กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 815.2 คู่ควร
ฮ่องเต้สกุลหลูทำอะไรรวดเร็วฉับไวเป็นพิเศษ สำหรับเรื่องของการเดินลงน้ำ เขาไม่ได้มีท่าทีเกรงใจตามมารยาทใดๆ พูดตามตรงว่าหากไม่เป็นเพราะหลิงหยวนกงเสิ่นหลินและหลงถิงโหวหลี่หยวนมาบอกกล่าวกับราชวงศ์ต้าหยวนไว้แต่เนิ่นๆ ตอนนั้นยังไม่รู้จักอาจารย์เฉิน ย่อมไม่มีทางปล่อยผ่านแน่นอน แต่วันนี้ไม่เหมือนวันวาน ดังนั้นในอนาคตหากมีเรื่องอย่างการเดินลงน้ำอีกก็แค่บอกกล่าวกันสักคำก็พอ ทางต้าหยวนและแคว้นใต้อาณัติทุกแห่งจะปล่อยผ่านให้หมด ส่วนเรื่องของการค้าข้ามทวีป ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในสวนกงเต๋อศาลบุ๋น หยางชิงข่งได้พูดคุยกับเฉินผิงอันไปคร่าวๆ แล้ว ดังนั้นวันนี้ฮ่องเต้จึงหยิบสมุดเล่มหนึ่งออกมาโดยตรง ไม่บาง ด้านในระบุราคาของข้าวของบนภูเขาและผลผลิตเฉพาะของราชวงศ์ต้าหยวนประเภทต่างๆ ไว้อย่างละเอียด และยังมีการแบ่งส่วนแบ่งตามขั้นบันไดที่แตกต่างกับภูเขาลั่วพั่ว ขุนนางกรมกลางคลังที่จะรับผิดชอบประสานงานกับภูเขาลั่วพั่วในอนาคต…ล้วนกระจ่างชัดเจน เฉินผิงอันแค่เปิดอ่านก็เข้าใจแจ่มแจ้ง
เฉินผิงอันปิดสมุดลง ยิ้มเอ่ยว่า “ฝ่าบาทมีใจแล้ว ทางฝั่งของภูเขาลั่วพั่วไม่มีความเห็นต่างใดๆ หากไม่ผิดไปจากที่คาด ภายในเวลาหกสิบปี พวกเราก็จะทำตามกฎเกณฑ์เหล่านี้”
ดูเหมือนฮ่องเต้สกุลหลูจะประหลาดใจอยู่บ้าง “อาจารย์เฉินไม่ต่อรองราคาสักหน่อยหรือ? ไม่อย่างนั้นจะขาดความบันเทิงบางอย่างไปนะ ไม่มีเหตุผลให้ดื่มเหล้าเลยด้วยซ้ำ ทางฝั่งของหน่วยฉงเสวียนนี้เก็บเหล้าสามยามที่หมักนานหลายร้อยปีเอาไว้อย่างดีเชียวนะ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “หากฝ่าบาทไม่ถือสาก็คงไม่ดื่มเหล้าสามยามของถ้ำสวรรค์วังมังกรแล้ว ที่ข้ายังมีเหล้าที่ขายที่ร้านเหล้าบ้านตัวเองอยู่อีกหลายกา”
ฮ่องเต้ถาม “ใช่เหล้าภูเขาชิงเสินของกำแพงเมืองปราณกระบี่หรือไม่?”
เฉินผิงอันหลุดหัวเราะพรืด เหตุใดถึงได้ดูเหมือนว่าตนกำลังเชิญให้ฮ่องเต้ท่านนี้ดื่มเหล้าปลอมอยู่เลยเล่า?
ไม่เป็นไร สามารถชดเชยได้ เฉินผิงอันหยิบเหล้าสามกามาวางลงบนโต๊ะ จากนั้นก็หยิบเทียบอักษรชิ้นหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ มอบให้กับองค์ชายเด็กหนุ่ม ยิ้มเอ่ยว่า “นี่คือเทียบตัวอักษรของอาจารย์ข้าเอง”
เด็กหนุ่มหน้าแดงก่ำในชั่วพริบตา รีบลุกขึ้นยืน ใช้สองมือรับเทียบอักษรที่เขียนด้วยลายมือของอาจารย์เหวินเซิ่งมา เอ่ยขอบคุณและนั่งลงแล้ว เด็กหนุ่มก็กอดเทียบอักษรไว้ในอ้อมอกอย่างระมัดระวัง
เกี่ยวกับเรื่องการซื้อเกาะเป็ดน้ำก็ง่ายมาก หยางชิงข่งบอกว่าทางฝั่งของหน่วยฉงเสวียนจะส่งจดหมายฉบับหนึ่งไปให้กับศาลบรรพจารย์ของสำนักมังกรน้ำ ส่วนแบ่งสามส่วนที่เป็นของราชวงศ์ต้าหยวนจะไม่รับเอาไว้แล้ว ถือเสียว่าเป็นของขวัญตอบแทนกลับคืนที่ครั้งนี้อาจารย์เฉินมาเยือนหน่วยฉงเสวียน
ต่างคนต่างดื่มเหล้าภูเขาชิงเสินไปแล้ว เฉินผิงอันก็เตรียมจะขอตัวลา เด็กหนุ่มกลับกระตุกชายแขนเสื้อของฮ่องเต้กะทันหัน ฮ่องเต้จึงเปิดปากยิ้มเอ่ยว่า “อาจารย์เฉิน ในสายตาของท่าน หลูจวินมีคุณสมบัติในการฝึกวรยุทธหรือไม่?”
คำถามนี้แน่นอนว่าเกินความจำเป็น คุณสมบัติขององค์ชายคนหนึ่งดีหรือไม่ดี ไม่ว่าจะเป็นการฝึกวรยุทธหรือการฝึกตน ไหนเลยจะต้องรอให้ถึงวัยของเด็กหนุ่มแล้วค่อยมาถามคนนอกคนหนึ่ง
เฉินผิงอันกล่าว “ธรรมดาอย่างมาก”
เด็กหนุ่มสีหน้าหม่นหมอง
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ยอีกว่า “แต่การเรียนวรยุทธกับการฝึกตนไม่ค่อยเหมือนกัน ทั้งเน้นในเรื่องคุณสมบัติเหมือนกัน แล้วก็ไม่เน้นในเรื่องคุณสมบัติด้วย ยกตัวอย่างเช่นปีนั้นคุณสมบัติของข้าในการฝึกวรยุทธก็ธรรมดาอย่างมาก เพียงแต่ฝึกหมัดค่อนข้างยากลำบาก หากเจ้าอยากหาอาจารย์สอนวิชาหมัด ข้าพอจะถือว่าเป็นได้ แต่เจ้าและข้าสองฝ่ายล้วนไม่ถือว่าเป็นอาจารย์และศิษย์อย่างเป็นทางการ”
เด็กหนุ่มพลันมีสีหน้าสดใส เดิมทีการฝึกหมัดก็เป็นเรื่องที่รองลงมา หาอาจารย์ที่มีความห้าวหาญได้จึงจะเป็นเรื่องใหญ่สำคัญอันดับหนึ่ง! ส่วนตัวเลือกคนที่จะมาเป็นอาจารย์ของตนเพียงหนึ่งเดียวในใจ เคยอยู่ไกลสุดขอบฟ้า ตอนนี้กลับมาอยู่ใกล้เพียงตรงหน้า
สุดท้ายเฉินผิงอันก็มอบตำราหมัดเล่มหนึ่งให้กับหลูจวิน บอกเรื่องของการฝึกหมัดให้ฟังคร่าวๆ ฮ่องเต้สกุลหลูสบตากับหยางชิงข่ง ต่างก็ประหลาดใจอย่างมาก ถึงกับเป็นตำราเขย่าภูเขาที่เป็นสำเนาฉบับหนึ่ง หรือว่าอิ่นกวานหนุ่มผู้นี้มีความเกี่ยวข้องกับวิชาหมัดของผู้ฝึกตนยุทธกู้โย่วแห่งต้าจ้วน?
วันนี้เฉินผิงอันมาจากทางประตูใหญ่ของหน่วยฉงเสวียน ตอนกลับก็เดินออกไปจากทางนั้นเช่นกัน
พวกฮ่องเต้สกุลหลูสามคนเดินมาส่งถึงหน้าประตู มองคนชุดเขียวทะยานลมจากไป
ฮ่องเต้ก็พูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “เมื่อก่อนคิดจินตนาการถึงการพบหน้ากันไว้มากมาย แต่รอให้ได้นั่งลงพูดคุยกันอย่างแท้จริง กลับดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรเลย”
ต่อให้ดื่มเหล้าก็ยังเหมือนดื่มชา ถึงขั้นที่ว่ารสชาติยังออกจะจืดชืดเสียด้วย
หยางชิงข่งใช้เสียงในใจเอ่ยเตือน “ฝ่าบาท ไม่อาจประมาทได้ นี่ต่างหากจึงจะเป็นจุดที่ร้ายกาจอย่างแท้จริงในการฝึกตนของคนผู้นี้”
ฮ่องเต้พยักหน้ารับ มองลูกชายที่ตัวเองให้ความสำคัญที่สุดซึ่งอยู่ข้างกาย เด็กหนุ่มที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองกำลังจะได้เป็นรัชทายาทของต้าหยวนแล้ว ฮ่องเต้ถอนสายตากลับมา ยิ้มเอ่ยกับราชครูว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ดูกันที่เรื่องเงินทองไปอีกสักสองสามปี”
หลังจากเฉินผิงอันออกมาจากราชวงศ์ต้าหยวนก็ทะยานลมไปอย่างว่องไว บางครั้งหากมองเห็นแสงไฟล่างภูเขาท่ามกลางม่านราตรีโดยบังเอิญก็จะชะลอความเร็วลง ทะยานร่างผ่านเมืองทั้งหลายในโลกมนุษย์ ทัศนียภาพมากมายยังคงไม่มีเวลาได้มองมากนัก อาณาบริเวณกว้างใหญ่ไพศาล ยังคงมีภูเขางดงามที่บทกวีไม่รู้ มีเทือกเขาสายน้ำทอดยาวเป็นสาย อยู่บนและล่างดวงจันทร์ ตรอกโทรมมีเสียงหมาเห่าไก่ขัน ตลาดกลางคืนของหมู่ชาวบ้านส่งเสียงจอแจ…
เฉินผิงอันไม่ได้ตรงไปที่ท่าเรือมู่หนูเพื่อไปเยือนสำนักมังกรน้ำ แต่ไปยังจวนน้ำที่สร้างขึ้นใหม่ของเสิ่นหลินหลิงหยวนกงที่อยู่ระหว่างทางก่อน พอมองเห็นเค้าโครงของจวนแห่งนั้น สัมผัสได้ถึงภาพบรรยากาศของโชคชะตาน้ำส่วนนั้น เฉินผิงอันก็เข้าใจทันทีว่าเหตุใดสำนักมังกรน้ำถึงได้ขาดเงิน หากเสิ่นหลินใช้เพียงแค่ทรัพย์สินเก่าจากการเป็นเจ้าของตำหนักวารีหนันซวิน ย่อมไม่มีทางสร้างจวนของกงแห่งลำน้ำที่เป็นเช่นนี้ได้แน่นอน แล้วนับประสาอะไรกับที่หากดูตามความสัมพันธ์เก่าแก่ระหว่างสุ่ยเจิ้งหลี่หยวนกับสำนักมังกรน้ำแล้ว จวนน้ำของหลงถิงโหวแห่งหนึ่งก็คงต้องเชื่อเงินจากสำนักมังกรน้ำมาไม่น้อยเหมือนกัน
พอเสิ่นหลินได้เจอกับเฉินผิงอัน หลักจากทักทายปราศรัยกันเรียบร้อยนางก็รีบส่งข่าวไปยังจวนหลงถิงโหวทันที ความเร็วในการเดินลงน้ำของกงและโหวแห่งลำน้ำใหญ่ไม่ด้อยไปกว่าผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งเลย ดังนั้นเฉินผิงอันรอไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็ได้เจอกับหลี่หยวนที่มีรูปลักษณ์เป็นเด็กหนุ่มสวมชุดสีดำ ฝ่ายหลังได้ยินว่าเฉินผิงอันจะจ่ายเงินซื้อเกาะเป็ดน้ำก็เจ็บปวดใจอย่างสุดแสน กระโดดโหยงถ่มน้ำลายไปยังทิศทางที่ตั้งของสำนักมังกรน้ำ บอกว่าที่นั่นถือว่าเป็นอาณาเขตของข้าผู้อาวุโสมาตั้งนานแล้ว ซุนเจี๋ยกับเส้าจิ้งจือมีหน้ามารับเงินได้อย่างไร แต่พอได้ฟังสถานการณ์จากฝั่งของทะเลสาบกระบี่ฝูผิงและหน่วยฉงเสวียนมาจากเฉินผิงอัน หลี่หยวนถึงไม่ได้ด่าไปถึงศาลบรรพจารย์ของสำนักมังกรน้ำ บอกกับเสิ่นหลินว่าพวกเราเขียนจดหมายให้สำนักมังกรน้ำคนละฉบับ เสิ่นหลินมองเฉินผิงอันที่ส่ายหน้าให้เบาๆ แวบหนึ่งก็ไม่ตอบตกลงหลี่หยวนที่บ้าดีเดือดผู้นี้
หลี่หยวนนั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างผึ่งผาย ถามอย่างสงสัยว่า “พี่น้องเฉิน ในเมื่อไม่ต้องให้ข้ากับเสิ่นหลินช่วย ที่เจ้าตั้งใจมาเยือนครั้งนี้ก็ไม่มีเรื่องอื่นแล้วสิ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เฉินหลิงจวินเดินลงน้ำสำเร็จ ถือว่าไม่ง่ายเลย อีกอย่างข้าก็ผ่านทางมาที่ลำน้ำพอดี ก็ไม่ควรต้องมาขอบคุณพวกเจ้าสองคนดีๆ สักครั้งหรือ?”
หลี่หยวนถอดรองเท้าออก นั่งขัดสมาธิ เอ่ยอย่างเสียใจว่า “ถ้าอย่างนั้นทำไมเจ้าไม่ไปที่จวนข้าล่ะ ทำไม หรือคิดว่าหมวกของเสิ่นหลินใหญ่กว่าข้าก็เลยมาที่นี่? พี่น้องอย่างเจ้านี่ไม่ไหวเอาเสียเลย”
ดวงตาหลี่หยวนพลันเป็นประกาย มองเซียนกระบี่ชุดเขียวที่อายุยังน้อย แล้วค่อยมองเสิ่นหลินที่แท้จริงแล้วรูปโฉมไม่ได้แย่เลย เขาพลันหัวเราะหึหึ กระแอมหนึ่งที ก้มหน้าค้อมเอว ไม่คิดจะสวมรองเท้า เพียงแค่ถือรองเท้าไว้ข้างละมือ เตรียมจะเดินไปที่หน้าประตู “ข้าจะไปรอข้างนอกเดี๋ยวนี้แหละ ให้เวลาพวกเจ้าสองคนครึ่งชั่วยามพอหรือไม่?”
เสิ่นหลินคลี่ยิ้ม ไม่ถือสา
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างจนใจว่า “บอกไว้ก่อนเลยว่าตามข้าไปที่สำนักมังกรน้ำแล้ว เจ้าห้ามพูดจาเหลวไหลแบบนี้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นเจ้าก็ไม่ต้องไปด้วยกันแล้ว”
หลี่หยวนเอ่ยอย่างกังขาว่า “ข้างกายมีสตรีเดินทางมาด้วยหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ข้าพาภรรยามาด้วย”
หลี่หยวนตบเก้าอี้ หัวเราะร่าเอ่ยว่า “ลูกผู้ชายมีสามภรรยาสี่อนุห้าหกคู่รักจะไม่ยิ่งดีงามหรอกหรือ?!”
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ลองพูดอีกทีสิ หลงถิงโหวเจ้าเชิญพูดได้ตามสบาย พูดที่นี่เสียให้จบ แล้วข้าค่อยพาเจ้าไป”
หลี่หยวนยกสองแขนกอดอก เอียงหัวเหล่ตามอง “ทำไมล่ะ นางเอาชนะเจ้าได้หรือว่าเอาชนะข้าได้กันล่ะ? เฉินผิงอัน ไม่ใช่ว่าพี่น้องตำหนิเจ้าหรอกนะ เจ้าไม่มีมาดองอาจบ้างเลย สามีควบคุมภรรยาตอนอยู่ข้างนอกไม่ได้ เป็นข้อห้ามใหญ่เชียวนะ”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน “ช่างเถอะ ทิ้งเจ้าไว้ที่นี่แล้วกัน ข้าจะไปที่สำนักมังกรน้ำคนเดียว”
หลี่หยวนรีบสวมรองเท้า พูดจาน่าเชื่อถือว่า “คิดอะไรน่ะ ข้าเป็นคนที่ไม่รู้กาลเทศะอย่างนั้นหรือ เจอกับภรรยาน้องชายแล้ว ข้ารับรองว่าจะต้องให้หน้าเจ้ามากพอแน่นอน”
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย แต่ก็ยังพาหลี่หยวนไปด้วย
ตอนที่แหวกน้ำเดินทางไกลไปด้วยกัน หลี่หยวนก็ถามอย่างใคร่รู้ว่า “น้องสะใภ้ข้าคนนั้นเป็นแม่นางจากภูเขาลูกใด? เป็นเทพธิดาบนภูเขาบ้านเกิดเจ้าหรือ?”
เฉินผิงอันเพียงแค่ยิ้มเอ่ย “เจ้าเจอเมื่อไหร่ก็รู้เอง”
หลังจากที่หลิวจิ่งหลงออกมาจากอาณาเขตของสำนักสั่วอวิ๋นก็ไปเยือนภูเขาถงฮวาอย่างเงียบเชียบ จากนั้นค่อยกลับมาที่ยอดเขาเพียนหราน ไปหาป๋ายโส่ว บอกเขาว่าคราวหน้าที่ลงจากภูเขาไปท่องเที่ยวให้ไปที่แคว้นอวิ๋นเยี่ยนรอบหนึ่ง ไปสืบข่าวเรื่องบางอย่างของผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าอย่างชุยกงจ้วง
ป๋ายโส่วนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ ยกขานั่งไขว่ห้าง ลูบคางเอ่ยว่า “ชุยกงจ้วง ข้าเคยได้ยิน เป็นปรมาจารย์ใหญ่นี่นะ ฝีมือไม่ธรรมดา อาศัยว่าเป็นเค่อชิงอันดับหนึ่งของสำนักสั่วอวิ๋น ยามที่สังหารผู้ฝึกลมปราณก็ไม่อืดอาดชักช้าแม้แต่น้อย”
หลิวจิ่งหลงเล่าขั้นตอนการถามกระบี่ให้ฟังคร่าวๆ ป๋ายโส่วก็เอ่ยอย่างสงสัยว่า “ชุยกงจ้วงมีนิสัยเป็นแบบนี้ ยังมีอะไรให้ไม่วางใจอีก วันหน้าเจอกับพี่น้องเฉินของข้าก็ไม่ใช่ว่าต้องเดินอ้อมไปหรอกหรือ?”
หลิวจิ่งหลงส่ายหน้าเอ่ยว่า “สิ่งที่เฉินผิงอันเป็นกังวล ไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธเดินขึ้นเขาออกหมัดใส่คนอื่นอย่างไร้ยำเกรง แต่เป็นในทางส่วนตัว ยุทธภพของแคว้นอวิ๋นเยี่ยนก้มหัวให้กับชุยกงจ้วงมานานมากแล้ว นั่นจะทำให้เขาและศิษย์ลูกศิษย์หลานของเขากำเริบเสิบสานไม่เห็นหัวใคร”
ป๋ายโส่วกล่าว “มีบทเรียนของยอดเขาหย่างอวิ๋นให้เห็นก่อนแล้ว แล้วยังมีสัญญาร้อยปีที่ล่องลอยนั่นอีก ชุยกงจ้วงต้องทำตัวสำรวมกว่าเดิมแน่”
หลิวจิ่งหลงยิ้มกล่าว “รอให้เจ้าไปเที่ยวแคว้นอวิ๋นเยี่ยน ชุยกงจ้วงก็จะเข้าใจหลักการเหตุผลข้อหนึ่งเอง”
ป๋ายโส่วถามหยั่งเชิง “หรือจะบอกว่า นอกจากพวกท่านแล้วยังมีข้าที่ลำดับอาวุโสต่ำกว่าพวกท่านสองคนที่จะต้องคอยจับตามองพรรคและลูกศิษย์ของเขาทุกๆ สามวันห้าวันด้วย?”
หลิวจิ่งหลงพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
ลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของตนคนนี้ แน่นอนว่าไม่ใช่คนโง่
การตรวจสอบและชดเชยช่องโหว่เช่นนี้ไม่ต้องให้เฉินผิงอันเปิดปากพูดมาก หลิวจิ่งหลงก็ย่อมทำได้อย่างรอบคอบรัดกุม ต่อให้จะไม่ใช่ป๋ายโส่วแห่งยอดเขาเพียนหรานที่ลงจากเขาไปเที่ยวเยือนแคว้นอวิ๋นเยี่ยน ก็ต้องเปลี่ยนไปเป็นผู้ฝึกกระบี่ผู้สืบทอดคนอื่นของสำนักอยู่ดี
หลิวจิ่งหลงลุกขึ้นยืน “ข้าจะกลับไปที่สำนักสั่วอวิ๋นทันที ต้องไปอยู่ที่นั่นระยะหนึ่ง เรื่องของการฝึกกระบี่บนภูเขา เจ้าก็ห้ามเกียจคร้านล่ะ”
ป๋ายโส่วพยักหน้า “ไปเถอะ สำนักกระบี่ไท่ฮุยมีข้าดูแลอยู่ ใครจะกล้ามาถามกระบี่”
หลิวจิ่งหลงยิ้มถาม “ถามหมัดล่ะ?”
ป๋ายโส่วเอ่ยอย่างเดือดดาล “ท่านเป็นอาจารย์ของใครกันแน่?”
ร่างของหลิวจิ่งหลงเปล่งวูบหายไป มุ่งหน้าไปยังสำนักสั่วอวิ๋น
ยอดเขาทิงอวี่บนภูเขาบรรพบุรุษสำนักสั่วอวิ๋น คือที่ตั้งจวนที่ฝึกตนของบรรพจารย์เฟยชิง เว่ยจิงชุ่ยอ่านจดหมายลับในมือด้วยสีหน้าเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง ในใจมีคลื่นถาโถมด้วยความตกตะลึง
หากในจดหมายบอกไว้ไม่ผิด บรรพจารย์ของสำนักหนึ่ง เซียนเหรินผู้ยิ่งใหญ่ เท่ากับว่าเดินไปถึงด่านประตูผีแล้วแต่กลับไม่รู้ตัวเลย
เปลี่ยนมาเป็นคนใดก็ตามของอุตรกุรุทวีป ส่งจดหมายลับฉบับนี้มาให้ เว่ยจิงชุ่ยคงรู้สึกว่าอีกฝ่ายมีเจตนาร้าย เป็นแผนยุยงให้แตกแยกที่ชั่วร้ายอย่างยิ่ง
แต่ในเมื่อเป็นหลิวจิ่งหลงผู้นั้น เว่ยจิงชุ่ยก็ยินดีจะเชื่ออยู่หลายส่วน
สุดท้ายเว่ยจิงชุ่ยก็คลี่ยิ้ม “เจียวหลงพสุธาตัวดี มีความหวังบนมหามรรคาจริงเสียด้วย เป็นข้าที่ดูแคลนสำนักกระบี่ไท่ฮุยของพวกเจ้ามากเกินไป”
“ก็ดีเหมือนกัน ทำตามที่เจ้าบอก หากว่าทำสำเร็จ กำจัดเจ้าโจรกบฏที่คิดหลอกลวงอาจารย์ลบล้างบรรพชนที่ใจกล้าเทียมฟ้าผู้นี้ไปได้อย่างราบรื่น ถึงเวลานั้นข้าค่อยไปขออภัยสำนักกระบี่ไท่ฮุยอย่างเปิดเผย เป็นฝ่ายขึ้นเขาไปมอบของขวัญขออภัยด้วยตัวเอง แค่นี้จะเป็นไรไป?”
รับปากให้หลิวจิ่งหลงแฝงตัวอยู่ในภูเขาบรรพบุรุษของสำนักสั่วอวิ๋นมีเหตุผลอยู่สามประการ
เวทกระบี่ของหลิวจิ่งหลงเลิศล้ำ หากเลื่อนเป็นขอบเขตเซียนเหริน พลังพิฆาตจะต้องสูงมากอย่างแน่นอน
ในอดีตแค่เคยได้ยินมาว่าหลิวจิ่งหลงชอบใช้เหตุผล ค่อนข้างจะหัวโบราณคร่ำครึ คิดไม่ถึงเลยว่าจะไม่ได้เป็นแบบนี้เลย คนแบบนี้ รับหน้าที่เป็นเจ้าสำนักของสำนักหนึ่ง ย่อมไม่ควรไปหาเรื่องเขาง่ายๆ
หลิวจิ่งหลงยังมีสหายรักเป็นเซียนกระบี่คนหนึ่งชื่อว่าเฉินผิงอัน มาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ ประเด็นสำคัญคือคนผู้นี้อารมณ์แปรปรวนเอาแน่เอานอนไม่ได้ ก่อนหน้านี้ขึ้นภูเขามากับหลิวจิ่งหลง คนหนึ่งร้องคนหนึ่งรับ ร่วมมือกันอย่างแนบสนิทไร้ช่องโหว่
เว่ยจิงชุ่ยกล้ามั่นใจเลยว่าเซียนกระบี่ต่างถิ่นคนนี้ หากตัดสินใจทำตัวอำมหิตขึ้นมา มีแต่จะกระทำการได้ไร้ยำเกรงยิ่งกว่าหลิวจิ่งหลง ทว่าเขากลับเป็นคนที่มีความคิดรอบคอบ เซียนกระบี่ที่จิตใจอำมหิตแต่กลับไม่อยู่เป็นที่เป็นทางผู้นี้ ไม่ได้เป็นเพื่อนกันก็เป็นเรื่องที่ปกติอย่างมาก แต่อย่าได้ผูกปมแค้นเป็นศัตรูจริงจังกับเขาเด็ดขาด
อยู่ดีๆ เว่ยจิงชุ่ยก็นึกถึงคนผู้หนึ่งขึ้นมา เจียงซ่างเจิน
ถ้ำสวรรค์วังมังกรหนึ่งในสามสิบหกถ้ำสวรรค์ขนาดเล็ก ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันไปพูดคุยเรื่องการค้ากับซุนเจี๋ยและเส้าจิ้งจือที่สำนักมังกรน้ำมาเรียบร้อยแล้ว ได้โฉนดที่ดินบนภูเขาที่มีการลงนามจากสี่ฝ่ายอย่างภูเขาลั่วพั่ว สำนักมังกรน้ำ หน่วยฉงเสวียนต้าหยวนและทะเลสาบกระบี่ฝูผิงมาหนึ่งฉบับ ราคาเป็นธรรมจนมโนธรรมในใจของเฉินผิงอันไม่อาจสงบลงได้ สุดท้ายจึงมาเยือนเกาะเป็ดน้ำพร้อมกับหลี่หยวน
หลี่หยวนเห็นสตรีสะพายกระบี่คนหนึ่งเดินมา ฮ่า รูปโฉมไม่เลว พอจะถือว่าคู่ควรกับพี่น้องเฉินของข้าได้บ้าง เอ๊ะ ถึงกับมองไม่ออกว่าขอบเขตของนางสูงหรือต่ำเชียวหรือนี่?
หลี่หยวนกำลังจะเปิดปากพูด แต่กลับถูกเฉินผิงอันยื่นมือมากดหัวเอาไว้ “รับปากข้าไว้ว่าอย่างไร?”
หลี่หยวนร้องอ้อหนึ่งที ถามนางว่า “แม่นางชื่ออะไรหรือ?”
หนิงเหยามองเฉินผิงอันที่กลั้นยิ้มแล้วตอบว่า “หนิงเหยา”
——