กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 808.1 ภาษาใบ้ของหุ่นไม้
ท่าเรือแต่ละแห่งล้วนมีเรือที่หวนกลับมา โชคดีที่เจอกับช่วงเวลาเหมาะสม คลื่นลมสงบนิ่ง
บัณฑิตชุดเขียวสองคนที่อายุต่างกันยืนเคียงบ่ากันอยู่ริมหน้าผา สีสันของท้องฟ้าและมหาสมุทรกลืนเป็นสีเดียวกันอย่างเป็นธรรมชาติ
ก็ไม่แปลกที่คนล่างภูเขามากมายขนาดนั้นจะตามหาร่องรอยเซียนตามภูเขาหน้าผา
เฉินผิงอันประหลาดใจเล็กน้อย เพราะตอนที่มาเป็นหลี่เซิ่งที่เชื้อเชิญ คอยคุ้มกันเขาไปตลอดทางกระทั่งเข้าร่วมการประชุมที่ศาลบุ๋น ตอนที่จากไปก็ยังคงเป็นหลี่เซิ่งที่มาส่ง ส่งมาตลอดทางกระทั่งมาถึงริมชายฝั่งของมหาสมุทรบูรพาแห่งทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง คล้ายกำลังรอคอยให้เรือราตรีลำนั้นมาถึง
แน่นอนว่าเขาคิดไม่ถึงว่าจะเป็นเพราะอาจารย์ของตนใช้เหตุผลที่ว่า ‘พบเจอด้วยดีจากลากันด้วยดีจะประเสริฐอย่างมาก’ ถึงโน้มน้าวหลี่เซิ่งให้เดินทางมาส่งลูกศิษย์คนสุดท้ายของตัวเองอีกรอบได้
หลี่เซิ่งยิ้มกล่าว “ในด้านการทำการค้า เจ้ามีฝีมือที่ยอดเยี่ยมมาก”
เฉินผิงอันเขินอายเล็กน้อย เขาร่วมการประชุมครั้งนี้ ตนไม่เคยอยู่ว่างเลยจริงๆ
หลี่เซิ่งหัวเราะ อันที่จริงกำลังเอ่ยสัพยอกอิ่นกวานหนุ่มที่หลงใหลในเงินทองผู้นี้ว่าทำการค้าพลาดไปเรื่องหนึ่ง ก่อนหน้านั้นตอนที่อยู่หน้าประตูศาลบุ๋น มีลู่จือคอยสานสะพานความสัมพันธ์ให้ เดิมทีฮูหยินภูเขาชิงเสินยินดีจะมอบต้นไผ่หลายต้นให้ภูเขาลั่วพั่วเปล่าๆ แล้ว ผลคือเจ้าเด็กนี่ทะเล่อทะล่าเข้าไป ไม่เพียงแต่ต้องจ่ายเงินซื้อ คาดว่าเวลานี้ก็คงยังรู้สึกว่าตัวเองได้กำไรอยู่เลยกระมัง?
เฉินผิงอันปลุกความกล้าถามอย่างระมัดระวังว่า “ขอถามคำถามข้อหนึ่งกับหลี่เซิ่งได้หรือไม่ เหตุใดถึงตั้งชื่อให้ใต้หล้าแห่งที่ห้าว่าห้าสี?”
หลี่เซิ่งยิ้มบางๆ “เจ้าสามารถเข้าใจว่าเป็นความคาดหวังอย่างหนึ่งของปรมาจารย์มหาปราชญ์ได้ ยกตัวอย่างเช่นหวังให้ร้อยบุปผาเบ่งบานพร้อมกัน ห้าสีละลานตา เป็นความงดงามยิ่งใหญ่ของโลกมนุษย์”
รู้ว่าเจ้าเด็กนี่ดีดลูกคิดอะไรอยู่ แต่หลี่เซิ่งไม่อยากให้เขาสมปรารถนา นครบินทะยานได้ยึดครองความได้เปรียบไปก่อนใครอยู่ในใต้หล้าห้าสีอย่างเต็มที่แล้ว หากศาลบุ๋นยังแหกกฎให้ทำเรื่องนี้อีก ไม่เหมาะสม
เห็นว่าหลี่เซิ่งไม่คิดจะเปิดเผยความลับสวรรค์ เฉินผิงอันก็ได้แต่ล้มเลิกความคิด แววตาน้อยนิดแค่นี้เขายังพอมีอยู่บ้าง
หลี่เซิ่งกล่าวว่า “เจ้ามักจะออกเดินทางไกลอยู่ตลอด คบค้าสมาคมกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำอยู่เป็นประจำ รู้สึกอย่างไรบ้าง?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็เอ่ยว่า “ดูเหมือนว่าส่วนใหญ่จะค่อยๆ รู้สึกเหนื่อยหน่ายกับคนบนโลกมนุษย์”
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เลื่อนขั้นใหม่มักจะเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น ไม่ว่าความตั้งใจเดิมจะคืออะไร บ้างก็เป็นดึงเอาแก่นของควันธูปมาหล่อหลอมร่างทอง หรือสร้างความผาสุกให้กับพื้นที่หนึ่งอย่างระมัดระวัง ไม่ว่าอาณาเขตในการปกครองของขุนเขาสายน้ำของแต่ละฝ่ายจะน้อยหรือใหญ่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำที่รับผิดชอบช่วยจักรพรรดิดูแลจัดการหยินหยางก็ล้วนมีเรื่องมากมายให้ต้องทำ แต่เมื่อเวลานานวันเข้า ขุนเขาสายน้ำยังสงบสุขปลอดภัย ทุกเรื่องก็แค่ทำไปตามลำดับขั้นตอน สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำยังมีเส้นทางที่ไม่เหมือนกับผู้ฝึกตน ไม่จำเป็นต้องตั้งใจฝึกบำเพ็ญตนอย่างยากลำบาก เวลาผ่านไปนานวัน ต่อให้ร่างทองของสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะยังคงเปล่งประกายเรืองรอง แต่บนร่างก็จะต้องมีกลิ่นอายความแก่ชรา ความเหนื่อยล้า ความหมดอาลัยตายอยากปรากฏบ้างไม่มากก็น้อย
พูดมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็เอ่ยว่า “แต่ก็มีข้อยกเว้นอยู่มากมาย ยกตัวอย่างเช่นเทพวารีลำคลองม่ายเหอของราชวงศ์ต้าเฉวียนใบถงทวีป ดูเหมือนว่าต่อให้ผ่านไปอีกหนึ่งพันปี นางก็จะยังเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา จิตใจผูกพันกับชาวบ้าน ไม่เห็นว่าตัวเองเป็นเหนียงเนียงเทพวารีอะไร”
หลี่เซิ่งยิ้มอย่างรู้ทัน
ไม่ใช่คนบ้านเดียวกันก็ไม่เดินเข้าประตูบานเดียวกัน
ซิ่วไฉเฒ่าพร่ำพูดอยู่หลายครั้งก็ช่างเถิด เอ่ยชื่นชมเหนียงเนียงเทพวารีคำรบใหญ่บอกว่านาง ‘นิสัยอ่อนโยนอ่อนหวาน รับรองแขกอย่างกระตือรือร้น เลื่อมใสอีกทั้งยังเข้าใจในความรู้ของสายหลี่เซิ่งและเหวินเซิ่งอย่างทะลุปรุโปร่ง’ และในบรรดาลูกศิษย์ของซิ่วไฉเฒ่า นอกจากเฉินผิงอันที่อยู่ข้างกายแล้วยังถึงขั้นที่ว่าแม้แต่จั่วโย่วที่ไม่เคยสนใจเรื่องใดก็ยังพูดถึงเทพวารีลำคลองม่ายเหอแห่งตำหนักปี้โหยวเป็นพิเศษ เพียงแต่ว่าลูกศิษย์สองคนของซิ่วไฉเฒ่าพูดจาอย่างเป็นกลางหน่อย แค่ประโยคสองประโยค ไม่ทำให้คนรำคาญใจ แต่น้ำหนักในคำกล่าวนั้นก็ไม่เบา
ด้วยเรื่องนี้ ก่อนหน้านั้นตอนที่อยู่ศาลบุ๋น หลี่เซิ่งยังให้จิงเซิงซีผิงหาเอกสารออกมา ตรวจสอบเอกสารเกี่ยวกับลำคลองม่ายเหอต้าเฉวียนอย่างละเอียด
หลี่เซิ่งถาม “รู้หรือไม่ว่าที่นี่คือสถานที่อะไร?”
เฉินผิงอันพยักหน้า ระหว่างที่เดินทางมาเขาได้เหลือบตามองไปแวบหนึ่ง คือสำนักบนภูเขาแห่งหนึ่งที่มีปราณวิญญาณฟ้าดินเข้มข้นอย่างยิ่ง ปราณวิญญาณมารวมตัวกันเหมือนแม่น้ำลำคลองหลายสายที่ลอยอยู่กลางอากาศ ล้อมวนอยู่รอบภูเขาหลายลูก พลังอำนาจยิ่งใหญ่น่าเกรงขาม หากไม่ผิดไปจากที่คาดก็น่าจะเป็นสำนักซานไห่ในตำนาน ทั้งบนและล่างภูเขาล้วนมีแต่ผู้ฝึกตนหญิง เล่าลือกันว่าบรรพจารย์ผู้บุกเบิกภูเขาของสำนักซานไห่คือสตรีผู้หนึ่งที่มีชื่อว่าน่าหลันเซียนซิ่ว เชี่ยวชาญวิชาอัคคี เคยตั้งปณิธานยิ่งใหญ่ เอ่ยคำสาบานไว้ว่าจะย้ายภูเขามาเติมสี่มหาสมุทรให้ราบเรียบ
ในอาณาเขตของที่นี่เล่าลือกันว่ามีเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้นเยอะมาก มีนกเสวียนเหนี่ยวมาเพิ่มอายุขัยให้ยืนยาว มีลิงมาชมทะเล มีจิ้งจอกมากราบไหว้ดวงจันทร์ มีเทียนโก่วมากินดวงอาทิตย์ (เทียนโก่ว แปลตรงตัวคือสุนัขสวรรค์ เป็นสัตว์ชนิดหนึ่งในตำนานของจีน เทียนโก่วกินดวงอาทิตย์ก็คือการเกิดสุริยุปราคา)
ท่ามกลางสงครามครั้งนั้น น่าหลันเซียนซิ่วออกทะเล แล้วก็เป็นนางที่ไปเจอปีศาจใหญ่บนบัลลังก์หย่างจื่อก่อนใคร ได้ยินมาว่าผ่านการเข่นฆ่ามาครั้งหนึ่ง บนร่างมีบาดแผลสาหัสรุนแรงจนจำต้องปิดด่านรักษาตัว ดังนั้นครั้งนี้จึงไม่ได้เข้าร่วมการประชุมของศาลบุ๋น การที่หย่างจื่อถูกศาลบุ๋นกักตัวไว้ในกลุ่มภูเขาเตาโอสถเหล่าจวินได้ บรรพจารย์เปิดภูเขาของสำนักซานไห่ท่านนี้ถือว่ามีคุณความชอบเป็นอันดับหนึ่ง
เฉินผิงอันไม่รู้สึกแปลกใหม่กับสำนักที่ตั้งอยู่บนยอดเขาของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางพวกนี้ แล้วนับประสาอะไรกับที่สำนักซานไห่ยังมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับสกุลหลิวธวัลทวีป ภูเขาชิงเสินถ้ำสวรรค์จู๋ไห่และตระกูลอวี้ของราชวงศ์เสวียนมี่ เป็นสถานที่จำนวนน้อยนิดของในปีนั้นที่เปิดประตูต้อนรับซิ่วหู่ชุยฉานอยู่ตลอดเวลา เกี่ยวกับเรื่องนี้เฉินผิงอันเคยถามศิษย์พี่จั่วโย่ว จั่วโย่วบอกว่าเป็นเพราะในสำนักซานไห่มีผู้ฝึกตนหญิงที่เป็นบรรพจารย์ท่านหนึ่ง หรือก็คือลูกศิษย์ผู้สืบทอดของบรรพจารย์น่าหลันที่ชื่นชอบชุยฉาน แล้วยังเป็นรักแรกพบของนาง ภายหลังสำนักซานไห่ยินดีปกป้องชุยฉานที่หนีหัวซุกหัวซุนไว้อย่างเปิดเผย ก็เป็นเพราะว่าสำนักแห่งนี้มีคุณธรรมน้ำใจ แต่ที่มากกว่ากลับเป็นเรื่องความรักของชายหญิง
แรกเริ่มเฉินผิงอันก็เชื่อ ภายหลังเจอกับคนเฝ้าศาลของถ้ำสวรรค์ฉานเจวียนที่ ‘ส่งสายตาไปมา เป็ดคุยกับไก่’ กับศิษย์พี่จั่วโย่ว จึงเริ่มกึ่งเชื่อกึ่งกังขาในเรื่องนี้
หลี่เซิ่งมองไปยังทิศไกล
ชีวิตคนเหมือนนักท่องเที่ยวที่เดินถือเทียนเดินทางยามค่ำคืน ล่องลอยเตร็ดเตร่ไปทั่วทุกหนแห่ง ดุจนกนางนวลเดียวดายในฟ้าดิน
หลี่เซิ่งยิ้มกล่าว “ภาระหน้าที่หนักอึ้งหนทางยาวไกล วันหน้าหากพบเจอเรื่องยากลำบากก็มาที่ศาลบุ๋นบ่อยๆ ต่อให้ครั้งสองครั้งที่มาขอร้องแล้วไม่ได้ผล แต่ก็อย่าผิดหวังง่ายๆ”
อะไรคือคำว่าผิดหวัง ก็หนีไม่พ้นว่าหลังจากที่มานะพยายามอย่างเต็มที่แล้วจำต้องขอร้อง ขอร้องแล้วกลับไร้ประโยชน์ ราวกับว่าไม่ว่าจะขอร้องกับฟ้าดินหรือกับคนก็ล้วนไม่มีหวัง
ซิ่วไฉเฒ่าเคยพยายามขอร้องในทุกวิถีทางให้กับลูกศิษย์สองคน
และลูกศิษย์คนสุดท้ายนี้ของซิ่วไฉเฒ่า หากหลี่เซิ่งจำไม่ผิด ตอนที่เป็นเด็กหนุ่มก็เคยขอร้องคนไปทั่วบ้านเกิด แต่ก็ไร้ประโยชน์เช่นเดียวกัน
หลี่เซิ่งเอ่ยต่อไปว่า “ลัทธิพุทธกล่าวว่าสติปัญญาทั้งปวงล้วนมาจากความเศร้าโศกใหญ่หลวง ข้ารู้สึกว่าคำกล่าวนี้มีเหตุผลอย่างมาก”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ข้าจะคิดให้มากๆ”
อะไรคือความทุกข์ยาก
บางทีอาจเป็นหุ่นไม้ข้างทางที่เป็นใบ้ไร้เสียง
ขุนเขาสายน้ำของหลายทวีปในใต้หล้าไพศาลทุกวันนี้ ยกตัวอย่างเช่นทางทิศใต้ของแจกันสมบัติทวีป และยังมีใบถงทวีปทั้งแห่ง ทุกวันนี้มีเมืองผีเพิ่มขึ้นมาเยอะมาก
หลี่เซิ่งกล่าว “เฉินผิงอัน ข้าจะต้องจากไปก่อนแล้ว ผ่านไปอีกประมาณครึ่งชั่วยาม เรือราตรีจะออกจากกุยซวีแห่งหนึ่งมาจอดเทียบท่าที่นี่เพื่อรับเจ้าขึ้นเรือ”
เฉินผิงอันประสานมือคารวะอย่างนอบน้อม
นาทีถัดมาข้างกายก็ไม่มีหลี่เซิ่งอีกต่อไป จากนั้นเฉินผิงอันก็ยืนอึ้งอยู่ที่เดิม
ที่แท้ห่างออกไปเจ็ดแปดจั้งมีคนสามคนที่คล้ายกำลังชมทิวทัศน์อยู่ที่นี่
คนสามคนนั้นก็ประหลาดใจมากเหมือนกัน มีแต่จะรู้สึกแปลกใจยิ่งกว่าเฉินผิงอัน เพราะถึงอย่างไรที่แห่งนี้ก็เป็นสถานที่ต้องห้ามของสำนัก
เจ้าอันธพาลผู้นี้โผล่มาจากไหนกัน? ถึงได้เชี่ยวชาญการอำพรางร่องรอยขนาดนี้? แล้วยังใจกล้าเทียมฟ้าสลายเวทอำพรางตา เปิดเผยตัวตนมาท้าทายอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้?!
เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าจริงใจยิ่ง “ล้วนเป็นความเข้าใจผิดกัน!”
จะให้ยกหลี่เซิ่งออกมาพูดก็คงไม่ได้กระมัง ไม่เหมาะสม อีกอย่างพูดไปแล้วก็ไม่มีใครเชื่อ
ในสามคนนั้นมีสตรีคนหนึ่งที่เหมือนเดินออกมาจากภาพวาดของสตรีสูงศักดิ์บนกำแพง คิ้วตาของนางงดงามเหมือนภาพวาด แต่ว่าสิ่งที่ทำให้เฉินผิงอันประทับใจอย่างลึกล้ำแท้จริงยังคงเป็นสตรีคนนี้นั่งอยู่ริมหน้าผา สองขาห้อยอยู่กลางอากาศ นางกำลังสูบยาสูบ กระบอกยาสูบทำจากไม้ไผ่ม่วง ตรงปากกระบอกสูบเป็นสีเขียวมรกต ร้อยด้ายห้อยถุงยาสูบเอาไว้
เวลานี้นางเหม่อลอยไปครู่หนึ่ง เพียงไม่นานก็เก็บอารมณ์ได้ พ่นควันขโมงออกมาคำใหญ่ สตรียิ้มมองไปยังแขกไม่ได้รับเชิญที่สวมชุดเขียวสะพายกระบี่คนนั้น ใช้ได้ สามารถมองเมินตราผนึกหลายชั้นของสำนักซานไห่ไปได้ หรือว่าจะเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหริน หรือกระทั่งอาจจะเป็นขอบเขตบินทะยานคนหนึ่ง? เพียงแต่เหตุใดมองดูแล้วไม่คุ้นหน้าคุ้นตาเลย? หรือจะบอกว่ารู้สึกว่าตนได้รับบาดเจ็บก็จะมาโอ้อวดบารมีที่นี่ได้แล้ว?
และยังมีเด็กสาวคนหนึ่งที่นอนคว่ำอยู่ด้านข้าง ก่อนหน้านี้นางเตะเท้าเป็นวงกลมเบาๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า
เวลานี้นางหยุดการกระทำลง ขมวดคิ้วแน่น หันหน้าไปจ้องอันธพาลที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหนคนนั้นเขม็ง หน้าตาก็นับว่าคมคายดูเป็นผู้เป็นคน ทำไมถึงทำตัวแย่เช่นนี้
สุดท้ายคือแม่นางคนหนึ่ง เดิมทีนางนอนกลิ้งไปมาอยู่บนเสื่อไม้ไผ่อย่างเบื่อหน่าย หลังจากลุกขึ้นยืนอย่างว่องไวก็เดินมาหยุดอยู่ข้างกายสตรีที่ถือกระบอกยาสูบ ยกฝ่ามือตั้งข้างปากกระซิบถามเสียงเบา “บรรพจารย์เซียนซิ่ว ใช่อาเหลียงในตำนานผู้นั้นหรือไม่?”
เฉินผิงอันเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ข้าไม่รู้จักอาเหลียงอะไรทั้งนั้น!”
บรรพจารย์เปิดภูเขาของสำนักซานไห่ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “มีเพียงสหายของเขาถึงจะได้ยินชื่อเขาแล้วพูดทันทีว่าตัวเองไม่รู้จักเขา”
เฉินผิงอันไม่สามารถโต้เถียงเหตุผลข้อนี้ได้จริงๆ
เด็กสาวลุกขึ้นยืน ถามว่า “ชื่อแซ่อะไร หากมีเรื่องเข้าใจผิดกันก็รีบพูดมา อย่าได้เอาอย่างอาเหลียงผู้นั้น”
หากไม่แบ่งแยกเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลหรือผู้ฝึกตนอิสระ อันที่จริงผู้ฝึกตนในใต้หล้านี้ก็หนีไม่พ้นสามประเภท ประเภทแรกก็คือคนที่เคยประลองมรรคกถากับฝูลู่อวี๋เสวียน ฮว่อหลงเจินเหรินมาก่อน เคยร่ายบทกวีโคลงกลอนกับซูจื่อ หลิ่วชีมาก่อน เคยดื่มเหล้าชิงเสินในงานเลี้ยงสุราของถ้ำสวรรค์จู๋ไห่มาก่อน หรือไม่ก็เคยเล่นหมากล้อมบนเมฆหลากสีกับฟู่จิ้นมาก่อน…คิดจะตีเหล็กร่างกายตัวเองต้องแข็งเสียก่อน คนประเภทนี้ท่องอยู่ล่างภูเขาได้รับความนิยมมากที่สุด เกินครึ่งตัวเองก็ต้องเป็นบรรพจารย์บุกเบิกภูเขาของภูเขาแห่งหนึ่ง ยิ่งอายุน้อยก็ยิ่งเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ยกตัวอย่างเช่นผู้ฝึกกระบี่จั่วโย่ว ผู้ฝึกยุทธเฉาสือ
ประเภทที่สองก็ทั้งมีบรรพบุรุษใหญ่คอยปกป้อง มีอาจารย์ที่ดีถ่ายทอดวิชา คุณสมบัติของตัวเองก็ดี มีความหวังที่จะเดินขึ้นสู่ตำแหน่งสูง ยกตัวอย่างเช่นหยวนพางแห่งศาลบุ๋น กู้ช่านแห่งนครจักรพรรดิขาว
ประเภทสุดท้ายปลายแถวที่สุดก็คือได้แต่อาศัยชื่อเสียงของสำนักมาโอ้อวดบารมี
เฉินผิงอันรู้สึกลำบากใจขึ้นมาทันที จะอธิบายอย่างไรดี? ขอแค่ไม่ยกหลี่เซิ่งออกมาก็ยากที่จะอธิบายให้กระจ่างชัดได้จริงๆ
แต่เด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ดูเหมือนจะเป็นผีสาวตนหนึ่ง หรือว่าท่องในฝันจนมาถึงที่แห่งนี้?
เฉินผิงอันจึงได้แต่แข็งใจกุมหมัดเอ่ยขออภัยว่า “ไม่ทันระวังบุกเข้ามาในที่แห่งนี้ เป็นความผิดของข้า ข้ามาที่นี่เพื่อรอเรือลำหนึ่งมาจอดเทียบท่า เมื่อเรือข้ามฟากมาถึงก็จะจากไปทันที หากข้ารออยู่ที่นี่ไม่เหมาะสม ข้าสามารถออกทะเลไปรอเรือข้ามฟากได้”
หากทางฝั่งของสำนักซานไห่คิดจะเอาผิดให้ได้ ขอโทษแล้วไม่มีประโยชน์ ตนก็คงได้แต่เผ่นหนีแล้ว
โชคดีที่น่าหลันเซียนซิ่วเหลือบมองคนชุดเขียวสะพายกระบี่อีกสองสามทีแล้วทำเพียงยิ้มเอ่ยว่า “ดูแล้วไม่เหมือนพวกบ้าตัณหา ในเมื่อหลงเข้ามาในที่แห่งนี้ อีกทั้งยังเอ่ยขออภัยแล้วก็เอาตามนี้เถอะ กว่าจะได้พบเจอกันในใต้หล้าเป็นเรื่องที่หาได้ยาก เจ้าสงบใจรอคอยเรือข้ามฟากอยู่ที่นี่ไปเถอะ ไม่ต้องขี่กระบี่ออกทะเลไปแล้ว เจ้าและข้าต่างคนต่างชมทัศนียภาพกันไป”
เฉินผิงอันกุมหมัดเอ่ยขอบคุณ คิดว่ายังคงทะยานลมออกไปบนทะเลดีกว่า รอคอยอยู่ที่นี่ถึงอย่างไรก็ไม่เหมาะสม เพียงแต่ไม่รอให้เขาเอ่ย บรรพจารย์หญิงที่พ่นควันขโมงคนนั้นก็ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ทำไม อาศัยว่าตัวเองเป็นผู้ฝึกกระบี่ก็จะไม่ไว้หน้ากันหรือ?”
เฉินผิงอันจึงได้แต่นั่งลงขัดสมาธิ ตามองตรงไปยังมหาสมุทรใหญ่ไม่ล่อกแล่ก สองมือทำมุทราเข้าฌาน รอคอยอย่างสงบไม่เอ่ยอะไรอีก
ถึงอย่างไรแค่ทนให้ผ่านไปอีกครึ่งชั่วยามก็ได้แล้ว
สามคนที่อยู่ห่างไปไม่ไกลก็ไม่ได้ขยับเขยื้อนไปไหน ไม่มีเหตุผลเช่นนี้
สองฝ่ายที่เหมือนอยู่ใกล้ในระยะประชิดจึงต่างคนต่างทำเรื่องของตัวเอง ต่างคนต่างพูดคุยกันไปทั้งอย่างนี้
อันที่จริงในชีวิตคนไม่ว่าที่ใด เรื่องใด หรือคนใด มีสิ่งใดไม่เป็นเช่นนี้บ้างเล่า
——