กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 800.2 ขึ้นที่สูงมองไปไกล
กลับไปที่หน้าประตูของศาลบุ๋น จั่วโย่วนั่งลงบนขั้นบันได หลินจวินปี้ยังนอนหลับกรนครอกๆ เทียนซือน้อยจ้าวเหยากวงคอยคุ้มกันอยู่ด้านข้าง
จ้าวเหยากวงลังเลอยู่นาน แต่ก็ยังปลุกความกล้าเอ่ยว่า “อาจารย์จั่ว ผู้เยาว์จ้าวเหยากวงมีเรื่องหนึ่งอยากจะขอร้อง”
จั่วโย่วเอ่ย “ข้าไม่มีทางรับปาก ไม่ต้องพูดแล้ว”
จ้าวเหยากวงอัดอั้นอยู่นาน สุดท้ายก็ได้แต่เอ่ยอย่างว่าง่าย “ก็ได้ ผู้เยาว์ทราบแล้ว”
ในอนาคตกลับไปยังจวนเทียนซือ ก็ถือว่ามีคำอธิบายต่อผู้อาวุโสในตระกูลท่านนั้นแล้ว ไม่ใช่ว่าตนไม่สนใจจริงๆ แต่เป็นเพราะเซียนกระบี่จั่วไม่ให้โอกาสตนได้เปิดปากเชื้อเชิญเลย
จั่วโย่ววางกระบี่พาดไว้บนหัวเข่า เริ่มหลับตาทำสมาธิ
หวนนึกถึงอดีตอันห่างไกล ตอนที่ฝึกกระบี่อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ เฉินชิงตูเคยพูดหลักการข้อหนึ่งกับจั่วโย่วเป็นการส่วนตัว
หากเจ้าไม่อาจรับประกันได้ว่าภายในสิบกระบี่จะสามารถฟันให้ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งตายได้อย่างสิ้นเชิงก็เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตสิบสี่เสียแล้ว จะมีความหมายหรือ? ไม่มีความหมายหรอก
สุดท้ายเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสท่านนั้นก็ตบไหล่จั่วโย่ว แล้วทิ้งไว้อีกประโยคว่า อายุไม่น้อยแล้ว เวทกระบี่ไม่สูงมากพอ ข้าล่ะร้อนใจแทนเจ้าจริงๆ
ตรงหน้าประตู จิงเซิงซีผิงใช้เสียงในใจยิ้มเอ่ย “การออกกระบี่สองครั้งของอาจารย์จั่วเบากว่าที่คาดไว้หลายส่วน”
จั่วโย่วตอบกลับ “ขอแค่ทางฝั่งของศาลบุ๋นมีคำยืนยันที่แน่ชัด ข้าสามารถออกกระบี่ให้หนักกว่านี้ได้”
จิงเซิงซีผิงส่ายหน้า ไร้คำพูดตอบโต้
ทางฝั่งของเกาะนกแก้ว นักพรตเนิ่นเอ่ยประโยคที่เป็นธรรมว่า “เมื่อเทียบกับหนันกวงจ้าวแล้ว เจ้าคนที่มีฉายาว่าชิงมี่ผู้นี้แข็งแกร่งกว่าจริงๆ แต่หนังหน้ากลับหนายิ่งกว่า ถึงขนาดยินดียืนนิ่งไม่ขยับปล่อยให้ถูกตีนหมาตะกุยภายใต้สายตาของคนมากมาย”
ถึงอย่างไรอาเหลียงก็ไม่อยู่ จะด่าอย่างไรก็ได้ ไม่ด่าก็เสียโอกาสเปล่าๆ น่ะสิ
หลิ่วชื่อเฉิงยิ้มกล่าว “อันที่จริงเฝิงเซวี่ยเทาไม่ได้มีความสามารถน้อยนิดแค่นี้ เขายังเก็บซ่อนฝีมือเอาไว้อีกมาก ก็ผู้ฝึกตนอิสระนี่นะ ล้วนเป็นอย่างนี้กันทั้งนั้น แน่นอนว่าหลักๆ แล้วยังเป็นเพราะเฝิงเซวี่ยเทาไม่กล้าขยับ”
หาเรื่องจั่วโย่วที่ต้องได้เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตสิบสี่อย่างแน่นอนไปแล้ว หากยังมีเรื่องกับอาเหลียงที่เคยชื่นชมทัศนียภาพของขอบเขตสิบสี่มาก่อนแล้วอีกคน ใต้หล้าไพศาลไม่มีใครกล้าไม่กลัวตายแบบนี้จริงๆ
เฉินผิงอันกล่าว “ผู้ฝึกตนใหญ่ชิงมี่เหมาะกับการเข่นฆ่าบนสนามรบมากกว่า”
นักพรตเนิ่นฟังเป็นลมพัดผ่านข้างหู ความสามารถในการต่อสู้สู้ตนไม่ได้ ล้วนไม่มีค่าพอให้เก็บเอามาใส่ใจ
แต่หลิ่วชื่อเฉิงกลับฟังความนัยในคำพูดของเฉินผิงอันออก ปีนั้นเฝิงเซวี่ยเทาเหมาะจะลงจากภูเขามากกว่าหนันกวงจ้าว
นักพรตเนิ่นมอบแผ่นหยกที่ส่องประกายแสงใสแวววาวแผ่นหนึ่งให้กับเฉินผิงอัน
ด้านบนแกะสลักเวทลับสำคัญมากมายในการหลอมชุดคลุมอาคมของนครจินชุ่ยเอาไว้ เขียนด้วยตัวอักษรแบบบรรจงขนาดเล็กเท่าหัวแมลงวัน เรียงต่อกันมากถึงเจ็ดแปดพันกว่าตัวอักษร
นักพรตเนิ่นยิ้มเอ่ย “ตกลงกันไว้ก่อนว่าส่วนแบ่งหนึ่งส่วน”
เฉินผิงอันไม่ได้ถือสาในการเล่นแง่น้อยนิดแค่นี้ของเถาถิง ใช้ดวงจิตอ่านตัวอักษรทั้งหมดอย่างรวดเร็วไปรอบหนึ่ง ในใจเกิดความมั่นใจ หากอิงตามบันทึกลับส่วนนี้ก็สามารถช่วยยกระดับให้กับชุคคลุมอาคมของจวนไฉ่เชวี่ยได้จริงๆ
อย่าว่าแต่ส่วนแบ่งหนึ่งส่วนเลย สองส่วนก็ยังไม่เกินไป
เฉินผิงอันกล่าว “ทุกๆ หกสิบปีภูเขาลั่วพั่วจะจ่ายเงินให้โดยคิดตามบัญชี นอกจากเงินเทพเซียนก้อนนั้นยังเพิ่มสมุดบัญชีไปให้อีกหนึ่งเล่ม”
จะมอบเงินให้ทุกๆ หกสิบปีหรือสิบปีสามสิบปีคิดบัญชีกันครั้งหนึ่ง อันที่จริงความต่างมีไม่น้อย
นักพรตเนิ่นขมวดคิ้ว “น่ารำคาญนัก ยังต้องมาตรวจสอบบัญชี เห็นข้าเป็นนักบัญชีที่ดีดลูกคิดเป็นอย่างนั้นหรือ? เป็นเพราะเจ้าไม่เชื่อข้า หรือรู้สึกว่าข้าจะไม่เชื่อใจเจ้ากันแน่? หากไม่เชื่อใจเจ้าจะทำการค้าด้วยกับผายลมอะไร หากเจ้าไม่เชื่อใจข้า วันหน้าเจ้าก็เดินไปบนสะพานไม้คับแคบของเจ้า ข้าเดินไปบนเส้นทางกว้างใหญ่ของข้า”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เป็นสหายมีกฎของการเป็นสหาย ทำการค้าก็ย่อมมีกฎของการทำการค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งร่วมมือกับสหายทำการค้าที่จะปล่อยให้คลุมเครือไม่ได้แม้แต่น้อย ผู้อาวุโสจะไม่เปิดสมุดบัญชีตรวจสอบอย่างละเอียดก็ได้ แต่ภูเขาลั่วพั่วกลับไม่อาจไม่มอบสมุดบัญชีให้ หากรู้สึกว่านี่ทำให้เสียความรู้สึกก็หมายความว่าไม่เหมาะจะหาเงินร่วมกัน”
นักพรตเนิ่นเอ่ยอย่างหมดความอดทน “ตามใจเจ้า”
คนทั้งกลุ่มไปที่ร้านผ้าห่อบุญด้วยกัน ที่นั่นคือพื้นที่ลับขุนเขาสายน้ำที่ฟ้าดินแปลกตา คล้ายคลึงกับร้านเหล้าหวงเหลียงของภูเขาห้อยหัว
ตลอดทางที่เดินไป ผู้คนที่เดินผ่านล้วนหันมามองแล้วพากันหลีกทางให้
เซียนกระบี่ชุดเขียวคนหนึ่งที่ไร้เหตุผล อีกคนหนึ่งก็นักพรตเนิ่นแห่งไพศาลที่เกือบจะฆ่าหนันกวงจ้าวตาย บวกกับหลิ่วเต้าฉุนแห่งนครจักรพรรดิขาวที่มีชื่อเสียงมานานมากแล้ว พูดถึงแค่สามคนนี้เดินทางมาร่วมกันก็ทำให้มีพลังอำนาจอันเป็นเอกลักษณ์ที่ ‘ขอร้องพวกเจ้าอย่ามาหาเรื่องข้า’ แล้ว
เฉินผิงอันรู้สึกมาโดยตลอดว่าตนเป็นร้านผ้าห่อบุญได้ไม่เลว รอกระทั่งวันนี้เดินเข้ามาในพื้นที่ลับแห่งนี้ถึงเพิ่งรู้ว่าอะไรที่เรียกว่าทรัพย์สมบัติที่แท้จริง อะไรที่เรียกว่าตบะ
รู้สึกละอายใจที่สู้ไม่ได้อยู่บ้าง
อันที่จริงทางฝั่งของภูเขาหนิวเจี่ยวบ้านตน ทั้งท่าเรือและร้านค้าทั้งหลายก็คือฝีมือของร้านผ้าห่อบุญที่ ‘คนรุ่นก่อนปลูกต้นไม้คนรุ่นหลังอาศัยร่มเงา’ ทำให้ภูเขาพีอวิ๋นและภูเขาลั่วพั่วได้ผลประโยชน์ใหญ่เทียมฟ้าไปครอง
ร้านผ้าห่อบุญเป็นของพรรคซงซ่าน ได้ยินมาว่าไม่มีทำเนียบหยกทองตามระเบียบดั้งเดิมอะไรทั้งนั้น แล้วก็ไม่มีภูเขาและศาลบรรพจารย์ บรรพจารย์บุกเบิกภูเขาก็ไม่อยู่เป็นที่เป็นทาง ผู้ฝึกตนในพรรคเดินไปที่ไหนก็ทำการค้าที่นั่น ส่วนผู้ฝึกลมปราณจะเข้ามาในร้านผ้าห่อบุญอย่างไร กฎระเบียบของพรรคมีอะไรบ้าง ล้วนเป็นปริศนาทั้งหมด
รู้เพียงว่าทุกครั้งที่บรรพจารย์ของร้านผ้าห่อบุญปรากฏตัวทำการค้าด้วยตัวเองก็จะต้องเอา ‘ร้านเหอชี่’ ที่พกติดตัวอยู่ตลอดเวลาออกมาเปิดประตูต้อนรับแขก มีห้องทั้งหมดเก้าสิบเก้าห้อง ทุกห้องล้วนขายของเพียงแค่อย่างเดียว มีบ้างที่มีข้อยกเว้น
พวกเฉินผิงอันทยอยกันเดินผ่านห้องต่างๆ เดินเข้าไปข้างในแทบทุกห้อง มองดูว่าผ้าห่อบุญเหล่านั้นขายอะไร
มีที่วางพู่กันที่มาจากจวนเซียนหลินหลาง แกะสลักเป็นรูปภาพม้าวิ่งของตระกูลเซียนภาพหนึ่ง มียี่สิบสี่ช่วงฤดูกาล แต่ละฤดูกาลมีหนึ่งภาพ เรียงเป็นลำดับทีละภาพ เงินร้อนน้อยที่มีตัวอักษรแกะสลักไว้น้อยมาก ถ้วยใหญ่ห้าสีที่เป็นภาพห้าธัญพืชอุดมสมบูรณ์ รูปปั้นหินส่วนศีรษะของมัลละ เงินปากว้าซานกุ่ยเหลยกง กระดานไม้แผ่นใหญ่ที่แปะภาพเทพทวารลงสี สมุดภาพขุนเขาสายน้ำของพื้นที่มงคลชิงลวี่ กระปุกเล็กบนภูเขาใบหนึ่งที่มีชื่อว่ากระปุกลงภูเขา มองดูแล้วไม่สะดุดตา แต่กลับเป็นสมบัติหนักบนภูเขาที่ใช้สยบกำราบภูตผี และยังมีถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลที่ปริแตกอีกหลายแห่ง ขอแค่มีเงินมากพอก็ล้วนสามารถซื้อกลับไปได้
หากเป็นของที่ขายได้แล้ว สาวงามยันต์ในห้องก็จะแขวนแผ่นไม้เล็กๆ แผ่นหนึ่งไว้นอกประตู ด้านบนเขียนตัวอักษรสี่ตัว ‘ผูกบุญสัมพันธ์แล้ว’
บอกตามตรง หากไม่เป็นเพราะบรรพจารย์ของร้านผ้าห่อบุญได้ตรวจดูสมบัติพวกนี้กับตาตัวเองมาก่อน ไม่มีโอกาสที่จะได้เก็บตกของดีใดๆ หลงเหลืออยู่ เฉินผิงอันก็อยากจะกว้านซื้อไปให้เกลี้ยง
พูดถึงแค่พัดไม้ไผ่หยกที่เห็นในห้องเล่มนั้น ด้านหน้าพัดเขียนเทียบขอฝนของซูจื่อ ด้านหนึ่งเขียนเป็น ‘กลอนมังกรจำศีล’ ที่เขียนด้วยตัวอักษรแบบหวัด ช่วงท้ายเขียนว่าช่วงฤดูกาลเมล็ดพันธ์พืชสุก ลมฝนพัดกระหน่ำสายฟ้าแลบปลาบ ปิดห้องเขียนบทกวีนี้ ลงท้ายหลิ่วโจวแห่งภูเขาเจ๋อเซียน เฉินผิงอันเกือบจะขอยืมเงินหลิ่วชื่อเฉิงซื้อของสิ่งนี้มาแล้ว เพียงแต่ว่าพอเห็นราคาก็ช่างทำให้คนได้แต่ถอยร่นจริงๆ สมบัติทุกชิ้นในร้านผ้าห่อบุญแห่งนี้ล้วนเป็นการเปิดประตูใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย น่าเสียดายที่ราคาทำให้คนได้แต่เจ็บใจที่หาเงินได้ยากเกินไป กระเป๋าเงินของตัวเองฟีบแบนเกินไป
เฉินผิงอันไม่ได้รีบร้อนเดินไปไหน
สาวงามยันต์ในห้องที่มีรูปโฉมงามพิสุทธิ์คล้ายจะได้รับคำสั่งจากบรรพจารย์ร้านผ้าห่อบุญอย่างลับๆ นางพลันยอบกายคารวะเซียนกระบี่ชุดเขียวท่านนี้ คลี่ยิ้มอ่อนหวาน พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “หากเซียนกระบี่ถูกใจของชิ้นนี้สามารถเชื่อเงินไว้แล้วนำพัดเล่มนี้กลับไปก่อนได้ วันหน้าไม่ว่าเจอกับร้านผ้าห่อบุญร้านใดในใต้หล้าไพศาลก็สามารถใช้คืนได้ทุกเวลา เรื่องนี้ไม่ได้แหกกฎเพื่อเซียนกระบี่โดยเฉพาะ แต่นี่เป็นกฎที่ร้านผ้าห่อบุญของพวกเรามีอยู่ก่อนแล้ว ดังนั้นเซียนกระบี่ไม่จำเป็นต้องคิดมาก”
ความพิเศษที่ใหญ่ที่สุดของร้านผ้าห่อบุญก็คือผู้ซื้อสามารถเชื่อเงินไว้ก่อนได้ ไม่ว่าจะเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลหรือผู้ฝึกตนอิสระแห่งป่าเขา ผู้ฝึกตนที่ในกระเป๋าฟีบแบน ล้วนมีโอกาสทำสัญญาฉบับหนึ่งกับร้านผ้าห่อบุญ จากนั้นก็สามารถนำของไปได้ เมื่อเทียบกับการซื้อบ้านของล่างภูเขาแล้วยังเรียบง่ายยิ่งกว่า อีกทั้งเอกสารสัญญานี้จะไม่มีพันธนาการใดๆ ซึ่งก็หมายความว่าหากคืนเงินไม่ได้ ทางร้านผ้าห่อบุญก็ต้องยอมรับความโชคร้าย จะไม่มีทางไปทวงหนี้เด็ดขาด
ดังนั้นในประวัติศาสตร์ของใต้หล้าไพศาลทุกเวลาร้อยปีหรือแม้กระทั่งพันปีจึงมักจะมีผู้ฝึกตนปรากฎตัวเอาเงินเทพเซียนที่ติดค้างในอดีตมาคืนให้กับร้านผ้าห่อบุญอยู่เสมอ
แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถทำเช่นนี้ได้ ผู้ฝึกตนเองก็ต้องดูด้วยว่าสามารถเข้าตาร้านผ้าห่อบุญได้หรือไม่
สำหรับเรื่องนี้เฉินผิงอันมีการคาดเดาบางอย่าง เกินครึ่งทางร้านผ้าห่อบุญน่าจะมีการสมบัติลับที่สามารถตรวจสอบโชควาสนาทางการเงินของพวกเขาได้ ไม่อย่างนั้นใต้หล้านี้จะมีเส้นทางการทำการค้าเช่นนี้ได้อย่างไร
เฉินผิงอันเอ่ยขอบคุณสาวงามยันต์คนนั้นก่อน จากนั้นจึงถามว่า “ไม่ว่าถูกใจของชิ้นไหน ข้าก็สามารถเชื่อเงินกับพวกเจ้าไว้ก่อนได้หรือ?”
สาวงามยันต์พยักหน้ายิ้มรับ “ได้ทุกชิ้น ทางฝั่งร้านผ้าห่อบุญของพวกเรามีแค่เงื่อนไขเดียว ในห้องทั้งเก้าสิบเก้าห้องนี้ หลังจากไล่เดินไปทีละห้องแล้ว เซียนกระบี่ไม่อาจย้อนกลับมาได้”
เฉินผิงอันมองหลี่ไหว หลี่ไหวพยักหน้า เอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ไปดูที่อื่นกันต่อ”
ถัวเหยียนฮูหยินใช้เสียงในใจเอ่ย “ใต้เท้าอิ่นกวาน อันที่จริงข้าพอมีเงินเก็บอยู่บ้าง คิดจะซื้อพัดเล่มนี้ก็ยังพอ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่ต้องหรอก”
อันที่จริงเฉินผิงอันต้องการติดค้างน้ำใจกับร้านผ้าห่อบุญ
มีเพียงทำเช่นนี้ถึงจะมีการไปมาหาสู่กัน
สุดท้ายพวกเขาเดินผ่านห้องทั้งหมดไปสามสิบกว่าห้อง ทำเอาหลี่ไหวมองจนตาล้า ถึงจะตัดสินใจได้ เขาถูกใจวัตถุที่ค่อนข้างประหลาดชิ้นหนึ่ง คือก้อนหินที่มีขนาดเท่ากำปั้น แกะสลักสองคำว่า ‘เซียนภูเขา’ มีต้นหลิ่วเล็กจิ๋วต้นหนึ่งพันล้อมอยู่ คล้ายกับสวนในกระถาง ใต้ต้นไม้มีภูตต้นไม้ขอบเขตชมมหาสมุทรยืนอยู่ ลักษณะเป็นผู้เฒ่าผมขาวโพลน บอกว่าตัวเองคือเซียนจวินเฒ่าที่มาจากหนันเฉิง พอเห็นแขกที่เข้ามาในห้อง ฝ่ายหลังเริ่มหวั่นไหว มีความคิดที่จะซื้อเอาไว้ ผู้เฒ่าก็จะเริ่มด่ากราดทันที กระโดดพ่นน้ำลายใส่พวกผู้ฝึกลมปราณเหล่านั้น บอกว่าพวกเจ้ามันไร้ตา คู่ควรให้เชิญท่านปู่ไปพักที่บ้านด้วยหรือ ดูความสามารถของพวกเจ้าเข้าสิ ทำไมไม่บินขึ้นฟ้าตอนกลางวันไปเลยเล่า…
ราคาที่ร้านผ้าห่อบุญตั้งไว้แค่สิบเหรียญเงินฝนธัญพืชเท่านั้น ส่วนรายละเอียดอย่างเรื่องขอบเขตของภูตต้นหลิ่ว วัสดุของหินภูเขา ฯลฯ สาวงามยันต์ที่อยู่ในห้องล้วนบอกเล่าให้ลูกค้าฟังอย่างไม่มีตกหล่น
แต่ว่าสิ่งที่พื้นที่ลับขุนเขาสายน้ำแห่งนี้ขายก็ไม่มีทางเป็นของล้ำค่าที่มีมูลค่าควรเมืองไปเสียทั้งหมด เพราะแม้แต่ของกระจุกกระจิกหายากที่ราคาไม่กี่สิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะก็มีเหมือนกัน ห้องที่ธรณีประตูสูงจะไม่เคยได้แขวนป้ายไม้แผ่นนั้น ห้องที่ธรณีประตูต่ำไม่ว่าใครก็ล้วนซื้อได้ ลูกค้าใครที่มาก่อนย่อมได้ไปก่อน
รอกระทั่งหลี่ไหวตาใหญ่จ้องตาเล็กกับมัน คาดว่าการด่านั้นต้องใช้แรงมาก จึงเริ่มจะคอแห้งแล้ว ภูตต้นหลิ่วเฒ่าจึงเอนหลังพิงผนังหิน ปลดน้ำเต้าบรรจุเหล้าที่อยู่ตรงเอวลงมาดื่มอักๆๆ ดื่มสุราไปอึกใหญ่
แค่สิบเหรียญเงินฝนธัญพืช อันที่จริงเฉินผิงอันสามารถซื้อเองได้เลย เพียงแต่ว่าเขาลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็ยังทำสัญญากับสาวงามยันต์ ถือว่าทำสัญญาหนี้ที่มีมูลค่าแค่สิบเหรียญเงินฝนธัญพืชไปหนึ่งแผ่น
หลังจากนั้นเฉินผิงอันที่เก็บตรงโน้นมาผสมตรงนี้ก็ขอยืมเงินฝนธัญพืชจากทั้งหลิ่วชื่อเฉิงและถัวเหยียนฮูหยิน ทยอยซื้อของหลายชิ้นที่หลี่ไหวรู้สึกว่าถูกชะตาด้วย เจดีย์สยบปีศาจที่ราคาไม่ธรรมดาชิ้นหนึ่ง ตุ้มหูน้ำเต้าสีทองลูกเล็กที่กลิ่นอายความเป็นสตรีค่อนข้างเข้มข้น และยังมีภาพเซียนน้ำท่องราตรีที่วาดกองทัพกุ้งแม่ทัพปูไว้จนเต็ม ระหว่างนั้นได้เจอกับผู้ฝึกตนหญิงบนภูเขากลุ่มหนึ่ง ในกลุ่มมีสตรีออกเรือนแล้วลักษณะสุภาพเยือกเย็นที่เหมาชุดกระโปรงซึ่งเป็นชุดคลุมอาคมหลายสิบตัวที่มีอยู่เต็มห้องไปโดยไม่แม้แต่จะกะพริบตาสักครั้ง พอไปถึงห้องถัดไป จอกเทพีบุปผาของพื้นที่มงคลร้อยบุปผาครบชุดสิบชุด หากรวมกันก็มีจอกเหล้ามากถึงพันใบ นางเพียงแค่เหลือไว้ให้คนที่มาทีหลังชุดเดียวเท่านั้น ที่เหลืออีกเก้าชุดล้วนเหมาไปหมด
ประเด็นสำคัญคือเฉินผิงอันไม่เห็นว่าสตรีผู้นั้นหยิบวัตถุฟางชุ่นอะไรออกมา แล้วก็ไม่ได้ควักเงินจ่ายกับร้านผ้าห่อบุญด้วย
สาวงามยันต์สองคนคล้ายจะเคยชินกับภาพนี้นานแล้วจึงไม่เอ่ยอะไรสักคำ
เฉินผิงอันเองก็รู้สถานะของสตรีออกเรือนแล้ว คู่รักที่มีเงินมากที่สุดในใต้หล้านี้ ภรรยาของเทพเจ้าแห่งโชคลาภหลิวของธวัลทวีป
ออกจากบ้านไม่ต้องพกเงินก็สามารถใช้เงินมือเติบได้
……
ในเมืองที่ห่างจากศาลบุ๋นมาไม่ไกล เฉินผิงอันผู้นั้นปัดมือ ลุกขึ้นยืน
เจี่ยงหลงเซียงที่หลังพิงกำแพงไม่เพียงแต่ถูกซ้อม ยังถูกขว้างหินใส่หลายสิบก้อน ตอนนี้บัณฑิตผู้เฒ่าโกรธจนตัวสั่นเทิ้ม “เจ้าเป็นใครกันแน่?! แน่จริงก็บอกชื่อมาสิ หรือว่าเซียนกระบี่ผู้ยิ่งใหญ่ยังต้องกลัวผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางคนหนึ่งไปแก้แค้นด้วย?!”
บัณฑิตที่อายุไม่น้อยผู้นี้ อันที่จริงบนใบหน้าเขียนสี่คำไว้เต็มหน้า แข็งนอกอ่อนใน
คำว่าแก้แค้นของบัณฑิตย่อมไม่ใช่การตีรันฟันแทง นั่นจะไม่ทำลายความสุภาพสง่างามหรอกหรือ แน่นอนว่าเขาจะไปขอร้องอริยะปราชญ์ของศาลบุ๋นให้ช่วยทวงความเป็นธรรมให้ ให้ดูแลผู้ฝึกตนบนภูเขาที่ใช้กำลังละเมิดกฎพวกนี้ให้ดีๆ
——