กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 810.1 ฝีเท้า
ลงจากเรือขึ้นฝั่ง อันที่จริงยังอยู่ห่างจากท่าเรือชายหาดโครงกระดูกมาอีกระยะหนึ่ง ก็ดีเหมือนกัน เดิมทีเฉินผิงอนก็คิดไว้แล้วว่าตอนที่จะกลับแจกันสมบัติทวีปค่อยไปเยือนภูเขามู่อีที่ตั้งของศาลบรรพจารย์สำนักพีหมาอีกรอบหนึ่ง ส่วนนครปี้ฮว่าอะไรนั่นคงไม่ไปแล้ว ถึงอย่างไรก็ไม่มีโชควาสนาอยู่แล้ว ภาพวาดลงสีก็ล้วนกลายเป็นภาพลายเส้นขาวดำไปหมดแล้ว
แต่เฉินผิงอันจะไปตลาดที่ด่านไน่เหอรอบหนึ่ง หรือก็คือทางเข้าของหุบเขาผีร้าย ทุกวันนี้เนื่องจากเกาเฉิงหายตัวไป หุบเขาผีร้ายจึงขาดที่พึ่งทางใจที่สำคัญ ไม่เพียงแต่นครจิงกวานที่เป็นดั่งฝูงมังกรไร้ผู้นำ ผูหร่างเจ้านครป๋ายหลงยังไปร่วมสนามรบที่แจกันสมบัติทวีป ข่าวคราวของนางก็เงียบหายไปเช่นกัน มีเพียงแค่ข่าวเล็กๆ แพร่มาบอกว่าผูหร่างติดตามภิกษุคนหนึ่งจับมือกันเดินทางไปเยือนดินแดนพุทธะสุขาวดีแล้ว การจากไปของเกาเฉิงและผูหร่างเป็นเหตุให้ภูตผีและวิญญาณวีรบุรุษในนครน้อยใหญ่ของนครฟูนี่จำเป็นต้องสร้างพันธมิตรที่กระจัดกระจายขึ้นมา จากนั้นก็ทำสัญญากับสำนักพีหมา ภายในเวลาร้อยปีทั้งสองฝ่ายจะไม่โจมตีกันและกัน ดังนั้นท้องฟ้าของหุบเขาผีร้ายในทุกวันนี้จึงเปลี่ยนสีไปแล้ว แม้จะยังมีกลิ่นอายอึมครึมน่าสะพรึงกลัว เพียงแต่ว่าผู้ฝึกตนภายนอกคิดจะมาหาประสบการณ์ที่นี่กลับไม่อาจทำได้แล้ว เพราะสูญเสียการปกป้องจากสำนักพีหมาไป อีกทั้งพวกภูตผีของฝ่ายต่างๆ ก็จับกลุ่มสามัคคีกัน แต่หากมีคนรู้สึกว่าอาศัยของกำลังตัวเองคนเดียวก็สามารถเปิดฉากสังหารครั้งใหญ่ในหุบเขาผีร้ายได้อย่างไร้ความยำเกรง สำนักพีหมาก็ไม่ขัดขวาง
เฉินผิงอันสะพายเย่โหยวไว้ด้านหลัง ตรงเอวห้อยน้ำเต้าบรรจุเหล้าสีชาดลูกหนึ่ง
หนิงเหยาสวมชุดคลุมอาคมจินหลี่ สะพายกล่องกระบี่
เผยเฉียนสะพายหีบไม้ไผ่ ในมือถือไม้เท้าเดินป่า ด้านในมีแม่นางน้อยชุดดำยืนอยู่ หมี่ลี่น้อยกำลังนับนิ้วว่าเมื่อไหร่จึงจะกลับไปถึงมาตุภูมิอย่างทะเลสาบคนใบ้อันกว้างใหญ่
เด็กชายผมขาวร่ายเวทอำพรางตา ยังคงอยู่ในรูปลักษณ์ที่สวมชุดเทียนอีสวมต่างหูงูเขียว
นอกจากเฉินผิงอันยังมีผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่ง เทวบุตรมารนอกโลกขอบเขตบินทะยานตนหนึ่ง และผู้ฝึกยุทธคอขวดขอบเขตยอดเขาคนหนึ่ง แน่นอนว่ายังมีภูตน้ำใหญ่ที่เป็นขอบเขตถ้ำสถิตอีกคนด้วย
โชคดีที่ทุกวันนี้เกาเฉิงไม่อยู่ที่นครจิงกวาน ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ใช่เขาที่ขัดขวางไม่ให้เฉินผิงอันจากไปอีกแล้ว
หยุดพักที่ชายหาดโครงกระดูกเล็กน้อยก็ออกเดินทางกันต่อ เฉินผิงอันถึงขั้นไม่คิดจะนั่งเรือข้ามฟากของสวนน้ำค้างวสันต์ลำของซ่งหลันเฉียวด้วยซ้ำ
เรื่องของสวนน้ำค้างวสันต์ การที่มันซับซ้อนได้ถึงเพียงนี้ก็เพราะเกี่ยวพันไปถึงเงินทองจากการทำการค้า ความสัมพันธ์ควันธูประหว่างภูเขาสองลูก มิตรภาพส่วนตัวระหว่างผู้ฝึกตน รวมไปถึงหน้าตาศักดิ์ศรีบางอย่าง…แต่สืบสาวราวเรื่องกันแล้วก็ยังคงเป็นใจคน ดังนั้นต่อให้จะเป็นผู้ดูแลใหญ่ของภูเขาลั่วพั่วอย่างจูเหลี่ยน บวกกับเหวยเหวินหลงแห่งห้องบัญชี และยังมีซานจวินเว่ยป้อ ก็ยังปวดหัวกับเรื่องนี้อย่างมาก
เฉินผิงอันจะไปที่เมืองสุยเจี้ยของแคว้นอิ๋นผิงก่อน ไปดื่มเหล้าที่ศาลเทพอัคคี นอกรัศมีแปดร้อยลี้นอกเมืองยังมีทะเลสาบชางอวิ๋นอยู่อีกแห่งหนึ่ง อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบน่าจะได้นั่งเก้าอี้มังกรตัวใหม่แล้ว ส่วนศาลสองแห่งอย่างเสาซีและเถียวซี ไม่รู้ว่าทุกวันนี้เปลี่ยนเหนียงเนียงเจ้าคูน้ำแล้วหรือยัง
ทะเลสาบคนใบ้ตั้งอยู่ที่ชายแดนของแคว้นเป่าเซียง หลังจากนั้นจะไปตำหนักจินอู ไปรำลึกความหลังกับเซียนกระบี่ใหญ่หลิ่วสักหน่อย แล้วค่อยไปสวนน้ำค้างวสันต์ จากนั้นไปจวนไฉ่เชวี่ย รวมไปถึงนครเหนือเมฆของสวีซิ่งจิ่ว ไปหาจางซานเฟิงที่ยอดเขาพาตี้ แล้วหิ้วเหล้าไปหาเซียนสุราที่ชื่อเสียงเลื่องลือที่สำนักกระบี่ไท่ฮุยท่านนั้น
ทางฝั่งของหน่วยฉงเสวียนราชวงศ์ต้าตวนก็แน่นอนว่าตั้งใจจะไปเยือนรอบหนึ่ง มาแล้วไม่ไปเยือนถือว่าไม่มีมารยาท ไปเยี่ยมเยือนฮ่องเต้สกุลหลูและราชครูหยางชิงช่ง จากนั้นค่อยไปหาลี่ไฉ่ที่ทะเลสาบกระบี่ฝูผิง ไปพบกับตัวอ่อนเซียนกระบี่สองคนอย่างเฉินหลี่และเกาโย่วชิง ไปหาเสิ่นหลินกับหลี่หยวนที่เป็นกงและโหวของลำน้ำใหญ่ นอกจากจะไปขอบคุณพวกเขาที่ช่วยปกป้องมรรคายามเฉินหลิงจวินเดินลงน้ำแล้วก็ถือโอกาสพูดคุยเรื่องเช่าหรือไม่ก็ซื้อเกาะเป็ดน้ำในถ้ำสวรรค์วังมังกรไปด้วย…
ที่อุตรกุรุทวีป อันที่จริงสถานที่ที่เฉินผิงอันต้องไปเยือนมีไม่น้อยเลยจริงๆ
คนทั้งกลุ่มทะยานลมกันไป ไม่นานก็สามารถมองเห็นภูเขามู่อีที่สูงเสียดแทงเข้าไปในชั้นเมฆ รวมไปถึงลำคลองเหยาเย่ที่ทอดตัวยาวจากใต้จรดเหนือเส้นนั้น
หลังจากที่เฉินผิงอันออกจากเรือราตรีขึ้นมาบนฝั่งแล้ว ปลายนิ้วก็คอยคีบกระดาษยันต์สีเขียวแผ่นนั้นเอาไว้ตลอดเวลา ใช้สิ่งนี้มายืนยันตำแหน่งของเรือราตรีในใต้หล้าไพศาล ถือโอกาสพิสูจน์การคาดเดาต่อความเร็วของเรือราตรีที่ตนมีไปด้วย ความกังวลเพียงหนึ่งเดียวก็คือตนสามารถอาศัยยันต์นี้ตามหาเรือราตรี เรือราตรีก็สามารถตามหาตนได้พบเช่นเดียวกัน แต่ว่าก่อนหน้านี้ตอนอยู่บนเรือ เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ถามเรื่องนี้กับอาจารย์จาง เฉินผิงอันพูดชวนคุยว่า “ก่อนหน้านี้ประลองฝีมือกับเฉาสือได้ออกมานอกสวนกงเต๋อ ตอนที่ตีกันไปถึงลานกว้างของศาลบุ๋น ข้าขอร้องเรื่องหนึ่งกับเฉาสือ ต่างคนต่างเก็บออมกำลังไว้สองส่วน”
หนิงเหยาถามอย่างใคร่รู้ “เรื่องนี้เขาก็ยินดีตอบตกลงด้วยหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “แน่นอนว่าต้องตอบตกลง ล้วนเป็นสหายกัน เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ไม่มีเหตุผลที่เฉาสือจะไม่ตกลง ส่วนของขวัญตอบแทนก็คือข้าเสนอว่าสถานการณ์มิพ่ายที่เขาต้องทุบหม้อขายเหล็กลงเดิมพันครั้งนั้น รับรองว่าเขาจะได้เงินก้อนใหญ่กลับมาแน่นอน”
หนิงเหยาจนคำจะพูด
ให้เฉาสือลงเดิมพันว่าตัวเองจะแพ้? คนที่สามารถหยอกเย้าเฉาสือได้เช่นนี้มีไม่มากจริงๆ
เฉินผิงอันเริ่มอธิบายเรื่องขนบธรรมเนียมของด่านไน่เหอให้ฟัง บอกว่าหากผู้ฝึกตนอิสระมาเดินเที่ยวที่นี่ ในอดีตล้วนเป็นวิธีที่ได้ผลดีที่สุด ไปจุดธูปขอพรในศาลลำคลองเหยาเย่ จากนั้นไปเสี่ยงดวงดูที่นครปี้ฮว่า สุดท้ายซื้อตำรา ‘รวมเล่มวางใจ’ มาเล่มหนึ่ง เอาหัวห้อยไว้บนเข็มขัดรัดกางเกง เข้าไปในหุบเขาผีร้าย จะได้กลับมาเห็นแสงตะวันอีกหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับสวรรค์แล้ว
แต่ทุกวันนี้สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปฏิทินเหลืองไปแล้ว ในอดีตตำราที่ยิ่งอ่านก็ยิ่งทำให้คนไม่วางใจเล่มนั้น สำนักพีหมาไม่ได้จัดพิมพ์ขึ้นอีก นครปี้ฮว่าไม่มีโชควาสนาให้ฉกฉวย นักท่องเที่ยวบางตา แทบจะปิดตัวลงไปอย่างสิ้นเชิง และหุบเขาผีร้ายที่ภายนอกสูญเสียเกาเฉิง ผูหร่าง รวมไปถึงในทางลับไม่มีภิกษุแห่งวัดต้าหยวนเยว่กับเกาเจินอารามเสวียนตูเล็ก อันที่จริงก็คือทรายที่กระจัดกระจายถาดหนึ่ง กองกำลังบนภูเขาที่กระจายตัวกัน นครแต่ละแห่งที่ไม่มีขาให้เดินหนี จึงต้องลงนามทำสัญญากับภูเขามู่อี น้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลอง ทว่าในทางส่วนตัวแต่ละฝ่ายกลับพากันยกธงขาวขอสวามิภักดิ์ต่อสำนักพีหมาแล้ว
เฉินผิงอันชี้ไปยังสถานที่ฝึกตนทั้งหลายที่อยู่นอกฟ้าดินเล็กของหุบเขาผีร้ายแล้วยิ้มเอ่ยว่า “ศาลซานหลางมีการทำเบาะรองนั่งด้วยกลวิธีลับอยู่อย่างหนึ่ง ครั้งนี้หากมีโอกาสก็สามารถซื้อกลับภูเขาลั่วพั่วสักสามสี่ใบ”
ภูเขาลั่วพั่วในอดีตมีผู้ฝึกยุทธเต็มตัวไม่น้อย ผู้ฝึกตนมีแค่ไม่กี่คน รอกระทั่งเฉินผิงอันกลับบ้านเกิดในครั้งนี้ สถานการณ์จึงมีการเปลี่ยนแปลง พูดถึงแค่ตัวอ่อนเซียนกระบี่ที่มีป๋ายเสวียนเป็นหนึ่งในนั้นก็มีเก้าคนแล้ว
คนที่กลายไปเป็นผู้ฝึกตนสายยันต์ที่ค่อนข้างจะหาได้ยากอย่างเจี่ยงชวี่ เฉินผิงอันก็ได้นำ ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ มาแบ่งประเภทใหม่ แบ่งการวาดยันต์ออกเป็นระดับยากง่าย ค่อยๆ พัฒนาไปทีละลำดับขั้นตอน แบ่งออกเป็นสามบทคือบนกลางล่าง ตอนนี้ตำราลับที่มอบให้เจี่ยงชวี่ไปเป็นแค่เล่มบนเท่านั้น นอกจากคำอธิบายบนพื้นที่ว่างเปล่าที่มีอยู่ก่อนแล้วของหลี่ซีเซิ่ง เฉินผิงอันเองก็เพิ่มความรู้ความเข้าใจด้านการวาดยันต์ของตัวเองเข้าไปด้วย ดังนั้นเมื่อได้ฉบับสำเนาเล่มนี้ไป เจี่ยงชวี่ย่อมทะนุถนอมเห็นค่าอย่างมาก
เฉินผิงอันมาที่หุบเขาผีร้าย อันที่จริงหลักๆ แล้วก็เพราะอยากจะไปเยือนตำหนักหยางฉางนั่นสักรอบ บางทีอาจไม่พาพวกหนิงเหยาไปด้วย ให้พวกนางรออยู่ที่นี่สักพักหนึ่งก็พอแล้ว
บนเส้นทางชีวิตคน ในสายตาไม่อาจมีเพียงแค่ภูเขาสูงอย่างยอดเขาพาตี้ หรือยอดฝีมืออย่างฮว่อหลงเจินเหรินเท่านั้น
ต้องมองภูตตัวน้อยที่เฝ้าอยู่นอกประตูตำหนักหยางฉาง มองตำราสองเล่มที่มันเอาไปฝังอยู่ใต้ดินอย่างระมัดระวังบ้าง
ต่อให้เป็นตลาดที่เล็กแค่ไหน ดูเหมือนสตรีก็สามารถเดินเล่นได้อย่างเบิกบานใจ
หนิงเหยาก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
หากนางไม่เดินเล่นเลยก็จะเดินเล่นอย่างจริงจังยิ่ง ดูจากท่าทางแล้วคงจะไม่ปล่อยผ่านไปแม้แต่ร้านเดียว
เจอร้านหนังสือที่ด่านไน่เหออย่างหาได้ยาก ก็ถึงคราวที่เฉินผิงอันอยากเดินดูของบ้างแล้ว ตอนที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตู กลับกลายเป็นว่าเฉินผิงอันหยุดเดิน แต่ไม่นานก็เดินข้ามธรณีประตูไป ในเมื่อได้พบเจอแล้วก็ถือว่าเป็นโชควาสนาบนภูเขาที่หาได้ไม่ง่าย จะต้องหลบเลี่ยงไปไย
เถ้าแก่ร้านคือชายหญิงคู่หนึ่งที่เหมือนจะเป็นสามีภรรยากัน ล้วนเป็นขอบเขตถ้ำสถิตทั้งคู่ อยู่ในตลาดด่านไน่เหอที่ปลาและมังกรปะปนกัน ตบะน้อยนิดแค่นี้ไม่สะดุดตาอย่างมาก
ร้านเล็กๆ แห่งนี้ขาย ‘รวมเล่มวางใจ’ และยังมีภาพเทพหญิงที่ซื้อมาจากนครปี้ฮว่า ได้กำไรมาจากส่วนต่างเล็กน้อย อาศัยสิ่งเหล่านี้ต้องไม่มีทางหาเงินได้เยอะแน่ โชคดีที่มีการค้าเล็กๆ น้อยๆ กับทางฝั่งของนครฟูนี่ จึงถือโอกาสเอาของจุกจิกมาขายด้วย ถือว่าลงหลักปักฐานอยู่ในตลาดแห่งนี้ได้อย่างมั่นคง เปิดร้านมาสิบกว่าปี หากไม่พูดถึงเงินค่าเช่า อันที่จริงก็มีเงินเทพเซียนเข้าบัญชีมาแค่ไม่กี่เหรียญเท่านั้น เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับการนอนกลางดินกินกลางทราย พยายามเค้นสมองหาเงินจากทั่วสารทิศในอดีต ถึงอย่างไรก็มั่นคงกว่ามาก
เถ้าแก่เนี้ยะเห็นมือกระบี่ชุดเขียวที่เพิ่งเดินเข้ามาในร้านก็รู้สึกตื่นเต้นดีใจเป็นยิ่งยวด นางถึงกับตาแดงก่ำ รีบเช็ดหัวตาจากนั้นใช้ศอกกระทุ้งชายโครงของบุรุษตัวเองเต็มแรง
บุรุษทำหน้าเหลอหรา พอเงยหน้าขึ้นแล้วเห็นเฉินผิงอัน ความรู้สึกของเขาก็ไม่ต่างจากภรรยาสักเท่าไร ในที่สุดก็รอคอยจนได้พบเจอกับผู้มีพระคุณช่วยชีวิตที่ไม่ทราบชื่อแซ่อีกครั้งแล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งดวงตาคู่นั้นของเซียนกระบี่หนุ่มที่ทำให้คนคุ้นเคยยิ่งนัก
อันที่จริงเฉินผิงอันเองก็ไม่รู้ชื่อของสามีภรรยาคู่นี้เหมือนกัน
ในอดีตเป็นเพียงแค่การพบเจอกันอย่างผิวเผิน ต่างคนต่างไปทางใครทางมัน ตามหลักแล้วยากมากที่จะได้กลับมาพบเจอกันอีกครั้ง
ปีนั้นตอนที่มอบโครงกระดูกของสันเขาอีกาห้าโครงไปให้ เฉินผิงอันก็ไม่คิดว่าจะได้พบเจอกับพวกเขาอีก ส่วนเงินไม่เงิน คืนไม่คืนอะไรนั่น แน่นอนว่าเฉินผิงอันไม่สนใจแม้แต่น้อย
เจ้าไม่ต้องมาสนว่าข้าเฉินผิงอันหาเงินอย่างไร แล้วก็ไม่ต้องยุ่งว่าข้าใช้จ่ายเงินเช่นไร
ก็คือคู่รักผู้ฝึกตนที่เสี่ยงอันตรายไปหาเงินในปีนั้น เข้าหุบเขาผีร้ายไปพร้อมเฉินผิงอัน คุณสมบัติของผู้ฝึกตนหญิงธรรมดาอย่างมาก เพื่อฝ่าทะลุขอบเขตเลื่อนเป็นขอบเขตถ้ำสถิตจำเป็นต้องใช้วัตถุวิเศษชิ้นหนึ่งมาจัดการกับเส้นลมปราณแห่งชะตาชีวิต คงเป็นเพราะไม่ได้ทำอะไรโดย ‘ไม่เลือกวิธี’ อย่างผู้ฝึกตนอิสระ ทำแค่งานที่เหนื่อยยาก ไม่ทำงานสกปรก คนที่ท่องไปทั่วสารทิศ ส่วนใหญ่คือเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูล ผู้ฝึกตนอิสระแห่งป่าเขา โดยเฉพาะพวกคนที่ขอบเขตไม่สูง หากพูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อยก็คือได้แต่ขอร้องให้เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลเหลือซากน้ำแกงเย็นๆ ให้กิน แล้วยังต้องหาเงินอย่างระมัดระวัง ไม่อาจขวางหูขวางตาฝ่ายหลังได้
ไม่ว่าคู่สามีภรรยาจะเก็บออมเงินอย่างยากลำบากเพียงใด ก็ยังคงขาดเงินเกล็ดหิมะอีกห้าร้อยเหรียญ เพียงแต่การฝึกตนของสตรีไม่อาจถ่วงเวลาไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว ด้วยความจนใจอย่างถึงขีดสุด จึงได้แต่มาเสี่ยงชีวิตที่หุบเขาผีร้าย ครั้งนั้นสองสามีภรรยาคุกเข่าโขกหัวที่ศาลเทพลำคลองอย่างจริงใจมีจิตศรัทธามากที่สุด และหลายปีมานี้ขอแค่เป็นทุกๆ วันที่หนึ่งหรือวันที่สิบห้า ต่อให้จะแก้บนไปแล้วก็ยังจะไปจุดธูปกราบไหว้ที่นั่นอยู่เหมือนเดิม
และการที่พวกเขามาเปิดร้านอยู่ที่นี่ก็เพราะอยากจะคืนเงิน
สองสามีภรรยายืนเคียงข้างกัน สองมือกุมเป็นหมัดก้มตัวคารวะเซียนกระบี่หนุ่มเนิ่นนาน
เฉินผิงอันยื่นมือไปประคองแขนบุรุษขึ้นมาเบาๆ ยิ้มเอ่ยว่า “ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้”
รอกระทั่งคนทั้งสองยืดตัวขึ้นแล้ว เฉินผิงอันก็เอ่ยแสดงความยินดีกับสตรี “ยินดีกับฮูหยินด้วยที่ได้เลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตกลาง”
สตรีรู้สึกลนลานเล็กน้อย นางรีบยอบกายคารวะ ตื่นเต้นจนพูดไม่ออก
บุรุษจึงแนะนำตัวเอง บอกว่าเขาชื่อจิ้นจาน เป็นคนของราชวงศ์ต้าหยวน ภรรยาชื่อซ่งเจียจือ เป็นคนของแคว้นชิงสือ ด้วยวาสนานำพา ทั้งคู่ถึงได้เดินมาบนเส้นทางการฝึกตน
ตามสัญญาที่มีไว้ให้กับเซียนกระบี่หนุ่ม ปีนั้นพวกเขาได้มารอที่ตลาดด่านไน่เหอหนึ่งเดือน ภายหลังไม่อาจถ่วงเวลาต่อไปได้แล้วจริงๆ ถึงได้ออกจากชายหาดโครงกระดูกไปซื้อวัตถุวิเศษที่สำคัญต่อการฝ่าทะลุขอบเขตชิ้นนั้น รอกระทั่งซ่งเจียจือโชคดีฝ่าทะลุขอบเขต จิ้นจานก็พาภรรยามารอคอยที่นี่ต่อ
วันนี้ได้เจอกับกลุ่มของเซียนกระบี่ชุดเขียว อันที่จริงพวกเขาสองสามีภรรยาอดรู้สึกละอายใจที่สู้ไม่ได้อยู่บ้าง ผู้ฝึกตนที่ไร้ที่พึ่ง ไหนเลยจะกล้าเรียกตัวเองว่าผู้ฝึกตน พวกเขาสองสามีภรรยาก็แค่คนที่ท่องอยู่ในยุทธภพ มีเพียงพวกเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่มีการสืบทอดอย่างชัดเจนเท่านั้นที่ไม่ว่าจะเป็นสามีภรรยากับใคร ก็ถึงจะมีคุณสมบัติเรียกว่าคู่รักบนภูเขาได้ นี่คือกฎที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรข้อหนึ่งของบนภูเขา
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ข้าชื่อเฉินผิงอัน เป็นคนของจังหวัดหลงเฉวียนต้าหลีแจกันสมบัติทวีป มีสถานที่แห่งหนึ่งชื่อว่าภูเขาลั่วพั่ว ตั้งอยู่ในอาณาเขตของขุนเขาเหนือ อยู่ใกล้กับภูเขาพีอวิ๋นมาก ยินดีต้อนรับทั้งสองท่าน หากวันหน้าเดินทางท่องเที่ยวลงใต้ก็สามารถไปนั่งเล่นบนภูเขาของข้าได้”
ภูเขาพีอวิ๋นใครบ้างที่ไม่รู้จัก ซานจวินเว่ยป้อชื่อเสียงเลื่องระบือ ผู้ฝึกตนของอุตรกุรุทวีปล้วนเคยได้ยินชื่อกันทั้งนั้น
ถ้าอย่างนั้นภูเขาเซียนที่อยู่ใกล้กับขุนเขาเหนือของหนึ่งทวีปจะเป็นภูเขาเล็กได้หรือ? แน่นอนว่าไม่ได้
บุรุษมองภรรยาแวบหนึ่ง เป็นอย่างไร ยังคงเป็นข้าที่เดาถูกเห็นไหม บอกแล้วว่าผู้มีพระคุณต้องเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลท่านหนึ่งอย่างแน่นอน มาดแห่งเทพเซียนของปีนั้น ความองอาจของวีรบุรุษที่ไม่เห็นเงินเป็นเงินอย่างนั้น จะเป็นผู้ฝึกตนอิสระได้หรือ?
ซ่งเจียจือกลอกตามองบนใส่เขา เรื่องแบบนี้มีอะไรให้น่าเอามาแข่งขันกันนักเล่า แล้วนับประสาอะไรกับที่ที่ข้าเดาว่าผู้มีพระคุณท่านนี้มีชาติกำเนิดมาจากตระกูลสูงศักดิ์ร่ำรวยก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะผิดเหมือนกันนี่นา
เฉินผิงอันชี้ไปที่เผยเฉียน ยิ้มแนะนำว่า “นี่คือลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของข้า เผยเฉียน ผู้ฝึกยุทธ”
จากนั้นก็ใช้มือกดลงบนศีรษะของหมี่ลี่น้อย “ผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขาของเรา ชื่อว่าโจวหมี่ลี่”
เผยเฉียนกุมหมัดคารวะ หมี่ลี่น้อยยืดอกตั้ง
หนิงเหยาแนะนำตัวเองว่า “ข้าชื่อหนิงเหยา ผู้ฝึกกระบี่”
ไม่ยอมให้เฉินผิงอันเอ่ยแนะนำ สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าเขาจะพูดจาเหลวไหลอะไรออกมาบ้าง
จิ้นจานเอ่ยเสียงเบา “เซียนกระบี่เฉิน ถ้าอย่างนั้นจะเอาเงินก้อนนั้นให้ท่านเลย?”
เฉินผิงอันพยักหน้ายิ้มเอ่ย “ได้สิ”
ซ่งเจียจือเดินอ้อมไปด้านหลังโต๊ะคิดเงิน หยิบเงินเทพเซียนถุงหนึ่งออกมา เฉินผิงอันไม่ได้นับ เก็บใส่ชายแขนเสื้อโดยตรงเลย
เฉินผิงอันคิดแล้วก็เอาตำราเล่มหนึ่งไปจากที่ร้านเปล่าๆ คือตำรารวมเล่มวางใจที่หนิงเหยาเลือก
ไม่ได้พูดคุยกันมากนัก เฉินผิงอันขอตัวลาจากไป สองสามีภรรยามาส่งเขาถึงหน้าประตูร้าน มีพบมีจาก ฝ่ายหนึ่งจะเดินเล่นในตลาดต่อ อีกฝ่ายหนึ่งก็ต้องเปิดร้านต้อนรับลูกค้าต่อ
สองสามีภรรยาผ่อนลมหายใจโล่งอก ในที่สุดก็ใช้เงินคืนทั้งต้นทั้งดอกไปแล้ว ในใจรู้สึกดีขึ้นมาได้หน่อย อันที่จริงพระคุณยิ่งใหญ่ช่วยชีวิต และคุณธรรมที่ช่วยต่อมรรคาของเซียนกระบี่เฉินนั้น มีหรือที่เงินเทพเซียนถุงหนึ่งก็ชดใช้คืนได้แล้ว? รู้ว่าเซียนกระบี่ท่านนั้นต้องไม่สนใจเงินน้อยนิดแค่นี้แน่นอน แต่พวกเขาถือสาอย่างมาก เพียงแต่สิ่งที่มากกว่านี้ ดูเหมือนว่าพวกเขาเองก็ทำไม่ได้ ดังนั้นจึงได้แต่จดจำพระคุณยิ่งใหญ่นั้นไว้ในใจไปตราบนานเท่านาน ยกตัวอย่างเช่นวันหน้าหากได้ไปจุดธูปที่ลำคลองเหยาเหย่อีกก็สามารถขอพรให้กับคู่รักที่ต่างก็เป็นเซียนกระบี่และต่างก็รู้ชื่อแซ่คู่นั้นได้
——