กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 813.1 ขึ้นเขา
เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาดื่มเหล้าหนึ่งอึก มองกรอบป้ายบนซุ้มประตูตรงตีนภูเขาแล้วเอ่ยว่า “ตัวอักษรเขียนไม่สวยเท่าไร ยังไม่น่ามองเท่าดอกซิ่งข้างทางเลยด้วยซ้ำ”
สำนักแห่งนี้ชื่อว่าสั่วอวิ๋น ตั้งอยู่ในแถบภาคกลางค่อนไปทางเหนือของอุตรกุรุทวีป เชี่ยวชาญการกำราบและกักขังผี หลอมธูปภูเขาและวาดภาพเทพทวารบาล
สำนักตระกูลเซียนของอุตรกุรุทวีปคือสถานที่แห่งเดียวในบรรดาเก้าทวีปของไพศาลที่ทุกตระกูลล้วนสร้างค่ายกลให้กับศาลบรรพจารย์ของตัวเอง อีกทั้งยังไม่มีการออมแรงมากที่สุด บนภูเขาของทวีปอื่นส่วนใหญ่ล้วนให้ความสำคัญกับการรักษาประคับประคองค่ายกลใหญ่พิทักษ์ภูเขา ส่วนใหญ่แล้วจะสร้างตราผนึกขุนเขาสายน้ำให้กับศาลบรรพจารย์แค่พอเป็นพิธีมากกว่า
หลิวจิ่งหลงใช้เสียงในใจถาม “ต่อจากนี้จะเอาอย่างไร?”
เรื่องอย่างการถามกระบี่ต่อศาลบรรพจารย์นี้ หลิวจิ่งหลงเพิ่งเคยทำเป็นครั้งแรก ความตั้งใจเดิมของเขาก็คือคนทั้งสองไม่ต้องพลิ้วกายลงที่ประตูภูเขา แต่ทะยานลมตรงไปหยุดลอยอยู่กลางอากาศโดยตรง แล้วเขากับเฉินผิงอันก็ส่งกระบี่อยู่ไกลๆ สองสามที แบ่งศาลบรรพจารย์ออกเป็นสองส่วน เท่านี้ก็เรียบร้อย สามารถกลับไปได้แล้ว
ส่วนค่ายกลของศาลบรรพจารย์ภูเขาสั่วอวิ๋นนั้น มีตราผนึกแห่งขุนเขาสายน้ำบนยอดเขาหลักกี่แห่ง ระหว่างที่เดินทางมา หลิวจิ่งหลงได้อธิบายให้เฉินผิงอันฟังอย่างละเอียดแล้ว
แต่เฉินผิงอันกลับไม่เห็นด้วย บอกว่าทะยานลมเดินทางมาตั้งไกลขนาดนี้เป็นเพื่อนเจ้า ผลคือฟันกระบี่แค่ทีสองทีก็เผ่นหนี นี่เจ้าหลิวเซียนสุราดื่มเหล้าเมาแล้วก็เลยพูดจาเหลวไหลของคนเมาหรือ?
เฉินผิงอันกล่าว “เอาอย่างไร? ก็ขึ้นเขาไปน่ะสิ พวกเราเดินกันไปตลอดทางจนถึงหน้าประตูศาลบรรพจารย์แล้วค่อยออกกระบี่”
กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของหลิวจิ่งหลงคือหนึ่งในกระบี่บินที่แปลกประหลาดที่สุดเท่าที่เฉินผิงอันเคยเห็นกระบี่บินของผู้ฝึกกระบี่มา จิตแห่งมรรคาและปณิธานกระบี่คือคำว่า ‘กฎเกณฑ์’ แค่ได้ยินชื่อนี้ก็รู้แล้วว่าไม่ควรไปมีเรื่องด้วย
แล้วนับประสาอะไรกับที่ ‘กฎเกณฑ์’ เล่มหนึ่งยังสามารถสร้างฟ้าดินเล็กขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง ราวกับว่าเพียงแค่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มเดียวก็สามารถนำมาใช้เป็นกระบี่บินสองเล่มอย่างนกในกรงและจันทร์ในบ่อของเฉินผิงอันได้แล้ว คนเปรียบเทียบกับคนชวนให้คนโมโหตาย โชคดีที่เป็นเพื่อนกัน ดื่มเหล้าก็ดื่มไม่เก่งเท่า เฉินผิงอันจึงได้แต่อดทนข่มกลั้นแล้ว
หลิวจิ่งหลงเอ่ยเตือนว่า “ข้าสามารถไปที่ยอดเขาหย่างอวิ๋นเป็นเพื่อนเจ้าได้ แต่เจ้าจำไว้ว่าต้องเก็บหมัดและเท้าให้ดี”
เฉินผิงอันเหน็บน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้ตรงข้างเอวอีกครั้ง ยิ้มเอ่ยว่า “ข้ารู้น่า”
ภูเขาบรรพบุรษของสำนักสั่วอวิ๋นเบื้องหน้าคนทั้งสองมหัศจรรย์อย่างถึงที่สุด ลักษณะเหมือนไม้แห้งท่อนหนึ่ง มีหน้าผาสูงชันสี่ด้าน ตรงกึ่งกลางของภูเขาพื้นที่ภูเขาครึ่งหนึ่งไม่มีทางให้เดินต่อ เหลือเพียงทางเส้นเดียวที่อ้อมวนขึ้นไปจากด้านข้าง จากนั้นก็กลายมาเป็นยอดเขาหลายแห่ง สูงต่ำต่างกัน หนึ่งในนั้นคล้ายที่วางพู่กัน สีของภูเขาเขียวขจี ราวกับว่ามีกลุ่มพืชพรรณงอกงามเติบโต พอจะมองเห็นได้รำไรว่ามีตัวอักษรแกะสลักไว้บนหน้าผาว่า ‘ภูเขาชิงจือเล็ก’ ยอดเขาสูงอีกแห่งหนึ่งสูงชันอันตรายอย่างยิ่ง ตรงยอดบนสุดเป็นช่องรู ผนังสี่ด้านลาดชัน คล้ายกับดวงจันทร์ที่ลอยอยู่ตรงขอบฟ้า และภูเขาที่ตั้งของศาลบรรพจารย์สำนักสั่วอวิ๋นก็อยู่สูงที่สุด มีชื่อว่ายอดเขาหย่างอวิ๋น
บรรพจารย์ในสำนักที่มีลำดับอาวุโสสูงที่สุดเป็นขอบเขตเซียนเหริน มีชื่อว่าเว่ยจิงชุ่ย ฉายาเฟยชิง
หยางเชว่เจ้าสำนักคนปัจจุบันขอบเขตหยกดิบ ฉายาคือกวานเหมย และยังมีเค่อชิงอันดับหนึ่งที่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าอยู่อีกคน ชุยกงจ้วง ตอนนี้ไม่รู้ว่าอยู่บนภูเขาหรือไม่
เป็นสำนักใหญ่แห่งหนึ่ง
นอกจากมีห้าขอบเขตบนสองคนเฝ้าพิทักษ์แล้ว ยอดเขาแต่ละแห่งยังมีผู้ฝึกตนเซียนดินที่มีชื่อเสียงมานานแล้วอยู่อีกหลายคน
เฉินผิงอันถามหยั่งเชิงว่า “ศัตรูผู้แข็งแกร่งบนภูเขามากมายดุจก้อนเมฆ เจ้าไม่ต้องดื่มเหล้าระงับความตกใจก่อนจริงๆ หรือ?”
หลิวจิ่งหลงหัวเราะหึหึ “หนี้เก่ากองเป็นพะเนิน ปกติแล้วข้าไม่ด่าคนหรอกนะ”
เว่ยท่องราตรีแห่งบุรพแจกันสมบัติทวีป หลิวเซียนสุราแห่งอุตรกุรุทวีป
สืบสาวราวเรื่องกันแล้ว ล้วนเป็นใครที่มอบให้?
เฉินผิงอันตบไหล่หลิวจิ่งหลง “ใช่ อย่าด่าคนส่งเดช พวกเราล้วนเป็นบัณฑิต ด่าคนยามเมาคือข้อห้ามใหญ่สุดบนโต๊ะสุรา ง่ายที่จะกลายเป็นชายโสดขึ้นคาน”
ครั้งนี้เฉินผิงอันมาเยี่ยมเยือนสำนักสั่นอวิ๋นได้สวมหน้ากากของผู้เฒ่าคนหนึ่ง ระหว่างทางได้เปลี่ยนมาสวมชุดนักพรตเต๋าที่ไม่รู้ไปหามาจากไหนอยู่นานแล้ว แล้วยังสวมกวานดอกบัวไว้บนศีรษะ พอเจอกับคนเฝ้าประตูก็ก้มหัวคารวะ พูดเข้าประเด็นทันทีว่า “นั่งไม่เปลี่ยนชื่อเดินไม่เปลี่ยนแซ่ ข้าชื่อเฉินคนดี ฉายาอู๋ตี๋ (ไร้ศัตรูทัดทาน) ลูกศิษย์ข้างกายชื่อว่าหลิวเต้าหลี่ ตอนนี้ยังไม่มีฉายา สองอาจารย์และศิษย์อยู่ว่างไม่มีอะไรทำจึงเดินทางท่องเที่ยวจนมาถึงที่แห่งนี้ เคยชินกับการเดินเท้า ภูเขาบรรพบุรุษของสำนักสั่วอวิ๋นพวกเจ้ามาขวางทางของพวกข้าโดยไม่ทันระวัง จึงเป็นเหตุให้ผินเต้ากับลูกศิษย์ที่ไม่ได้ความคนนี้ต้องรื้อศาลบรรพจารย์ของพวกเจ้า รบกวนไปแจ้งสักคำ หลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นการเสียมารยาท”
คนเฝ้าประตูตรงตีนเขาของสำนักสั่วอวิ๋นคือผู้ฝึกตนขอบเขตชมมหาสมุทรที่มีโฉมหน้าอ่อนเยาว์คนหนึ่ง อันที่จริงอายุกลับไม่น้อยแล้ว แล้วก็เห็นคลื่นลมมรสุมมาจนเคยชิน แต่กระนั้นพอได้ยินประโยคนี้ก็ยังปากอ้าตาค้าง เนิ่นนานก็ยังไม่คืนสติกลับมา
นักพรตเฒ่าที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้พูดภาษากลางของอุตรกุรุทวีปด้วยสำเนียงที่ถูกต้องเหมือนคนท้องถิ่น แน่นอนว่าเขาย่อมฟังคำพูดของอีกฝ่ายเข้าใจแจ่มแจ้ง ทว่าแต่ละคำแต่ละประโยคที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมาคล้ายว่าจะผิดปกติไปทุกอย่าง คนเฝ้าประตูผู้นี้จึงไม่ทันเกิดอารมณ์โมโหขับไล่คน จากนั้นคนเฝ้าประตูก็หัวเราะอย่างอดไม่อยู่ ไม่รู้สึกโกรธเคืองแม้แต่น้อย กลับกันยังรู้สึกแค่ว่าน่าตลก อยู่ดีๆ ตรงหน้าก็มีเจ้าโง่สองคนโผล่มาให้ดูเสียอย่างนั้น
หลิวจิ่งหลงเสียใจภายหลังแล้วที่มาถามกระบี่กับเฉินผิงอัน
ในฐานะผู้ฝึกตนที่เกิดและเติบโตมาในอุตรกุรุทวีป เรื่องอย่างการมาเยี่ยมเยือนศาลบรรพจารย์ของสำนักอื่น ต่อให้หลิวจิ่งจะไม่เคยกินเนื้อหมูก็ต้องเคยเป็นหมูตัวเป็นๆ วิ่งพล่านเต็มถนนมาก่อน
แล้วนับประสาอะไรกับที่ในประวัติศาสตร์ของสำนักกระบี่ไท่ฮุยบ้านตนก็เคยมีช่วงเวลาที่ถูกเซียนกระบี่ถามกระบี่ ถูกปรมาจารย์ผู้ฝึกยุทธถามหมัดอยู่หลายครั้ง พวกบรรพจารย์โจมตีให้ศัตรูถอยร่นได้ไม่ยาก เพียงแต่ว่าส่วนใหญ่มักจะต้องยุ่งวุ่นวายจนหัวหูแทบไหม้กับเรื่องของการซ่อมแซม พวกลูกศิษย์อายุน้อยกลับทำเหมือนการเลี้ยงฉลองข้ามปี ไม่ต่างจากการกินอาหารส่งท้ายปีเก่าของล่างภูเขา พอชมเรื่องสนุกเสร็จก็คิดว่าวันหน้าจะลงจากภูเขาไปหาเรื่องสนุกทำกับคนอื่น
หลิวจิ่งหลงเคยได้ยินมาว่าตอนที่อาจารย์และอาจารย์ลุงหวงผู้คุมกฎยังเป็นหนุ่ม ต่างก็ชอบแอบออกจากสำนักกันอย่างมาก พอคนทั้งสองกลับมาที่ภูเขาก็มักจะโดนลงโทษในศาลบรรพจารย์ ย่อมเลี่ยงที่จะถูกอาจารย์ปู่สั่งสอนไม่ได้ ความหมายคร่าวๆ ก็คือเป็นผู้ฝึกกระบี่ของสำนักกระบี่ไท่ฮุย แล้วยังเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอด การฝึกกระบี่ฝึกอบรมจิตใจของตัวเองจำเป็นต้องเปิดเผยตรงไปตรงมา ถามกระบี่กับคนอื่นก็ยิ่งต้องผึ่งผาย ควรหรือที่จะทำอะไรลับๆ ล่อๆ เช่นนี้ เอ่ยประโยคเหล่านี้เสร็จ สุดท้ายก็มักจะพูดเสริมมาอีกประโยคว่า ออกกระบี่อ่อนนุ่มราวกับสตรี อับอายขายหน้านัก
ทว่าการมาเยี่ยมเยือนศาลบรรพจารย์บ้านคนอื่นอย่างเฉินผิงอันนี้ หลิวจิ่งหลงเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก นับว่าได้เปิดโลกกว้างแล้ว
เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ก่อนที่ผินเต้าจะเดินขึ้นเขาก็ต้องรู้ให้ชัดเจนเสียก่อน ตามขนบธรรมเนียมของพวกเจ้าควรต้องจัดโต๊ะกี่โต๊ะในหมู่บ้าน? โต๊ะหนึ่งนั่งได้กี่คน?”
คนเฝ้าประตูมึนงง แต่ถึงอย่างไรก็มีหน้าที่ที่ต้องทำ แม้ว่าอยากจะฟังเรื่องตลกต่ออีกหน่อย กระนั้นก็ยังโบกมือ หัวเราะหยันเอ่ยว่า “รีบไสหัวไปให้ไกลๆ เลย อย่ามาทำตัวเป็นคนบ้าเสียสติที่นี่”
เห็นเพียงว่านักพรตเฒ่าทำท่าเหมือนลำบากใจ ลูบหนวดครุ่นคิดอยู่นาน คนเฝ้าประตูดีดเท้าเบาๆ หนึ่งที หินก้อนหนึ่งที่อยู่ข้างเท้าก็พุ่งไปรวดเร็วราวกับลูกธนู ตรงไปกระแทกน่องขาเล็กของตาแก่หนังเหนียวผู้นั้น
นักพรตเฒ่าเซถลา กวาดตามองรอบด้าน พูดอย่างเป็นเดือดเป็นแค้นว่า “ใคร แน่จริงก็อย่าหลบอยู่ในมุมมืดใช้กระบี่บินทำร้ายคนอื่นสิ เดินออกมาเลย เซียนกระบี่ตัวเล็กๆ กินหัวใจหมีดีเสือมาหรือไร ถึงกับกล้าลอบทำร้ายผินเต้า?!”
หลิ่วจิ่งหลงยื่นหมัดออกมายันขมับ อายเกินกว่าจะทนดูทนฟังได้ไหว หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นอย่างนี้ก็ไม่สู้แหกกฎดื่มเหล้าบนยอดเขาเพียนหรานให้มากหน่อย
ในใจคนเฝ้าประตูมั่นใจได้แล้ว จึงเปี่ยมไปด้วยความฮึกเหิมห้าวหาญ ก้าวอาดๆ มาตรงหน้านักพรตเฒ่าราวพยัคฆ์เยื้องย่าง แล้วปล่อยฝ่ามือหนึ่งผลักไปตรงหัวใจของอีกฝ่ายอย่างแรง จงลงไปนอนบนพื้นแต่โดยดีเถอะ
กล้ามาก่อเรื่องที่หน้าประตูสำนักสั่วอวิ๋น ไม่รู้แล้วว่าใครกันแน่ที่กินดีหมีหัวใจเสือ ฝ่ามือนี้ของเขาใช้กำลังอย่างพอเหมาะพอดี ลูกศิษย์ฝ่ายในของสำนักสั่วอวิ๋นต่างก็มีโอกาสได้เรียนรู้วิชาหมัดเท้ามาจากชุยเค่อชิงที่เคยใช้สองหมัดกำราบหลายแคว้นมาบ้างนิดหน่อย ฝ่ามือนี้มีชื่อว่า ‘กระแทกด่านใจ’ คือหนึ่งในสุดยอดวิชาที่ขึ้นชื่อของปรมาจารย์ใหญ่ชุย เอาไว้ใช้รับมือกับผู้ฝึกลมปราณบนภูเขาโดยเฉพาะ
แม้ว่าคนเฝ้าประตูจะเป็นผู้ฝึกตน ไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัว ดังนั้นจึงเรียนมาแค่ผิวเผิน แต่ความยอดเยี่ยมของฝ่ามือนี้ก็อยู่ที่ว่าคนที่โดนเข้าไป อาการบาดเจ็บจะยังไม่เด่นชัดชั่วคราว ต้องให้ผ่านไปหลายชั่วยามก่อน ปณิธานหมัดนั้นถึงจะเหมือนน้ำที่ท่วมทะลักทำนบ พุ่งออกไปแล้วก็ไม่อาจเก็บกลับคืนมาได้ เอาปราณวิญญาณของผู้ฝึกตนมาทำเป็นลานประลองยุทธภพ คล้ายการพลิกภูเขาคว่ำมหาสมุทร ในเมื่อมีประสิทธิผลที่มหัศจรรย์เช่นนี้ คนเฝ้าประตูจึงลงมืออย่างไม่ออมแรงแม้แต่น้อย ถึงอย่างไรนักพรตเฒ่าก็แค่บาดเจ็บอยู่ที่ตีนเขา จากนั้นหากอีกฝ่ายไปตายอยู่ในจุดที่ห่างไปไกลจะเกี่ยวข้องอะไรกับสำนักสั่วอวิ๋นด้วยเล่า?
ได้ยินเพียงเสียงปัง
สองเท้าของนักพรตเฒ่าลอยพ้นพื้น ปลิวกระเด็นออกไป ไถลกรูดไปด้านหลังหลายก้าวกว่าจะหยุดร่างได้อย่างยากลำบาก
หลิวจิ่งหลงใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “คือฝ่ามือกระแทกด่านใจของเค่อชิงชุยกงจ้วง”
เฉินผิงอันหัวเราะ ปัดชุดคลุมเต๋า พยักหน้าเอ่ยว่า “ปณิธานหมัดไม่เลว หวังว่าคืนนี้คนผู้นี้จะอยู่บนภูเขาด้วย อันที่จริงข้าเองก็เรียนกระบวนท่าหมัดที่เอาไว้ใช้รับมือกับผู้ฝึกยุทธโดยเฉพาะมาหลายกระบวนท่า ก่อนหน้านี้ประมือกับเฉาสือไม่กล้าเอาออกมาใช้ เอาล่ะ ข้ายิ่งรู้แล้วว่าควรทำเช่นไร ขึ้นเขากันเถอะ”
เฉินผิงอันพาหลิวจิ่งหลงเดินดิ่งตรงไปยังซุ้มประตูภูเขา คนเฝ้าประตูคนนั้นก็ไม่ได้โง่ เริ่มคลางแคลงไม่แน่ใจขึ้นมาบ้างแล้ว จึงแอบคีบยันต์กระดาษเหลืองที่วาดภาพเทพทวารบาลออกมาสองแผ่น “หยุดนะ! หากยังกล้าเดินมาอีกก้าวก็จะต้องมีคนตายแล้ว”
คนทั้งสองแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ผู้ฝึกตนขอบเขตชมมหาสมุทรจึงได้แต่ทำมุทราขว้างยันต์ออกไป เทพทวารบาลสูงใหญ่เรือนกายสูงจั้งกว่า สวมเสื้อเกราะหลากสีไว้บนร่างปรากฏกายลงพื้นดังโครม ขวางทางอยู่เบื้องหน้า ผู้ฝึกตนใช้เสียงในใจสั่งเทพทวารบาล บอกให้จับตัวคนทั้งสองโดยไม่ต้องสนว่าจะเป็นหรือตาย
เฉินผิงอันโบกชายแขนเสื้ออย่างไม่ใส่ใจหนึ่งที หน้าประตูก็พลันว่างเปล่าไร้สิ่งใดขัดขวาง
ผู้ฝึกตนรีบเรียกยันต์ส่งข่าวแผ่นหนึ่งออกมา โยนขึ้นไปกลางอากาศสูง จึงมีสายรุ้งขาวพร่างพราวเส้นหนึ่งผุดขึ้นจากหน้าประตูภูเขา อิงตามกฎของสำนักสั่วอวิ๋น หากมีเซียนกระบี่ขึ้นเขามาถามกระบี่จากหน้าประตูภูเขาจำเป็นต้องเรียกยันต์หลากสีออกมา รองลงมาคือตำราสีชาด แล้วจึงตามมาด้วยยันต์รุ้งขาว
เฉินผิงอันหันหน้าไปยิ้มเอ่ยสัพยอกว่า “ไม่ไว้หน้าเจ้าเลยจริงๆ นะ”
หลิวจิ่งหลงกล่าว “ตอนนี้ยังไม่มีฉายา แล้วยังเป็นแค่ลูกศิษย์ จะให้คนไว้หน้าได้อย่างไร”
เฉินผิงอันดีดนิ้วหนึ่งทีสลายยันต์รุ้งขาวที่เพิ่งจะลอยขึ้นไปได้แค่กลางทาง คนเฝ้าประตูตกตะลึงอย่างหนัก รีบเปลี่ยนมาเป็นยันต์ตำราสีชาดอย่างว่องไว ผลคือแสงยันต์เพิ่งจะลอยขึ้นฟ้า ยังไม่ทันไปถึงกึ่งกลางภูเขาก็ถูกนักพรตเฒ่าที่ไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมา อ้อมแขนมาด้านหลัง สองนิ้วประกบทำมุทรากระบี่สลายทิ้งไปราวกับควันที่จางหาย
สีหน้าของคนเฝ้าประตูเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างไม่แน่นอน ยังคงไม่กล้าเรียกยันต์หลากสีออกมา เพราะถึงอย่างไรเมื่อเรียกยันต์นี้ออกมาก็จะต้องเดือดร้อนให้ทางสำนักเปิดค่ายกลศาลบรรพจารย์เพื่อต้านทานการถามกระบี่ของผู้ฝึกกระบี่ทันที ผู้ฝึกตนดีดปลายเท้า เรือนกายพุ่งไปเป็นเส้นยาว ชูฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นสูง ฝ่ามือใสวาวโปร่งแสง มีประกายแสงไหลเวียนวน มรรคกถาบทหนึ่งมารวมตัวกันอยู่ระหว่างห้านิ้ว เวทน้ำรวมตัวกลายเป็นเจียวหลงยาวจั้งกว่าตัวหนึ่งที่พุ่งกระโจนออกไปอย่างว่องไว ตรงเข้ากระแทกตรงหัวใจด้านหลังของ ‘นักพรตเด็กหนุ่ม’ คนนั้น นี่คือท่าไม้ตายก้นกรุของคนเฝ้าประตูแล้ว ร่ายวิชาความรู้ที่เรียนมาทั้งชีวิตออกมาใช้แล้ว ผู้ฝึกตนถึงได้ตวาดกร้าวอย่างเดือดดาล “เจ้านักพรตชั่วกล้าบังอาจบุกขึ้นเขา ไม่รู้จักกลัวตายจริงๆ!”
เวทคาถาบทหนึ่งเหมือนน้ำท่วมทะลักกำแพงที่กระแทกชนเข้ากับกำแพงไร้รูปลักษณ์ จากนั้นก็เหมือนก้อนน้ำแข็งที่ถูกโยนเข้าไปในเตาถ่านที่ไฟลุกโชน จึงละลายหายไปด้วยตัวเอง
——