กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 816.3 แสงจันทร์
อันที่จริงเฉินผิงอันจำผู้ฝึกตนหญิงที่เป็นผู้สืบทอดของเจ้าสำนักได้ และยังรู้ด้วยว่านางมีชาติกำเนิดมาจากตระกูลชนชั้นสูงของแคว้นฝูฉวี การที่จำได้แม่นไม่ใช่เพราะว่าเคยได้พบกันมาแล้วสองครั้ง แต่เป็นเพราะนางได้ครอบครองเงินยาเซิ่งที่หนึ่งชุดมีสิบแปดเหรียญซึ่งทางศาลบรรพจารย์สำนักมังกรน้ำมอบให้ ยังมีฉินโบราณคันหนึ่งชื่อว่า ‘หิมะปลิวปราย’ ปีนั้นตอนที่อยู่ในซากปรักของพื้นที่ลับ ป๋ายปี้เคยต่อสู้กับซุนชิงเจ้าจวนไฉ่เชวี่ยอย่างเอาจริงเอาจังมาก่อน
แต่ป๋ายปี้กลับจำ ‘ผู้ฝึกตนเฒ่า’ ที่ปีนั้นกอดไม้ไผ่ลำหนึ่งไม่ยอมปล่อยไม่ได้
ของที่เจ้าจวนซุนเจี๋ยมอบให้คือปลาวัวคำรามคู่หนึ่งที่มีเฉพาะในบ่อลึกพื้นที่ต้องห้ามของสำนักมังกรน้ำ ของประเภทนี้ร้อยปียากจะพานพบอย่างแท้จริง หาได้ยากยิ่ง ประเด็นสำคัญคือซุนเจี๋ยมีความจริงใจอย่างมาก ถึงกับมอบให้คู่หนึ่ง มีทั้งตัวผู้และตัวเมีย นี่ก็ยิ่งหาได้ยาก เป็นเหตุให้แม้แต่หลี่หยวนก็ยังต้องมองนางเสียไหม เพราะถึงอย่างไรหากไม่ระวัง ใต้หล้านี้ก็คงไม่ได้มีเพียงสำนักมังกรน้ำเท่านั้นที่จะมีปลาวัวคำรามถือกำเนิดแล้ว
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงเป็นฝ่ายเอ่ยว่า “เจ้าสำนักซุน วันหน้าหากมีเรื่องอะไรที่พอจะทำประโยชน์ได้บ้าง ก็ขอให้ท่านส่งกระบี่บินแจ้งข่าวไปที่ภูเขาลั่วพั่วแจกันสมบัติทวีป หากเป็นเรื่องที่ช่วยได้ พวกเราจะไม่มีทางปฏิเสธแน่นอน”
ไม่เพียงแต่ของขวัญล้ำค่าหายากที่ทำให้เฉินผิงอันพูดเช่นนี้ ที่มากกว่านั้นยังเป็นเพราะเรื่องงานพิธีกรรมหยกทองของถ้ำสวรรค์วังมังกรด้วย
ซุนเจี๋ยกุมหมัดเอ่ยขอบคุณ จากนั้นก็อดไม่ไหวถามว่า “ใช่ภูเขาลั่วพั่วที่อยู่ข้างภูเขาพีอวิ๋นหรือไม่?”
ก่อนหน้านี้ในการประชุมของศาลบรรพจารย์ หลี่หยวนบอกแค่ว่าคนผู้นี้คือเจ้าสำนักของสำนักแห่งหนึ่ง ไม่ได้บอกที่มาของภูเขา
แต่ซุนเจี๋ยก็คิดแค่ว่านี่เป็นเพียงคำพูดตามมารยาทจากเจ้าสำนักของทวีปอื่นท่านนี้ ไม่ได้เก็บเอามาคิดเป็นจริงเป็นจังนัก เพราะถึงอย่างไรทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่ได้อยู่ในขุนเขาสายน้ำของทวีปเดียวกัน แต่ไหนแต่ไรมาผู้ฝึกตนของสำนักมังกรน้ำมักทำตามกฎอยู่เสมอ ผูกบุญสัมพันธ์ไม่ผูกปมพยาบาทกับคนอื่น แล้วนับประสาอะไรกับที่พันธมิตรบนภูเขาของสำนักมังกรน้ำไม่ได้มีแค่ทะเลสาบกระบี่ฝูผิงและหน่วยฉงเสวียนของต้าหยวนเท่านั้น
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “พอจะมีมิตรภาพส่วนตัวกับเว่ยซานจวินอยู่บ้าง เขาให้การดูแลภูเขาบ้านข้าค่อนข้างมาก ก่อนหน้านี้โชคดีได้เลื่อนขั้นเป็นสำนักก็เป็นเว่ยซานจวินที่ลงแรงไปเยอะมาก”
ในใจของอู่หลิงถิงพลันกระจ่างแจ้ง ที่แท้ก็เป็นเว่ยป้อแห่งภูเขาพีอวิ๋น ซานจวินใหญ่ขุนเขาเหนือของหนึ่งทวีปที่ติดอันดับนี่เอง
ผู้ถวายงานสำนักมังกรน้ำที่มีชาติกำเนิดจากผู้ฝึกตนอิสระคนนี้ จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่รู้ว่าลูกศิษย์ผู้สืบทอดของตนไปอยู่ที่ไหนกันแน่ ยิ่งคิดไม่ถึงว่าเจ้าคนตรงหน้าผู้นี้ก็คือคนที่รู้เรื่องนี้ชัดเจนพอดีว่า แท้จริงแล้วเขาไปอยู่ที่อารามเสวียนตูใหญ่ในใต้หล้ามืดสลัว
เผยเฉียนทำหน้าปั้นยาก มีเรื่องหนึ่งที่จนถึงตอนนี้นางก็ยังไม่กล้าบอกกับอาจารย์พ่อสักคำ ยกตัวอย่างเช่นฉายาเว่ยท่องราตรีนั้น สรุปแล้วได้มาอย่างไรกันแน่
หมี่ลี่น้อยทั้งผิดหวัง เหตุใดภูเขาลั่วพั่วบ้านตนถึงไม่มีชื่อเสียงยิ่งใหญ่เหมือนภูเขาพีอวิ๋นของเว่ยซานจวินกันนะ แต่ขณะเดียวกันก็ดีใจแทนเว่ยซานจวินอย่างมากด้วย ร้ายกาจ ร้ายกาจ ชื่อเสียงของภูเขาพีอวิ๋นใหญ่เท่าเรือข้ามฟากเลยล่ะ ถึงกับล่องลอยมาถึงสำนักมังกรน้ำได้แล้ว
หมี่ลี่น้อยตัดสินใจแล้วว่าเมื่อกลับไปถึงบ้านนางจะเล่าให้เว่ยซานจวินฟังดีๆ สักรอบให้เบิกบานใจ แทะเมล็ดแตงกันให้เยอะๆ
จากนั้นคนทั้งกลุ่มก็ทะยานลมไปยังชายหาดโครงกระดูก แต่ก่อนจะไปยังภูเขามู่อีของสำนักพีหมา เฉินผิงอันได้พาพวกหนิงเหยาอ้อมเส้นทางไปยังวัดหนันซานที่อยู่ทางทิศใต้สุดของทวีปเสียก่อน ก่อนจะเชิญธูป เฉินผิงอันบอกให้เด็กชายชุดขาวรออยู่ข้างนอก ฝ่ายหลังพยักหน้ารับ เพราะถึงอย่างไรก็เป็นวัดของลัทธิพุทธ ตอนที่มันยังมีชีวิตอยู่ก็มีสถานะในทำเนียบนักพรตเต๋าของใต้หล้ามืดสลัว อีกทั้งทุกวันนี้ยังเป็นเทวบุตรมารนอกโลกตนหนึ่ง ไม่ว่าจะสถานะไหนก็ล้วนไม่เหมาะจะเข้าไปจุดธูปไหว้พระ
วัดหนันซานสร้างเส้นทางเทพลงสู่มหาสมุทรเส้นหนึ่ง ตั้งเทวรูปของพระโพธิสัตว์รูปหนึ่งเอาไว้
เผยเฉียนปลดหีบไม้ไผ่ วางไม้เท้าเดินป่าให้เรียบร้อย คุกเข่าโขกหัว หมี่ลี่น้อยก็โขกหัวตามเผยเฉียนไปด้วย
เฉินผิงอันถือธูปด้วยสองมือ ชูขึ้นสูงเหนือศีรษะ หลับตาลง ขอพรอยู่ในใจเงียบๆ
หนิงเหยาเองก็ขอพร
หลังจากนั้นเฉินผิงอันยังปลูกต้นโพธิ์สองต้นไว้ในสถานที่หนึ่งที่ชื่อว่าภูเขาเมี่ยวจิน
นอกวัดหนันซาน เด็กชายผมขาวแหงนหน้ามองพระโพธิสัตว์องค์นั้น ลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังหลับตาลง พนมสองมือ ขอพรให้ใครบางคน
ขอให้
ขึ้นเขาลงห้วย ทัศนียภาพงดงาม คนที่จากลากันไปนานกลับมาพบกันอีกครั้ง ต่างคนต่างยังสบายดี
เข้าวัดจุดธูป ขอสิ่งใดได้สิ่งนั้น นักเดินทางไกลที่ไปเยือนต่างถิ่น ขอให้ได้พบเจอกับช่วงเวลาที่ดี
……
นอกร้านตรอกฉีหลงวันนี้คล้ายว่าจะมีม่านฝนพร่างพรมลงมา
นักพรตเฒ่าตาบอดฟุบตัวอยู่บนโต๊ะคิดเงิน เด็กชายชุดเขียวยืนเหยียบอยู่บนม้านั่งตัวเล็ก พี่น้องสองคนดื่มเหล้าเล็กน้อยพอเป็นกระสาย
ในอดีตตอนที่เผยเฉียนยังเป็นถ่านดำน้อย เวลานั้นนางยังไปเรียนหนังสืออยู่ที่โรงเรียน ทุกครั้งที่ฝนตกจะต้องพาหมี่ลี่น้อยมาย่ำน้ำฝนบนขั้นบันไดด้วยกัน เผยเฉียนเรียกเสียไพเราะว่าเป็นการเดินผ่านประตูมังกร เฉินหลิงจวินรู้สึกว่านางเป็นเด็กน้อยอย่างมาก จึงเคยเล่นกับพวกนางแค่ครั้งเดียวเท่านั้น
พี่น้องสองคนคุยกันไปคุยกันมาก็พูดไปถึงเรื่องการฝึกตนบนภูเขาที่ไม่ง่ายเลย เฉินหลิงจวินเช็ดปาก เอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “พี่ใหญ่เจี่ย บนเส้นทางการฝึกตนในชีวิตนี้ของข้า เพราะคุณสมบัติดีเกินไป ไม่ว่าลมฝนอุปสรรคอะไรก็ล้วนไม่เป็นปัญหา มีเพียงมาถึงเมืองเล็กแห่งนี้ที่ต้องเจอกับอันตรายใหญ่หลวงมาหลายครั้ง เคยเกือบจะถูกคนต่อยหมัดเดียวปลิวกระเด็นขึ้นฟ้าไปกลางวันแสกๆ ตอนนี้มาลองคิดดู คนที่กล้าหาญองอาจอย่างข้าก็ยังอดรู้สึกหวาดกลัวภายหลังอยู่หลายส่วนไม่ได้”
ด่าหร่วนฉงต่อหน้า ตบไหล่ลู่เฉิน เรียกผู้อาวุโสชุยอย่างเปิดเผยว่าชั้นสองเรือนไม้ไผ่ แต่ละเรื่องแต่ละราว มีอะไรบ้างที่ไม่ใช่วีรกรรมอันยิ่งใหญ่? นายท่านใหญ่เฉินก็แค่ไม่ใคร่จะยินดีพูดมากเท่านั้น
เฉินหลิงจวินยกชามเหล้าขึ้นชนกับเจี่ยเฉิงแล้วกระดกดื่มจนหมด ยกมือข้างหนึ่งขึ้น ประกบสองนิ้วเข้าด้วยกัน “โชคดีที่ข้ามีวาสนาลึกล้ำ แล้วก็มีความฉลาดของตัวเอง ถึงสามารถคลี่คลายอันตรายได้ทุกครั้ง บอกตามตรงนะ หากข้าไม่ฉลาดอยู่บ้าง ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ไม่มีลุ้นแล้ว”
ไม่ต้องคิด ขอแค่ไม่ระวังแม้เพียงน้อย อยู่ในอาณาเขตขุนเขาเหนือที่ทุกหนทุกแห่งล้วนมีแต่มังกรซ่อนพยัคฆ์หมอบนี้ คาดว่าก็คงไม่มีเจ้าขาวน้อยล่องคลื่นนที และราชามังกรน้อยบนภูเขาลั่วพั่วแล้ว
เฉินหลิงจวินยกชามเหล้าขึ้น “ลูกผู้ชายไม่พูดถึงความองอาจในวันวาน ความกล้าหาญและปณิธานอันยิ่งใหญ่ล้วนเป็นเรื่องในอดีตไปแล้ว ทุกวันนี้พวกเราสองพี่น้องมีชีวิตที่ไม่เลว ต้องยกชามเหล้าชนกันหน่อย”
เจี่ยเฉิงดื่มเหล้าเป็นเพื่อนเฉินหลิงจวินไปอีกชาม สังเกตเห็นว่ากับแกล้มบนโต๊ะเหลืออีกไม่มากแล้วจึงรีบตะโกนบอกให้จิ่วเอ๋อร์ผู้เป็นลูกศิษย์ไปทำกับแกล้มมาอีกสองจาน จากนั้นนักพรตเฒ่าก็เอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “ไม่ต้องพูดถึงขอบเขตในทุกวันนี้ของน้องจิ่งชิง พูดถึงแค่กลอุบายของน้องจิ่งชิง พี่ชายอย่างข้าท่องยุทธภพมาทั่วทวีปก็ยังต้องบอกว่าดีอย่างที่พบเห็นได้ไม่บ่อยนักในชีวิตนี้ ดีอย่างโดดเด่น หากถามว่าดีอย่างไร? หึ มีข้อพิถีพิถันมากนักล่ะ”
เฉินหลิงจวินรินเหล้าให้เจี่ยเฉิงอีกหนึ่งชามทันที รับคำต่อว่า “ดีอย่างไร? พี่ชายท่านลองพูดให้ฟังหน่อยสิ ข้าคนนี้เป็นคนถ่อมตัวเกินไป มักจะชอบดูถูกตัวเอง นายท่านบ้านข้าก็เคยโน้มน้าวบอกให้ข้าแก้ไขบ้าง แต่ไม่ว่าอย่างไรข้าก็แก้ไขไม่ได้ ดังนั้นจึงค่อนข้างยากที่จะมองเห็นข้อดีของตัวเอง”
เจี่ยเฉิงไม่ต้องเรียบเรียงถ้อยคำอะไรมาก่อนด้วยซ้ำ ถ้อยคำจากใจ ถ้อยคำที่แสดงความจริงใจ จำเป็นต้องคิดก่อนด้วยหรือ? มันอยู่ในสุรามาตั้งนานแล้ว จิบเหล้าหนึ่งอึกแล้วก็พูดเป็นน้ำไหลไฟดับว่า “ข้อดีที่คนทั่วไปมองไม่ออกก็คือข้อดีที่ถูกเก็บซ่อนไว้อย่างลึกล้ำ คำพูดโบราณเอ่ยไว้ว่าอย่างไรแล้วนะ คนที่ฉลาดที่สุดควรต้องมีรูปลักษณ์ที่โง่เขลา จะปล่อยให้คนอื่นมองแค่ปราดเดียวก็รู้สึกว่าเป็นคนคล่องแคล่วฉับไว เฉลียวฉลาด มีอุบายมากไม่ได้เด็ดขาด เพราะจะตกเป็นรองทันที น้องจิ่งชิงกลับไม่เหมือนกัน เวลาปกติไม่แสดงออกแม้แต่น้อย แต่พอถึงช่วงเวลาที่สำคัญ ลูกผู้ชายมีความรับผิดชอบ ความฉลาดเฉียบแหลมของเซียนซือ ความมีคุณธรรมในยุทธภพ ความองอาจของวีรบุรุษ ทุกอย่างนี้กรูกันมา จะขัดขวางอย่างไรก็ขวางไม่อยู่ ใช่หรือไม่เล่า?”
เฉินหลิงจวินพยักหน้ารับรัวๆ ราวไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือก “ใช่ๆๆ ต้องใช่แน่นอน””
เขาเบ้ปาก หัวเราะหึหึ “แล้วก็เพราะว่าเฉาฉิงหล่างไม่รู้จักพูดจาจึงไม่เหมาะกับขนบธรรมเนียมของภูเขาลั่วพั่วพวกเรา ถึงได้ถูกย้ายให้ไปอยู่ใบถงทวีป น่าสงสาร น่าสงสาร น่าสงสารยิ่งนัก”
เจี่ยเฉิงมือหนึ่งถือชามเหล้า มือหนึ่งลูบหนวดพยักหน้ารับ “มีเพียงความรู้ แต่ไม่รู้จักพูด จะได้อย่างไร น้องจิ่งชิง เรื่องนี้ต้องโทษเจ้าแล้วนะ เจ้าอยู่บนภูเขาทำไมไม่คุยกับเขาให้มากๆ หน่อยเล่า เจ้าเด็กเฉาฉิงหล่างคือเมล็ดพันธ์บัณฑิตที่ฉลาดมากคนหนึ่ง ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางเป็นลูกศิษย์ที่ภาคภูมิใจของเจ้าขุนเขาได้ ข้อบกพร่องเพียงเล็กน้อยก็คือเรื่องราวทางโลกที่ในตำราไม่มีสอนพวกนี้นี่แหละ น้องเฉินเจ้าลองว่ามาสิว่าควรต้องโทษเจ้าใช่หรือไม่?”
“เฮ้อ พอพูดแบบนี้ก็ควรต้องโทษข้าจริงๆ นั่นแหละ”
“พวกเราสองพี่น้องมาชนกันอีกชาม”
ดูเหมือนว่าทุกครั้งที่ดื่มเหล้า สองพี่น้องที่อยู่ในร้านจะขาดคำกล่าวนี้ไปเสียไม่ได้ ก็ถือว่าเป็นคำกล่าวที่มีเฉพาะพวกเขาจริงๆ
ใต้ชายคานอกประตู เจียงซ่างเจินที่สวมชุดสีเขียวตัวยาว ชุยตงซานที่สวมชุดยาวสีขาวหิมะ และยังมีเด็กสาวที่ชื่อว่าฮวาเซิงอีกคน แม้ว่าคนทั้งสามจะไม่ได้ปรากฏตัวหน้าประตู แต่อันที่จริงกลับยืนแทะเมล็ดแตงฟังอยู่ข้างนอกมานานเป็นครึ่งๆ วันแล้ว
เจียงซ่างเจินรู้สึกนับถือยิ่งนัก “พี่เจี่ยแห่งตรอกฉีหลงของพวกเราคนนี้ไม่เปิดปากก็คือคนจริงไม่เปิดเผยตัวตน พอเปิดปากก็ช่างเป็นคนที่พูดเก่งยิ่งนัก ขนาดข้ายังต้องยอมแพ้”
ชุยตงซานยิ้มเอ่ย “อีกเดี๋ยวพวกเราเข้าไปในร้าน เทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยก็มีแต่จะยิ่งคุยเก่งมากกว่าเดิม”
เจียงซ่างเจินเอ่ย “คนที่มองเห็นอย่างชัดเจน มักจะมีชีวิตอย่างไม่ชัดเจนเสมอ พี่ใหญ่เจี่ยท่านนี้ตาบอดแต่ใจกลับกระจ่างแจ้ง ดังนั้นจึงใช้ชีวิตได้อย่างทะลุปรุโปร่ง”
ชุยตงซานพยักหน้า ทรุดตัวลงนั่งยอง
เด็กหนุ่มชุดขาวที่มีใฝแดงกลางหว่างคิ้วมองม่านฝนสีเทาที่อยู่นอกชายคา
เจียงซ่างเจินยิ้มถาม “อาจารย์จูและอาจารย์จ้งฝ่าทะลุขอบเขตเมื่อไหร่?”
ชุยตงซานส่ายหน้า ยื่นฝ่ามือไปรองรับน้ำฝน เอ่ยว่า “บอกได้ยากทั้งคู่”
เด็กสาวฮวาเซิงคอยช่วยกางร่มให้ชุยตงซานอยู่ตลอดเวลา นางเหลือบตามองชายวัยกลางคนที่จอนผมสองข้างเป็นสีดอกเลา ช่างเป็นคนประหลาดจริงๆ
ทั้งสามารถพูดจาทำร้ายคนได้เจ็บแสบที่สุดโดยไม่ได้ตั้งใจ เจ็บปวดเหมือนมีกระบี่ทิ่มแทง ทำให้คนฟังได้แต่เกลียดแค้นที่มีใจ และระหว่างครึ่งทางที่มายังภูเขาลั่วพั่วแห่งนี้ บางครั้งที่เจอเทพธิดาบนภูเขาก็ยังพูดจาล่วงเกิน ตอนนั้นสตรีเดินเหยียบฝ่าคลื่นน้ำ นิ้วมือหมุนขลุ่ยไม้ไผ่เลาหนึ่งเล่น เขาที่อยู่ริมชายฝั่งถามเสียงดังว่า แม่นางชื่อว่าซานซาน (เดินกรีดกราย) ใช่หรือไม่ สตรีคนนั้นหันหน้ามามองด้วยสีหน้าคลางแคลง เห็นได้ชัดว่าไม่รู้ว่าเหตุใดเขาถึงถามเช่นนี้ เขาจึงยิ้มเอ่ยว่า แม่นางหากเจ้าไม่ได้ชื่อซานซาน เหตุใดบนเส้นทางของชีวิตข้าเจ้าถึงเดินกรีดกรายมาถึงอย่างเชื่องช้ากันเล่า
ฮวาเซิงเห็นอย่างชัดเจนเลยว่าเทพธิดาที่เกินครึ่งน่าจะฝึกตนอยู่ในภูเขาคนนั้นอับอายจนพานโกรธ เกือบจะลงไม้ลงมือตีคน แต่แล้วนางก็สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง แล้วก็ไม่ได้สนใจ เพียงแค่รีบทะยานลมจากไป
ผลคือบุรุษคนนั้นกลับยังเอ่ยอย่างปลงอนิจจังอยู่กับตัวเองอีกประโยคว่า ตอนที่นางวิ่ง เหมือนมีกวางตัวน้อยพุ่งชนหัวใจข้าสะเปะสะปะเลยล่ะ
ชุยตงซานลุกขึ้นยืน เดินข้ามธรณีประตูก้าวเข้าไปในร้าน ชายแขนเสื้อใหญ่สีขาวหิมะทั้งสองข้างส่ายสะบัดราวกับบิน พูดกลั้วหัวเราะเสียงดังว่า “โอ้โห กำลังดื่มเหล้ากันหรือนี่ คงไม่ได้มาทำลายความสุนทรีย์ของเทพเซียนผู้เฒ่ากระมัง?”
เทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยสะดุ้งตัวสั่นเยือก จากนั้นก้มหน้าห่อไหล่ ใบหน้าเหี่ยวๆ คลี่ยิ้มเหมือนบุปผาผลิบาน ค้อมเอวถูมือ “อาจารย์ชุย โจวอันดับหนึ่ง มากันแล้วหรือ มาพอดีเลย เมื่อครู่ตอนข้าดื่มเหล้ายังรู้สึกอัดอั้นอยู่เลย ไม่เข้าใจว่าเหตุใดวันนี้ตอนเช้าเปิดปฏิทินเหลืองถึงได้บอกว่าจะมีแขกผู้สูงศักดิ์มาเยือน!”
เมื่อเทียบกับการดื่มเหล้าพูดประจบกันของนายท่านใหญ่สองคนในร้าน เวลานี้พ่อครัวเฒ่ากำลังอยู่บนภูเขาฮุยเหมิง บนภูเขามีการสร้างเรือนที่พักแถบใหญ่ การก่อสร้างดำเนินมานานมากแล้ว ผู้ที่เป็นพ่อครัวบนภูเขาลั่วพั่วคนนี้จะต้องมาที่นี่แทบทุกวัน มีเรื่องไม่น้อยต้องให้เขาลงแรงทำด้วยตัวเอง เพราะเวลานี้มีม่านฝนโปรยลงมา ไม่เหมาะให้ขุดดินต่อ จึงหยุดงานกันไว้ชั่วคราว เวลานี้จูเหลี่ยนกำลังนั่งยองอยู่ใต้ชายคาแห่งหนึ่ง คุยเล่นกับเซียนซือผู้เฒ่าสำนักช่างคนหนึ่งบนภูเขา ฝ่ายหลังเหลือบตามองลานกว้างเบื้องหน้าที่งานยังไม่เสร็จ ยิ้มเอ่ยกับจูเหลียนที่ว่ากันว่าคือผู้ดูแลของภูเขาลั่วพั่ว “อาจารย์จู หากข้ามองไม่ผิดล่ะก็ ฝีมือเฉพาะทางพวกนั้นของท่านคงสืบทอดมาจากในวังกระมัง?”
ในวังหลวงล่างภูเขามีงานใหญ่อยู่แปดอย่าง (งานใหญ่แปดอย่างในการก่อสร้างสมัยโบราณแบ่งออกเป็นงานกระเบื้อง งานดิน งานหิน งานไม้ งานสี งานทาสี งานประกอบ และงานกระดาษ) ยิ่งเป็นราชวงศ์ที่ใหญ่เท่าไร งานก็ยิ่งละเอียดประณีต ขั้นตอนยิบย่อยมากเท่านั้น แต่หากเป็นแคว้นเล็กใต้อาณัติงานจะหยาบกว่าเล็กน้อย
เซียนซือผู้เฒ่าอาศัยถ้วยใบนี้กินข้าว การสร้างเมืองหลวงแห่งที่สองของต้าหลี การสร้างนครมังกรเฒ่าทางทิศใต้ขึ้นมาใหม่ เขาล้วนมีส่วนร่วมด้วย และหากย้อนไปไกลกว่านั้นก็ยังมีการสร้างจวนบนยอดเขาแห่งหนึ่งของภูเขาเมฆาเรือง ดังนั้นเรื่องพวกนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับเขา เดิมทีก็ต้องดึงเอาข้อดีของร้อยสำนักมาไว้ด้วยกัน พยายามกลั่นกรองสิ่งที่ดีอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้น เพียงแต่ว่ามีอยู่หลายเรื่องที่เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกจริงๆ งานบางอย่างถึงขั้นที่ว่าเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก จึงรู้สึกสงสัยใคร่รู้อยู่บ้าง
จูเหลี่ยนยิ้มเอ่ย “เมื่อเทียบกับทักษะบนภูเขาของพวกเทพเซียนผู้เฒ่าหงแล้ว รูปแบบของทางการล่างภูเขาที่ข้าได้ยินได้ฟังจากคนอื่นมาน้อยนิดพวกนี้ ไม่มีค่าพอให้พูดถึงด้วยซ้ำ อย่างมากสุดก็ได้แต่ทำเรื่องอย่างการปักบุปผาลงบนผ้าแพร เทพเซียนผู้เฒ่าหงไม่ตำหนิที่ข้าเจ้ากี้เจ้าการก็ถือว่าใจกว้างมากแล้ว”
ผู้เฒ่าหัวเราะฮ่าๆ “อาจารย์จูถ่อมตัวเกินไปแล้ว”
จูเหลี่ยนยกชามเหล้าขึ้น ยิ้มเอ่ยว่า “คำพูดดีๆ มักต้องให้คนอื่นพูดถึงจะน่าฟังนี่นะ”
ผู้เฒ่าชนชามเหล้าด้วยเบาๆ รู้สึกเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งจึงพยักหน้าเอ่ยว่า “อาจารย์จูช่างมีถ้อยคำที่ยอดเยี่ยมมากมายจริงๆ”
ดังนั้นเขาจึงชอบคุยกับจูเหลี่ยนมากเป็นพิเศษ อาชีพนี้ของพวกเขาถือว่าเป็นการประทังชีพที่ได้แต่ก้มหน้าหาเงินบนภูเขาเท่านั้น อันที่จริงไม่ได้ต่างจากชาวไร่ชาวนาล่างภูเขาเลยแม้แต่น้อย มาอยู่บนภูเขา ส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยได้รับการให้เกียรติจากพวกเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูล ต่อให้ภายนอกจะเกรงใจกัน แต่นั่นก็เป็นเพราะขนบธรรมเนียมประจำตระกูลและมารยาทของอีกฝ่ายกล่อมเกลามาเท่านั้น มีเพียงอยู่บนภูเขาลั่วพั่วแห่งนี้ ได้เจอกับจูเหลี่ยนผู้คุมกฎกลับไม่เหมือนใครเลยจริงๆ
——