กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 806.1 ชุดขาวกับชุดเขียว
เรือราตรี นครหลิงซี
ท่ามกลางแสงสนธยาของวันนี้ หนิงเหยาคิดว่าจะไปเยือนนครแห่งถัดไป นางจึงยกกระบี่ฟันผ่าตราผนึกของเรือราตรีให้คลายออก แสงกระบี่พุ่งทะยานไปยังชั้นเมฆ เพื่อที่จะได้ให้ศาลบุ๋นของแผ่นดินกลางรู้ร่องรอยของเรือราตรีลำนี้
ก่อนจะเดินทาง หนิงเหยาพาเผยเฉียน หมี่ลี่น้อยและเด็กชายผมขาวไปหาเจ้านครหญิงที่ได้รับการขนานนามว่าต้นตำรับแห่งถ้อยคำนุ่มนวลละมุนละไมของใต้หล้าไพศาล นอกจากจะขอบคุณการรับรองต้อนรับจากนครหลิงซีแล้ว ยังช่วยนำความของเจียงซ่างเจินสหายของเฉินผิงอันมาบอกแก่นาง
หลี่ฮูหยินกับเด็กหนุ่มหล่อเหลาที่บนศีรษะมีเขากวางพาคนต่างถิ่นเหล่านี้เดินไปบนสะพานแบบคานที่สูงลอยพ้นเหนือทะเลเมฆ แสงเรืองรองยามสนธยาที่อยู่ใกล้กับสะพานเหมือนผ้าแพรเนื้อดี ราวกับภูษาล้ำค่าสีแดงสดผืนหนึ่งที่ถูกปูแผ่เอาไว้ ทุกคนเดินขึ้นที่สูงมองไปไกล ทัศนียภาพงดงามสบายตาสบายใจ กลิ่นสดชื่นของภูเขาเคล้าไปกับแสงสายัณห์ สกุณาโบยบินหยอกล้อ ฟ้าดินเงียบสงบชวนให้จิตใจคนร่มเย็น
หลี่ฮูหยินพลันไม่สบอารมณ์ เพราะปลายสุดด้านหนึ่งของสะพานมีแขกไม่ได้รับเชิญกลุ่มหนึ่งที่เดินทางมาจากนครสิงหรง
นางชื่นชมหนิงเหยา แต่ไม่ได้หมายความว่านางจะชื่นชอบผู้ฝึกกระบี่ทุกคน
วิถีแห่งกระบี่แห่งใต้หล้าของหนิงเหยาก็เหมือนวิถีแห่งบทวลีของนางที่ไม่พ่ายแพ้ให้กับบุรุษคนใด ไม่ว่าจะเป็นคนในยุคโบราณหรือยุคปัจจุบัน
หนิงเหยาขมวดคิ้วน้อยๆ ไม่รู้ว่าเหตุใดเรือราตรีลำนี้ อยู่ดีๆ ถึงได้มีผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งเพิ่มมาอย่างไร้สาเหตุ
หรือว่าคนผู้นี้มาเพราะมุ่งเป้ามาที่เฉินผงิอัน?
แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย?
หนิงเหยาหันหน้าไปเอ่ยกับหลี่ฮูหยิน “มาหาพวกเราเอง ฮูหยินมองดูเฉยๆ ก็พอ หากไม่ทันระวังต่อสู้กันจนสร้างความเสียหายให้กับนครหลิงซี หลังจบเรื่องข้าต้องชดใช้ให้ตามราคาที่สมควรอย่างแน่นอน”
นางไม่มีเงิน แต่เฉินผิงอันมี
หลี่ฮูหยินพยักหน้ารับ ไม่เต็มใจจะเข้าร่วมความถูกผิดและบุญคุณความแค้นบนภูเขาของไพศาลพวกนี้จริงๆ จึงพาเด็กหนุ่มเขากวางที่ถือกำเนิดจากการจำแลงของโชคชะตาบุ๋นออกไปจากที่แห่งนี้
สิงกวาน ตู้ซานอินลูกศิษย์ผู้สืบทอด สาวใช้จี๋ชิง ร่างจำแลงของบรรพบุรุษแห่งเงิน
ตู้ซานอินเห็นสตรีที่สะพายกระบี่คนนั้นแล้วก็ให้ตื่นเต้นเล็กน้อย เอ่ยเรียกไปคำหนึ่งว่าเซียนกระบี่หนิง จากนั้นก็บอกชื่อแซ่ตัวเอง บอกตรอกที่พักของเขาในกำแพงเมืองปราณกระบี่
จี๋ชิงคลี่ยิ้มหวานหยด ยอบกายคารวะ เรียกคำหนึ่งว่าแม่นางหนิง
หนิงเหยาพยักหน้าตอบกลับคืน
บนใบหน้าที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายมืดทะมึนของสิงกวานมีรอยยิ้มให้เห็นอย่างที่หาได้ยาก เขาแนะนำตัวเองว่า “ข้าชื่อหาวซู่ เมื่อก่อนตอนอยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ก็อยู่ในคุกมาโดยตลอด”
หนิงเหยากระจ่างแจ้งอยู่ในใจ กุมหมัดคารวะ “คารวะผู้อาวุโสสิงกวาน”
นางไม่เคยเจอสิงกวานมาก่อน แต่เคยได้ยินชื่อ ‘หาวซู่’ นี้ เฉินซีที่เปลี่ยนชื่อเป็นเฉินจีอยู่ในนครบินทะยาน เมื่อหลายปีก่อนเคยเล่าเรื่องนี้ให้นางฟัง บอกว่าครั้งหน้าที่เปิดประตู หากคนผู้นี้สามารถมาเยือนใต้หล้าแห่งที่ห้า อีกทั้งยังยินดีที่จะรับตำแหน่งสิงกวานต่อ ก็จะกลายเป็นกำลังช่วยเหลือที่ใหญ่มากของนครบินทะยาน
สิงกวานหาวซู่ แม้ว่าจะมีอคติตามธรรมชาติกับเฉินผิงอัน แต่นั่นก็เพียงแค่เพราะเฉินผิงอันได้ครอบครองพื้นที่มงคลแห่งหนึ่ง
ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของพื้นที่มงคลแห่งใดในใต้หล้า หาวซู่ล้วนไม่มีความรู้สึกดีๆ ด้วยอยู่แล้ว
แต่กับหนิงเหยา เขากลับมีความรู้สึกที่ผู้อาวุโสมีต่อผู้เยาว์อยู่หลายส่วน
และนี่ยังเป็นครั้งแรกที่ตู้ซานอินลูกศิษย์ผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียวได้รู้ชื่อต้องห้ามของอาจารย์ตน
เพียงแต่ไม่รู้ว่าอาจารย์ไม่เคยมีแซ่ หรือจงใจละเว้นไว้ไม่พูดถึง
เด็กชายผมขาวรู้สึกขนหัวลุกจึงขยับเท้าทีละนิดไปยืนอยู่ด้านหลังเผยเฉียน คิดดูแล้วก็รู้สึกว่าไปยืนอยู่ด้านหลังหมี่ลี่น้อยน่าจะมั่นคงยิ่งกว่า ยืนอยู่ด้านหลังเจ้าฟักแคระ นางงอสองเข่าน้อย ตนมองไม่เห็นสิงกวานก็คิดไปว่าสิงกวานเองก็มองไม่เห็นนาง
หาวซู่ชำเลืองตามองเด็กชายผมขาวแล้วใช้เสียงในใจเอ่ยกับหนิงเหยา “ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในนครหรงเม่าถูกอู๋ซวงเจี้ยงมาโรมรัน บีบให้ต้องต่อสู้กันไปรอบหนึ่ง ข้าตัดใจทุ่มชีวิตไม่ลง ดังนั้นจึงได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย”
ตัดใจไม่ลง คำกล่าวของสิงกวานท่านนี้ค่อนข้างจะลุ่มลึกมีนัยให้ขบคิด
หนิงเหยาพยักหน้ารับ
เรื่องของการข้ามขอบเขตสังหารศัตรูของผู้ฝึกกระบี่ เมื่ออยู่บนยอดเขาอย่างแท้จริงจะต้องเจอด่านที่สูงมากด่านหนึ่ง
อู๋ซวงเจี้ยงแห่งตำหนักสุ้ยฉูผู้นั้นสังหารได้ยากแค่ไหน ก่อนหน้านี้ไม่นานหนิงเหยาเพิ่งจะได้สัมผัสมา
หนิงเหยาถาม “หวนกลับมายังไพศาลครั้งนี้ ผู้อาวุโสจะไปแก้แค้นหรือ?”
นางไม่ชอบโอภาปราศรัยกับคนอื่น แล้วก็ไม่ชอบพูดจาวกวนอ้อมไปอ้อมมา หากผู้ฝึกกระบี่ท่านนี้ไม่ใช่สิงกวาน ทั้งสองฝ่ายก็ไม่มีอะไรให้ต้องพูดคุยกันแล้ว
หาวซู่พยักหน้ารับ “ไปแก้แค้น เป็นเรื่องของที่บ้านเกิด ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมีคนผู้หนึ่งชื่อหนันกวงจ้าว ตบะไม่ต่ำ ขอบเขตบินทะยาน แต่ตอนนี้เหลือแค่ขอบเขตอย่างเดียวแล้ว ไม่เชี่ยวชาญการเข่นฆ่า ที่เหลือก็เป็นพวกเศษสวะเหมือนกัน ผ่านไปนานหลายปีขนาดนี้แล้ว ต่อให้ไม่ตายก็ได้แต่มีชีวิตรอดอยู่ไปวันๆ เท่านั้น ไม่มีค่าพอให้พูดถึง เพียงแต่ว่าหลังจากสังหารหนันกวงจ้าวแล้ว หากโชคดีหนีรอดมาได้ ข้าก็จะไปใต้หล้ามืดสลัว โชคไม่ดี คาดว่าคงต้องไปอยู่เป็นเพื่อนหลิวชาในสวนกงเต๋อแล้ว นครบินทะยานก็น่าจะไปเยือนไม่ได้ชั่วคราว ถึงอย่างไรสิงกวานอย่างข้าก็ทำหน้าที่ได้ธรรมดาอยู่แล้ว”
สำหรับบัญชีเก่าทั้งหลายพวกนี้ หนิงเหยาแค่รับฟังไปเท่านั้น
อยู่ดีๆ สิงกวานผู้นี้ก็เอ่ยขึ้นว่า “หาใครมาเป็นคู่รักไม่หา ดันหาเฉินผิงอันมาเสียได้”
หนิงเหยาส่ายหน้า “เรื่องนี้ผู้อาวุโสไม่มีสิทธิ์มาเจ้ากี้เจ้าการ”
เด็กชายผมขาวแอบหันหน้าไปมองแล้วก็แอบยกนิ้วโป้งให้ คำพูดประเภทนี้ก็มีแต่หนิงเหยาจริงๆ ที่กล้าพูด
ดูเข้าสิ สิงกวานอะไรกัน ไม่กล้าแม้แต่จะผายลม โอ้โห ยังหัวเราะอีกด้วย ทำไมเจ้าไม่หัวเราะให้ฟันร่วงไปเลยเล่า?
หาวซู่เหล่ตามองไปทางฝั่งนั้น
เด็กชายผมขาวรีบหลบกลับไป ย่นคอทันใด
หมี่ลี่น้อยไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น สนแต่จะถือไม้เท้าเดินป่า ยืนนิ่งไม่ขยับ ช่วยบังลมบังฝนให้กับเจ้าฟักแคระผมขาวที่อยู่ข้างหลัง
แม่นางน้อยชุดดำยิ้มกว้างให้กับบุรุษผู้นั้น ก่อนจะรีบเปลี่ยนมาเป็นเม้มปากยิ้ม
หาวซู่พยักหน้ายิ้มให้ ถือว่าทักทายกับแม่นางน้อยแล้ว
หมี่ลี่น้อยรีบเลียนแบบเจ้าขุนเขาคนดี กอดไม้เท้าสีเขียวไว้ในอ้อมอก ก้มหน้ากุมหมัด ก็เป็นคนเก่าแก่ในยุทธภพแล้วนี่นะ
หนิงเหยาเอ่ยแนะนำ “หมี่ลี่น้อยคือผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาของภูเขาลั่วพั่ว”
หาวซู่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ภูเขาบ้านเกิดของเฉินผิงอันให้ภูตน้อยที่เป็นแค่ขอบเขตถ้ำสถิตมาทำหน้าที่เป็นผู้ถวายงานปกป้องภูเขาเนี่ยนะ?
บุรุษยืนอยู่กลางสะพาน สภาพจิตใจของคนมาเยือนไม่เหมือนกัน ต่อให้ทัศนียภาพจะเป็นแบบเดียวกันก็ยังเป็นความรู้สึกคนละแบบ
ภูเขาเยียบเย็นเหน็บหนาวเหลือเพียงเสี้ยวแสงสว่าง ต้นหญ้าขาวโพลนใบไม้แห้งแดงดอกไม้เหลืองโรย
บุรุษที่เดิมทีคิดว่าแค่มาทักทายหนิงเหยาก็จะจากไปเกิดลังเลอยู่พักหนึ่ง ก่อนใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “ให้เขาระวังแผนการในมุมมืดบางอย่างหน่อย คาดว่าน่าจะมีคนอยู่ประมาณยี่สิบกว่าคน กระจายอยู่เก้าทวีป ส่วนเป็นใครกันบ้าง เพราะติดที่คำสัญญา ข้าจึงไม่อาจพูดมากแล้ว”
บอกกล่าวได้แค่เท่านี้แล้ว
ต่อให้พูดได้ เขาเองก็คร้านจะพูด
หนิงเหยายิ้มกล่าว “ใครควรระวังก็ยังไม่แน่”
หาวซู่ถอนหายใจ หรือว่าสตรีทุกคนบนโลก ไม่ว่าชอบใครก็ล้วนไร้เหตุผลแบบนี้เหมือนกันหมด?
หาวซู่เอ่ย “หากไม่พูดถึงอคติอย่างไร้เหตุผลนั้นของข้า เขาเป็นอิ่นกวานก็เป็นได้อย่างเหนือความคาดฝันของทุกคนจริงๆ นี่ไม่ง่ายเลย”
หนิงเหยาเอ่ย “ข้าไม่รู้สึกว่าเหนือความคาดฝัน”
หาวซู่สะอึกอึ้งพูดไม่ออก
จี๋ชิงแอบหัวเราะ หนิงเหยาผู้นี้กับอิ่นกวานหนุ่ม ดูเหมือนว่านิสัยจะตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง คนสองคนมาอยู่ด้วยกันได้อย่างไรนะ
หาวซู่ยิ้มเอ่ย “หลายปีที่อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ เมื่อเทียบกันแล้ว ไม่ว่าจะเทียบกับเซียวสวิ้นหรือเฉินผิงอัน ข้าที่เป็นสิงกวานนับว่าไร้ประโยชน์มากที่สุด รอให้ทำตามความปรารถนาครั้งนี้ได้สำเร็จ ชำระบัญชีเก่ากับศัตรูเรียบร้อย วันหน้าขอแค่ยังมีโอกาส ใช้สถานะของผู้ฝึกกระบี่เต็มตัวออกกระบี่ให้กับนครบินทะยาน ก็ถือว่าอยู่ในความรับผิดชอบของข้า”
หนิงเหยากุมหมัดขอบคุณ
หาวซู่เอ่ยขอตัวลาจากไป กระบี่แหวกม่านราตรี พาลูกศิษย์ผู้สืบทอดและสาวใช้ออกไปจากเรือราตรีด้วยกัน หลังจากจัดการหาที่พักให้คนทั้งสองเรียบร้อยแล้วก็จะเดินทางไปเยือนทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางอย่างเงียบเชียบเพียงลำพัง ส่วนพื้นที่มงคลร้อยบุปผาแห่งนั้นคงไม่ไปแล้ว ต่อให้คิดถึงก็ไร้ประโยชน์ พบเจอสู้ไม่ต้องเห็นหน้ากันจะดีกว่า
ออกมาจากเรือราตรี ท่ามกลางมหาสมุทรกว้างใหญ่ไม่รู้ว่าอยู่ตำแหน่งใด หาวซู่มองดวงดาวบนม่านราตรีแล้วก็หาตำแหน่งที่แม่นยำจุดหนึ่ง ตอนที่ทะยานลมไป หาวซู่ได้เอ่ยเตือนลูกศิษย์ผู้สืบทอดไปด้วยว่า “ตู้ซานอิน จำคำสัญญานั้นไว้ให้ดี เรียนเวทกระบี่สำเร็จแล้วจำเป็นต้องสังหารโจรเด็ดบุปผาบนภูเขาของใต้หล้าไพศาลให้หมดสิ้น หากเจ้าผิดคำสัญญา ต่อให้ข้าไม่อาจไปถามกระบี่ได้ด้วยตัวเอง เจ้าก็ยังต้องตายอยู่ดี”
ก่อนหน้านี้ตู้ซานอินใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอยู่บ้าง พอได้ยินประโยคนี้ก็ขนลุกชัน รีบเอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “อาจารย์ ศิษย์จะต้องรักษาสัญญาอย่างแน่นอน ชีวิตนี้เมื่อข้าได้เลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยานก็คือวันเวลาที่โจรเด็ดบุปผาบนภูเขาจะสาบสูญไป”
ไม่รู้ว่าอาจารย์มีความเกี่ยวข้องอะไรกับพื้นที่มงคลร้อยบุปผาแห่งนั้น ถึงเป็นเหตุให้อาจารย์เคียดแค้นโจรเด็ดบุปผาบนภูเขามากมายเพียงนี้
หาวซู่พยักหน้า “มีจี๋ชิงอยู่ข้างกายเจ้า ต่อให้วันหน้าเจ้าอยากจะก่อสำนักตั้งพรรคก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่ในอนาคตเมื่อมีภูเขาเป็นของตัวเองแล้ว ในศาลบรรพจารย์ก็อย่าแขวนภาพเหมือนของข้าเลย เจ้าก็ถือเสียว่าตัวเองคือผู้ฝึกตนอิสระแห่งป่าเขา ไม่มีการสืบทอดจากอาจารย์อะไร ตู้ซานอินก็คือบรรพจารย์เปิดภูเขา แต่หากเจอกับด่านยาก ขอแค่ข้าสามารถออกกระบี่ได้ ข้าก็รับปากว่าจะช่วยเจ้าออกกระบี่สามครั้ง ข้าจะมอบจดหมายลับฉบับหนึ่งไว้ให้จี๋ชิง เมื่อเจ้าตกอยู่ในสถานการณ์อับจน มันก็คือทางถอยของเจ้า จำไว้ว่าห้ามอ่านจดหมายก่อนถึงเวลานั้น”
หาวซู่แหงนหน้ามองม่านฟ้าแวบหนึ่ง
ตอนที่ข้ายังเป็นเด็กหนุ่ม ใจร้อนหยิ่งทระนงถึงเพียงใด ไม่ต้องการลาภยศ ไม่แสวงหาอำนาจ (มาจากประโยค 向秀甘澹薄 เซี่ยงซิ่ว กานตั้นป๋าว) ใจมุ่งมั่นฝักใฝ่อยู่แต่กับบทประพันธ์อันยิ่งใหญ่ (หาวซู่แปลว่ากระดาษและพู่กัน เปรียบเปรยถึงผลงานการประพันธ์)
ตระหนักได้ว่าความถูกต้องของวันวานคือความผิดพลาดของวันนี้ เคยได้เห็นจันทร์เต็มดวงมากี่ครา
ตู้ซานอินมีนิสัยระมัดระวังรอบคอบ เรื่องใดที่ไม่เหมาะให้ถามเขาจะไม่มีทางถามมากแม้แต่ประโยคเดียว ยามที่อยู่กับหาวซู่จึงไม่ได้ทำตัวผ่อนคลายตามแต่ใจเหมือนกับสาวใช้อย่างจี๋ชิง
จี๋ชิงถามอย่างใคร่รู้ว่า “นายท่าน พวกเราจะไม่ไปดูที่พื้นที่มงคลร้อยบุปผากันจริงๆ หรือ?”
ถึงอย่างไรนางก็ยังหวังว่าจะได้อยู่ข้างกายสิงกวานอีกหลายๆ วัน อันที่จริงความประทับใจที่นางมีต่อตู้ซานอินผู้นี้ธรรมดาอย่างมาก
หาวซู่ส่ายหน้า “ไม่ไปแล้ว วันหน้าเจ้ากับตู้ซานอินสามารถไปเที่ยวเล่นกันเองได้”
จี๋ชิงคิดแล้วก็ไม่เข้าใจอยู่บ้าง จึงทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด
หาวซู่เอ่ย “ไม่ต้องถามมาก”
จี๋ชิงคลี่ยิ้มเขินอาย
ในความเป็นจริงแล้วคนที่หาวซู่คิดถึงคำนึงหาไม่อาจลืมเลือนอย่างแท้จริง ไม่ใช่เหนียงเนียงเทพีบุปผาของพื้นที่มงคลร้อยบุปผาท่านนั้น นางก็แค่มีรูปโฉมคล้ายสตรีคนหนึ่งของบ้านเกิดเท่านั้น ปีนั้นหลังจากที่หาวซู่ออกกระบี่สังหารผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนคนหนึ่งไปแล้ว เพื่อหลบเลี่ยงหายนะก็ได้หลบหนีไปซ่อนตัว ด้วยโชควาสนาอำนวยจึงหนีไปถึงพื้นที่มงคลร้อยบุปผา เคยมีช่วงเวลาอันเงียบสงบที่พักรักษาบาดแผลและฝึกกระบี่อยู่ที่นั่นนานหลายปี
ก่อนที่พื้นที่มงคลบ้านเกิดของเขาจะบินทะยานมายังใต้หล้าไพศาล อันที่จริงเขาเคยมีสัญญากับสตรีนาหนึ่ง จะต้องกลับไปหานางให้ได้
หาวซู่ในเวลานั้นเปี่ยมไปด้วยปณิธานอันห้าวหาญ มองเรื่องของการ ‘บินทะยาน’ ที่มีบันทึกอยู่ในตำราโบราณเป็นของในกระเป๋าตัวเอง เอ่ยคำสาบานว่าจะต้องบุกเบิกมหามรรคาสายหนึ่งที่สามารถเดินขึ้นฟ้าเป็นอมตะไม่ดับสลายให้กับสรรพชีวิตของใต้หล้าบ้านเกิดให้จงได้
ผู้ที่บุกเบิกเส้นทางสายใหม่ให้คนรุ่นหลัง คือข้าหาวซู่
เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าเพราะการ ‘บินทะยาน’ ของเขาจะชักนำให้สำนักใหญ่แห่งต่างๆ ของใต้หล้าไพศาลจับจ้องพื้นที่มงคลบ้านเกิดด้วยความละโมบ สุดท้ายเป็นเหตุให้พื้นที่มงคลปริแตก ขุนเขาสายน้ำจมดิ่ง สรรพชีวิตมอดม้วย
รอกระทั่งผู้ที่ออกเดินทางไกลได้หวนคืนกลับไปอีกครั้ง มาตุภูมิหมื่นลี้ก็ไม่เหลือคนรู้จักอยู่อีกแล้ว
ดังนั้นสิงกวานแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ท่านนี้ถึงได้ไม่ชอบเจ้าของพื้นที่มงคลทุกคน แต่คนที่บุรุษชิงชังอย่างแท้จริงคือหาวซู่ คือตัวเขาเอง
ทางฝั่งของนครหลิงซี เนื่องจากการออกกระบี่เพื่อฝ่าตราผนึกออกไปจากเรือข้ามฟากในภายหลังของสิงกวาน หนิงเหยาจึงเป็นกังวลว่าเฉินผิงอันจะเข้าใจผิดคิดว่าตัวเองมีความขัดแย้งกับสิงกวาน จึงบอกกล่าวกับหลี่ฮูหยินเจ้านครเอาไว้ก่อน จากนั้นจึงใช้กระบี่เปิดเรือราตรี พาพวกเผยเฉียนไปยังนครแห่งถัดไป
หนิงเหยายิ้มถาม “หมี่ลี่น้อย จำได้หรือไม่ว่าข้าส่งกระบี่ออกไปกี่ครั้ง?”
หมี่ลี่น้อยครุ่นคิดด้วยสีหน้าจริงจัง “จำไม่ได้แล้ว ดูเหมือนว่าจะไม่เยอะนะ”
หนิงเหยายิ้มเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นก็ดี”
เผยเฉียนที่สะพายตะกร้าไม้ไผ่ใบใหญ่ผ่อนหายใจโล่งอก ในใจแอบจดคุณความชอบของหมี่ลี่น้อยลงในสมุดบัญชีเงียบๆ อีกครั้ง
หมี่ลี่น้อยทอดถอนใจหนึ่งที ใช้ไม้เท้าทิ่มถนนบนพื้นพลางเกาแก้ม พูดอย่างน่าสงสารว่า “แม้ว่าเจ้าขุนเขาคนดีจะไปทำธุระสำคัญ แต่ทุกวันต้องรู้สึกว่าหนึ่งวันยาวนานราวกับหนึ่งปีแน่นอนล่ะ คิดดูแล้วก็ช่างน่าสงสารยิ่งนัก”
เด็กชายผมขาวยกมือตบหน้าผากแล้วเอามือถูหน้าตัวเองแรงๆ หมี่ลี่น้อยผู้นี้เป็นผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขาของภูเขาลั่วพั่วอย่างไม่เสียเปล่าเลยสักนิด
เผยเฉียนถาม “อาจารย์แม่ ผู้ฝึกกระบี่ของนครบินทะยานจะคิดถึงอาจารย์พ่อหรือไม่?”
หนิงเหยาพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “คิดถึงสิ”
เผยเฉียนสองจิตสองใจ “มีความทรงจำที่ดีไหม?”
หนิงเหยาผงกศีรษะ “คนแก่ คนหนุ่มสาว ล้วนมีความทรงจำที่ไม่แย่ต่อเขา แต่แน่นอนว่าก็ต้องมีคนที่ไม่รู้สึกดีด้วย แต่จำนวนต้องมีน้อยมากแน่นอน”
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ฝึกกระบี่ ผู้ฝึกลมปราณและผู้ฝึกยุทธรุ่นเยาว์ของนครบินทะยาน
พวกเขามีความรู้สึกอย่างไรต่อใต้เท้าอิ่นกวานที่อยู่บนหัวกำแพงเมืองเพียงลำพัง?
โชคดีที่เป็นคนกันเอง
เผยเฉียนยิ้มเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นวันหน้าข้าก็จะไปหาประสบการณ์ที่ใต้หล้าแห่งนั้นนะ?”
หนิงเหยาคิดแล้วก็รู้สึกว่า นี่มันหลักการเหตุผลอะไรกัน?
กลางสะพานของนครหลิงซี เด็กหนุ่มเขากวางเอาสองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ ถามเสียงเบาว่า “นายท่านจะถอนตัวออกจากตำแหน่งเจ้านครจริงๆ หรือ? ควรจะยกให้ใครดีล่ะ? ผ่านมานานหลายปีขนาดนี้ แขกที่ไปๆ มาๆ อยู่บนเรือข้ามฟากมีมากมาย นายท่านก็ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ ผู้ฝึกตนที่พักอยู่ในนคร นายท่านก็ไม่เคยเห็นอยู่ในสายตา และพวกเรากับคนนอกเรือข้ามฟากก็ไม่เคยมีการติดต่ออะไรกัน”
หลี่ฮูหยินยิ้มเอ่ย “วางใจเถอะ ไม่มีทางให้เซียนฉาผู้นั้นมาเป็นเจ้านครแน่นอน”
เด็กหนุ่มเขากวางยื่นนิ้วข้างหนึ่งมานวดคลึงจุดไท่หยาง เพียงแค่คิดถึงคนพายเรือเฒ่าผู้นั้นก็ทำให้เขาหงุดหงิดงุ่นง่านใจแล้ว
เมื่อหลายปีก่อน เซียนฉาล่องเรือออกทะเลมาเจอกับเรือราตรีเข้าโดยบังเอิญ ครั้งนั้นข้างกายไม่มีลู่เฉิน แต่กระนั้นก็ยังยืนกรานว่าจะขึ้นเรือมาอีกครั้ง บอกว่าจะต้องพบกับหลี่ฮูหยิน เอ่ยขอบคุณนางต่อหน้าให้จงได้ ไม่มีต้นสายปลายเหตุ นครหลิงซีจึงไม่เปิดประตูให้ เซียนฉาผู้นั้นจึงป้วนเปี้ยนไปมาตามนครใหญ่แห่งต่างๆ ของเรือราตรี เจอกับอุปสรรคไปตลอดทาง กินน้ำแกงประตูปิดที่นี่ หน้าม้านที่นั่น ทุกๆ สามวันห้าวันคนพายเรือเฒ่าก็จะอดด่าคนไม่ไหว ด่าเสร็จก็ถูกตี ถูกตีเสร็จก็วิ่งหนีหายไป วิ่งเสร็จก็ด่าอีก ตีเสร็จก็ด่าใหม่ องอาจห้าวหาญยิ่ง…
คนพายเรือเฒ่าเสียเวลาไปถึงหนึ่งร้อยปีเต็ม แต่ก็ยังดื้อด้าน ยืนกรานว่าจะต้องไปเยือนนครหลิงซีรอบหนึ่งก่อนถึงจะยอมลงจากเรือ ดูจากท่าทางแล้ว ขอแค่วันหนึ่งไม่อาจเข้าไปในนครหลิงซีได้ เซียนฉาก็จะเตร็ดเตร่อยู่บนเรือราตรีไปเรื่อยๆ อย่างนั้น
สุดท้ายนายท่านทนมองต่อไปไม่ไหวจริงๆ อีกทั้งยังได้รับคำสั่งมาจากอาจารย์จางเจ้าของเรือ ฝ่ายหลังไม่ยินดีให้เซียนฉามาเตร่อยู่บนเรือราตรีนานเกินไปนัก เพราะไม่แน่ว่าอาจจะถูกเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิงติดใจ หากลู่เฉินที่อยู่ห่างไปโดยมีหนึ่งใต้หล้ากั้นขวางอาศัยโอกาสมาครอบครองความลี้ลับทั้งหมดของมหามรรคาเรือข้ามฝาก ไม่แน่ว่าหากไม่ทันระวัง เรือราตรีก็อาจจะออกจากไพศาลล่องลอยไปยังใต้หล้ามืดสลัวโดยตรง มีเรื่องอะไรบ้างที่ลู่เฉินทำออกมาไม่ได้? ถึงขั้นพูดได้ว่าเจ้าลัทธิสามของป๋ายอวี้จิงท่านนี้ มีแต่จะชอบทำในเรื่องที่คนบนโลกไม่ทำทั้งนั้น
——