กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 797.2 ไม่ไพศาล
ผู้ฝึกลมปราณสามคนพลิ้วกายลงบนพื้น ผู้ฝึกตนเฒ่าคนหนึ่งในนั้นกำลังจะเปิดปากพูด
เพียงแต่ได้ยินเซียนกระบี่ชุดเขียวที่ลงมือเล่นงานคนบนเกาะยวนยางอย่างผยองโอหัง มองเมินพวกเขาสามคนไปอย่างสิ้นเชิงยิ้มเอ่ยกับเจี่ยงหลงเซียงว่า “เลิกโวยวายได้แล้ว มีหลายคนมองมายังที่แห่งนี้ ง่ายที่จะเดินตามหลังหลี่ชิงจู๋ เดินทางมาเยือนศาลบุ๋นรอบหนึ่ง แค่ต้องเร่งเดินทางก็ลำบากมากพอแล้ว ถึงท้ายที่สุดไม่อาจช่วงชิงความสัมพันธ์ควันธูปบนภูเขาอะไรมาได้ กลับกลายเป็นว่าได้ฉายาที่โด่งดังมาแทน เบื้องหน้ามีหลี่กระดอนน้ำ เบื้องหลังมีเจี่ยงเทพทวารบาล ไม่อย่างนั้นเจ้าคิดว่าเท้านี้ของข้า แรงไม่หนักไม่เบากำลังดี แต่กลับดันเตะให้ฟันหน้าเจ้าหลุดมาสองซี่ได้เลยหรือ?”
ในบรรดาคนทั้งสามมีคนขมวดคิ้ว “เซียนกระบี่ท่านนี้ หากมีบุญคุณความแค้นบนภูเขา จะผิดหรือถูก ดำหรือขาว อยู่ในสถานที่สำคัญอย่างศาลบุ๋นนี้ก็แค่พูดกันให้ชัดเจน อย่าบีบคั้นกดดันคนอื่นเช่นนี้ได้หรือไม่? เป็นเซียนกระบี่บนภูเขาคนหนึ่ง รังแกผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางจะนับเป็นอะไรได้?”
แล้วก็มีผู้ฝึกยุทธเต็มตัวขอบเขตเดินทางไกลอีกคนหนึ่งที่พลิ้วกายลงพื้นเสียงดังตูม มายืนอยู่ระหว่างเซียนกระบี่ชุดเขียวกับเจี่ยงหลงเซียง
เฉินผิงอันยิ้มถาม “ปรมาจารย์ถงจิ่งแห่งราชวงศ์เส้าหยวน?”
ขอบเขตเดินทางไกลขั้นสูงสุด
สำนักฉงหลินแห่งอุตรกุรุทวีป ราชวงศ์เส้าหยวนแห่งแผ่นดินกลาง สกุลหลิวแห่งธวัลทวีป
ตอนที่เฉินผิงอันอยู่ในคฤหาสน์หลบร้อนล้วนสนใจพวกเขาอย่างมาก สนใจว่าสกุลหลิวหาเงินอย่างไร มีศาสตร์การต่อเงินต่อทรัพย์สินอย่างไร ถึงได้สามารถยกจวนหยวนโหรวแห่งหนึ่งในภูเขาห้อยหัวให้กับกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้โดยที่ไม่แม้แต่จะกะพริบตาสักครั้ง ส่วนอีกสองสถานที่กลับไม่ถือว่ามีความประทับใจที่ดีใดๆ แล้ว สำหรับเจี่ยงหลงเซียง อันที่จริงเฉินผิงอันรู้เรื่องของเขาไม่น้อย ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับเขาเลยจริงๆ บางเรื่องก็มาจากการคุยเล่นกับหลินจวินปี้ บางเรื่องก็มาจากรายงานขุนเขาสายน้ำที่กระจัดกระจายไม่สะดุดตา หนึ่งในนั้นก็มีบอกว่าสหายรักในยุทธภพของเจี่ยงหลงเซียงคือถงจิ่ง
บุรุษที่มีนามว่าถงจิ่งยิ้มเอ่ย “ทำไม เซียนกระบี่เคยได้ยินชื่อของข้ามาก่อน ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะถามกระบี่หรือให้ข้าถามหมัดเล่า?”
ถึงอย่างไรอยู่ที่นี่ก็ไม่มีทางมีคนตายได้
ออกหมัดไม่กี่ที โดนกระบี่แทงไม่กี่ที ช่วยเหลือผู้นำในวงการการประพันธ์อย่างเจี่ยงหลงเซียงเอาไว้ได้ การค้าครั้งนี้ไม่ขาดทุนเลยจริงๆ
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เจ้าถามหมัดก็แล้วกัน กลัวก็แต่ว่าเจ้าจะถามแล้วไม่ได้คำตอบ”
ปณิธานหมัดที่ท่วมท้นทั่วร่างของถงจิ่งพลันเอ่อล้นออกมา พลังอำนาจไต่ทะยานขึ้นสูง แยกขายกมือตั้งท่าหมัด ไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย หรือว่าจะต้องรอให้เซียนกระบี่ชุดเขียวถามกระบี่ก่อนเล่า? อีกอย่าง ก่อนหน้านี้ตอนที่ชมเรื่องสนุกอยู่บนภูเขาอ๋าวโถว เซียนกระบี่ชุดเขียวผู้นี้ก็ดูคล้ายว่าจะมีเส้นทางการฝึกตนที่ซับซ้อนยิ่ง เชี่ยวชาญวิชาหมัดอยู่เหมือนกัน?
ผลคือถงจิ่งปล่อยหมัดหนึ่งออกไป เขาขยับประชิดตัวได้แล้วจริงๆ แต่จากนั้นร่างก็หยุดนิ่ง ให้ตายอย่างไรก็ไม่อาจปล่อยหมัดที่สองออกไปได้
ทั้งสองฝ่ายอยู่ใกล้กันในระยะประชิด คนชุดเขียวเอาสองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ ยิ้มร่ายืนอยู่ที่เดิม ถงจิ่งเองก็ค้างอยู่ในท่าตั้งหมัด หมัดห่างจากอีกฝ่าย อย่างน้อยที่สุดก็อีกตั้งหนึ่งฉื่อเชียวนะ
ถงจิ่งไม่ขยับเหมือนขุนเขา สีหน้าไม่สะทกสะท้าน เพียงแต่ว่าแขนขาดไปแล้ว
ช่างเป็นพายุหมัดที่เผด็จการยิ่งนัก ราวกับมีเทพปกป้องอย่างไรอย่างนั้น
เป็นขอบเขตยอดเขาคนหนึ่งจริงๆ ด้วยหรือนี่?!
ผายลมน่ะสิ ต้องไม่ใช่แค่ขอบเขตยอดเขาแน่นอน กลับไปถึงภูเขาอ๋าวโถวจะต้องถกกับสหายดีๆ สักรอบแล้ว ผู้อาวุโสเบื้องหน้าท่านนี้ต้องเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางแน่ๆ
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ยเตือน “ถามหมัดสิ้นสุด กุมหมัดคารวะกลับคืน”
ถงจิ่งรู้สึกว่าผู้อาวุโสท่านนี้ช่างเข้าอกเข้าใจคนอื่นดีจริงๆ การกระทำแบบนี้ใช้ได้เลย
เพียงแค่ว่าผู้อาวุโสไม่ได้รวมเสียงให้กลายเป็นเส้น จึงเหมือนเป็นความบกพร่องท่ามกลางความสมบูรณ์แบบอยู่บ้าง
เก็บหมัดของยอดเขาสูงสุดจากการเรียนวรยุทธมาทั้งชีวิตที่ออกแรงเต็มกำลังนั้นมา แขนทั้งแขนอ่อนเหลว เพียงแต่ว่าสามารถใช้มืออีกข้างกุมไว้แน่นได้พอดี ถงจิ่งกุมสองมือเป็นหมัด เอ่ยเสียงทุ้มหนัก “ออมมือให้แล้ว ฝีมือสู้คนอื่นไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นผู้เยาว์ก็ไม่พูดมากเกินความจำเป็นแล้ว!”
เซียนกระบี่ท่านนั้นยิ้มตาหยี เบี่ยงศีรษะเล็กน้อย บอกเป็นนัยแก่ผู้ฝึกยุทธคนนี้ว่าสามารถจากไปได้แล้ว
ถงจิ่งก้าวยาวๆ จากไป
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองผู้ฝึกลมปราณสามคน “ถงจิ่งใช้เหตุผลจบแล้ว พวกเจ้าจะว่าอย่างไร? ถึงอย่างไรหลักการเหตุผลของวันนี้ก็อยู่ที่หมัดอยู่ที่กระบี่ อยู่ที่เวทคาถา อยู่ที่ยันต์ อยู่ที่วิชาอภินิหาร อยู่ที่ที่พึ่ง อยู่ที่สำนัก อยู่ที่บรรพจารย์ ล้วนตามแต่ใจพวกเจ้า ปากอธิบายเหตุผลยกให้เจี่ยงหลงเซียง ถามหมัดแสดงเหตุผลยกให้ถงจิ่ง ส่วนข้ออื่นๆ ที่เหลือก็เชิญพวกเจ้าเลือกได้ตามสบาย”
ผู้ฝึกลมปราณสามคนรู้สึกขำปนฉุน ทว่ากลับพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ สุดท้ายก็ยังเป็นเซียนกระบี่ชุดเขียวที่ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้าไม่ใช่คนที่ไร้เหตุผล”
คนทั้งสามมาที่นี่ในครั้งนี้ก็แค่มาปกป้องเจี่ยงหลงเซียง เพื่อรับรองว่าเขาจะไม่มีอันตรายถึงชีวิต จากนั้นก็พยายามให้เขาเจ็บเนื้อเจ็บตัวน้อยที่สุด
หากให้ต่อสู้ก็ย่อมสู้ไม่ไหวแน่นอน เพราะอีกฝ่ายสามารถผลัดกันรุกผลัดกันรับกับเซียนเหรินอวิ๋นเหมี่ยวได้
และยังมีขอบเขตบินทะยานที่เรียกตัวเองว่านักพรตเนิ่นนั่นอีก เล่นงานเสียจนหนันกวงจ้าวกลายเป็นตัวตลก แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นสหายรักบนภูเขาของเซียนกระบี่ชุดเขียว ไม่แน่ว่าอาจเป็นผู้อาวุโสในสำนักของคนผู้นี้ด้วย
ผู้ฝึกตนเฒ่าคนหนึ่งในนั้นพลันใช้สองมือคีบแสงสีทองเส้นหนึ่งที่พุ่งมาจากภูเขาอ๋าวโถว จดหมายลับฉบับนี้มาจากบรรพจารย์บ้านเขาเอง
สีหน้าของผู้ฝึกตนเฒ่าซีดขาวเล็กน้อย ก้มหัวกุมหมัดเอ่ยกับคนชุดเขียว “ล่วงเกินแล้ว พวกเราจะจากไปเดี๋ยวนี้!”
อีกสองคนที่เหลือยังมึนงงไม่เข้าใจ แต่กลับถูกผู้ฝึกตนเฒ่ายื่นมือออกมาคว้าพวกเขาคนละข้าง แรงที่จับนั้นเยอะมาก แล้วยังใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “เชื่อข้า รีบออกไปจากที่นี่!”
อันที่จริงในจดหมายลับ บรรพจารย์เอ่ยแค่สองประโยคเท่านั้น
เจิ้งจวีจงออกจากบ้านมาพบคนผู้นี้ ทั้งสองฝ่ายไปเยือนท่าเรือเวิ่นจินด้วยกัน
อยากรนหาที่ตายก็เรื่องของเจ้า แต่อย่าลากเอาสำนักไปเกี่ยวข้องด้วย
เฉินผิงอันไม่ได้ห้ามคนทั้งสามที่ทะยานลมจากไป มาอย่างรีบร้อน จากไปรีบร้อนยิ่งกว่า
เจี่ยงหลงเซียงอึ้งตะลึง สีหน้าทึ่มทื่อ ทิ้งตัวพิงกำแพง
เฉินผิงอันทรุดตัวลงนั่งยอง ยกชายแขนเสื้อขึ้น ในมือมีก้อนหินที่เก็บมาจากข้างทางเพิ่มมาหนึ่งกำมือ ครั้นจึงเอาหินขว้างใส่บัณฑิตเบาๆ ทีละก้อน
……
ด้านในศาลบุ๋นมีการประชุม ด้านนอกประตูใหญ่ก็ดื่มเหล้า ไม่เสียเวลาทั้งสองทาง
ลู่จือเอ่ย “หากคราวหน้ามีการประชุมแบบนี้อย่าได้ลากข้ามาด้วย”
ต่อให้อยู่ต่อหน้าจิงเซิงซีผิง ลู่จือก็ยังคงพูดจาอย่างตรงไปตรงมา
อาเหลียงกล่าว “ไม่เหมือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ ใจคนไม่รวมเป็นหนึ่ง ปิดประตูประชุมกันครั้งหนึ่ง มองดูเหมือนยิ่งพูดยิ่งยิบย่อย แต่อันที่จริงกลับยิ่งมีประโยชน์ เพราะรอกระทั่งประตูเปิดออกในท้ายที่สุด ทุกคนพากันจากไป ใต้ฝ่าเท้าของพวกเราก็มีทางแยกน้อยลงแล้ว”
จิงเซิงซีผิงยิ้มอย่างชอบใจ
อาเหลียงหัวเราะหน้าเป็น “ซีผิง คำพูดประโยคนี้ข้าพูดได้อย่างมีกลิ่นอายของอริยะปราชญ์มากเลยใช่หรือไม่?”
ซีผิงกล่าว “หากไม่มีประโยคสุดท้ายนี้ก็ค่อนข้างเหมือน มีประโยคนี้กลับเสียเรื่องแล้ว”
อาเหลียงมองข้ามประโยคหลังไปโดยอัตโนมัติ แกว่งกาเหล้าเบาๆ เอ่ยว่า “ลู่จือ วันหน้าเจ้าอยู่ที่นี่จะต้องได้รับการยอมรับอย่างมากแน่ๆ”
ลู่จือกล่าว “เพราะข้าออกกระบี่ไม่ใช้สมองงั้นรึ?”
อาเหลียงยิ้มเอ่ย “จะเป็นไปได้อย่างไร”
ลู่จือยืดขาสองข้างออกมา แหงนหน้าดื่มเหล้า
อาเหลียงเองก็พยายามจะยืดขาสองข้างเช่นกัน ผลคือสังเกตเห็นว่าตัวเองเหยียบขั้นบันไดได้น้อยกว่าพี่หญิงลู่จือหนึ่งขั้น จึงรีบหดขากลับไปอย่างขุ่นเคือง เปลี่ยนมาเป็นนั่งขัดสมาธิแทน
นั่งอยู่ทำให้ดูไม่ออกว่าตัวเตี้ย แต่พอยืดขาออกไปแล้วถึงได้รู้ว่าขาสั้นเกินไป ช่างน่าเศร้าใจนัก
แต่ไหนแต่ไรมาลู่จือก็ดื่มเหล้าอย่างห้าวหาญอยู่แล้ว เพียงไม่นานก็ดื่มเหล้าหมดหนึ่งกา วางกาเหล้าไว้ด้านข้าง แน่นอนว่าต้องว่างให้ห่างจากฝั่งของอาเหลียงมากหน่อย หากถูกเขาขอกาเหล้าที่ว่างเปล่าไป สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าไอ้หมอนี่จะทำเรื่องอะไรออกมาได้บ้าง
ลู่จือถามชวนคุยว่า “อาเหลียง ทำไมเจ้าไม่ไปเป็นบัณฑิตดีๆ หรือจะเป็นเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาก็คงไม่ใช่เรื่องยาก”
อาเหลียงส่ายหน้า “ต่อให้ได้เป็นก็เป็นได้ไม่ดี ฝึกกระบี่ เหมาเสี่ยวตงร้อยคนก็สู้อาเหลียงไม่ได้ เรื่องอย่างการสอนหนังสือนี้ อาเหลียงสิบคนก็ยังสู้เหมาเสี่ยวตงไม่ได้”
เป็นบัณฑิตที่มีท่าทางเอาจริงเอาจัง ชีวิตนี้ก็อย่าหวังว่าจะได้อยู่อย่างสงบอีกเลย ตัวอยู่ในสำนักศึกษา ไม่ว่าจะเป็นเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาหรือรองผู้อำนวยการสถานศึกษา หรือเป็นวิญญูชนนักปราชญ์ที่มีเพียงยศไม่มีตำแหน่งเจ้าขุนเขา ก็จะเหมือนว่าชีวิตนี้เขาอาเหลียงไม่เคยเดินออกมาจากจวนอริยะมาก่อน เรื่องของการศึกษาหาความรู้มีแต่สูงไม่ได้ ต่ำไม่สำเร็จ ไม่มีทางได้ดิบได้ดีอะไร บุรุษที่ดูเหมือนว่ายามที่เดือดดาลก็เดือดดาลไม่ได้ ยามที่เบิกบานใจก็เบิกบานใจไม่ได้ผู้นั้น คงจะต้องผิดหวังไปตลอดชีวิตอย่างแน่นอน
อาเหลียงไม่ยินดีให้ตัวเองเป็นเพียงแค่ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อคนหนึ่งที่เป็นทายาทของจวนสี่อริยะใหญ่ สถานะโดดเด่น ทว่าความรู้ความสามารถกลับธรรมดา ถึงขั้นที่ว่าไม่ได้สร้างประโยชน์ใดๆ ให้กับโลกใบนี้
แต่หากเป็นมือกระบี่ที่มีอิสระเสรี เดินทางท่องไปทั่วสารทิศ คนผู้นั้นที่มีภาพแขวนมีเทวรูปอยู่ในศาลบุ๋นก็คงไม่สามารถมาสั่งสอนเขาทุกวันได้กระมัง สอนให้เขาฝึกกระบี่หรือ? ฝันไปเถอะ
อย่างมากสุดก็แค่วางท่าเป็นบิดา โน้มน้าวเขาว่าทุกครั้งที่ออกกระบี่พยายามเคารพกฎเกณฑ์ให้มาก อย่าได้ทำร้ายคนบริสุทธิ์ให้เดือดร้อน ยิ่งไม่ควรทำร้ายจิตใจของคนบนโลกเพียงเพราะการออกกระบี่ของเจ้า…พูดไปพูดมาก็มีอยู่แค่ไม่กี่ประโยคนั้น ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้นแล้ว
เพราะถึงอย่างไรเรื่องของการฝึกกระบี่ แม้แต่เฉินชิงตูก็ยังไม่บ่นเขาพร่ำเพื่อ ถ้าอย่างนั้นในใต้หล้ามากมายจึงไม่มีใครมีคุณสมบัติที่จะมาชี้ไม้ชี้มือใส่กระบี่ของเขาอาเหลียง
ใต้หล้านี้มีเหล้าหมักมีสาวงามมากมายขนาดนั้นที่ต่างก็รอให้เขาอาเหลียงไปดื่ม ไปพบเจอ แล้วจะปล่อยให้ทั้งสองฝ่ายรอนานได้อย่างไร?
อาเหลียงหันหน้ามาพูดด้วยสีหน้าที่จริงจัง “ลู่จือ วันหน้าพวกเราทั้งหลายกลับคืนไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่ด้วยกัน เจ้าอดทนสักหน่อย อย่าเรียกกระบี่บินเล่มนั้นออกมาง่ายๆ”
ก่อนหน้านี้จั่วโย่วพูดโดยเหลือพื้นที่ว่างเอาไว้ ไม่ได้ตอบรับลู่จือว่าจะไปถามกระบี่กับภูเขาทัวเยว่โดยตรง อันที่จริงก็เพราะมีเหตุผล
นี่เป็นความลับเรื่องหนึ่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่แม้แต่คฤหาสน์หลบร้อนก็ยังไม่มีบันทึกเอาไว้ เพราะว่าเกี่ยวพันไปถึงกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มที่สองของลู่จือ
มีเพียงพวกเซียนกระบี่บนยอดเขาสูงสุดที่เข้าร่วมการประชุมบนหัวกำแพงเมืองได้เท่านั้นที่ถึงจะมีโอกาสรับรู้เรื่องนี้
กำแพงเมืองปราณกระบี่มีผู้ฝึกกระบี่กลุ่มน้อยอยู่กลุ่มหนึ่งที่ค่อนข้างจะเดินไปบนเส้นทางอันตราย
การที่ลู่จือไม่ได้เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตบินทะยานเสียที นอกจากอายุของนางยังไม่มากแล้ว ยังมีเหตุผลที่เป็นรากฐานที่สุดอีกข้อหนึ่ง ลู่จือสิ้นเปลืองความคิดจิตใจและเวลา รวมถึงเงินเทพเซียนกับกระบี่บินเล่มที่สองมากเกินไป
กระบี่บินมีชื่อว่า ‘เป่ยโต่ว’
ทั้งเป็น ‘เหล่าราชาสวรรค์แห่งอวี้จิงมารวมตัวกันที่ดาวเป่ยโต่ว’ แล้วก็เป็น ‘เป่ยโต่วส่องแสงเยือกเย็น หนึ่งกระบี่ยกกวาดแปดทิศ’ และยิ่งเป็น ‘หนันโต่วคุมเกิด เป่ยโต่วกำหนดตาย’
ทว่ากระบี่บินเล่มนี้กลับไม่เคยปรากฏตัวบนสนามรบมาก่อน
อาเหลียงรู้ว่าแม้แต่คนที่ไม่ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นอย่างเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสก็ยังเคยเรียกเฉพาะลู่จือมาที่หัวกำแพงเมือง ถามนางว่าน้ำเข้าสมองนางหรืออย่างไร เพื่อหลอมกระบี่ผุๆ เล่มหนึ่งกลับถ่วงรั้งการฝ่าทะลุขอบเขตเลื่อนเป็นบินทะยานของตัวเอง คุ้มค่าแล้วหรือ? เรื่องใหญ่เท่าก้นก็เลยใช้ก้นคิดหรืออย่างไร?
เพราะตอนนั้นอาเหลียงนั่งยองชมเรื่องสนุก ชมทัศนียภาพอยู่ด้านข้าง ประโยคสุดท้ายที่มีความรู้สูงที่สุดของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสยังหยิบยกตัวอย่างมาจากเขาด้วย
ผลคือลู่จือตอบกลับมาว่า ฆ่าปีศาจกี่มากน้อย คุณความชอบทางการสู้รบเล็กหรือใหญ่ เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเชิญกะเกณฑ์ได้ตามสบาย มีเพียงเรื่องที่ว่าจะฝึกกระบี่อย่างไรที่จะมากะเกณฑ์บังคับนางไม่ได้
ใต้หล้านี้ไม่มีเรื่องใดที่สมบูรณ์พร้อมไปทุกด้าน
ก็เหมือนอย่างจั่วโย่ว หากคิดจะให้เวทกระบี่สูงกว่าเดิม เดินไปถึงจุดที่สูงที่สุดของวิถีแห่งกระบี่ได้ ก็ได้แต่ชะลอเรื่องการฝ่าทะลุขอบเขตออกไป
ส่วนลู่จือเพื่อแสวงหาพลังพิฆาตที่สูงที่สุดของกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนี้ ก็เป็นเช่นเดียวกัน ได้แต่เลือกและสละบางอย่าง
ลู่จือยื่นมือออกไปขอเหล้าอีกกามาจากอาเหลียง กระดกดื่มอึกใหญ่ ใช้หลังมือเช็ดริมฝีปาก เอ่ยเสียงเบาว่า “หากการต่อสู้ครั้งนั้นช้าไปร้อยปีค่อยเกิดสงครามคงก็ดีน่ะสิ”
อาเหลียงยิ้มพลางส่ายหน้า เอ่ยสัพยอกว่า “เปลี่ยนข้ามาเป็นเฉินผิงอัน ไหนเลยจะตัดใจยกพี่หญิงลู่ให้กับฉีถิงจี้และสำนักกระบี่หลงเซี่ยงได้ลง ต่อให้ต้องทำหน้าหนาก็ต้องเชิญเจ้าไปเป็นผู้ถวายงานให้จงได้”
ลู่จือกล่าว “ดังนั้นเจ้าถึงไม่ได้เป็นอิ่นกวาน”
อาเหลียงพยักหน้า “ข้อนี้ข้ายอมรับ”
ลู่จือถาม “ซีผิง ทางฝั่งของเกาะยวนยางแยกย้ายกันแล้วหรือ?”
จิงเซิงซีผิงพยักหน้ารับ “เฉินผิงอันคิดว่าจะไปเดินเล่นที่ร้านผ้าห่อบุญบนเกาะนกแก้วกับสหาย”
ส่วนเฉินผิงอันอีกคนนั้นได้ไปหาเจิ้งจวีจงที่อำเภอพ่านสุ่ยแล้ว ทั้งสองฝ่ายไปที่ท่าเรือเวิ่นจินด้วยกัน เรื่องนี้ไม่ต้องให้เขาพูดแล้ว เพราะอีกไม่นานทุกคนก็จะได้ยินเรื่องนี้
ลู่จือยิ้มกล่าว “ฟื้นคืนกิจการเดิมอีกครั้ง อาชีพเก่าของเขาแล้ว”
——