กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 802.2 ทำไมถึงถามหมัด
ในที่สุดหยวนโจ้วก็ไม่รู้สึกผิดหวังต่อไปอีก หากอิ่นกวานหนุ่มลุกขึ้นยืนประสานมือคารวะอะไรนั่น เขาก็คงไม่มีอารมณ์จะเปิดปากพูดจริงๆ เด็กหนุ่มกุมหมัดตอบกลับด้วยสีหน้าแช่มชื่น “ใต้เท้าอิ่นกวาน ข้าชื่อหยวนโจ้ว หวังว่าจะสามารถเชิญใต้เท้าอิ่นกวานไปเป็นแขกที่บ้านพวกข้าได้ ลองไปเดินเที่ยวดู เจอกับพื้นที่ฮวงจุ้ยดีๆ ก็สร้างสำนักขึ้นมา เจอกับตัวอ่อนผู้ฝึกตนก็รับลูกศิษย์ ราชวงศ์เสวียนมี่ตั้งแต่ในราชสำนักไปจนถึงบนภูเขาล้วนจะต้องเปิดประตูให้ความสะดวกแก่ใต้เท้าอิ่นกวาน หากใต้เท้าอิ่นกวานยินดีเป็นราชครูก็ยิ่งดี ไม่ว่าจะทำเรื่องอะไรก็ล้วนถูกต้องชอบธรรม”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ขอบคุณฝ่าบาทที่ทรงเมตตา เพียงแต่ว่าทุกคนมีความถนัดต่างกันไป ใช้ดาบและกระบี่ฟันต้นไม้ไม่สู้ใช้ขวานจาม กองกำลังแคว้นของเสวี่ยนมี่เจริญรุ่งเรืองมากขึ้นทุกวัน ในราชสำนักก็มีคนมากความสามารถด้านบุ๋นและบู๊มารวมตัวกัน ไหนเลยจะต้องการให้ผู้ฝึกกระบี่ที่เป็นคนนอกอย่างข้าไปชี้นิ้วเจ้ากี้เจ้าการ ไม่เหมาะเกินไปแล้ว ข้าเองก็ไม่มีหน้าไปทำตัวขายหน้าผู้คนเช่นนั้น แต่วันหน้าหากข้าได้ไปเที่ยวทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางจะต้องไปหยุดอยู่ที่ราชวงศ์เสวียนมี่นานหน่อยแน่นอน”
หยวนโจ้วผิดหวังยิ่งนัก แต่กระนั้นก็ยังไม่ถอดใจ ถามหยั่งเชิงว่า “ใต้เท้าอิ่นกวาน ถ้าอย่างนั้นมีเรื่องอะไรที่ข้าสามารถช่วยได้บ้างหรือไม่?”
เฉินผิงอันยื่นน้ำชาถ้วยหนึ่งส่งไปให้ เอ่ยว่า “วันหน้าเมื่อไปถึงราชวงศ์เสวียนมี่ เชื่อว่าต้องมีเรื่องไปรบกวนฝ่าบาทแน่นอน”
หยวนโจ้วยังอยากจะพูดต่อ อวี้พ่านสุ่ยกลับยิ้มตาหยีเอ่ยขึ้นมาก่อนแล้วว่า “เป็นถึงจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ ทำตัวอย่างกับสตรีอย่างไรอย่างนั้น”
หยวนโจ้วเองก็ไม่โกรธ เพียงทอดถอนใจหนึ่งที รับถ้วยชามาจากมือของเฉินผิงอัน ดื่มไปเงียบๆ ผลคือร้อนลวกจนเขาถลันลุกขึ้นยืนร้องจ๊าก สุดท้ายถึงตั้งท่านั่งม้า ใบหน้าแดงก่ำ กดลมปราณไว้ที่จุดตันเถียน
ทำเอาหลี่ไหวที่อยู่ด้านข้างได้เปิดโลกกว้าง เด็กหนุ่มผู้นี้คือฮ่องเต้ของหนึ่งในสิบราชวงศ์ใหญ่แห่งไพศาล? ท่าทางจะมีอนาคตยาวไกล
อวี้พ่านสุ่ยยิ้มถาม “ในคลังยุทโธปกรณ์ของเสวียนมี่เรามีเรือข้ามฟากที่ว่างอยู่ลำหนึ่ง ปล่อยเอาไว้ก็มีแต่ให้ฝุ่นเกาะ ไม่ทราบว่าทางฝั่งของภูเขาลั่วพั่วต้องการหรือไม่?”
หยวนโจ้วเอ่ยเสียงอู้อี้ “ขอแค่ต้องการก็จะมอบให้อิ่นกวานได้เลย ถึงอย่างไรเรือข้ามฟากลำนั้นก็เป็นของส่วนตัวที่บันทึกอยู่ในนามของข้า ไม่ว่าใครก็มายุ่งวุ่นวายด้วยไม่ได้ พวกตาเฒ่าในกลุ่มกองงานเชื้อพระวงศ์ ใครกล้าบ่นไม่พอใจ ข้าก็จะให้ท่านปู่อวี้ไปจัดการกับพวกเขา”
อวี้พ่านสุ่ยพยักหน้ายิ้มเอ่ย “ฝ่าบาทตรัสได้ถูกต้องแล้ว เฉินผิงอัน แล้วทางฝั่งของเจ้าล่ะคิดเห็นเช่นไร?”
เฉินผิงอันกล่าว “ไม่มีคุณความชอบไม่กล้ารับเงินเดือน ภูเขาลั่วพั่วสามารถจ่ายเงินซื้อ ไม่ทราบว่าต้องใช้เงินฝนธัญพืชเท่าไร?”
อวี้พ่านสุ่ยยื่นนิ้วออกมาสองนิ้ว “ไม่มาก แค่เงินฝนธัญพืชจำนวนเท่านี้ บอกไว้ก่อนว่าเรือข้ามทวีปลำนี้มีชื่อว่า ‘เฟิงยวน’ (ว่าว) มีอายุหลายปีแล้ว คิดจะข้ามทวีปเดินทางไกล สามารถต้านทานลมฝนได้ แต่หากโดนเซียนกระบี่ฟันกระบี่ใส่ส่งเดช อาจต้องมีการซ่อมแซมเพิ่มหลายส่วน นั่นจะเป็นเงินฝนธัญพืชที่ไม่เล็กอีกก้อนหนึ่ง”
เฉินผิงอันฟังจนหนังตากระตุก
เรือข้ามฟากเฟิงยวนลำหนึ่ง จะซื้อย่อมซื้อได้ คลังสมบัติของภูเขาลั่วพั่วที่เหวยเหวินหลงดูแลพอจะมีเงินเก็บอยู่บ้าง แต่หากนำมาใช้ซื้อเรือ เรื่องของการก่อตั้งสำนักเบื้องล่างก็จะกลายเป็นการชักหน้าไม่ถึงหลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการซ่อมแซมเรือ ขนาดอวี้พ่านสุ่ยก็ยังพูดแล้วว่าต้องใช้เงินเทพเซียนที่ ‘ไม่เล็ก’ ก้อนหนึ่ง เฉินผิงอันจึงไม่มีความมั่นใจเลยจริงๆ
อวี้พ่านสุ่ยมองดูด้วยความเบิกบานใจ ยังจะเล่นตัวอีกหรือไม่เล่า? หากเป็นซิ่วหู่ผู้นั้น แรกเริ่มก็ไม่มีทางพูดคำว่าไม่มีความชอบไม่รับเงินเดือนอะไรนั่น ขอแค่เจ้ากล้าให้เปล่าๆ ข้าก็กล้ารับ
เฉินผิงอันวางถ้วยชาในมือลง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็มาคุยกันใหม่โดยเริ่มจากประโยคที่อาจารย์อวี้บอกว่า ‘ฝ่าบาทตรัสได้ถูกต้องแล้ว’ แล้วกัน”
จากนั้นเฉินผิงอันก็พูดด้วยสีหน้าจริงใจว่า “ภูเขาลั่วพั่วของพวกเราต้องการเรือลำนี้ ส่วนค่าซ่อมแซมก็คงต้องเชื่อเงินกับราชวงศ์เสวียนมี่เอาไว้ก่อนแล้ว”
อวี้พ่านสุ่ยอึ้งตะลึงไร้คำพูดไปทันใด
ฮ่องเต้เด็กหนุ่มรู้สึกว่านี่ต่างหากถึงจะเป็นใต้เท้าอิ่นกวานที่ตัวเองคุ้นเคย
……
ทางฝั่งของท่าเรือป๋ายลู่ เถียนหวานยังคงยืนกรานว่าจะไม่ผูกด้ายแดงกับเจียงซ่างเจิน เพียงแต่ยินดีนำพื้นที่ลับถ้ำสวรรค์แห่งหนึ่งที่มากพอจะสร้างทรัพย์สินซึ่งสามารถประคับประคองให้ผู้ฝึกตนคนหนึ่งเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตบินทะยานได้ออกมา
ชุยตงซานเองก็ไม่รีบร้อน เจียงซ่างเจินก็ยิ่งมานั่งลงข้างกายเถียนหว่าน หยิบกระดาษจดหมายหลากสีวาดรูปนกและดอกไม้ที่สามารถใช้ดูบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำแผ่นหนึ่งออกมา ไอน้ำลอยขึ้นอบอวล ก่อนที่บนโต๊ะจะมีภาพเหตุการณ์ปรากฎขึ้น
เถียนหว่านกล่าว “เส้นบรรทัดฐานต่ำสุดของข้าคือปกป้องมหามรรคาของตัวเอง ลำบากมานานนับพันปี จะปล่อยให้สิ่งที่ทุ่มเททำมาเหมือนสายน้ำที่ไหลหายไปก็คงไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะต่างจากการตายอย่างไร? นอกเหนือจากนั้นของนอกกายทุกชิ้น ขอแค่ข้ามี พวกเจ้าก็เชิญเอาไปได้ตามสบาย เพียงแค่หวังว่าพวกเจ้าได้คืบแล้วจะไม่เอาศอก บังคับให้คนอื่นลำบากใจ ข้าเองก็ไม่เชื่อว่าพวกเจ้าสองคนตั้งใจเดินทางมาหาข้าครั้งนี้ ตรากตรำเหน็ดเหนื่อยกันมาตลอดทางก็เพียงแค่ต้องกลับไปมือเปล่า”
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “หากพวกเราเพียงแค่มาเพื่อหาเรื่องสนุกทำเล่า?”
เถียนหว่านส่ายหน้า “ข้าตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว จะฆ่าจะแกงก็ตามแต่ใจพวกเจ้าเถอะ”
ชุยตงซานสะบัดชายแขนเสื้อ นำหนึ่งจิตหนึ่งวิญญาณของเถียนหว่านออกมาจากชายแขนเสื้อกว้างใหญ่สีขาวหิมะอย่างละข้าง จากนั้นใช้ปลายนิ้วบิดขยี้ ทำให้กลายเป็นไส้ตะเกียง
ต่อให้อยู่ใกล้ในระยะประชิด เถียนหว่านก็ยังไม่กล้าแย่งชิงกลับมา เพียงแต่ว่าเพราะจิตใจเชื่อมโยงถึงกัน นางจึงเจ็บปวดจนร่างสั่นเทิ้ม แต่กระนั้นก็ยังกัดฟันแน่น ไม่เอ่ยอะไรสักคำ
เจียงซ่างเจินตั้งใจมองดูม้วนภาพอย่างเดียว ชุยตงซานเหลือบตามองบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำแล้วก็ต้องเอ่ยอย่างตกตะลึงว่า “โจวอันดับหนึ่ง รสนิยมของเจ้าค่อนข้างจัดจ้านเลยนะ!”
ในม้วนภาพนั้นมีสตรีอ้วนคนหนึ่งที่กำลังแต่งหน้าเข้มจัด บนศีรษะปักเครื่องประดับผมไว้เต็มไปหมด กำลังทำท่ากรีดกราย
เจียงซ่างเจินถอนหายใจ “น้องชุย นี่ก็คือจุดที่เจ้าสู้พ่อครัวเฒ่าไม่ได้แล้ว”
สตรีผู้นั้นเพียงแค่แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เริ่มวาดแขนร่ายรำ จีบนิ้วเป็นท่าดรรชนีกล้วยไม้ หมุนตัวแล้วพลันหันกลับมาส่งยิ้มเอียงอาย
มีคนโยนเงินเทพเซียนลงไปแล้วเริ่มสบถด่า
เจียงซ่างเจินโยนเงินร้อนน้อยลงไปหนึ่งเหรียญ ก่อนจะเปลี่ยนน้ำเสียงอย่างคล่องแคล่ว ตะโกนเสียงดังเอ่ยว่า “พี่หญิงจินโอ่ว วันนี้งามเป็นพิเศษเลยนะ”
สตรีด่าขำๆ “เจ้าคนผีทะเล ใจจืดใจดำนัก ไม่ได้มาดูพี่หญิงนานเท่าไรแล้ว”
จากนั้นสตรีก็เล่าเรื่องเว่ยจิ้นเซียนกระบี่แห่งศาลลมหิมะ ระหว่างที่พูด อารมณ์รักเลื่อมใสก็พรั่งพรูออกมาตามถ้อยคำที่เอื้อนเอ่ย มีบุรุษหลายคนที่เริ่มผรุสวาทด่าทอ
ส่วนเทพธิดาหลายคนที่เดิมทีเงียบงันไม่พูดจาก็เริ่มโต้เถียงกับบุรุษเหล่านั้น ปะทะคารมกันดังลั่น พวกนางล้วนเป็นผู้ฝึกตนใหญ่บนภูเขาของเซียนกระบี่ใหญ่เว่ย
เจียงซ่างเจินช่วยเหล่าพี่สาวน้องสาวด่าบุรุษทั้งหลาย พลางหยิบเอาแท่นฝนหมึกชิ้นหนึ่งออกมา ทางฝั่งนี้ก็เพิ่งจะมีการเปิดบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำเช่นกัน
ในม้วนภาพคือบุรุษร่างกำยำท่วงท่าองอาจที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่ง พูดกลั้วหัวเราะเสียงดังว่า “ทุกท่าน เจ้าโจรเจียงผู้นั้นถูกเหวยอิ๋งแย่งชิงตำแหน่งมาได้สำเร็จ ไม่เพียงแต่ไม่ได้เป็นเจ้าสำนักกุยหยกแล้ว ผลคือแม้แต่ตำแหน่งในสำนักเจินจิ้งที่เป็นสำนักเบื้องล่างก็ยังรักษาไว้ไม่อยู่ ต้องเป็นช่วงขาลงดุจตะวันลาลับหายไปในแม่น้ำของเขาอย่างแน่นอน ช่างสาแก่ใจยิ่งนัก มาดื่มร่วมกันสักชามดีไหม?”
เสียงไชโยโห่ร้องดังกึกก้อง ตามมาด้วยเสียงสูดเหล้าที่ดังขึ้นๆ ลงๆ สามารถมีเสียงดังออกมาได้ แน่นอนว่าต้องอาศัยการทุ่มเงิน ดูท่าแล้วล้วนเป็นพวกคนที่ไม่ขาดแคลนเงินเลย
หนึ่งในนั้นก็มีเจียงซ่างเจินรวมอยู่ด้วย
มีคนโยนเงินลงไป ถามบุรุษคนนั้นอย่างกังขาว่า “เจ้าสำนัก เจ้าเจียงบ้ากามผู้นี้ ปีนั้นเป็นแค่เซียนเหริน เหตุใดถึงสามารถวิ่งพล่านไปทั่วใบถงทวีปโดยที่ไม่ถูกฆ่าตายได้ล่ะ? นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?”
เจียงซ่างเจินรีบติดตามไปทันที ด้านหนึ่งโยนเงิน ด้านหนึ่งก็ตะเบ็งเสียงพูดไปด้วย “ช่างไร้เหตุผลยิ่งนัก ไม่ไหวๆ ทำข้าเสียอารมณ์จริงๆ!”
“ดีๆๆ เปิงเลอะเจินจวินก็อยู่ด้วย!”
“เจียงอันดับรอง ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ ดีใจที่ได้พบๆ”
เจียงซ่างเจินทุ่มเงินไม่หยุด ไล่รำลึกความหลังกับสหายบนเส้นทางเดียวกันทั้งหลายไปทีละคน
มีคนถาม “เปิงเลอะเจินจวิน ลูกชายเจ้าต้องเป็นโจรกบฏของเปลี่ยวร้างที่อำพรางตัวลึกล้ำอย่างแน่นอน พวกปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ทั้งหลายอย่างหยวนโส่ว เฟยเฟยเลยจงใจปล่อยผ่านไป ใช่หรือไม่?”
เจียงซ่างเจินหัวเราะหยัน “รอให้รายงานขุนเขาสายน้ำถูกยกเลิกคำสั่งห้ามเมื่อไหร่ พวกเราก็สามารถเอ่ยทวงความเป็นธรรมได้แล้ว จะได้สั่งสอนให้อดีตเจ้าสำนักเจียงผู้นั้นได้รู้ว่าหากทำผิดต้องแก้ไขปรับปรุงตัว หากไม่ผิดก็ต้องเอาคำวิจารณ์ทั้งหลายมาเป็นข้อเตือนใจ ในฐานะบิดาของโจรเจียง จะต้องใช้คุณธรรมยิ่งใหญ่จัดการกับบุตรชายให้ดี!”
มีคนเอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “เปิงเลอะเจินจวินช่างมีจิตใจที่ดีงามจริงๆ”
เปิงเลอะเจินจวิน? เจียงอันดับรอง บิดาของเจียงซ่างเจิน?
ต่อให้เป็นชุยตงซานก็ยังทำหน้ามึนงง
เจียงซ่างเจินพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ภูเขาลูกนี้มีชื่อว่าสำนักต่าวเจียง เป็นสถานที่รวบรวมวีรบุรุษผู้กล้าของแต่ละฝ่ายในใต้หล้า มีผู้ฝึกตนของทั้งสามทวีปอย่างใบถง แจกันสมบัติ อุตรกุรุทวีปอยู่ด้วย ข้าออกทั้งเงินออกทั้งแรงจึงได้เลื่อนขั้นไปตลอดทาง ใช้เวลาไปประมาณสามสิบปี ทุกวันนี้กว่าจะได้เป็นผู้ถวายงานอันดับรองได้ไม่ใช่เรื่องง่าย แรกเริ่มก็เพราะว่าข้าแซ่เจียงถึงถูกคนเข้าใจผิดกันเยอะมาก กว่าจะอธิบายให้กระจ่างได้ก็ไม่ง่ายเลยจริงๆ”
มีคนด่าขึ้นมากะทันหันว่า “มารดามันเถอะ ก่อนหน้านี้ข้าผู้อาวุโสไปที่ใบถงทวีปมา ไม่ใช่พื้นที่มงคลถ้ำเมฆาของโจรเจียงด้วยซ้ำ เป็นแค่ภูเขาใต้อาณัติของสำนักกุยหยกเท่านั้น ก็แค่ด่าไปไม่กี่คำว่าโจรเจียงคือเศษสวะ คือคนล้างผลาญ ก็มีคนผู้หนึ่งกระโดดออกมาด่าข้ากลับ…”
มีคนถาม “ตีกันหรือไม่?”
“ตีไปแล้ว ถูกคนตีแล้ว แล้วยังถูกอาฆาตแค้นด้วย วันหน้าไม่อนุญาตให้ข้าผู้อาวุโสไปที่ท่าเรือพวกนั้นอีก”
เจียงซ่างเจินรีบทุ่มเงินลงไปทันใด “กล้าหาญ! อีกฝ่ายมากคนมากกำลัง พี่น้องแม้ว่าเจ้าจะแพ้ แต่ก็ถือว่าแพ้อย่างมีเกียรติ”
“ยังคงเป็นเจียงอันดับรองที่พูดจาถูกใจคนฟัง”
“ผู้ฝึกตนของสำนักกุยหยกล้วนไม่ใช่คนดีอะไร คานบนไม่ตรงคานล่างย่อมเอียง อาศัยอำนาจรังแกคนอื่น ไม่มีความสามารถกะผายลมอะไรเลย หากมีปัญญาจริง ปีนั้นทำไมไม่จัดการเจ้าหยวนโส่วผู้นั้นไปเสียเลยเล่า?”
“แม่งล้วนเป็นคุณความชอบของเจ้าโจรเจียงผู้นั้นทั้งสิ้น หยวนโส่วเป็นถึงปีศาจบนบัลลังก์ราชาผู้ยิ่งใหญ่ แต่ถึงกับไม่สามารถสังหารมดตัวน้อยที่ขอบเขตถดถอยตัวนี้ได้ น่าเจ็บใจนัก น่าเจ็บใจนัก”
“เจ้าโจรเจียงผู้นี้ อันที่จริงก็ไม่ได้มีความสามารถอะไรหรอก ก็แค่ว่าอดีตเจ้าสำนักสวินแก่แล้วหูตาฝ้าฟาง ถึงได้เลือกเขามาเป็นเจ้าสำนัก หนีไม่พ้นว่าอาศัยต้นไม้ใหญ่อย่างสำนักกุยหยกถึงได้อยู่ร่มเย็นเป็นสุข พื้นที่มงคลถ้ำเมฆาถึงได้พอจะมีหน้ามีตาอย่างในทุกวันนี้”
เจียงซ่างเจินรีบเอ่ยยุแยงเหล่าผู้กล้าของฝ่ายต่างๆ ทันที “พี่น้องทั้งหลาย พวกเจ้าใครที่เชี่ยวชาญเวทอำพรางตาหรือเวทหลบหนีบ้าง ไม่สู้ไปที่พื้นที่มงคลถ้ำเมฆาสักรอบ ลองทำอะไรบางอย่างกันอย่างลับๆ?”
ทันใดนั้นผู้คนพากันวิพากษ์วิจารณ์ รวมหัวกันวางแผน สามัคคีสร้างความแตกแยกให้กับศัตรูของตัวเอง
คิดไม่ถึงว่าเจ้าสำนักท่านนั้นจะโบกมือหนึ่งที “ผู้กล้าอย่างเราๆ ด่าก็ส่วนด่า ตีก็ส่วนตี แต่จะทำเรื่องสมคบคิดกันทำชั่วแบบนั้นไม่ได้เด็ดขาด”
เจียงซ่างเจินโยนเงินร้อนน้อยลงไปหนึ่งเหรียญ “เจ้าสำนักช่างมีคุณธรรมสูงส่งดุจเมฆบนท้องฟ้า!”
เถียนหว่านมองจนปากอ้าตาค้าง ฟังด้วยความอึ้งงันพูดไม่ออก
คนเหล่านี้เชื่อมั่นว่าเป็นเช่นนี้จริงหรือแค่มารวมตัวกันเล่นสนุกกันแน่?
ชุยตงซานสอดสองมือรองไว้ใต้ท้ายทาย โยกเก้าอี้ไม้ไผ่เบาๆ ยิ้มกล่าว “เทียบกับปีนั้นที่ข้าไปเยือนร้านหนังสือร้านนั้นกับซิ่วไฉเฒ่าแล้ว อันที่จริงยังดีกว่ามาก”
เจียงซ่างเจินพยักหน้า เคยฟังเรื่องเล่านั้นมาก่อน ตอนที่อยู่ตรงหน้าประตูซากปรักภูเขาไท่ผิง เฉินผิงอันเคยเล่าให้ฟัง
มีคนเป็นดั่งตะวันงามเจิดจ้ากลางนภา รอบด้านคือเมฆเรืองรองคอยปกป้องคุ้มครอง
มีคนทำตัวเหมือนแมลงวันซอกซอนเจาะรังโน้นรังนี้ไปทั่ว
มีคนเปิดโลกทัศน์ตามดวงตะวัน เปิดจิตใจตามดวงจันทร์
มีคนที่สนแต่จะก้มหน้าขุดคุ้ยหาของกิน
มีคนได้แต่เจ็บใจที่อ่านตำราเขียนตัวอักษรได้ไม่ดีเยี่ยมเหมือนคนโบราณ
มีคนใช้ชีวิตให้ผ่านพ้นไปอย่างยากลำบาก ไม่คาดหวังให้สุขสบาย ได้แต่หวังว่าจะมีพื้นที่ให้หยัดยืน
มีคนดีที่บางวันทำเรื่องผิด มีคนเลวที่บางวันทำความดี
บางทีอาจเป็นเด็กหนุ่มที่เรียนหนังสือเก่งที่สุดในโรงเรียนที่เจริญรุ่งเรืองมีอนาคต แต่พอได้เป็นขุนนางใหญ่ก็ไม่กลับคืนมายังบ้านเกิดอีก
บางทีอาจเป็นเด็กหนุ่มเกเรในโรงเรียนที่ใช้ชีวิตอยู่ตามหมู่ชาวบ้านร้านตลาด ทำตัวอันธพาลกร่างไปทั่ว วันหนึ่งพบเจอกับอาจารย์สอนหนังสือในตรอกกลับหลีกทางให้อย่างนอบน้อม
ชีวิตคนมีเรื่องที่แน่นอนมากมาย แต่กลับมีเรื่องที่บังเอิญมากมายเช่นกัน ล้วนเป็นความเป็นไปได้อย่างแล้วอย่างเล่า บ้างเล็กบ้างใหญ่ ก็เหมือนดวงดาวที่ลอยอยู่บนนภาที่เดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างไม่แน่นอน
คนที่เป็นดั่งดวงตะวันกลางนภา วันหนึ่งพลันร่วงหล่นจมสู่โคลนตม บนร่างมีแต่รอยเท้าของคนที่ผ่านทางไปมา
พวกคนที่ทำตัวเหมือนแมลงวันชอนไช ก็อาจกลายเป็นร่มเงาเย็นสบายที่ช่วยปกป้องคนข้างกาย
คนที่โลกทัศน์เปิดกว้าง อยู่ๆ วันหนึ่งอาจผิดหวังต่อโลกใบนี้ จากนั้นชีวิตก็เริ่มเดินลงเขา
พวกคนที่ก้มหน้าก้มตาหาอาหาร อาจบังเอิญเงยหน้าขึ้นมาแล้วเกิดความหวังต่อชีวิต เดินไปยังทิศทางที่ห่างไกลและไปยังจุดที่สูงกว่าเดิม
มีคนรู้สึกว่าชีวิตไม่มีความหมาย น่าเบื่อหน่าย แค่ต้องการความสนุกความน่าสนใจเท่านั้น
บางคนรู้สึกว่าชีวิตไม่น่าสนใจ ลำบากอย่างมาก แต่กลับมีความหมายอย่างมาก
เด็กหนุ่มบางคนเงียบขรึมเหมือนคนแก่ คนแก่บางคนกลับมีปณิธานของเด็กหนุ่ม
บางคนเหมือนจมอยู่ในห้วงฝันยิ่งใหญ่ ไม่อาจตื่นขึ้นมาได้ บางคนเจ็บปวดร้าวรานใจ หวังเพียงเมามายให้ลืมทุกข์
มีคนรู้สึกว่ามีเพียงอริยะปราชญ์ในตำราเท่านั้นถึงจะพูดเรื่องหลักการเหตุผล มีคนรู้สึกว่าชาวไร่ชาวนาทำนาทำสวนเหนื่อยยากก็คือเหตุผล หญิงชราเดียวดายไร้ที่พึ่งคนหนึ่งก็สามารถใช้ชีวิตได้อย่างสงบเยือกเย็น
มีคนรู้สึกว่าตัวเองเข้าใจหลักการเหตุผลทุกอย่าง มีชีวิตไม่ดีก็ต้องโทษที่หลักการเหตุผลเหล่านั้น
หากชีวิตนี้ไม่อาจดีได้ ก็ได้แต่กัดฟันทน โทษคนบ่นฟ้า เกิดมาเพื่อเผชิญความทุกข์ยากเปล่าๆ
มีคนรู้สึกว่าตัวเองไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง มีชีวิตที่ไม่ดีก็เพราะเข้าใจหลักการเหตุผลน้อยเกินไป
หากชีวิตนี้ยังคงมีชีวิตที่ไม่ดี ก็พูดกับตัวเองว่า ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปเถอะ ถึงอย่างไรก็ผ่านมันมาได้แล้ว
บางคนไม่เคยมีความสุขชื่นบานเหมือนต้นหยางต้นหลิวเคียงคู่ นกโบยบินล้อมดอกไม้ต้นหญ้า ทว่าบนเส้นทางชีวิตกลับคอยปูเส้นทางสร้างสะพาน ปลูกต้นหลิวต้นหยางไปตลอดทาง
มีคนเบิกตากว้าง ต้องเปลืองแรงไปมากถึงจะตามหาเงามืดของโลกใบนี้เจอ รอกระทั่งม่านราตรีหนาหนักมาเยือนก็หลับสนิท รอจนดวงตะวันลอยโด่งค่อยลุกจากที่นอน
ดวงจันทร์ภูเขา ต้นไม้ขวากหนาม บ่อน้ำสีเขียวมรกต ดอกท้อคลื่นวสันต์ ข้าวหนึ่งชนิดเลี้ยงคนได้ร้อยประเภท ชีวิตคนที่แตกต่าง บนเส้นทางชีวิตที่แตกต่าง บางทีในความฝันของคืนวาน อาจเคยเห็นแสงจันทร์กระจ่าง ลมวสันต์โชยพัดใบหน้า บุปผาแดงบานสะพรั่ง
……
เฉินผิงอันอีกคนหนึ่งบอกลากับเจิ้งจวีจง หลังออกมาจากท่าเรือเวิ่นจินก็ไปหาผู้ฝึกยุทธคนหนึ่งที่มาจากราชวงศ์ต้าตวน บอกว่าต้องการถามหมัด
บุรุษถามอย่างสงสัย “ทำไม?”
เฉินผิงอันตอบ “ไม่ทำไม”
——