กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 812.4 ซ้อมมือ
“โยวโจว ปฏิบัติต่อคนอื่นและการคบหามิตรสหาย เจ้าสามารถใจกว้างได้ เพราะเจ้าคือบุตรชายของหลิวจวี้เป่า ถูกกำหนดมาแล้วว่าชีวิตนี้จะไม่มีทางขาดแคลนเงินทอง แต่จำไว้เรื่องหนึ่งว่า มีเพียงไม่อาจจ่ายเงินไปแล้ว แล้วยังถูกคนอื่นมองว่าโง่”
“ออกจากบ้าน การสร้างความสะดวกให้กับผู้อื่นในทุกหนทุกแห่งก็คือการสร้างความสะดวกให้กับตัวเอง เจอกับเรื่องเร่งด่วนต้องการความช่วยเหลือในยุทธภพก็ไม่อาจขี้เหนียวได้”
“แต่อยู่ในบ้านต้องมีกฎระเบียบ ต้องพิถีพิถันในเรื่องความใกล้ชิดความห่างเหิน ตระกูลแห่งหนึ่งยิ่งใหญ่มากเท่าไร กฎระเบียบก็ยิ่งต้องมั่นคงมากเท่านั้น แน่นอนว่าความมั่นคงไม่ได้หมายถึงความเข้มงวดอย่างเดียว ทว่าหากแม้แต่ความเข้มงวดก็ยังไม่มี ก็ย่อมไม่มั่นคงอย่างแน่นอน ดังนั้นในตระกูลหลิวของพวกเรา คนที่สามารถตีคนได้มากที่สุดไม่ใช่พ่อที่เป็นประมุขของตระกูล แล้วก็ไม่ใช่พวกตาเฒ่าที่นั่งเรียงกันสองแถวในศาลบรรพชน แต่เป็นพวกอาจารย์ทั้งหลายที่พ่อจ่ายเงินก้อนหนักเชื้อเชิญมา ตอนยังเด็ก ยามที่ต้องตั้งกฎระเบียบ ต้องจดจำกฎระเบียบกลับไม่อาจทนรับการถูกตีได้ พอเติบใหญ่ขึ้นแล้วออกจากบ้านก็ต้องเจอกับความยากลำบากแล้ว ประเด็นสำคัญคือเจอกับความยากลำบากแล้วยังคิดว่าตัวเองไม่ผิดเสียอีก”
“ดังนั้นต่อให้ในบางครั้งพวกอาจารย์จะตีอย่างไร้เหตุผล หรือตีแรงเกินไป พ่อก็ไม่สนใจเหมือนเดิม ใครกล้าห้ามใครกล้าขวาง สตรีคนใดสงสารเจ็บปวด บ่นไม่หยุด พ่อก็จะให้บุรุษของพวกนางพาอาจารย์และเด็กๆ ออกไปก่อน จากนั้นค่อยตบบ้องหูพวกนางไปทีละคน ตบเบาไปก็ตบใหม่ ต่อให้พวกอาจารย์ที่มาสอนหนังสือจะลงมือรุนแรงแค่ไหน ตีไปหนึ่งที เด็กๆ จะเจ็บปวดได้สักกี่วัน? เปลี่ยนมาเป็นหลักการเหตุผลที่ ‘ลูกหลานสกุลหลิวก็ถูกตีได้ ขนาดอยู่ในบ้านยังถูกตี’ อันที่จริงกลับเป็นเหตุผลที่ใหญ่ยิ่งกว่า เท่ากับว่าข้าช่วยพวกลูกหลานสกุลหลิวให้หากำไรเป็นเงินก้อนแรกมาได้แต่เนิ่นๆ”
“และเงินที่มองไม่เห็นก้อนนี้ก็คือหนึ่งในรากฐานการหยัดยืนของลูกหลานสกุลหลิวทุกคนในอนาคต คนที่เป็นพ่อแม่มีใครบ้างที่ไม่สงสารบุตรชายหญิงของตัวเอง? แต่วิถีทางโลกและฟ้าดินนอกบ้านกลับไม่สงสารพวกเขาแม้แต่น้อย”
หลิวโยวโจวตั้งใจฟังอย่างมาก เพียงแต่อดสงสัยไม่ได้ ทนอยู่พักใหญ่ สุดท้ายก็ทนไม่ไหวเอ่ยว่า “หลักการเหตุผลพวกนี้ข้าเข้าใจมาตั้งนานแล้วนะ แล้วนับประสาอะไรกับที่ท่านพ่อเองก็รู้ว่าข้ารู้แล้ว”
หลิวจวี้เป่ารู้สึกอัดอั้นเล็กน้อย นอกจากหาเงินทองแล้ว พ่อก็ไม่ใช่คนที่อธิบายหลักการเหตุผลเก่ง คำพูดพวกนี้ต้องร่างอยู่ในท้องตั้งนานกว่าจะพูดออกมาจากปากได้ จะดีจะชั่วเจ้าก็ช่วยเออออสนับสนุน แสร้งทำเป็นไม่รู้บ้างสิ
หลิวจวี้เป่าจึงได้แต่ใช้ท่าไม้ตายด้วยการยิ้มถาม “พ่อถามเจ้า เหตุใดสกุลหลิวของพวกเราถึงต้องแอบจ่ายเงินอย่างลับๆ มากมายขนาดนั้นให้กับพวกราชวงศ์ใหญ่และแคว้นใต้อาณัติล่างภูเขาไปเปล่าๆ เพื่อให้พวกเขาเอาไปก่อตั้งโรงเรียน ให้พวกอาจารย์สอนหนังสือทั้งหลายของธวัลทวีปไม่ขาดแคลนเงินทอง ชีวิตไม่ยากลำบากเกินไป?”
ช่วงหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมานี้แคว้นล่างภูเขาหลายแห่งของธวัลทวีปตั้งใจกับการก่อตั้งโรงเรียนมากที่สุด ก็แค่ว่าขั้นตอนการจัดการต่างๆ คล้ายคลึงกับการก่อตั้งหมู่บ้านเพื่อการกุศลอย่างลับๆ จึงไม่ได้เป็นที่ประจักษ์ชัดนัก
เพราะก่อนที่ซิ่วหู่จะกลายเป็นราชครูต้าหลีเคยมาหาหลิวจวี้เป่า บอกว่าหากแคว้นหนึ่ง อาจารย์สอนหนังสือส่วนใหญ่ล้วนมีแต่ความยากจน หรือไม่ก็เฉลียวฉลาดยิ่งกว่าพ่อค้าคนกลาง ถ้าอย่างนั้นแคว้นนี้ก็ไม่มีความหวังใดๆ แล้ว จากแข็งแกร่งก็จะไปสู่ความอ่อนแอ จากอ่อนแอก็จะอ่อนแอไปตลอดกาล
ธวัลทวีปของพวกเจ้าอยากจะชิงตัวอักษรคำว่า ‘อุตร’ มาจากกุรุทวีป ยากไหม? ยากยิ่งกว่าเดินขึ้นสวรรค์ ผ่านไปอีกพันปี ธวัลทวีปก็ไม่อาจสู้สถานที่ที่มีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆแห่งนั้นได้
ยากขนาดนี้จริงๆ หรือ? อันที่จริงก็ไม่ยาก เพียงแต่ว่ามันอยู่บนโต๊ะหนังสือตัวแล้วตัวเล่า อย่างมากสุดเวลาสามร้อยห้าร้อยปีก็สามารถช่วงชิงกลับมาได้แล้ว
หากมีวันนั้นจริงๆ บัณฑิตล่างภูเขา แต่ละคนเปี่ยมไปด้วยความหยิ่งในศักดิ์ศรี ฮึกเหิมมีชีวิตชีวา ถ้าอย่างนั้นทั้งบนและล่างภูเขาของธวัลทวีปก็จะเต็มไปด้วยความหวังในทุกหนทุกแห่ง
หลิวจวี้เป่า เจ้ามีเงิน มีเงินมาก เหตุใดถึงไม่ยินดีจะทำเล่า?
คำพูดประโยคนี้ของซิ่วหู่ชุยฉานคล้ายกำลังสอนเทพเจ้าแห่งโชคลาภสกุลหลิวว่าควรจะอาศัยเงินหาเงินอย่างไร
หลิวโยวโจวได้ยินคำถามของบิดาก็เอ่ยว่า “ก็ไม่ใช่เพื่ออาศัยการเปลี่ยนแปลงขนบธรรมเนียมทีละเล็กทีละน้อยมาช่วยให้ธวัลทวีปช่วงชิงตัวอักษรอุตรกลับมาจากกุรุทวีปหรอกหรือ?”
หลิวจวี้เป่าพูดไม่ออกเป็นนาน ได้แต่พยักหน้ารับ แล้วแสร้งทำเป็นพูดอย่างลึกลับว่า “ถูกก็ถูกอยู่หรอก แต่ว่ายังคิดตื้นเขินไปสักหน่อย วันหน้ายังต้องใคร่ครวญเรื่องนี้ให้มากๆ”
หลิวโยวโจวเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “แน่นอนอยู่แล้ว ข้าไม่จำเป็นต้องฝึกตน แล้วก็ไม่ต้องคิดว่าควรจะหาเงินอย่างไร ทุกวันไม่มีอะไรทำก็คิดโน่นคิดนี่ส่งเดชไปเรื่อย”
หลิวจวี้เป่าปลาบปลื้มอย่างยิ่ง ลูกชายคนดี ปณิธานสูงส่งยาวไกล
ส่วนเรื่องที่ว่าท่านเทพเจ้าแห่งโชคลาภสกุลหลิวที่น้อยครั้งนักจะต่อยตีกับใครผู้นี้ ในอนาคตโชควาสนาในการผสานมรรคาขอบเขตสิบสี่จะอยู่ที่สิ่งใด
ก็คือเงินเกล็ดหิมะของใต้หล้า
……
เรือหลิวเสียลำหนึ่งใช้แสงเรืองรองของก้อนเมฆในแต่ละสถานที่มาเป็นเรือข้ามฟาก แต่ละครั้งจะปรากฎตัวในก้อนเมฆวูบวาบ คล้ายเซียนเหรินที่ร่ายวิชาอภินิหารหดย่อพื้นที่ครั้งแล้วครั้งเล่า อีกทั้งยังไม่สิ้นเปลืองปราณวิญญาณแม้แต่น้อย
ดังนั้นถึงแม้ว่าต้นทุนในการสร้างเรือหลิวเสียจะสูงมาก แต่กระนั้นศาลบุ๋นก็ยังเลือกเรือข้ามฟากประเภทนี้ให้อยู่ในใบรายการ อีกทั้งในการประชุม พวกผู้ฝึกตนต่างก็ไม่มีความเห็นต่างในเรื่องนี้
เจ้าของเรือคือคนที่รักอิสระเสรีคนหนึ่งบนภูเขาที่ไม่ได้เข้าร่วมการประชุม หนึ่งในบรรพจารย์ของภูเขาเจ๋อเซียนสำนักชั้นสูงของแผ่นดินกลาง เซียนกระบี่ใหญ่หลิ่วโจว
ในห้องไม่มีทั้งเก้าอี้โต๊ะหรือเตียง บนผนังแขวนเทียบอักษรของซิ่วหู่ไว้ภาพหนึ่ง ไม่ใช่ฉบับสำเนาอะไร แต่เป็นลายมือที่แท้จริงของชุยฉานเอง
บนโต๊ะตัวเล็กตรงมุมกำแพงวางสวนกระถางตระกูลเซียนไว้ใบหนึ่ง บรรจุขุนเขาสายน้ำเล็กจิ๋ว เมฆขาวก้อนหนึ่งลอยอยู่กลางอากาศ มีสายฟ้าแลบปลาบพร้อมเสียงฟ้าคำรณ แสงสีทองส่องประกายระยิบระยับ เสียงดังครืนครั่น พอจะมองเห็นเส้นเล็กบางสีทองสีขาวหลายเส้นพุ่งชนอยู่ในก้อนเมฆอุตลุด เพียงไม่นานก็มีฝนกระหน่ำตกลงมา คือเจียวหลงโปรยพิรุณอย่างสมชื่อที่แท้จริง
ผู้ฝึกตนหลิ่วโจวปักปิ่นหยกสีหมึกชิ้นหนึ่ง สวมชุดคลุมสีม่วง นั่งอยู่บนเบาะรองนั่งสีเขียวมรกต
เซียนกระบี่ใหญ่ที่เป็นที่รู้จักว่ามีนิสัยแปลกประหลาดท่านนี้ใบหน้างามประดุจหยก เมื่อร้อยกว่าปีก่อน ผู้มีพรสวรรค์ด้านวิถีกระบี่ที่มีหวังจะเลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยานคนนี้ทิ้งเวทกระบี่ดีๆ ไม่ยอมฝึกฝน ถึงกับหันไปฝึกการวางหมาก นี่เป็นเรื่องที่ครึกโครมอย่างถึงที่สุดของใต้หล้าไพศาลในเวลานั้น รายงานขุนเขาสายน้ำของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางตลอดหลายปีนั้นพากันวิพากษ์วิจารณ์หนาหู หากไม่เป็นเพราะติดที่ชื่อเสียงบารมีของภูเขาเจ๋อเซียนและเซียนกระบี่หลิ่ว คาดว่าคงพูดกันตรงๆ ไปแล้วว่าหลิ่วโจวเป็นบ้าเสียสติไปแล้วหรือไม่
เวลานี้คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเขาคือผู้ฝึกกระบี่หญิงอ่อนเยาว์คนหนึ่ง ตรงเอวห้อยแท่นฝนหมึกหนึ่งชิ้น เป็นหลิ่วโจวที่มอบให้ในอดีต เซียนกระบี่ท่านนี้ยังแกะสลักบทกวีบรรยายกระบี่ไว้บทหนึ่งด้วยตัวเอง ถือเป็นการแสดงความคาดหวังต่อลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่ออย่างหนึ่ง
สตรีก็คือสวี่ซินย่วนแห่งสำนักกระบี่เหมยซาน และนางก็เป็นลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อของหลิ่วโจว ทุกๆ สิบปี สวี่ซินย่วนจะมีโอกาสได้ไปเยือนภูเขาเจ๋อเซียนหนึ่งครั้งเพื่อขอความรู้วิชากระบี่จากหลิ่วโจว
ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองที่อายุไม่ถึงร้อยปี อันที่จริงคุณสมบัติบนวิถีกระบี่ถือว่าไม่เลวอย่างมากแล้ว อีกทั้งนางยังได้ครอบครองกระบี่บินสามเล่มที่หาได้ยากยิ่ง การหลอมกระบี่จึงสิ้นเปลืองเวลามากกว่าผู้ฝึกกระบี่ทั่วไป จึงถ่วงรั้งการเลื่อนขั้นของขอบเขตนาง
สวี่ซินย่วนเล่าประสบการณ์ที่พบเจอมาในการเดินทางท่องเที่ยวครั้งนี้ให้หลิ่วโจวฟัง
บางครั้งหลิ่วโจวก็เอ่ยถามบ้างสองสามประโยค ล้วนเป็นเรื่องราวและผู้คนที่ตอนนั้นสวี่ซินย่วนไม่ได้เก็บมาใส่ใจเท่าใดนัก
ไม่รู้ว่าเหตุใด ต่อให้จะเป็นอิ่นกวานหนุ่มที่อยู่ดีๆ ก็โผล่มาบนโลกคนนั้น ก็ดูเหมือนว่าหลิ่วโจวจะไม่ได้สนใจมากนัก ส่วนใหญ่จะถามนางในเรื่องของฟู่จิ้นจักรพรรดิขาวน้อยมากกว่า
สวี่ซินย่วนเหลือบตามองเทียบอักษรชิ้นนั้นแล้วก็อดไม่ไหวถามคำถามหนึ่งที่สงสัยใคร่รู้มาหลายสิบปีแล้ว “อาจารย์หลิ่ว ในอดีตกระบี่บินจินสุ้ยเล่มนั้นของท่านต้องมอบให้ซิ่วหู่เพราะแพ้หมากล้อมจริงหรือ?”
ต่อให้ชุยฉานจะตายไปแล้ว ทุกวันนี้ยามที่สวี่ซินย่วนพูดถึงคนผู้นี้ก็ยังยินดีเรียกว่าซิ่วหู่ ไม่กล้าเรียกชื่ออีกฝ่ายออกมาตรงๆ
หลิ่วโจวพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ก็แค่แพ้หมากล้อมให้กับชุยฉาน ไม่ใช่ประลองเวทกระบี่กับเขาเสียหน่อย ไม่มีอะไรให้ต้องลำบากใจ”
การที่เขาสนใจฟู่จิ้นมากขนาดนี้ก็เพราะหลิ่วโจวเคยมีสหายรักร่วมสำนักคนหนึ่งที่เป็นทั้งอาจารย์เป็นทั้งสหาย เขาได้ถ่ายทอดเวทกระบี่ให้กับหลิ่วโจวมาเยอะมาก
ตอนที่คนผู้นี้ยังมีชีวิตอยู่ เขากับกู้ชิงซงถูกขนานนามให้เป็นสองสุดยอด เคยเป็นผู้ฝึกตนบนยอดเขาคนหนึ่งที่ชอบเรื่องการโต้เถียงอย่างมาก แล้วก็ทะเลาะกับคนอื่นเก่งมากด้วย อีกทั้งความใจกล้ายังมากยิ่งกว่า ต่อให้เป็นเจิ้งจวีจงแห่งนครจักรพรรดิขาว เขาก็ยังกล้าพูดถึงอย่างตรงไปตรงมา และยิ่งป่าวประกาศแก่ภายนอกว่า ไม่ว่าจะรายงานขุนเขาสายน้ำแห่งใดของแผ่นดินกลางล้วนสามารถพูดถึงเรื่องนี้ได้ตามใจชอบ คนที่เขาด่าก็คือเจิ้งจวีจง
คนผู้หนึ่งของวิถีมารกลับยังมีหน้ามาตั้งชื่อว่าจวีจง นามว่าไหวเซียน?
ในความเห็นของเขา เจิ้งจวีจงเก็บไว้แค่แซ่อย่างเดียวก็พอแล้ว
ทางฝั่งของนครจักรพรรดิขาวไม่ได้สนใจเรื่องนี้ สุดท้ายเขาจึงตั้งใจไปเยือนประตูมังกรของถ้ำสวรรค์เล็กหวงเหอมารอบหนึ่ง เพราะไม่อาจไปยังนครที่ตั้งอยู่ท่ามกลางเมฆหลากสีแห่งนั้นได้ จึงไปเยือนถ้ำสวรรค์เล็กหวงงเหอ คุมเชิงกับนครจักรพรรดิขาวอยู่ไกลๆ บนยอดของน้ำตก บอกว่าต้องการจะถามมรรคากับเจิ้งจวีจง แน่นอนว่าเจิ้งจวีจงไม่ได้ปรากฎตัว เขาจึงพูดสิ่งที่ตัวเองอยากพูดไปคนเดียว ยืนกรานว่าตนแค่ต้องการอธิบายเหตุผลเท่านั้น เจ้าเจิ้งจวีจงก็คือคนของวิถีมาร
ขอบเขตบินทะยาน? เจ้าคือมารร้าย สร้างนครจักรพรรดิขาว สำนักของวิถีมารแห่งหนึ่งขึ้นมา สามารถตั้งตระหง่านอยู่ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางโดยไม่ล้มลง? ก็ยังเป็นมารอยู่ดีไม่ใช่หรือ?
ในเรื่องของหมากล้อม ถ่อมตัวแด่บรรพชนในใต้หล้า? ลงมือจัดการผู้ฝึกตนบนยอดเขาเพื่อผู้ฝึกตนอิสระหลายครั้ง? เจ้าเจิ้งจวีจงก็ยังเป็นผู้ฝึกตนวิถีมารอยู่ดีไม่ใช่หรือ?
ชีวิตนี้คนผู้นี้ก็คือฟู่จิ้น
เพราะจุดจบสุดท้ายก็คือไม่อาจฝ่าทะลุคอขวดของมหามรรคาไปได้ ไม่อาจเลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยาน ตอนที่ต้องสละร่าง จิตวิญญาณจึงถูกคนเก็บไว้แล้วใส่เข้าไปในคราบร่างเซียนเหริน
ตราผนึกของสำนักภูเขาเจ๋อเซียน ค่ายกลในพื้นที่ลับบนยอดเขา การออกกระบี่อย่างเต็มกำลังของสหายรักอย่างหลิ่วโจว ล้วนไม่อาจแก้ไขจุดจบนี้ได้
เจิ้งจวีจงสามารถเข้าออกภูเขาเจ๋อเซียนได้ราวกับที่นั่นเป็นสถานที่ที่ไร้ผู้คน สุดท้ายในสถานที่ที่สละร่างตายจากไป เจิ้งจวีจงหยิบเก้าอี้มาแล้วนั่งลง ในมือถือประคองจิตวิญญาณของผู้ฝึกตนที่พันกันยุ่งเหยิงเหมือนเชือกกลุ่มหนึ่ง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า ‘ข้าอธิบายเหตุผลกับเจ้าดีๆ ก็ไม่ใช่เหตุผลที่เจ้าจะไร้เหตุผลได้’
หลิ่วโจวที่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตจินสุ้ยถูกคนดึงจิตวิญญาณออกมาได้ตามใจชอบ เวลานั้นเลือดอาบเต็มใบหน้า เอนหลังพิงผนัง ฝืนประคองสติเสี้ยวสุดท้ายเอาไว้ไม่ให้ตัวเองหมดสติไป เอ่ยอย่างเดือดดาลว่า ‘เจ้านครเจิ้งเคยใช้เหตุผลอะไรกับเขาสักครึ่งคำเสียที่ไหน นี่เรียกว่าฆ่าคนโดยไม่สนถูกผิด!’
‘เหตุผลอยู่ที่การกระทำไม่ได้อยู่ที่คำพูด ผู้ฝึกตนบนภูเขาคนหนึ่งมีแค่หูไม่มีดวงตาจะได้อย่างไร ไม่เป็นไร ชีวิตนี้เกิดมาไม่ได้พกตามาด้วย ชีวิตหน้าข้าจะมอบให้เขาคู่หนึ่งก็แล้วกัน’
เจิ้งจวีจงเก็บวิญญาณของเซียนกระบี่ท่านหนึ่งไว้ในชายแขนเสื้อ ลุกขึ้นยิ้มเอ่ยกับหลิ่วโจวว่า ‘ก็ข้าคือมารนี่นะ’
สุดท้ายเจิ้งจวีจงยังเตือนหลิ่วโจวว่าอย่าปากมากเรื่องนี้ ไม่อย่างนั้นระวังชีวิตหน้าไปเกิดใหม่จะกลายเป็นคนใบ้
ดังนั้นเซียนกระบี่ใหญ่แห่งภูเขาเจ๋อเซียนในอดีตจึงกลายมาเป็นฟู่จิ้นแห่งนครจักรพรรดิขาวอย่างในทุกวันนี้
ฟู่จิ้นจักรพรรดิขาวน้อย
จิ้นจากประโยคที่ว่าเงียบกริบราวจักจั่นในหน้าหนาว
……
ท่ามกลางม่านราตรี เรือข้ามฟากลำหนึ่งทะยานไปกลางทะเลเมฆอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ ดวงจันทร์บนท้องฟ้าคล้ายคอยติดตามไปปกป้องมรรคาให้แก่มัน
ในฐานะผู้ฝึกตนบนทำเนียบอย่างแท้จริงของนครจักรพรรดิขาว ทุกวันนี้ถึงแม้ไฉ่ป๋อฝูจะไม่ใช่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์ แล้วก็ไม่ใช่ผู้ที่ได้รับการถ่ายทอดวิชาจากยอดฝีมืออย่างหันเชี่ยวเซ่อ แต่อย่าเห็นว่าเขาถูกหลิ่วชื่อเฉิงหลอกแกล้งครั้งแล้วครั้งเล่า อันที่จริงเวลาปกติยามที่ไปไหนมาไหนในนครจักรพรรดิขาวล้วนมีหน้ามีตาอย่างมาก ทุกครั้งที่ปรากฏตัว ข้างกายหากไม่ใช่หลิ่วชื่อเฉิงก็เป็นกู้ช่าน ดังนั้นจึงแทบไม่มีใครกล้าหาเรื่องคนหน้าใหม่ที่ขอบเขตเดี๋ยวสูงเดี๋ยวต่ำไม่แน่นอนผู้นี้
ทว่ายี่สิบปีที่ผ่านมานี้ไฉ่ป๋อฝูโชคดีได้เจอเจิ้งจวีจงอยู่หลายครั้ง แต่กลับไม่เคยได้พูดคุยกันแม้แต่ครั้งเดียว ไฉ่ป๋อฝูคิดว่าเป็นแบบนี้แหละถึงจะสมเหตุสมผล เพียงแค่คิดว่าวันใดเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบ ไม่แน่ว่าอาจได้พูดคุยกับเจ้านครท่านนี้สักประโยค ถึงเวลานั้นค่อยขอบเขตถดถอยอีกรอบก็ยังไม่สาย
คิดไม่ถึงว่าระหว่างออกจากศาลบุ๋นครั้งนี้จะถึงกับได้พูดคุยกับเจ้านคร
บนเรือข้ามฟาก เมื่อครู่นี้กู้ช่านมาหาไฉ่ป๋อฝู บอกว่าอาจารย์เชิญเขาไปนั่งในห้อง
ไฉ่ป๋อฝูจึงได้แต่หยุดการฝึกตนไว้ชั่วคราว ถอยดวงจิตออกมาจากฟ้าดินเล็ก พอได้ยินเรื่องนี้ ไฉ่ป๋อฝูก็ไม่มีความยินดีแม้แต่น้อย กลับยังเหมือนได้ยินฝันร้าย เจอกับฟ้าผ่าตอนกลางวันแสกๆ
ตนก็ไม่ได้ทำเรื่องจำพวกหลอกลวงอาจารย์ลบล้างบรรพชนนี่นา ไหนเลยจะต้องให้เจ้านครออกมาเก็บกวาดเรือนด้วยตัวเอง?
เดินตามไปด้านหลังกู้ช่าน เดินอยู่ในระเบียง ไฉ่ป๋อฝูไม่คิดอะไรทั้งนั้น ถึงอย่างไรก็ล้วนไม่มีประโยชน์ มึนๆ งงๆ ไปตลอดทาง มาถึงนอกประตูห้องของเจิ้งจวีจง กู้ช่านก็เคาะประตูเบาๆ ก่อนจะผลักประตูให้เปิดออก เบี่ยงตัวเปิดทางให้ ไฉ่ป๋อฝูยกเท้าเดินข้ามธรณีประตู ประหนึ่งปลาและกุ้งที่บุกเข้าไปในบ่อมังกร
กู้ช่านปิดประตูลงเบาๆ ย้อนกลับไปห้องของตัวเองเพื่อฝึกคาถาของผู้ฝึกตนผีที่เป็นเวทลับเฉพาะของนครจักรพรรดิขาวต่อไป
เจิ้งจวีจงวางตำราในมือลง เงยหน้าขึ้น ผายฝ่ามือข้างหนึ่งให้กับอดีตผู้ฝึกตนอิสระที่ชีวิตค่อนข้างขึ้นๆ ลงๆ ผู้นี้ ยิ้มเอ่ย “นั่งสิ”
ไฉ่ป๋อฝูที่จิตวิญญาณไม่อยู่กับร่างปฏิบัติตามคำสั่ง หมายจะนั่งลงตามจิตใต้สำนึก เพียงแต่ว่ารอกระทั่งก้นสัมผัสกับเก้าอี้ก็กระดกก้นขึ้นทันที ก่อนจะค่อยๆ นั่งลงไปช้าๆ อีกครั้ง
ดูเหมือนว่าเมื่อเผชิญหน้ากับยักษ์ใหญ่แห่งวิถีมารที่ ‘ความรู้สูงส่งดุจเทพเทวดา สติปัญญายิ่งใหญ่ดุจปีศาจ กระทำการนอกรีต มาดดุจเทพ’ ผู้นี้ ไม่ว่าตนจะทำอะไรก็ล้วนผิดไปหมด แต่ไม่ทำอะไรเลยก็ผิดอีกเหมือนกัน
ไฉ่ป๋อฝูเหงื่อแตกพลั่กเหมือนฝนตก เพียงแค่นั่งอยู่บนเก้าอี้ก็กลายเป็นไก่ตกน้ำแล้ว
เป็นเหตุให้เจ้าคนที่มีฉายาว่าหลงป๋อผู้นี้ถึงกับไม่ทันสังเกตเห็นว่าในห้องยังมีหันเชี่ยวเซ่อนั่งอยู่อีกคน
——