กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 809.3 เสียงในใจ
ผลคือเฉินผิงอันเพิ่งจะส่งฝ่ามือข้างหนึ่งออกไป เพียงแค่เริ่มตั้งท่าหมัดเท่านั้น เผยเฉียนก็ถอยหลังไปก้าวหนึ่งแล้ว
หนิงเหยารู้สึกว่าวันนี้คงจะเรียนหมัดกันไม่ได้แล้ว
เฉินผิงอันยิ่งสงสัย “เผยเฉียน?”
เผยเฉียนก้มหน้า พูดเสียงเบาราวเสียงยุง “ข้าไม่กล้าออกหมัด”
เฉินผิงอันหัวเราะอย่างฉุนๆ “ทำไม กังวลว่าขอบเขตตัวเองจะสูงเกินไป ปณิธานหมัดหนักเกินไป ไม่ทันระวังหมัดเดียวต่อยให้อาจารย์พ่อบาดเจ็บ สองหมัดต่อยให้ร่อแร่ปางตายรึ?”
เผยเฉียนเอาแต่ก้มหน้ามองพื้นดิน ส่ายหน้าแต่ไม่เอ่ยอะไรสักคำ
เฉินผิงอันมองไปทางหนิงเหยา นางส่ายหน้าแสดงให้รู้ว่าควรเปลี่ยนวิธี อย่าได้บังคับฝืนใจ
เฉินผิงอันคิดแล้วก็หันไปเรียกเด็กชายผมขาว “เจ้ามานี่ มาช่วยกันหน่อย”
เด็กชายผมขาวเต้นผาง “จ่ายเงินเป็นข้า โดนซ้อมก็เป็นข้าอีก บรรพบุรุษอิ่นกวานท่านยังมีคุณธรรมในยุทธภพอยู่บ้างหรือไม่?!”
เผยเฉียนเงยหน้าขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความละอายใจ เฉินผิงอันยิ้มพลางโบกมือ “ไม่รีบร้อน ต่อจากนี้แค่มองดูอาจารย์พ่อออกหมัดอย่างละเอียดก็พอ”
หนิงเหยากวักมือเรียกเผยเฉียน
เผยเฉียนเดินไปหา หนิงเหยาเอ่ยเบาๆ ว่า “ไม่เป็นไร”
เผยเฉียนพยักหน้า
หนิงเหยาเห็นว่าบนหน้าผากนางมีเหงื่อซึมออกมาก็ช่วยเช็ดเหงื่อให้เผยเฉียนด้วยท่าทางอ่อนโยน
เผยเฉียนเขินอายอยู่บ้าง
เด็กชายผมขาวตั้งท่ากดลมปราณลงสู่จุดตันเถียน จากนั้นสะบัดไหล่ สองมือขยับขึ้นลงราวกับน้ำกระเพื่อม ตวาดเสียงดังหนึ่งทีแล้วเริ่มขยับเท้าวนอ้อมไปรอบกายเฉินผิงอัน “บรรพบุรุษอิ่นกวาน หมัดเท้าไร้ตา ล่วงเกินแล้ว!”
เฉินผิงอันยืนอยู่ที่เดิม เกือบจะหมดอารมณ์ลงมือเสียแล้ว
หมี่ลี่น้อยนั่งยองอยู่ห่างไปไกล เก็บลูกพลับที่หล่นอยู่บนพื้นมาได้หอบใหญ่ กินได้หนึ่งคำก็คือหนึ่งคำ กินแล้วไม่เห็นว่ารสชาติจะเป็นอย่างไรเลย
เด็กชายผมขาวเดินวนครบรอบไปแล้วหนึ่งรอบก็กระโดดผลุงขึ้น ตั้งท่าไก่ทองยืนขาเดียว ฝ่ามือสองข้างตวัดจิ้มมาด้านหน้า พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “บรรพบุรุษอิ่นกวาน ฝ่ามือนี้ของข้าคือหมัดตั๊กแตน ต้องระวังตัวให้ดีนะ!”
เฉินผิงอันวาดเท้าออกไปโดยตรง เด็กชายผมขาวถูกแตะเข้าที่ก้านคอ ศีรษะเอียงไปด้านหนึ่ง เด้งกระดอนอยู่บนพื้นสองสามที ระหว่างนั้นยังมีการพลิกตัวด้วย
สุดท้ายเด็กชายผมขาวก็นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น โบกมือพูดอย่างมีใจแต่ไร้กำลังว่า “ไม่สู้แล้วๆ หมี่ลี่น้อยจำไว้ว่าจดค่ายาลงบัญชีด้วย แค่สองสามตำลึงเงินก็พอ กลับไปถึงภูเขาลั่วพั่ว ข้าจะไปเบิกเอาจากเทพแห่งโชคลาภเหวยเอง”
เฉินผิงอันถลึงตาใส่ “จริงจังหน่อย”
เด็กชายผมขาวทอดถอนใจ กระโดดผลุงขึ้นมา ปัดฝุ่นบนร่าง “ก็ได้ๆ”
การประลองฝีมือของคนทั้งสองต่อจากนั้น เทวบุตรมารนอกโลกที่เป็นขอบเขตบินทะยานตนนี้ได้ใช้กระบวนท่าหมัดของผู้ฝึกยุทธในใต้หล้ามืดสลัว ส่วนเฉินผิงอันใช้หมัดที่ ‘เบาแต่แม่นยำ’ คล้ายหมัดเท้าของสตรี ทว่าแค่มองดูเหมือน ‘ละมุนละม่อม’ เท่านั้น แท้จริงแล้วกลับว่องไวเฉียบคมอย่างยิ่ง
เผยเฉียนมองดูอย่างละเอียด ไม่ใช่แค่วิถีแห่งการออกหมัดหรือกระบวนท่าที่ผ่านตาแล้วไม่ลืมเท่านั้น นางยังสามารถมองเห็นร่องรอยการไหลรินของปณิธานหมัดอาจารย์พ่อได้อย่างชัดเจนอีกด้วย
ไม่เพียงแค่การลงมือของเฉินผิงอันเท่านั้น แม้แต่วิชาหมัดและโครงท่าของแต่ละสำนักที่เชื่อมโยงกันได้อย่างดีเยี่ยมของเด็กชายผมขาวก็ล้วนถูกเผยเฉียนเก็บมาไว้ในคลองจักษุทั้งสิ้น
อันที่จริงหลังจากที่อู๋ซวงเจี้ยงขึ้นเรือราตรีมาพบเจอกับจิตมารคู่รัก เนื่องจากช่วยนางคลายตราผนึกมากมายอย่างลับๆ ดังนั้นทุกวันนี้เด็กชายผมขาวจึงเท่ากับเป็นคลังยุทโธปกรณ์ เป็นถ้ำเทพเซียนที่เดินได้แห่งหนึ่ง วิชาอภินิหาร เวทกระบี่และวิชาหมัดส่วนใหญ่ที่อู๋ซวงเจี้ยงรู้มา อย่างน้อยที่สุดนางก็รู้เจ็ดแปดส่วน และบางทีในเจ็ดแปดส่วนนี้อาจขาดไปในเรื่องจิตวิญญาณหรือท่วงทำนองบางอย่าง แต่ดูเหมือนว่าจะเพียงพอสำหรับเฉินผิงอันกับเผยเฉียน คู่อาจารย์และศิษย์ที่เดินทางร่วมกับนางแล้ว
บางทีนี่ต่างหากถึงจะเป็นของขวัญตอบแทนที่ใหญ่สุดที่อู๋ซวงเจี้ยงมอบให้กับภูเขาลั่วพั่วจากการค้าขายครั้งนั้น
อู๋ซวงเจี้ยงจงใจไม่พูดถึงเรื่องนี้ แน่นอนว่าเพราะมั่นใจว่า ‘หมาไร้บ้านที่กินอิ่มก็วิ่งหนีไป’ อย่างเฉินผิงอันผู้นี้ต้องสามารถคิดถึงเรื่องนี้ได้แน่นอน
ดังนั้นเฉินผิงอันที่แรกเริ่มแค่อยากให้เผยเฉียนมองดูหมัด ยิ่งออกหมัดก็ยิ่งจริงจัง มีกลิ่นอายของการประลองฝีมือบ้างแล้ว
เด็กชายผมขาวร้องโหวกเหวกพลางปล่อยหมัดออกไปอย่างไม่ใส่ใจ ทว่าหมัดที่ว่านี้กลับเป็นท่าไม้ตายของผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของใต้หล้ามืดสลัว
เผยเฉียนจดจำไว้ทีละอย่าง
หมี่ลี่น้อยยุ่งอยู่กับการกินลูกพลับ ลูกแล้วลูกเล่า แล้วก็พลันตัวสั่นเยือก แรกเริ่มแค่รู้สึกว่าฝาดเล็กน้อย เวลานี้ดูเหมือนว่าปากจะเริ่มชาด้วยแล้ว
หนิงเหยามองคนชุดเขียวที่ออกหมัดราวเมฆคล้อยน้ำไหลก็ให้รู้สึกเสียดายเล็กน้อยที่ไม่ได้เห็นการถามหมัดที่ศาลบุ๋นกับตาตัวเอง
จำได้ว่าปีนั้นตอนอยู่บนหัวกำแพงเมือง ดูเหมือนว่าเขาจะต่อยเฉาสือไม่โดนแม้แต่หมัดเดียว?
ทุกวันนี้การออกหมัดของเฉินผิงอันมีมาดของยอดฝีมือแล้วจริงๆ
เหตุผลก็เรียบง่ายยิ่ง ดูดีไงล่ะ
มิน่าเล่าปีนั้นพวกตัวอ่อนผู้ฝึกยุทธที่หลบอยู่ในคฤหาสน์หลบหนาวถึงได้พากันดูแคลนวิชาหมัดของอาเหลียง รอกระทั่งภายหลังได้เจิ้งต้าเฟิงมาสอนหมัดก็ยังไม่รู้สึกอะไร ต่างก็พูดกันว่ายังคงเป็นหมัดของใต้เท้าอิ่นกวานที่ทั้งน่าดูทั้งใช้ประโยชน์ได้จริง ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวสายสิงกวาน เนื่องจากแรกเริ่มสุดคือเด็กกลุ่มหนึ่ง ดังนั้นสายนี้กับสายอิ่นกวานคฤหาสน์หลบร้อนจึงมีความใกล้ชิดกันอย่างเป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ฝึกยุทธอายุน้อยที่คุณสมบัติดีเยี่ยมกลุ่มนั้นที่ไม่ว่าจะชายหรือหญิงที่ต่างก็นับถือเลื่อมใสในตัว ‘เถ้าแก่เฉินอิ่นกวานคนก่อน’ ยิ่งกว่าใคร
หนิงเหยาเม้มริมฝีปาก ยิ้มจนตาหยี
ไม่รู้ว่าวันหน้าเขาไปนครบินทะยานจะเป็นภาพเหตุการณ์ที่ครึกครื้นถึงเพียงใด
ช่วงเวลาที่เฉินผิงอันไม่อยู่บนเรือข้ามฟาก นอกจากจะคุยเล่นกับหมี่ลี่น้อยเป็นประจำแล้ว อันที่จริงหนิงเหยาก็เคยพูดคุยความในใจกับเผยเฉียนเป็นการส่วนตัว
บางทีอาจเป็นเพราะได้ดื่มเหล้าร่วมกับอาจารย์แม่ เผยเฉียนดื่มไปดื่มมาถึงเหล่าเรื่องมากมายที่ซ่อนอยู่ในใจมานานหลายปี แม้แต่ตอนอยู่กับพี่หญิงหน่วนซู่และหมี่ลี่น้อยบนภูเขาลั่วพั่ว เผยเฉียนก็ยังไม่เคยพูดถึงมาก่อน
ยกตัวอย่างเช่นนางคิดถึงตอนที่เป็นเด็กอย่างมาก ตอนที่ไปช่วยขายของที่ตรอกฉีหลง ทุกวันจะต้องไปเรียนที่โรงเรียน แม้ว่าจะไม่ได้เรียนจนได้ความรู้อะไรมา เพราะทุกวันเอาแต่สนใจเรื่องการโดดเรียนและนั่งเหม่อ แต่มาถึงภายหลัง เมื่อเติบใหญ่ขึ้นมาก็จะรู้สึกขอบคุณความหวังดีของอาจารย์พ่อและพ่อครัวเฒ่าอย่างมาก จะดีจะชั่วก็เคยไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนมาก่อน ข้างกายเคยมีเสียงท่องตำราดังอย่างแท้จริงมาก่อน
เคยมีอาจารย์สอนหนังสือในโรงเรียนของเมืองเล็กคนหนึ่งที่คงจะรู้สึกว่าแม่นางน้อยถ่านดำชอบใจลอยเกินไป จึงโมโหที่นางไม่เอาไหน มีครั้งหนึ่งจึงบอกให้เผยเฉียนเรียกพ่อของนางมา
แม่นางน้อยถ่านดำที่เอ้อระเหยลอยชายจึงบอกไปว่าพ่อข้ายุ่งมาก ออกจากบ้านเดินทางไกลไปแล้ว แต่ในใจกลับเอ่ยว่าไม่มีความรู้กะผายลมอะไรทั้งนั้น ยังสู้พ่อครัวเฒ่าไม่ได้เลยด้วยซ้ำ คิดจะสอนข้า? บางครั้งที่เจ้าท่องหนังสือยังอ่านผิดคำ ข้ากลับไม่มีทางเป็นเช่นนั้น
แล้วเมื่อไหร่เขาจะกลับบ้านเกิด?
ไม่รู้เหมือนกัน ในใจแม่นางน้อยพูดต่อว่า ข้าจะไปรู้ได้ยังไงเล่า อาจารย์ของพ่อข้า รู้หรือไม่ว่าเป็นใคร? พูดไปแล้วก็กลัวว่าจะทำให้เจ้าตกใจตายน่ะสิ
เผยเฉียน! ยืนให้ดี นั่งไม่มีท่าของการนั่ง ยืนไม่มีท่าของการยืน เข้าท่าหรือ?! รู้หรือไม่ว่าอะไรคือเคารพครูบาอาจารย์?
อ้อ เผยเฉียนที่ตอนนั้นรับคำอย่างขอไปที ในใจเพียงแค่รู้สึกว่า อาจารย์พ่อของข้ามีแค่คนเดียว เกี่ยวกับเจ้ากะผายลมอะไรด้วย ดูเจ้าทำเป็นอวดเก่งเข้าสิ แน่จริงพวกเราสองคนก็มาขีดเส้นแบ่งฝั่งกัน ออกจากประตูแล้วไปประลองกันดู วิชากระบี่มารคลั่งชุดหนึ่งจะซ้อมให้เจ้ากลับบ้านไปส่องกระจกก็ไม่รู้ว่าเป็นใครเสียเลย
แต่สุดท้ายแล้วตาเฒ่าคร่ำครึผู้นั้นก็เอ่ยมาประโยคหนึ่งที่ทำให้เผยเฉียนรู้สึกกระอักกระอ่วน แต่ก็ยังยอมเอ่ยขอโทษแต่โดยดี
อาจารย์ในโรงเรียนคนนั้นบอกว่าแค่มองเจ้าก็รู้แล้วว่าที่บ้านไม่ใช่คนมีเงินอะไร พ่อของเจ้าให้เจ้ามาเรียนหนังสือ ไม่ได้ให้เจ้าช่วยทำไร่ทำนา นับว่าไม่ใช่เรื่องง่าย แม้จะบอกว่ามาเรียนที่นี่ไม่ต้องใช้เงิน แต่ก็ไม่ควรทำลายความหวังที่พ่อแม่เจ้ามีต่อเจ้า พวกเขาต้องหวังให้เจ้าตั้งใจเล่าเรียนเขียนอ่านอยู่ที่นี่แน่นอน ไม่พูดถึงเรื่องอื่น พูดถึงแค่เรื่องที่เจ้าช่วยเขียนกลอนคู่ให้กับที่บ้านก็ช่วยให้พ่อของเจ้าประหยัดเงินได้ไม่น้อยแล้วไม่ใช่หรือ?
หลังจากนั้นมาเผยเฉียนที่เรียนหนังสืออยู่ในโรงเรียนก็ยอมทำตามกฎระเบียบมากกว่าเดิม จะดีจะชั่วก็ไม่วาดคนตัวเล็กลงบนหนังสืออีกแล้ว
คืนที่เผยเฉียนนั่งชมจันทร์กับอาจารย์แม่บนหลังคา ยังพูดถึงท่านปู่ชุยด้วย
หนิงเหยาถามนางว่าทำไมถึงคิดถึงผู้อาวุโสขนาดนั้น
เผยเฉียนบอกว่าถ้าหาก แค่บอกว่าถ้าหาก ถ้าหากวันใดอาจารย์พ่อไม่ต้องการข้าแล้ว ไล่ข้าให้จากไป หากท่านปู่ชุยอยู่ด้วยก็จะช่วยเกลี้ยกล่อมอาจารย์พ่อ จะขัดขวางอาจารย์พ่อ อีกทั้งต่อให้ไม่เป็นเช่นนี้ นางก็เห็นท่านปู่ชุยเป็นผู้อาวุโสของตัวเองแล้ว ตอนที่เรียนวิชาหมัดอยู่บนชั้นสองของภูเขา ทุกครั้งจะต้องเคียดแค้นจนกัดฟันกรอด เคียดแค้นที่ไม่สามารถต่อยเจ้าแก่นั่นให้ตายด้วยหมัดเดียว แต่พอท่านปู่ชุยไม่อาจสอนหมัดได้จริงๆ อีกแล้ว นางกลับหวังว่าท่านปู่ชุยจะช่วยป้อนหมัดสอนหมัดให้ตลอดไป ร้อยปีพันปี ต่อให้นางต้องยากลำบากแค่ไหนก็ไม่กลัว ยังอยากจะให้ท่านปู่ชุยได้อยู่บนเรือนไม้ไผ่ตลอดไป อย่าจากไปไหน
สุดท้ายเผยเฉียนพูดถึงอาจารย์พ่อของตัวเอง
นางบอกว่าถึงแม้อาจารย์พ่อจะไม่เคยสอนวิชาหมัดให้นาง แต่นางรู้สึกว่าอาจารย์พ่อได้สอนวิชาหมัดที่ดีที่สุดให้นางมานานแล้ว
ช่วงเวลาที่ออกท่องยุทธภพด้วยกันนั้น อันที่จริงทุกวันอาจารย์พ่อล้วนสอนนางว่าอย่าได้กลัวโลกใบนี้ ควรจะอยู่ร่วมกับโลกใบนี้อย่างไร
บนหลังคาในค่ำคืนที่แสงจันทร์กระจ่าง หนิงเหยาเพียงแค่รับฟังเผยเฉียนที่ดื่มเหล้าจนเริ่มจะเมามาย รับฟังลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของเฉินผิงอันพูดความในใจเบาๆ
ดื่มเหล้าลงท้อง คำพูดออกจากปาก ราวกับว่าคำพูดในท้องได้แลกเปลี่ยนตำแหน่งกับสุราในกา
อันที่จริงหากมองอย่างละเอียด เผยเฉียนเป็นแม่นางโตเต็มวัยที่รูปโฉมไม่ธรรมดาคนหนึ่ง เป็นสตรีประเภทที่ว่าทำให้คนรู้สึกว่ายิ่งพิศก็ยิ่งน่ามอง
เอ่ยความในใจพวกนี้จบ ผู้ฝึกยุทธหญิงอ่อนเยาว์ที่เรือนกายบอบบาง ผิวออกคล้ำเล็กน้อยก็นั่งตัวตรงอย่างสำรวม สองมือกำเป็นหมัดหลวมๆ วางไว้บนหัวเข่า สายตาหนักแน่นเด็ดเดี่ยว
หลังจากที่เด็กชายผมขาวโอ้อวดวิชาหมัดเท้าอันเป็นสุดยอดกระบวนท่าไปร้อยกว่าท่า การประลองในสวนต้นพลับครั้งนี้ก็ได้สิ้นสุดลง
แต่สองฝ่ายต่างก็จงใจกดขอบเขต เพียงแค่ร่ายกระบวนท่าอยู่ในรัศมีสามจั้งเท่านั้น ส่วนใหญ่แล้วแบ่งแพ้ชนะในด้านกระบวนท่าเสียมากกว่า ไม่อย่างนั้นสวนลูกพลับทั้งสวนอาจหายไปแล้วก็เป็นได้
เฉินผิงอันเก็บหมัดแล้วมองไปทางเผยเฉียน
เผยเฉียนพยักหน้ารับอย่างแรง “อาจารย์พ่อ ล้วนจำได้หมดแล้ว”
เด็กชายผมขาวมือหนึ่งกุมศีรษะ อีกมือหนึ่งกุมหัวใจ ฝีเท้าไม่มั่นคง เดินส่ายไปส่ายมาเหมือนคนเมา หางตาเหลือบมองไปทางเฉินผิงอันอย่างระมัดระวัง ก่อนจะพูดเสียงสั่นว่า “ท่าไม่ดีแล้ว ปณิธานหมัดของอิ่นกวานเผด็จการเกินไป ดูเหมือนข้าจะได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้ว หมี่ลี่น้อย เร็วเข้า มาช่วยพยุงข้าที!”
หมี่ลี่น้อยวิ่งตะบึงไปหา ช่วยประคองเด็กชายผมขาวอย่างระมัดระวัง
เฉินผิงอันสะบัดชุดเขียวหนึ่งที สลายฝุ่นจากรอยเท้าทั้งหลายออกไป ควงสะบัดแขน โดยเฉพาะตรงหลังมือที่รู้สึกชาเล็กน้อย เจ้าตัวดี ถึงกับสะสมความแค้นไว้เต็มท้อง ฉวยโอกาสตอนที่ตนกดขอบเขตสอนวิชาหมัดให้เผยเฉียนมาแก้แค้น กระบวนท่าบางอย่างล้วนพุ่งมาที่หน้าเขาทั้งสิ้น
เวลานี้ถึงเพิ่งจะเริ่มล้อมคอกเมื่อวัวหาย? สายไปหน่อยหรือไม่?
คนทั้งกลุ่มเดินเท้ากันไปต่อ หมี่ลี่น้อยและเด็กชายผมขาวเล่นสนุกกันไปตลอดทาง ทั้งสองคนหาเวลาว่างถามหมัดกันไปรอบหนึ่ง ตกลงกันไว้แล้วว่าทั้งสองฝ่ายจะยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ หมี่ลี่น้อยหลับตา ผินตัวเบี่ยงข้าง ออกหมัดไม่หยุด เด็กชายผมขาวก็รับหมัดอีกฝ่ายอย่างรีบร้อน ต่างคนต่างเกาให้กัน? ถามหมัดสิ้นสุด สบตากันหนึ่งที คนสองคนที่ต่างก็ตัวไม่สูงต่างก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายคือยอดฝีมือ
สุดท้ายคนทั้งกลุ่มมาปรากฏตัวที่หัวเรือของเรือราตรี
พอจะมองเห็นเค้าโครงของแผ่นดินทางทิศใต้สุดของอุตรกุรุทวีปได้อย่างเลือนราง
ต้นหยางต้นหลิวสีเขียว ดอกท้อสีแดง ดอกบัวดอกกุ้ยบานสะพรั่ง โลกมนุษย์สงบสุขปลอดภัย
เฉินผิงอันหลับตาลง จิตวิญญาณจมจ่อมอยู่ภายใน เปิดม้วนภาพแห่งกาลเวลาภาพสุดท้ายที่ไม่เคยกล้ามองดูจุดจบนั้น
ในตรอกที่ไม่รู้ว่าอยู่แห่งใดของใบถงทวีป มีแม่นางน้อยคนหนึ่งเดินถือร่มกลับบ้าน นางกระโดดโลดเต้นไปตลอดทาง แม่นางน้อยเคาะประตู เจอหน้าพ่อแม่ นั่งลงกินข้าวด้วยกัน บุรุษคีบกับข้าวให้ลูกสาว สตรีคลี่ยิ้มหวานอบอุ่น คนทั้งครอบครัวนั่งร่วมโต๊ะพร้อมหน้าพร้อมตา แสงตะเกียงอบอุ่นน่าใกล้ชิด
เฉินผิงอันเหมือนยืนอยู่ในตรอกเล็กนอกประตู มองดูภาพนั้นอย่างเหม่อลอย สายตาของเขาพร่าเลือน ยืนอยู่นานมากถึงได้หมุนตัวจากไป พอหันกลับไปช้าๆ ก็ดูเหมือนว่าด้านหลังมีเด็กคนหนึ่งเดินตามมา พอเฉินผิงอันหันกลับไปมองข้างหลัง เด็กชายที่หน้าตาน่ารักสดใสก็หยุดเท้า เบิกตากว้างมองเฉินผิงอัน และปลายสุดอีกด้านหนึ่งของตรอกก็มีเด็กชายที่อายุมากหน่อยเดินมาอย่างเร่งร้อน เรือนกายของเขาผ่ายผอม ผิวดำเกรียม สะพายตะกร้าไม้ไผ่ใบใหญ่ บนร่างพกถุงใส่อุปกรณ์เย็บผ้าใบหนึ่งที่ปะแล้วชุนอีก เขาวิ่งตะบึงมา ตอนที่วิ่งสวนไหล่กับเฉินผิงอันก็พลันหยุดยืนนิ่ง เฉินผิงอันทรุดตัวลงนั่งยอง ลูบศีรษะของเด็กที่อายุน้อยที่สุด พึมพำหนึ่งประโยค พอยืดตัวขึ้นก็ขยับเชือกที่ร้อยเข้ากับตะกร้าไม้ไผ่ซึ่งรัดอยู่บนไหล่ของเด็กชายที่โตหน่อยคนนั้นเบาๆ
ต่อจากนี้ฝึกหมัดจะลำบากมาก
แต่ตอนเป็นเด็กที่สะพายตะกร้าไม้ไผ่เดินขึ้นเขาไปเพียงลำพัง เดินอยู่ใต้แสงแดดแผดเผา ทุกครั้งที่เหงื่อออก ไหล่จะปวดแสบปวดร้อนอย่างมาก
ดวงจิตของเฉินผิงอันสลายไป สายตาพร่าเลือน จำต้องออกไปจากที่แห่งนี้ ถอยออกไปจากม้วนภาพแห่งกาลเวลาที่ประหลาดอย่างถึงที่สุดภาพนี้
พริบตานั้นก็สังเกตเห็นว่าเด็กชายที่สะพายตะกร้าไม้ไผ่หมุนตัวกลับเดินไปในตรอก จากนั้นก็ทรุดตัวลงนั่งยอง สีหน้าซีดขาว สองมือกุมท้อง สุดท้ายปลดตะกร้าลงวางไว้มุมกำแพงแล้วเริ่มกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้น
นาทีถัดมาข้างหูของเฉินผิงอันกับเด็กคนนั้นก็คล้ายมีเสียงรัวกลองสายฟ้าดังสนั่น คล้ายมีคนกำลังพูด พูดสองคำซ้ำไปซ้ำมา อย่าตาย
ทันใดนั้นเฉินผิงอันก็ลืมตาขึ้นบนเรือราตรี สีหน้าเลื่อนลอย
เวลาเพียงชั่วประกายไฟแลบ คนผู้นั้นคือใคร มองเห็นได้ไม่ชัดเจน น้ำเสียงนั้น ทั้งๆ ที่ได้ยิน แต่กลับจำไม่ได้ดุจเดียวกัน
หนิงเหยาสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของเฉินผิงอันก็ถามอย่างเป็นห่วง “เป็นอะไรไป?”
เฉินผิงอันจับมือของนางขึ้นมากุมไว้เบาๆ ส่ายหน้ากล่าว “ไม่รู้เหมือนกัน ประหลาดมาก แต่ว่าไม่เป็นไร”
หนิงเหยาไม่ได้ถามอีก
เฉินผิงอันเอ่ยเบาๆ ว่า “รอให้กลับจากอุตรกุรุทวีปไปยังบ้านเกิด ข้าจะพาเจ้าไปพบพวกผู้อาวุโสในยุทธภพ”
หนิงเหยาไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ นางแค่หน้าแดงระเรื่อ
——