาดนี้ มิน่าเล่าถึงสามารถทำให้หยวนชิงสู่สหายรักทิ้งป้ายสงบสุขปลอดภัยแผ่นนั้นไว้ในร้านเหล้าได้
ข้อที่ห้า อยู่ห่างไกลกันหนึ่งแสนแปดพันลี้ คนผู้นี้ก็ยังยกยอสรรเสริญซูจื่อคำรบใหญ่
ยิงปืนนัดเดียวได้นกถึงห้าตัว
ถูกคนมาขอร้องให้ช่วยเหลือ เดิมทีก็เป็นเรื่องที่ยุ่งยากเรื่องหนึ่ง
ผลกลับกลายเป็นว่าพอถึงเวลาเข้าจริงๆ ดูเหมือนว่าคนที่ลงมือช่วยเหลือกลับกลายเป็นว่าได้ผลประโยชน์เทียมฟ้าตามมาเป็นพรวน?
ฟู่จิ้นพลันหัวเราะ อาจารย์พูดถูกจริงเสียด้วย
เฉินผิงอันผู้นั้นถึงกับไม่ได้ลงมือไปตามเส้นทางที่กู้ช่านมองออก แต่เลือกที่จะใช้เสียงในใจเปิดเผยความลับสวรรค์กับเทพีบุปผาเฟิ่งเซียนโดยตรง
ซึ่งก็หมายความว่าเฝยเซียนและ ‘นกสองตัว’ จากซูจื่อนั้น อิ่นกวานหนุ่มเลือกที่จะไม่รับมาโดยตรง
กู้ช่านยิ้มอย่างรู้ทัน “เข้าใจแล้ว นี่ก็คือคำว่า ‘เหลือค้างไว้ก่อน’ ที่เจ้าชอบพูดบ่อยๆ!”
หันเชี่ยวเซ่อชำเลืองตามองม้วนภาพแล้วเบ้ปาก เอ่ยว่า “คนหนุ่มที่เป็นเช่นนี้ ข้าไม่กล้าไปมีเรื่องด้วยหรอก”
กู้ช่านพูดถูกแล้ว อิ่นกวานหนุ่มที่รอดพ้นหายนะใหญ่กลับคืนมายังบ้านเกิดโดยที่ไม่ตายผู้นี้ ไม่เพียงแต่เหมาะสมกับกำแพงเมืองปราณกระบี่ ยังเหมาะสมกับนครจักรพรรดิขาวด้วย
กู้ช่านคลี่ยิ้มกว้างเอ่ยว่า “อาจารย์อาหญิง อย่าไปหาเรื่องเฉินผิงอันเชียวนะ ข้าพูดจริง”
ไม่อย่างนั้นเจ้าต้องแพ้ให้เฉินผิงอัน แล้วยังต้องตายด้วยน้ำมือข้ากู้ช่าน
หันเชี่ยวเซ่อพยักหน้ารับ “จะไปหาเรื่องเขาทำไม เขาคือเพื่อนของเจ้า ก็เท่ากับว่าเป็นเพื่อนของข้า เขารู้จักหรือไม่รู้จักข้าก็เป็นเรื่องของเขา”
นางเก็บกระจกประทินโฉมและขวดกระปุกทั้งหลายลงไป หันตัวกลับมา ถามว่า “กู้ช่าน ข้าแต่งหน้าเป็นอย่างไร?”
กู้ช่านเอ่ย “งามขึ้นมาสามส่วน”
หันเชี่ยวเซ่อยิ้มถาม “เมื่อเทียบกับฮูหยินภูเขาชิงเสินและเจ้าแห่งบุปผาพื้นที่มงคลล่ะ?”
กู้ช่านกล่าว “ในสายตาของข้า อาจารย์อาหญิงงามกว่า ในสายตาของคนใต้หล้า ก็น่าจะเป็นพวกนางที่น่ามองมากกว่า”
หันเชี่ยวเซ่อเอนตัวพิงกรอบประตู ยิ้มจนตาหยี
เพราะคำพูดประโยคนี้ของกู้ช่านมาจากใจจริง
ดังนั้นนางถึงได้มีความสุข
ไม่อย่างนั้นคำพูดหวานหู มีบุรุษคนใดบ้างที่พูดไม่เป็น ลองมาพูดให้นางฟังดูสิ? กล้าหยอกเย้าเกี้ยวพาหันเชี่ยวเซ่อแห่งนครจักรพรรดิขาวหรือ? อยากตายหรือไร ใช่ว่าหันเชี่ยวเซ่อจะไม่เคยฆ่าเซียนเหรินตายกับมือตัวเองเสียหน่อย
เจิ้งจวีจงยิ้มกล่าว “สะพานไม้แคบ การช่วงชิงบนมหามรรคา? ก็แค่ว่าใจคนคับแคบสู้จอกเหล้าไม่ได้ก็เท่านั้น เส้นทางยิ่งเดินควรต้องยิ่งกว้าง”
เจิ้งจวีจงเงยหน้ามองไปนอกประตู ใช้เสียงในใจยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อาจารย์เฉิน ยังมีอะไรที่อยากพูดกับกู้ช่านอีกหรือไม่?”
บนถนนนอกประตู เฉินผิงอันยิ้มตอบ “ไม่มีแล้ว การถ่ายทอดวิชาความรู้ของอาจารย์เจิ้งอยู่ในระดับสุดยอดแล้ว ผู้เยาว์เองก็เหมือนกับอวี๋เยว่ที่ไม่มีอะไรจะให้พูดแล้ว”
เจิ้งจวีจงลุกขึ้นยืน เอ่ยกับพวกฟู่จิ้นว่า “พวกเจ้ารออยู่ที่นี่กันไปก่อน”
ร่างของเจิ้งจวีจงพลันมาปรากฏตรงหน้าประตูเรือน ยิ้มถามเฉินผิงอันว่า “ไปที่ท่าเรือเวิ่นจินด้วยกันสักเที่ยวไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “รบกวนอาจารย์เจิ้งแล้ว”
วันนี้
เจิ้งจวีจงกับคนชุดเขียว สองคนเดินเคียงบ่ากัน ไปเที่ยวเยือนท่าเรือเวิ่นจินด้วยกัน
ได้กลายมาเป็นเรื่องที่สะท้านสะเทือนจิตใจผู้คนยิ่งกว่าขอบเขตบินทะยานสองคนเข่นฆ่ากันบนเกาะยวนยางเสียอีก
ดูเหมือนว่าเจิ้งจวีจงเจ้านครจักรพรรดิขาวจะเป็นฝ่ายปรากฎตัวที่นอกประตูใหญ่ ออกมาพบคนผู้นั้นด้วยตัวเอง?
หลังจากนั้นก็ยังคงเป็นคนชุดเขียวผู้นั้น
เขาหายตัวไปจากท่าเรือเวิ่นจิน มาปรากฏตัวบนภูเขาอ๋าวโถว สุดท้ายในมือหิ้วเจี่ยงหลงเซียงแห่งราชวงศ์เส้าหยวน ทะยานลมไปยังท่าเรือที่ตั้งของศาลบุ๋น โยนบัณฑิตที่ชื่อเสียงสูงส่ง อีกทั้งยังอายุมากแล้วไว้บนพื้นแห่งหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจ นั่นก็คือสถานที่ที่ปีนั้นเทวรูปของเหวินเซิ่งถูกทุบทำลายหลังจากถูกย้ายออกมาจากศาลบุ๋น เคยถูกบัณฑิตกลุ่มหนึ่งถ่มน้ำลายรด เสร็จแล้วยังทุบจนแหลกลาญซ้ำอีกที คนหนึ่งในนั้นก็คือเจี่ยงหลงเซียง เขาคือคนที่พูดจาเต็มไปด้วยเหตุผลชอบธรรมมากที่สุด ตอนนั้นยังเหมือนจะหยิบเอาหนังสือประกาศราชโองการระดมพลฉบับหนึ่งที่ใช้ถ้อยคำทรงพลังมีชีวิตชีวาออกมาฉบับหนึ่งด้วย
เฉินผิงอันผายมือข้างหนึ่งออกมา พูดกับบัณฑิตที่นอนอยู่บนพื้นว่า “ด่าอีกสิ”
——