กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 805.3 ยิ้มบางลูบไล้จอกแหน
พวกเขาสองคนต่างก็มาภูเขาตะวันเที่ยงเพื่อขอยาวิเศษจากเทพเซียนผู้เฒ่าท่านหนึ่ง นำมารักษาอาการความจำเสื่อมของนาง คิดไม่ถึงว่าจะต้องกินน้ำแกงประตูปิดอยู่ที่ตีนเขา แม้แต่หน้าตาของเซียนเหรินบนภูเขาก็ยังไม่ได้พบ เสียเงินอย่างเปล่าประโยชน์ไปมากมาย จนทรัพย์สินที่เก็บออมไว้แทบจะหมดเกลี้ยงแล้ว
เจียงซ่างเจินใช้เสียงในใจถาม “สร้างคนกระเบื้องขึ้นมาอีกตั้งแต่เมื่อไหร่? แม้แต่ข้าและอาจารย์ของเจ้าก็ยังปกปิดเอาไว้รึ?”
ชุยตงซานหัวเราะคิกคัก “ก่อนหน้านี้ก็ไม่ใช่ว่าสร้างน้องเกาขึ้นมาคนหนึ่งหรอกหรือ ก็เลยอยากจะหาคู่ให้เขาสักหน่อย และนี่ก็บังเอิญได้เอาออกมาใช้พอดี หากไม่เจอกับเถียนหว่านก็เกือบจะลืมไปแล้วว่ามีเรื่องนี้อยู่ด้วย”
เจียงซ่างเจินหันหน้ามา ชะลอฝีเท้า สีหน้าจริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน อีกทั้งยังต้องการคำตอบที่ชัดเจนจากชุยตงซานอีกด้วย
ชุยตงซานถอนหายใจ พยักหน้ารับ “ข้ารู้หนักเบา ในเมื่ออาจารย์กลับมาแล้ว วันหน้าล้วนมีอาจารย์อยู่เบื้องหน้า แน่นอนว่าไม่ต้องให้ข้าทำเช่นนี้แล้ว”
เจียงซ่างเจินเหมือนยกภูเขาออกจากอก หัวเราะได้ ก่อนเอ่ยว่า “แบบนี้ถึงจะดี ไม่อย่างนั้นต่อให้ข้าต้องสละตำแหน่งผู้ถวายงานอันดับหนึ่ง ก็ต้องออกห่างจากภูเขาลั่วพั่วให้ไกลให้จงได้”
ชุยตงซานตบไหล่ของเจียงซ่างเจิน “ไม่ใช่พี่น้องแท้ๆ ที่พลัดพรากจากกันไปนานแล้วปีก็ไม่มีทางเอ่ยประโยคอบอุ่นใจเช่นนี้ออกมาได้!”
เจียงซ่างเจินยิ้มเอ่ย “พวกเราสองพี่น้องคือใครกับใครกันเล่า”
ชุยตงซานหันหน้ามาพูด “ฮวาเซิง วันหน้าไปถึงภูเขาลั่วพั่วแล้ว เจ้าทำงานเบ็ดเตล็ดสักสองสามปี พอถึงเวลาได้โอกาสเหมาะสม เจ้าก็จะได้รับหน้าที่เป็นคนรวบรวมและสรุปรายงานข่าว วันหน้าไม่แน่ว่าอาจยังต้องดูแลเรื่องรายงานภูเขาสายน้ำและบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำด้วย ภาระหน้าที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่ว่าคนธรรมดาทั่วไปจะแบกรับได้ ส่วนหัวหน้าของเจ้า ก็มีแค่คนเดียว แน่นอนว่าเป็นข้า พี่ชายแท้ๆ ต่างพ่อต่างแม่ของเจ้าไง”
เด็กสาวพยักหน้ารับ ถามว่า “ข้าก็แซ่ชุยหรือ?”
สายตานั้นของชุยตงซานต้องเรียกว่าเมตตาปราณี ยกมือลูบศีรษะของเด็กสาว “เรื่องนี้ก็เดาได้ด้วยหรือ? หัวสมองน้อยๆ นี่ช่างเฉลียวฉลาดเสียจริง เกือบจะไล่ตามหมี่ลี่น้อยทันแล้วล่ะ”
เจียงซ่างเจินหรี่ตาพยักหน้า “ใช่ล่ะ”
ชุยตงซานโคลงศีรษะ พลิกฝ่ามือกลับไปกลับมา “ล่ะๆๆ”
เด็กสาวรู้สึกลำบากใจอยู่บ้าง รู้สึกว่าบุรุษสองคนข้างกายพูดจาเช่นนี้ช่างทำให้คนฟังรู้สึกกระอักกระอ่วนเสียจริง
โชคดีที่เดินทางยามค่ำคืน ไม่ต้องเจอใคร
ดังนั้นนางจึงเริ่มเปลี่ยนเรื่องคุย “ท่านพี่ ที่นั่นคือพรรคในยุทธภพหรือ?”
“อืม ต้องใช่แน่อยู่แล้ว ที่นั่นคือสถานที่ที่มีกลิ่นอายยุทธภพมากที่สุดในใต้หล้า เมื่อเจ้าไปถึงแล้วจะต้องชอบมากแน่นอน”
“รายงานข่าวคืออะไร ข้าไม่เข้าใจเลย”
“ไม่เข้าใจก็ต้องเรียนรู้ ภูเขาลั่วพั่วไม่เลี้ยงคนที่ไม่ทำงาน เรียนรู้แล้วยังทำไม่เป็น เจ้าก็ต้องไปขายขนมอยู่ที่ตรอกฉีหลงตลอดชีวิต แต่เจ้าคือน้องสาวของข้า จะโง่ได้สักแค่ไหนกันเชียว จะต้องเรียนรู้จนเป็นแน่นอน”
นางยังอยากจะพูดต่อว่าอันที่จริงลึกๆ ในใจนางรู้สึกว่าขายขนมก็ดีมากแล้วนะ
ชุยตงซานเขกมะเหงกลงมา เอ่ยสั่งสอนว่า “อย่าเอาแต่คิดออกนอกลู่นอกทางไปเรื่อยสิ”
“อีกอย่างนะ จำไว้ให้ดีว่า หากวันหน้าบนภูเขามีแม่นางแก่ชื่อว่าฉางมิ่งมาก้าวก่ายเรื่องรายงานข่าวของเจ้า เจ้าก็ตามใจนางหน่อย หากนางอยากจะดูก็ให้นางดูไป พี่สาวคนนั้นน่ะ อายุมากแล้ว อารมณ์ก็ร้ายตามไปด้วย แถมยังเป็นคนดูแลถุงเงินของบ้านเรา พวกเราสองพี่น้องอย่าไปถือสานางเลย”
นางพยักหน้ารับอย่างแรง “ทราบแล้ว”
ชุยตงซานยิ้มพลางลูบศีรษะของนาง
ฉางมิ่งผู้คุมกฎแห่งภูเขาลั่วพั่ว วันหน้าฮวาเซิงและยังมีเจ้าใบ้น้อยที่เผยเฉียนเก็บกลับมา ล้วนจะต้องกลายไปเป็นแขนซ้ายแขนขวาของนาง
คนหนึ่งใจอำมหิต คนหนึ่งลงมือไร้ปราณี
จะกลายเป็นเงาสองเงาที่หลบซ่อนอยู่ท่ามกลางร่มต้นไม้ของภูเขาลั่วพั่ว หนักเอาเบาสู้ ทำแต่เรื่องสกปรกงานเหนื่อยยาก
เงื่อนไขแน่นอนว่าต้องให้อาจารย์เต็มใจตอบตกลงกับเรื่องนี้เสียก่อน
นี่คือกฎเกณฑ์ที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรข้อหนึ่งของภูเขาลั่วพั่ว ไม่ว่าใครก็ไม่รู้สึกลำบากใจ ทุกเรื่องล้วนปรึกษากันได้
ชุยตงซานหวังว่ากฎข้อนี้จะสามารถสืบทอดอยู่บนภูเขาลั่วพั่วไปได้อีกร้อยปีพันปีหมื่นหมื่นปี
“ควรสะบั้นไม่สะบั้น ความวุ่นวายย่อมบังเกิด ควรฆ่าไม่ฆ่า โจรร้ายย่อมถือกำเนิด”
เจียงซ่างเจินใช้เสียงในใจพูดกลั้วหัวเราะว่า “ในเรื่องนี้ข้าจะช่วยเจ้าพูดกับเฉินผิงอันเอง ครั้งหนึ่งไม่สำเร็จก็พูดเพิ่มอีกสองสามครั้ง พูดจนกว่าเขาจะรำคาญถึงจะหยุด”
ยามที่โจวอันดับหนึ่งท่านนี้เรียกชื่อเฉินผิงอันออกมาตรงๆ แสดงว่ากำลังพูดถึงเรื่องที่จริงจังอย่างมาก
ยกตัวอย่างเช่นเรื่องการปฏิบัติต่อพื้นที่มงคลรากบัวและแคว้นหู ทิศทางคร่าวๆ ของภูเขาลั่วพั่วนั้นไม่ผิด แต่กลับมีข้อบกพร่องอยู่ไม่น้อย
เพียงแต่ว่าตอนนั้นยังไม่ได้เก้าอี้ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งมา จึงไม่รีบร้อนที่จะมาตรวจสอบและอุดช่องโหว่ แล้วนับประสาอะไรกับที่หลักการเหตุผลเล็กๆ บางอย่าง พูดเร็วไม่สู้พูดช้า เพราะจะมีเป้าหมายที่ชัดเจนมากกว่า ว่ากันไปตามเนื้อผ้า แก้ไขความผิดเล็กๆ เพื่อให้กลายเป็นความถูกใหญ่ๆ
คนทั้งสามเดินไปถึงริมตลิ่งของท่าเรือ รอคอยเรือข้ามฟากลำนั้น ดึกดื่นค่อนคืนเช่นนี้ ผู้ฝึกตนที่อยู่ริมฝั่งมีประปราย ส่วนใหญ่เพียงแค่ชำเลืองตามองคนทั้งสามแวบหนึ่งก็ไม่มองมากอีก
ชุยตงซานกะพริบตาปริบๆ ยิ้มถามว่า “โจวอันดับหนึ่ง ทัศนียภาพอันงดงามมีสหายรักรู้ใจอยู่ข้างกายเช่นนี้ เจ้าคือคนที่มีพรสวรรค์น่าตะลึง ไม่มีอารมณ์อยากแต่งกลอนสักหน่อยหรือ? ไม่แน่ว่าข้าอาจเกิดแรงบันดาลใจขึ้นมาก็ได้”
เจียงซ่างเจินกระแอมหนึ่งที เดินกางร่มสาวเท้าเนิบช้าไปบนท่าเรือ นิ่งคิดไปครู่หนึ่ง ดวงตาก็พลันสว่างจ้า นึกออกแล้ว “เห็นชิงช้านอกกำแพง แกว่งไกวเอวเล็กบาง งดงามดุจเมฆคล้อย เสียงพลิ้วหวานแว่วตรงหน้า ขานเรียกชื่อน้องมองเหม่อ”
ชุยตงซานยกนิ้วโป้งให้ “ทำให้คนหัวเราะท้องแข็งได้จริงๆ”
เด็กสาวพลันยกมือข้างหนึ่งขึ้นมา ใช้หลังมือดันหน้าผาก
อยู่ดีๆ ก็นึกถึงเรื่องราวในอดีตที่ร้อยเรียงติดต่อกัน
ตระกูลของนางเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงในพื้นที่ของแคว้นเล็กใต้อาณัติแห่งหนึ่ง บิดามีความรู้เต็มท้อง มารดาคือคุณหนูตระกูลใหญ่ คือคู่สร้างคู่สมที่ทำให้คนอิจฉา ช่วงแรกบิดามีชีวิตอย่างราบรื่น หลังจากสอบติดกระดานทองคำแล้วก็รับหน้าที่เป็นผู้ดูแลคลังตะกั่วกรมโยธา ก่อนจะหันไปรับตำแหน่งทงพ่าน (ชื่อตำแหน่งขุนนาง รับผิดชอบการขนส่งธัญพืช พื้นที่เพาะปลูก การอนุรักษ์น้ำ การดำเนินคดี และเรื่องอื่นๆ) ของมณฑลในท้องถิ่น แล้วจึงได้เลื่อนขั้นเป็นเจ้าเมือง เพียงแต่ว่าชีวิตบนมหาสมุทรแห่งวงการขุนนางล่องลอยไม่หยุดนิ่ง ถูกเพื่อนร่วมงานใส่ร้าย สูญเสียตำแหน่งขุนนาง ได้แต่กลับคืนสู่บ้านเกิด รับหน้าที่เป็นผู้บรรยายหลักของสำนักศึกษาแห่งหนึ่งที่จวนเฝินหยางของบ้านเกิด
คิดไม่ถึงว่าบิดาจะยังถูกศัตรูในวงการขุนนางคนหนึ่งที่ได้รับตำแหน่งสำคัญวางอำนาจเข้าข่มที่ว่าการในท้องถิ่น จึงถูกผลักไสรังเกียจ แม้แต่สำนักศึกษาก็ยังไม่อาจอยู่ได้ ตายจากไปพร้อมกับความทุกข์ระทม เป็นเหตุให้ฐานะทางบ้านตกอับ สถานการณ์ในบ้านย่ำแย่ลงทุกปี เดือดร้อนให้พี่ชายไม่อาจเข้าร่วมการสอบเคอจวี่ ได้แต่ออกจากบ้านเกิดเดินทางไกลไปหลบภัย ไปหาที่พึ่งเป็นพรรคบนภูเขาแห่งหนึ่ง พอได้รับจดหมายจากทางบ้านว่านางสูญเสียความทรงจำก็รีบกลับบ้านมาหานางโดยไม่สนความเหนื่อยยากทันที จากนั้นก็อาศัยช่องทางของบิดาว่าที่สามีในอนาคต สามคนรอนแรมเดินทางไกลหมื่นลี้ กว่าจะมาถึงภูเขาเซียนที่เป็นผู้นำของทวีปแห่งนี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย หมายจะมาหาเซียนซือผู้เฒ่าที่มีชื่อเสียงคุณธรรมสูงส่งซึ่งมีฉายาว่า ‘บรรพจารย์ย้ายภูเขา’ …
เด็กสาวสะอื้นไห้ หันหน้ามาเรียกเสียงสั่น “ท่านพี่”
ชุยตงซานกลอกตามองบน “หุบปาก อย่ามากวนใจข้า นกจะหนาวตัวแข็งได้ต้องไร้เสียง”
เด็กสาวพลันเงียบกริบเป็นจักจั่นในหน้าหนาวทันที
ชุยตงซานนั่งยองอยู่ริมฝั่ง เด็กสาวจึงต้องก้มตัวกางร่มให้ ได้ยินพี่ชายที่มีชีวิตพึ่งพากันและกันผู้นี้ เหมือนจะพึมพำท่องกวีโหยวเซียนบทหนึ่งอยู่กับตัวเอง
จักรพรรดิอยู่ในวังอันโอ่อ่า กรมหลงเต๋อรับผิดชอบกิจธุระในฤดูใบไม้ผลิ เซียนเหรินล่องน้ำไปเยือนตำหนักฉางชุน ไม่ขี่เมฆขี่มังกรขาว สุดทางภูเขาตะวันตกหาเซียนง่าย ไหนเลยจะรู้ว่ามหาสมุทรเหนือหายากยิ่ง
คนที่มีความสามารถปะฟ้าซ่อมจันทร์จากไปแล้ว ได้แต่หวนนึกถึงมาดองอาจอันห่างไกล น้ำขึ้นเต็มทะเลทักษิณ หมักเหล้าอมตะนิรันดร์กาล หวังเพียงท่านอาจารย์จะหันกลับมามองบ่อยๆ ยิ่งมหัศจรรย์เหนือมหัศจรรย์
เจียงซ่างเจินทอดถอนใจ “บทกวีนี้ของน้องชุยเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของเซียน มนุษย์ธรรมดาอย่างข้าต้องนั่งคุกเข่าฟังจริงๆ”
ชุยตงซานปัดมือ ลุกขึ้นยืน ถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าว จากนั้นก็ยกเท้าเตะเข้าที่ข้อพับด้านหลังของเจียงซ่างเจิน
แล้วคนทั้งสองก็เริ่มผลักดันต่อยเตะกันอย่างสนุกสนาน ร้องตวาดคำรามหมัดไปเท้ามา ไม่หนักไม่เร็ว
ทำเอาเด็กสาวที่มองดูอยู่รู้สึกเพียงว่าดูเหมือนภาพนี้จะ…อบอุ่นอย่างมาก นางพลันไม่รู้สึกหวาดกลัวภูเขาลั่วพั่วมากถึงเพียงนั้นอีกแล้ว
เจียงซ่างเจินเงยหน้ามองม่านราตรี หลังจากที่ฝนพรำๆ หยุดตก เมฆก็เคลื่อนตัวออก ค่อยๆ เผยให้เห็นดวงจันทร์ ขอบคุณที่ดวงจันทร์สงสารข้า คืนนี้ดวงจันทร์ถึงได้กลมเต็มดวง
พบเจอโดยบังเอิญ คลาดกันไป คิดถึง ล้วนเป็นเซียมซีที่ดี เพียงแต่ว่าเป็นของบนภูเขา ไม่ใช่ล่างภูเขา
บุรุษที่จอนผมสองข้างเป็นสีขาวกางร่มเดินอยู่กลางม่านราตรีหนาหนัก พึมพำด้วยสีหน้าอ่อนโยน “ความขมขื่นในชีวิตมีเพียงตัวเองที่รู้ ชีวิตยังอีกยาวไกล ดังนั้นต้องมานะพยายาม”
เด็กสาวรู้สึกว่าคำพูดประโยคนี้ของบุรุษดีกว่ากลอนตลกขบขันก่อนหน้านี้เสียอีก จึงหันไปมองเด็กหนุ่มชุดขาวอย่างขลาดๆ เอ่ยเรียกเสียงเบา “ท่านพี่”
ชุยตงซานยิ้มเอ่ย “ไม่ต้องไปสนใจเขา เขาน่ะขึ้นชื่อว่าเป็นคนลุ่มหลงในรัก”
ดูเหมือนว่าในอุตรกุรุทวีป เทพธิดาบนภูเขาและจอมยุทธหญิงในยุทธภพมากมายต่างก็ไม่เคยมอบกายให้ผิดคน แต่กลับมอบใจที่แท้จริงให้ผิดคน
เรือข้ามฟากจอดเทียบท่า จากที่มีขนาดเล็กเท่าเมล็ดงาตอนที่อยู่ห่างไกลสุดขอบฟ้าก็เปลี่ยนมาเป็นวัตถุใหญ่โตมโหฬารที่อยู่ใกล้ในระยะประชิด ทำเอาเด็กสาวที่ได้เห็นตกตะลึงพรั่นผวา ที่แท้นี่ก็คือเรือข้ามฟากตระกูลเซียน
นางหันกลับไปมองยอดเขาเขียวที่มีเมฆหมอกล้อมวนของภูเขาตะวันเที่ยง เด็กสาวคิดว่าเพื่อรักษาอาการป่วยให้ตัวเอง พี่ชายต้องขึ้นเขาลงห้วย เจอกับความยากลำบากนานัปการ ผลาญทรัพย์สมบัติจนหมดสิ้นก็ยังไม่อาจได้ขึ้นเขา นางจึงอดรู้สึกโมโหไม่ได้ ภูเขาตะวันเที่ยงผู้นำแห่งตระกูลเซียนในหนึ่งทวีปอะไรกัน บรรพจารย์ย้ายภูเขาที่ต่อสู้กับคนทั้งทวีปก็ยังไร้คู่ต่อสู้อะไรกัน
ชุยตงซานโบกมือเป็นวงกว้าง “กลับบ้านกันเถอะ!”
……
บริเวณใกล้เคียงกับศาลบุ๋น ยามเหม่าของวันนี้ นักพรตวัยกลางคนคนหนึ่งพาเด็กชายคนหนึ่งออกจากบ้านเกิด เมื่อคืนวานได้มาพักแรมอยู่ที่นี่ ปลุกเด็กชายที่อยู่ในกระโจมให้ตื่นนอน จากนั้นหนึ่งคนโตหนึ่งเด็กก็มานั่งอยู่ริมน้ำด้วยกัน เด็กชายยังมึนๆ งงๆ สัปหงกอยู่เป็นระยะ นักพรตก็ไม่รีบร้อนให้เด็กชายฝึกบำเพ็ญตนเหมือนกับตัวเอง เพราะอันที่จริงเด็กชายแค่นั่งอยู่ด้านข้าง เดิมทีก็เป็นการฝึกตนอยู่แล้ว
นักพรตที่มาจากอารามจิงเหว่ยท่านนี้เอาสองมือวางทับซ้อนกันไว้ที่หน้าท้อง ถามกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “จิ่งเซียว เคยได้ยินประโยคที่บอกว่าอย่าดื่มเหล้ายามเหม่า เพราะจะเมามายถึงยามโหย่วหรือไม่?”
ในบรรดาตำราลับลัทธิเต๋าของป๋ายอวี้จิงแห่งใต้หล้ามืดสลัว มี ‘ตำราใหญ่เกาเจิน’ ชื่อว่า ‘จิ่งเซียวต้าเหลยหล่างซู’
เด็กชายที่ชื่ออู๋จิ่งเซียวยื่นมือมาตบปาก “ไม่เคยได้ยิน ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่ายามเหม่า ยามโหย่วคือยามใด”
นี่ทำให้ถ้อยคำมากมายที่นักพรตร่างเอาไว้ในหัวไม่ได้นำออกมาใช้
เขามีชื่อว่าจ้าวเหวินหมิ่น ฉายานักพรตซงเซวี่ย คือเทียนจวินของลัทธิเต๋าแห่งแผ่นดินกลาง อาจารย์ของจ้าวเหวินหมิ่นคือหนึ่งในหกลูกศิษย์ผู้สืบทอดของฝูลู่อวี๋เสวียน
ก่อนที่จ้าวเหวินหมิ่นจะขึ้นเขา ครอบครัวของเขาเป็นลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อกันมาทุกยุคทุกสมัย ตัวเขาเองก็ยิ่งเป็นเด็กหนุ่มอัจฉริยะ สอบติดเคอจวี่ อายุยังไม่ทันถึงยี่สิบก็รับหน้าที่เป็นขุนนางเรียบเรียงตำราอยู่ในสำนักบัณฑิตฮั่นหลินแล้ว ภายหลังได้พบเจอกับนักพรตเฒ่าขากะเผลกคนหนึ่งที่เรียกตัวเองว่านักพรตโก้ว จากนั้นต่อมาก็ได้รับโชควาสนาตระกูลเซียนอยู่หลายครั้ง สุดท้ายจึงเข้ามาอยู่ในอารามจิงเหว่ย ฝึกมรรคกถา กาลเวลายาวนาน เมื่อสามร้อยปีก่อนอาจารย์ได้ละทิ้งกิจธุระในโลกไปตั้งใจฝึกบำเพ็ญตน ให้เขามารับหน้าที่เป็นเจ้าอาราม ควบคุมดูแลภาพรวม ต่อมาจ้าวเหวินหมิ่นที่เข้าใจผิดคิดว่าอาจารย์ปิดด่านอยู่ในภูเขาด้านหลังก็ถึงกับได้รับข่าวหนึ่งที่ส่งกลับมายังอาราม ถึงได้รู้ที่แท้ว่าอาจารย์รบตายไปบนสนามรบของทักษินาตยทวีปแล้ว
อารามจิงเหว่ยคือสำนักอันดับหนึ่งของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง แม้จะไม่ถือว่าอยู่ในอันดับสูงสุด แต่ก็ไม่ใช่ว่าสำนักทั่วไปจะสามารถทัดเทียมได้
จ้าวเหวินหมิ่นหายใจเข้าออกอย่างเชื่องช้า หากมีผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตบนมาอยู่ด้านข้างก็จะสังเกตเห็นว่าทุกลมหายใจเข้าออกของนักพรตซงเซวี่ยท่านนี้ถึงกับกำลังหลอมโชคชะตาน้ำไปอย่างว่องไว เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่โชคชะตาน้ำมารวมตัวกันเป็นกลุ่มๆ เป็นเส้นๆ จะต้องทยอยหวนกลับคืนไปยังลำคลอง ราวกับว่าการฝึกตนของนักพรตท่านนี้ก็เป็นแค่ขั้นตอนของการหล่อหลอมเท่านั้น หาใช่ผลลัพธ์ไม่
จ้าวเหวินหมิ่นกล่าว “จิ่งเซียว ผู้ฝึกวิชาอบรมตนอย่างแท้จริงเฉกเช่นพวกเรา ยามบำเพ็ญตนตอนเช้า ส่วนใหญ่มักจะทำตอนยามเหม่า เพราะว่าเวลานี้ปราณหยางเพิ่งจะผุดขึ้นมา ปราณหยินยังไม่ขยับ ยังไม่ได้กินอาหารเข้าไป เลือดลมยังไม่ปั่นป่วน”
แล้วก็ไม่สนใจว่าจะเป็นไก่ที่คุยกับเป็ดหรือไม่ หลักการเหตุผลบางอย่าง บางทีเมื่อผู้อาวุโสพูดมากเข้า เด็กๆ ก็จะได้รับการกล่อมเกลาไปเอง จะจดจำไว้ในใจเงียบๆ เพียงแค่รอคอยวันใดวันหนึ่งที่จะเข้าใจมัน
เด็กชายง่วงมาก เขาเอ่ยว่า “การบำเพ็ญตน การบ้านน่ะหรือ เรื่องแค่นี้ข้าจะไม่รู้หรือไร? อยู่โรงเรียนก็ต้องท่องตำราไงล่ะ หากท่องไม่ดีก็จะถูกอาจารย์ตี เป็นนักพรตก็ยังมีการบ้านอีกหรือ”
จ้าวเหวินหมิ่นพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ผู้ที่บำเพ็ญตน ฝึกความสามารถของตัวเอง เข้าใจนิสัยที่แท้จริงของตัวเอง บำเพ็ญวิถีทางของตัวเอง แน่นอนว่าสำคัญอย่างมาก จะเกียจคร้านไม่ได้เด็ดขาด ฝึกอบรมจิตใจบ่มเพาะนิสัย คือบานประตูในการแสวงหาความจริงของลูกศิษย์ลัทธิเต๋าอย่างพวกเราทุกคน แต่เจ้าไม่ต้องรีบร้อน ขึ้นเขาไปแล้วค่อยฝึกตนก็ยังไม่สาย”
เด็กชายฟังแล้วก็รู้สึกง่วงยิ่งกว่าเดิม
จ้าวเหวินหมิ่นจึงยิ้มเอ่ย “ไม่ใช่หน้าที่ข้าที่ต้องตีเจ้าหรอก ทุกวันนี้เจ้าถือว่าเป็นศิษย์…น้องเล็กของข้า”
ไม่ได้บอกความจริงออกไปว่า หากอิงตามลำดับอาวุโสในทำเนียบอย่างแท้จริง อีกฝ่ายต้องเป็นอาจารย์อาน้อยของตน เจ้าอารามเต๋าของอารามจิงเหว่ยผู้นี้เกรงว่าจะทำให้เด็กชายตกใจกลัว
อย่าเห็นว่าเวลาปกติเด็กชายคนนี้คอยสูดน้ำมูกอยู่ตลอด แท้จริงแล้วเป็นเด็กที่ฉลาดมีไหวพริบอย่างมาก
เด็กชายใช้หลังมือเช็ดน้ำมูก “อะไร? ท่านอายุมากขนาดนี้แล้ว มองดูแล้วอย่างน้อยก็ต้องสี่สิบห้าสิบปีกระมัง เพิ่งจะเป็นศิษย์พี่ของข้าเองหรือ? ก็ดีนะ ดูท่าพรรคแห่งนี้ของพวกเราคงมียอดฝีมืออยู่ไม่มาก”
จ้าวเหวินหมิ่นเพียงแค่ยิ้มไม่เอ่ยอะไร ภิกษุไม่บอกนาม นักพรตเต๋าไม่บอกอายุ
พ่อแม่ของเด็กชายได้รับคำสั่งอย่างลับๆ จากขุนนางของที่ว่าการจึงไม่ได้บอกเล่าให้เด็กชายฟังว่าอารามจิงเหว่ยนั้นร้ายกาจแค่ไหน หรือเป็นจวนเซียนสำนักอักษรจงอะไร
เด็กชายค่อยๆ คลี่ยิ้ม รู้สึกอารมณ์ดีอยู่กับตัวเอง “ก็ดีเหมือนกัน สำนักเล็ก คนไม่มาก กฎเกณฑ์ในการเล่าเรียนก็ไม่เข้มงวดไปด้วย วันหน้าข้าจะได้นอนอืดอยู่บนเตียงได้”
“การบ้านอะไรนั่น ศิษย์พี่พูดถูกแล้ว ไม่ต้องรีบร้อน ขึ้นไปบนภูเขาแล้วก็ยังไม่ต้องรีบร้อนเหมือนกัน”
“ศิษย์พี่ท่านบอกมาตามตรงว่าท่านแอบให้เงินพ่อแม่ข้าไปมากแค่ไหน? ขายลูกตัวเองแล้วยังดีใจขนาดนั้น ต้องได้เงินไปไม่น้อยเป็นแน่ ตอนที่เพิ่งออกจากบ้านทำเอาข้าเสียใจแทบตาย”
นักพรตหลุดหัวเราะพรืด ได้แต่เอ่ยปลอบใจว่า “ต้องให้เงินท่านพ่อท่านแม่เจ้าอยู่แล้ว แต่ไม่มากนัก การที่พวกเขาดีใจก็เพราะค่อนข้างเชื่อมั่นในสำนักของศิษย์พี่ ไม่ค่อยกังวลเรื่องการฝึกตนบนภูเขาของเจ้า”
——