กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 808.3 ภาษาใบ้ของหุ่นไม้
การกระทำของเจิ้งจวีจงน่าเหลือเชื่อจริงๆ ถึงกับสามารถปิดฟ้าข้ามมหาสมุทร ใช้ร่างจำแลงเดินทีละก้าวจนกลายมาเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของสายเหวินเซิ่งได้?!
หากเป็นแบบนี้ก็จะอธิบายได้ชัดเจนแล้วว่าเหตุใดคนต่างถิ่นคนหนึ่ง อายุน้อยๆ ก็สามารถเป็นอิ่นกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่ อีกทั้งยังมีชีวิตรอดกลับมายังใต้หล้าไพศาลได้ด้วย
หรือว่านี่คือการค้าใหญ่เทียมฟ้าครั้งหนึ่งที่เจิ้งจวีจงมีต่อซิ่วหู่ชุยฉาน มีต่อซิ่วไฉเฒ่าเหวินเซิ่ง มีต่อศาลบุ๋นแผ่นดินกลาง?!
หรือการชิงลงมือก่อนบนกระดานหมากนี้ จะเป็นสถานการณ์เมฆหลากสีของปีนั้น?
ดูสิดู การชิงลงมือก่อนบนกระดานหมากครั้งนี้ได้จงใจทำให้คนทั้งใต้หล้ารับรู้ แต่ผลลัพธ์ล่ะเป็นเช่นไร? ก็ยังไม่ใช่ว่าสามารถปิดบังผู้ฝึกตนทุกคนของหลายๆ ทวีปได้สำเร็จหรอกหรือ?
หลังจากที่อวิ๋นเหมี่ยวส่งหลิงจือหยกขาวไปยังสวนกงเต๋ออย่างลับๆ แล้ว เซียนเหรินท่านนี้ก็เดินมายังลานบ้านด้วยความจริงใจ จากนั้นหันมองไปยังทิศทางของอำเภอพ่านสุ่ย ในใจท่องพึมพำ ประสานมือโค้งคำนับอยู่นานไม่ยอมยืดตัวขึ้น
แน่นอนว่าเฉินผิงอันมองไม่เห็นภาพเหตุการณ์นั้น แต่กลับสามารถจินตนาการถึงสภาพจิตใจของเซียนเหรินอวิ๋นเหมี่ยวได้อย่างคร่าวๆ
หลิงจือหยกขาวชิ้นหนึ่งที่มีมูลค่าควรเมืองแกะสลักตัวอักษรไว้สองบรรทัด ความหมายดีมาก
คนผู้ส่องประกายแสงใสกระจ่างไร้ตำหนิพันปี ตระกูลที่ส่องกลิ่นหอมของดอกหลันจือนานร้อยปี
พอได้อาวุธกึ่งเซียนชิ้นนี้มา ถ้าอย่างนั้นค่าใช้จ่ายที่ใช้ไปในร้านผ้าห่อบุญบนเกาะนกแก้ว บวกกับหนี้ที่เชื่อซื้อต้นไผ่มาจากภูเขาชิงเสินก็สามารถได้ทุนคืนกลับมาแล้ว
บนมหาสมุทรกว้างใหญ่ห่างออกไปไกลมีแสงกระบี่พร่างพราวเส้นหนึ่งผุดขึ้นมา
เฉินผิงอันแหงนหน้ามองไป
น่าหลันเซียนซิ่วหรี่ตาลง แล้วจึงหันไปมองบุรุษหนุ่มผู้นั้น นางรู้สถานะของคนคนนี้แล้ว
……
ทางฝั่งของท่าเรือเวิ่นจิน ชุดเต๋าสีชมพูพลิ้วกายลงบนเรือข้ามฟากลำหนึ่งที่เพิ่งจะออกเดินทาง หลิ่วชื่อเฉิงโยนเงินฝนธัญพืชเหรียญหนึ่งไปให้ผู้ดูแลเรืออย่างไม่ใส่ใจ เขามาที่นี่เพื่อมาส่งสหายเถาถิงออกเดินทาง
ผลคือเจอผู้เฒ่าตาบอดร่างผอมแห้งเหมือนท่อนฟืนในห้องโดยสารของเรือ หลิ่วชื่อเฉิงที่เดิมทีคิดจะดื่มเหล้ากับเถาถิงดีๆ สักมื้อจึงได้แต่เอ่ยทักทายเถาถิงคำเดียวแล้วจากไปอย่างรีบร้อน
คนผู้หนึ่งที่แม้แต่กวอโอ่วทิงยังกล้าซ้อมตามใจชอบ หลิ่วชื่อเฉิงลองชั่งน้ำหนักดูแล้ว รู้ว่าไม่ควรไปมีเรื่องด้วย แน่นอนว่าสาเหตุหลักที่สำคัญที่สุดก็ยังเป็นเพราะศิษย์พี่ไม่ได้อยู่ที่อำเภอพ่านสุ่ยแล้ว
ในห้องเฒ่าตาบอดนั่งอยู่กับหลี่ไหว นักพรตเนิ่นยืนอยู่ ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง บนโต๊ะยังมีสวนกระถางที่ภูตต้นไม้เฒ่าเฉิงหนันยืนอยู่บน ‘ยอดเขา’
เฒ่าตาบอดถาม “หลี่ไหว เจ้าอยากมีสาวใช้ที่มือเท้าคล่องแคล่วสักคนหรือไม่ ข้าสามารถช่วยไปจับจากใต้หล้าเปลี่ยวร้างมาให้เจ้าคนหนึ่งได้”
หลี่ไหวกลอกตามองบน คร้านจะสนใจเฒ่าตาบอด
เฒ่าตาบบอดเคยชินเสียแล้ว หันหน้าไปมองภูตต้นไม้ที่เมื่อครู่นี้บอกว่าเคยเจอเซียนกระบี่โบราณที่มีฉายาว่าฉุนหยาง ฝ่ายหลังมีชาติกำเนิดมาจากสายเซียนกระบี่ลัทธิเต๋า เคยมาขอความรู้ด้านเวทกระบี่กับตน ตนเพียงแค่แนะนำไปง่ายๆ ขอบเขตของฝ่ายหลังก็ทะยานขึ้นสูงแล้ว
เฒ่าตาบอดถาม “พูดจาวางโตขนาดนี้ กินลมตะวันตกเฉียงเหนือเติบโตมาหรือ?”
ภูตต้นไม้เฒ่าได้ยินก็ไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันใด ยกสองมือเท้าเอวฉับ ถามเสียงดังว่า “หลี่ไหว เจ้าหมอนี่เป็นใครกัน พูดจากวนโอ๊ยขนาดนี้?”
หลี่ไหวหัวเราะคิกคัก “อาจารย์เกินครึ่งตัวของข้าเอง ยังไม่รู้ชื่อเหมือนกัน”
ภูตต้นไม้เฒ่าเงียบไปไม่ส่งเสียง มองนักพรตเนิ่น ดูแล้วก็น่าจะมีตบะไม่ตื้นเขิน ถึงกับสามารถเรียกตัวเองเป็นสหายกับหลิ่วเต้าฉุนได้ หากไม่ใช่ขอบเขตหยกดิบก็ไม่น่าจะอธิบายได้ ในเมื่อนักพรตเนิ่นคือผู้ติดตามของหลี่ไหว ถ้าอย่างนั้นเฒ่าตาบอดตรงหน้าผู้นี้คืออาจารย์ของหลี่ไหว เกินครึ่งน่าจะเป็นขอบเขตเซียนเหรินได้แล้ว หากอยู่ในร้านผ้าห่อบุญ เซียนเหรินอะไรนั่น ทำอะไรตนไม่ได้หรอก วันนี้ตกอับแล้ว จำเป็นต้องพึ่งพาอยู่ใต้ชายคาของคนอื่น แล้วยังต้องคอยประเมินสถานการณ์ก่อนจะทำอะไร ดังนั้นจึงไม่ได้โต้เถียงอะไรกับเฒ่าตาบอดที่ชอบพ่นอาจมออกมาเต็มปาก
เฒ่าตาบอดหันหน้ามาเผชิญหน้ากับขอบเขตบินทะยานอย่างเถาถิง “นักพรตเนิ่นแห่งไพศาล? ชื่อเสียงโด่งดัง เหตุใดฟังแล้วเหมือนจะมีความหมายของป๋ายเหย่และฝูลู่อวี๋เซียนแห่งไพศาลอยู่เลยเล่า?”
ผู้เฒ่าชุดเหลืองหัวเราะแห้งๆ “เป็นฉายาที่คุณชายช่วยตั้งให้ระหว่างที่เดินทางท่องเที่ยวอยู่ในใต้หล้าไพศาล ข้าเองก็ไม่ใช่เพราะกังวลว่าหากไม่มีฉายาติดตัวเลย ยามออกไปข้างนอกเป็นเพื่อนคุณชายแล้วจะเดือดร้อนให้คุณชายของตัวเองถูกคนอื่นดูแคลนหรอกหรือ”
เฒ่าตาบอดหัวเราะหึหึ กวักมือหนึ่งที เถาถิงก็พลันถูกกระชากมา ได้แต่ค้อมเอวลง เอียงศีรษะ ศีรษะถูกห้านิ้วที่งอเป็นตะขอจิกเอาไว้ จึงต้องค้างอยู่ในท่วงท่าที่น่าขำนี้แต่โดยดี เถาถิงไม่กล้าหลบเลี่ยงเลยแม้แต่น้อย
ใต้นิ้วมือ เสียงลั่นดังกร๊อบ
เถาถิงไม่กล้าส่งเสียง
ภูตต้นไม้เฒ่าที่มองดูอยู่สะดุ้งโหยง รีบหันหน้าไปทางอื่นไม่กล้ามอง เพียงแต่ว่าได้ยินแค่เสียงก็ยังขนลุกไม่หาย
เฒ่าตาบอดผู้นี้ไม่ใช่คนดีเลยนี่นา
หลี่ไหวรีบลุกขึ้นยืน เอาฝ่ามือตบลงบนแขนของเฒ่าตาบอด “พอได้แล้วๆ ท่านอย่าเอาแต่รังแกเหล่าเนิ่นแบบนี้สิ หากปิดประตูบ้านคุยกันเองก็ว่าไปอย่าง มาอยู่ข้างนอกนี้จะดีจะชั่วก็ควรไว้หน้าเหล่าเนิ่นบ้าง”
เฒ่าตาบอดปล่อยมือออก เงื้อมือตบลงบนซีกหน้าของเถาถิง ตบจนฝ่ายหลังล้มตึงลงพื้น ใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “วันหน้าหากยังเอาแต่โอ้อวดบารมีของตัวเอง สร้างเรื่องไม่คาดฝันมากมายให้กับหลี่ไหวแบบนี้อีก จะตบเจ้าให้ตายด้วยฝ่ามือเดียว”
แต่ภายนอกเฒ่าตาบอดกลับหยิบตำราสีออกเหลืองเล่มหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ โยนไปไว้บนร่างของเถาถิง “ช่วยปกป้องคุ้มกันมาตลอดทาง ไม่มีคุณความชอบ มีแต่คุณความเหนื่อยยาก นี่คือคาถาหลอมภูเขาครึ่งบน ส่วนครึ่งล่าง วันหน้าค่อยว่ากัน”
สองมือของเถาถิงประคองจับหนังสือเอาไว้ สองตาแดงก่ำ ซาบซึ้งใจอย่างยิ่งยวด
ในฐานะบรรพบุรุษไล่ภูเขาของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ขับภูเขาย้ายภูเขาไม่ต้องพูดให้มากความ ไม่ได้แย่ไปกว่าหยวนโส่วสักเท่าไร มีเพียงการหลอมภูเขาที่ด้อยกว่าหยวนโส่วมาก ไม่อย่างนั้นตำแหน่งบัลลังก์ราชาก็ควรให้เถาถิงเป็นผู้นั่ง หยวนโส่วอะไรนั่น ต้องเรียกเถาถิงว่าพี่ชายด้วยซ้ำ ไม่ใช่ว่าแอบมาเตร็ดเตร่แถวๆ ริมขอบของภูเขาใหญ่แสนลี้สองครั้งเพื่อหาโอกาสกินตน
เหตุใดเถาถิงถึงยินดีเป็นหมาเฝ้าบ้านให้เฒ่าตาบอด ก็ไม่ใช่ว่าต้องการคาถาหลอมภูเขานี่หรอกหรือ?
หลี่ไหวตบโต๊ะ ถามว่า “เรื่องที่ข้าได้เป็นนักปราชญ์ เป็นความตั้งใจของท่านใช่หรือไม่?!”
นักพรตเนิ่นเพิ่งจะได้เปรียบใหญ่เทียมฟ้าพลันรู้สึกว่าในห้องมีบรรยากาศตึงเครียดราวกับกระบี่อาจถูกชักออกจากฝักได้ทุกเมื่อ นี่หากตีกันขึ้นมา สุดท้ายคนที่ต้องเดือดร้อนย่อมต้องเป็นเขาอย่างแน่นอน ย่อมไม่ใช่นายท่านใหญ่หลี่แน่ๆ ดังนั้นจึงรีบขยับเท้าหนี
เฒ่าตาบอดพยักหน้ารับ
คิดไม่ถึงว่าหลี่ไหวจะยิ้มหน้าบานเป็นกระด้ง เดินอ้อมมาด้านหลังเฒ่าตาบอด ช่วยนวดไหล่ทุบหลังให้เฒ่าตาบอด เอ่ยเสียงเบาว่า “แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวนะ ห้ามให้มีครั้งหน้าอีก”
กลับบ้านเกิดครั้งนี้ หากพ่อแม่และหลี่หลิ่วรู้เรื่องนี้เข้า จะไม่ยิ้มกว้างเป็นดอกไม้ผลิบานเลยหรือ?
อีกอย่างยังมีพี่เขยที่ยังไม่เคยพบเจอกันผู้นั้นอีก ได้ยินมาว่าอีกฝ่ายมีชาติกำเนิดมาจากลูกหลานตระกูลปัญญาชนของอุตรกุรุทวีป ถ้าอย่างนั้นเมื่อพี่สาวออกเรือนไปแล้วก็ไม่ควรให้นางถูกคนบ้านสามีดูแคลน ทุกวันนี้มีน้องชายที่เป็นนักปราชญ์ของสำนักศึกษาก็น่าจะพูดจาเสียงแข็งได้ไม่มากก็น้อย
หลี่ไหวเอ่ยเตือน “ตกลงกันแล้วนะ? วิญญูชนอะไรนั่น อย่าให้มีเด็ดขาด ห้ามเด็ดขาดเลยเชียว ไม่งั้นข้าจะโกรธท่าน ความสัมพันธ์อาจารย์และศิษย์เกินครึ่งตัวของพวกเราก็จะจืดจางลงแล้ว”
เฒ่าตาบอดยังคงพยักหน้ารับ
ยศวิญญูชนจะนับเป็นผายลมอะไรได้ ถึงเวลานั้นจะให้ทางศาลบุ๋นยกตำแหน่งเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาให้โดยตรงเลย แต่ดูจากนิสัยของเจ้าเด็กหลี่ไหวนี่ ดูเหมือนจะไม่ค่อยชอบมีหน้ามีตาสักเท่าไร หากเจ้าขุนเขาสะดุดตาเกินไป รองเจ้าขุนเขาก็น่าจะกำลังดี
คนเป็นอาจารย์ มอบของอะไรบางอย่างให้ลูกศิษย์ กลับยังต้องชั่งน้ำหนักอย่างระมัดระวัง ครุ่นคิดอย่างละเอียดรอบคอบ สุดท้ายจะรับหรือไม่รับก็ยังต้องดูที่อารมณ์ของลูกศิษย์อีกหรือ?
คู่อาจารย์และลูกศิษย์อย่างเฒ่าตาบอดและหลี่ไหวนี้พบเห็นได้ไม่บ่อยจริงๆ
หลี่ไหวนั่งกลับลงไปยังตำแหน่งเดิม อ่านนิยายยุทธภพเล่มหนึ่งต่ออีกครั้ง แต่แล้วจู่ๆ ก็เงยหน้าขึ้น ยิ้มกล่าวกับเฒ่าตาบอดว่า “เมื่อครู่นี้อ่านเจอคำกล่าวหนึ่งในตำรา ต้นไม้เก่าแก่แม้กิ่งก้านจะอัปลักษณ์ แต่กลับสามารถออกดอกงดงามได้ อาจารย์ตอนที่ท่านยังหนุ่มก็น่าจะหน้าตาไม่เลวกระมัง?”
เฒ่าตาบอดพยักหน้ายิ้มรับ “ไม่เลว ปีนั้นพวกเฉินชิงตู หลงจวินล้วนอิจฉาข้าในเรื่องนี้มาโดยตลอด”
นักพรตเนิ่นมองใบหน้าแก่ๆ ที่เป็นรอยยับย่นของเฒ่าตาบอด
เฒ่าตาบอดคือคนที่ไม่ชอบพลิกเปิดปฏิทินเหลืองมากที่สุด
ทว่าเมื่ออยู่กับหลี่ไหว เขากลับยินดีพูดคุยถึงเรื่องพวกนี้
ภูตต้นไม้เฒ่าพูดขึ้นเสียงสั่น “ท่านคือท่านผู้นั้น?”
เฒ่าตาบอดถาม “ผู้ไหนล่ะ?”
ภูตต้นไม้เฒ่าเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก ไม่กล้าเอ่ยอะไรแล้ว
เฒ่าตาบอดลุกขึ้นยืน “วันหน้าระหว่างที่ไปศึกษาต่อ หากมีเวลาว่างก็ไปที่ภูเขาใหญ่แสนลี้บ้าง”
หลี่ไหวลุกขึ้นยืนตาม บอกว่ารอสักครู่ จากนั้นก็หยิบเอาสัมภาระห่อหนึ่งออกมาจากในหีบหนังสือ ยื่นส่งให้เฒ่าตาบอด ยิ้มเอ่ยว่า “ล้วนเป็นหนังสือเบ็ดเตล็ด กลับไปถึงที่นั่นแล้วก็เอาไว้อ่านฆ่าเวลา”
เฒ่าตาบอดรับมาเก็บใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ ก้าวออกไปหนึ่งก้าวหวนกลับไปยังเปลี่ยวร้าง
……
ยามสามของวันนั้น คนพายเรือเฒ่ากู้ชงซิงเดินทางยามค่ำคืนไปอย่างลับๆ ล่อๆ ปิดบังร่องรอยไปตลอดทาง กระทั่งมาถึงสวนกงเต๋อ พูดคุยกับจิงเซิงซีผิงอยู่นานกว่าที่อีกฝ่ายจะยอมตอบตกลงว่าจะไปแจ้งให้
มีเรื่องมาขอร้องคนอื่น กู้ชิงซงถึงได้พูดง่ายเช่นนี้ ไม่อย่างนั้นเจ้าซีผิงที่ถือว่ากระโดดออกมาจากก้อนหิน ข้าจะเปลืองน้ำลายกับเจ้าไปไย ที่พึ่งคือศาลบุ๋นแล้วอย่างไร เป็นปรมาจารย์มหาปราชญ์แล้วอย่างไร พวกเราสองคนก็ยังเป็นบัณฑิตเหมือนกันอยู่ดีไม่ใช่หรือ มีใครสูงกว่าใครต่ำกว่าด้วยหรือไร?
ในที่สุดกู้ชิงซงก็ได้พบเจอกับเฉินผิงอันเสียที
เฉินผิงอันกุมหมัดเอ่ยเรียก “ผู้อาวุโสกู้”
กู้ชิงซงโบกมือ “อย่ามาพิถีพิถันเรื่องลำดับศักดิ์พวกนี้ส่งเดช เรื่องไม่สำคัญเหล่านี้ จะคิดให้วุ่นวายไปไย”
อันที่จริงประโยคนี้กู้ชิงซงพูดให้ตัวเองฟัง ไม่อย่างนั้นเฉินผิงอันเรียกเขาอย่างนอบน้อมว่าบรรพจารย์กู้ กู้เหล่าเซียนจวิน จะมีปัญหาตรงไหน?
หรือไม่หากนับตามลำดับศักดิ์อีกแบบหนึ่ง เขาก็น่าจะถือว่าเป็นคนรุ่นเดียวกับกุ้ยฮูหยิน เจ้าเฉินผิงอันเรียกกุ้ยฮุหยินว่าท่านน้า ก็ไม่ใช่เด็กรุ่นเยาว์ของเขาหรอกหรือ?
ไม่แน่ว่าวันใด เจ้าเด็กนี่อาจต้องเรียกตนว่าน้าเขยก็เป็นได้นะ
พอคิดอย่างนี้ กู้ชิงซงก็รู้สึกว่าต่อให้คืนนี้เรียกเขาว่าพี่น้องเฉิน นายท่านใหญ่เฉินก็ยังไม่เสียเปรียบ
ถึงอย่างไรวันหน้าก็ยังเอากลับคืนมาได้ ถึงเวลานั้นจะพากุ้ยฮูหยินที่กลายเป็นคนรักของตนไปอยู่บนภูเขาลั่วพั่วแล้วไม่ย้ายไปไหนอีก ทุกวันไม่ว่าจะมีธุระหรือไม่มีก็จะไปเดินลอยชายอยู่ตรงหน้าเจ้าเด็กนี่
เฉินผิงอันยิ้มถาม “กุ้ยฮูหยินรังเกียจท่านหรือไม่?”
คนพายเรือเฒ่าพูดจาอย่างเต็มไปด้วยเหตุด้วยผล “ย่อมไม่รังเกียจ แต่จะชอบข้าหรือไม่ ตอนนี้ยังบอกได้ยาก”
เดิมทีขอแค่กู้ชิงซงเทพเซียนผู้เฒ่ากู้ท่านนี้บอกว่ารังเกียจ เฉินผิงอันก็สามารถเอ่ยสองสามประโยคไล่อีกฝ่ายกลับไปได้แล้ว
ยกตัวอย่างเช่นหากอยากให้กุ้ยฮูหยินชอบท่าน ก้าวแรกก็คือต้องทำให้นางไม่รังเกียจเสียก่อน ไม่รังเกียจอย่างไร ก็คือแอบชอบอยู่ห่างๆ เมื่อเป็นเช่นนี้กุ้ยฮูหยินก็สามารถมีชีวิตที่สงบสุข แล้วยังไม่ถ่วงรั้งกู้ชิงซงให้ชอบกุ้ยฮูหยินต่อไป ผลคือกู้ชิงซงเอ่ยประโยคนี้ออกมา เฉินผิงอันก็ได้แต่เปลี่ยนแนวทางใหม่ เปลี่ยนคำถามใหม่ พูดด้วยประโยคที่เป็นความรู้สึกของคนทั่วไปอย่างยิ่ง “กุ้ยฮูหยินคือผู้อาวุโสของข้า ท่านคิดว่าให้ข้าสอนท่านว่าควรชอบนางอย่างไร เหมาะสมแล้วหรือ?”
กู้ชิงซงขมวดคิ้ว “พูดจาไร้สาระให้น้อยๆ หน่อย สอนความรู้มา ข้าจะให้เงินเจ้า”
พูดมากไปไย ก็แค่ต้องการเงินไม่ใช่หรือ? ข้ามี
อยู่บนน่านน้ำของสี่มหาสมุทรที่กว้างใหญ่ไพศาลไร้ที่สิ้นสุด บุกตะลุยไปเพียงลำพังนานหลายปีขนาดนั้น แม้แต่เสมียนหลุมน้ำลู่ของสตรีอ้วนที่ขอแค่พบเจอข้าบนมหาสมุทรก็ยังต้องเป็นฝ่ายหลีกทางให้ ต้องหลบเลี่ยงประกายคมกริบเสียแต่โดยดี
นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกกุ้งหอยปูปลาตัวเล็กตัวน้อยอย่างผู้ฝึกตนหญิงของสำนักอวี่หลงในอดีตเลย ข้าผู้อาวุโสกระทุ้งลำไม้ไผ่ถ่อเรือลงไปง่ายๆ หนึ่งทีก็สามารถทำให้บนมหาสมุทรเกิดคลื่นหมื่นจั้งถาโถมขึ้นมาได้แล้ว
เจ้าเด็กน้อยเจ้าลองไปเปิดปฏิทินเหลืองของศาลบุ๋นดูก็ได้ ตอนนั้นมีวีรบุรุษคนใดบ้างที่น้ำท่วมสิบแปดเกาะแล้วยังไม่ทำร้ายใครเลยสักคน?
แน่นอนว่าเฉินผิงอันย่อมไม่มีทางสอน ‘มรรคกถา’ อะไรให้คนพายเรือเฒ่าผู้นี้จริงๆ จึงพูดไปส่งเดชสองสามประโยค ทว่ากู้ชิงซงกลับเงี่ยหูตั้งใจฟังตั้งแต่ต้นจนจบ คอยพยักหน้ารับอยู่เป็นระยะ ดูจากท่าทางแล้วคงจะจับผลัดจับผลูพูดตรงใจของเขาเข้าจริงๆ เสียแล้ว?
——