กระบี่จงมา Sword of Coming - บทที่ 819.4 เด็กหนุ่มข้ามแม่น้ำ
หลิวเหล่าเฉิงเหลือบมองเงาร่างหนึ่งที่อยู่ห่างไปไกลในคูน้ำไคเหยียน อีกฝ่ายนั่งดื่มเหล้าอยู่บนทำนบเพียงลำพัง คือสหายเก่าแก่บนภูเขาคนหนึ่ง เกาเหมี่ยนหัวหน้าพรรคผู้เฒ่าของพรรคหมัดเทพไร้เทียมทาน
หลิวเหล่าเฉิงอารมณ์ดีขึ้นมาหลายส่วน จึงไม่เงียบงันอีกต่อไป ถามชวนคุยว่า “กวอฉุนซีที่มาจากอำเภอเซียนโหยวผู้นี้เป็นมาอย่างไร? ข้าว่าเขาเองก็ไม่ได้มีคุณสมบัติในการฝึกตนสักเท่าไร เหตุใดเจ้าถึงยินดีรับเขาไว้เป็นลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อ?”
หลี่ฝูฉวีตอบ “เป็นความต้องการของอดีตเจ้าสำนักเจียง เขามอบของแทนตัวชิ้นหนึ่งให้กับกวอฉุนซี ให้คนผู้นี้มาที่เกาะกงหลิ่ว บอกชื่อแซ่แล้วบอกว่าต้องการพบข้า ข้าหรือจะกล้าละเลย”
หลิวเหล่าเฉิงพยักหน้ารับ เข้าใจได้ เจียงซ่างเจินทำอะไรมักอาศัยแค่ความชื่นชอบ ไม่มีหลักการทั่วไปอะไรให้พูดถึงทั้งนั้น
สำนักเจินจิ้งในทุกวันนี้อันที่จริงไม่มีความสัมพันธ์กับพรรคบนภูเขาที่ชัดเจนอะไร อย่างมากสุดก็คือหลิวจื้อเม่ากับเขาที่เป็นเจ้าประมุขซึ่งความสัมพันธ์ก็ค่อนข้างห่างเหินกัน
ไม่ใช่ว่าหลิวเหล่าเฉิงกับหลิวจื้อเม่าต่างก็เป็นคนจิตใจสงบไร้ความปรารถนา ไม่มีใจอยากไขว่คว้าอำนาจ ตรงกันข้ามกันเลยด้วยซ้ำ ห้าขอบเขตบนสองคนที่มีชาติกำเนิดจากผู้ฝึกตนอิสระของสำนักเจินจิ้งนี้ คนหนึ่งเซียนเหริน คนหนึ่งหยกดิบ หนึ่งเกาะกงหลิ่ว หนึ่งเกาะชิงเสีย ต่างก็เคยเป็นเจ้าประมุขของสถานที่เหล่านี้ เคยออกคำสั่งแก่เหล่าผู้กล้าในทะเลสาบซูเจี่ยนมาก่อน จะเอาแต่มุ่งมั่นมานะฝึกตนได้อย่างไร เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้มีเจ้าสำนักสองท่านมาจากใบถงทวีป บวกกับที่สวินยวนอดีตเจ้าสำนักผู้เฒ่า มีใครบ้างที่กลอุบายและวิธีการไม่ทำให้คนขนลุกขนพองเป็นเท่าทวี?
หลิวเหล่าเฉิงเดินมาถึงจุดที่เกาเหมี่ยนนั่งอยู่ก็ยิ้มเอ่ยทักทาย “เหล่าเกา”
เกาเหมี่ยนหันหน้ามา เหลือบมองหลี่ฝูฉวี พูดบ่นว่า “ไม่รู้จักพาแม่นางอ่อนเยาว์สักคนสองคนมาดื่มเหล้าเป็นเพื่อนเสียบ้าง เป็นเจ้าประมุขประสาอะไร”
หลิวเหล่าเฉิงหัวเราะร่าแล้วนั่งลงข้างกาย
ต่อให้หลี่ฝูฉวีจะอับอายจนพานเป็นความโกรธก็ไม่อาจทำอะไรได้ หัวหน้าพรรคผู้เฒ่าคนนี้เป็นคนอย่างไร คนทั้งทวีปล้วนรู้กันดี แล้วนับประสาอะไรกับที่หลี่ฝูฉวียังรู้เรื่องวงในเรื่องหนึ่ง ในอดีตเจ้าสำนักผู้เฒ่าสวินเดินทางมาท่องเที่ยวแจกันสมบัติทวีปเพียงลำพัง ก็เพื่อมารำลึกความหลังกับเกาเหมี่ยนโดยเฉพาะ ว่ากันว่าต้องถูกอีกฝ่ายด่าทุกวัน แต่เขาก็มีความสุขอย่างมาก ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นเจียงซ่างเจินหรือเหวยอิ๋ง ต่างก็เคารพนับถือเกาเหมี่ยนอย่างยิ่ง แน่นอนว่าหลี่ฝูฉวีย่อมไม่กล้าแข็งข้อ แล้วนับประสาอะไรกับที่ในสงครามใหญ่ครั้งนั้น สำนักตระกูลเซียนบนภูเขาอย่างพรรคหมัดเทพไร้เทียมทานนี้ก็มีลูกศิษย์ฝ่ายในบาดเจ็บล้มตายกันไปมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกาเหมี่ยนที่ว่ากันว่าตอนอยู่บนสนามรบริมลำน้ำใหญ่เกือบจะถูกปีศาจใหญ่ตนหนึ่งสะบั้นสะพานแห่งความเป็นอมตะ ทุกวันนี้จึงได้แต่รักษาขอบเขตโอสถทองเอาไว้อย่างถูไถ ดังนั้นตาเฒ่าหน้าไม่อายที่ขึ้นชื่อว่าชอบบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำอย่างเกาเหมี่ยนนี้ ขอแค่คืนนี้มือไม้อยู่นิ่ง แค่ขยับปากพูดจาสัปดนอย่างเดียว หลี่ฝูฉวีก็ยินดีจะอดทนข่มกลั้น
หลิวเหล่าเฉิงรับเหล้ากาหนึ่งที่เกาเหมี่ยนโยนมาให้ แหงนหน้ากระดกดื่มคำใหญ่
เกาเหมี่ยนกล่าว “คงไม่ได้เจอเทพธิดาเฮ้อแล้วล่ะ เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะยังได้พบเทพธิดาซูหรือไม่”
หลิวเหล่าเฉิงส่ายหน้า “ซูเจี้ยไม่ได้เป็นผู้ฝึกกระบี่แล้ว และภูเขาตะวันเที่ยงก็ไม่ใช่สถานที่ที่ผู้คนมีน้ำใจอะไร นางไม่น่าจะกลับมาหรอก”
เกาเหมี่ยนเอ่ย “ไม่กลับมาก็ดีเหมือนกัน”
หลิวเหล่าเฉิงถาม “ทางฝั่งของพรรคล่ะ?”
เกาเหมี่ยนแสยะปาก “ก่อนจะมาภูเขาตะวันเที่ยง ข้าได้สละตำแหน่งแล้ว โอสถทองผายลมสุนัขคนหนึ่งไม่มีหน้าจะออกคำสั่งแล้ว ความเสียดายเพียงอย่างเดียวก็คือชื่อดีๆ อย่างพรรคหมัดเทพไร้เทียมทานนี้ คาดว่าคงต้องถูกเจ้าพวกลูกกระต่ายที่โหวกเหวกโวยวายกลุ่มนั้นเปลี่ยนทิ้งไปแน่”
หลิวเหล่าเฉิงกล่าว “เจ้าอย่าได้ไม่ชอบฟัง วันหน้าไม่ว่าเจ้าจะใช่หัวหน้าพรรคหรือไม่ ข้ากับสำนักเจินจิ้งก็ยินดีจะช่วยจับตามองกิจการบรรพบุรุษของเจ้า”
เกาเหมี่ยนโบกมือ “ไม่ชอบฟัง เหล่าหลิวเจ้าต้องดื่มลงโทษตัวเองครึ่งกา ถึงอย่างไรหากดื่มเมาก็ยังมีน้องฝูฉวีคอยแบกเจ้ากลับไป จำไว้ว่ามือสองข้างต้องอยู่ให้นิ่งหน่อยนะ”
หลิวเหล่าเฉิงพูด “ข้าคิดว่าจะให้หลี่ฝูฉวีไปเป็นผู้ถวายงานของพรรคพวกเจ้า”
เกาเหมี่ยนพยักหน้า “ตามใจ ทุกวันนี้ข้าไม่ใช่คนดูแลกิจธุระแล้ว ขอแค่น้องฝูฉวีไม่รู้สึกว่าถูกลดคุณค่าก็พอ”
หลี่ฝูฉวีเอ่ย “ยินดีอย่างยิ่ง”
เกาเหมี่ยนหันหน้ากลับมา โน้มตัวไปด้านหน้า มือข้างหนึ่งผลักหัวของหลิวเหล่าเฉิงออก มองไปยังหลี่ฝูฉวี ถามว่า “ทำไม ถูกมาดวีรบุรุษของข้าผู้แซ่เกาสยบใจ เลยแอบชื่นชมข้ามานานมากแล้วหรือ?”
หลี่ฝูฉวียิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไม่เลยจริงๆ”
เกาเหมี่ยนถาม “ชอบเจ้าพวกหน้าขาวอย่างเจียงซ่างเจิน เหวยอิ๋งงั้นรึ?”
หลี่ฝูฉวีรู้สึกชาไปทั้งหนังหัว ไม่ต่อคำ
เกาเหมี่ยนดึงมือกลับมา ใช้กาเหล้าชนกับกาเหล้าของหลิวเหล่าเฉิงหนึ่งที ต่างคนต่างดื่มสุรา
เกาเหมี่ยนกวาดตามองรอบด้าน ริมคูน้ำไคเหยียนปลูกดอกเหมยไว้ทั่วพื้นที่ ผู้เฒ่าเอ่ยอย่างสะท้อนใจว่า “คนบนภูเขาโชคดีแค่ไหนที่ได้เสพสุขกับดอกเหมยนี้”
หลิวเหล่าเฉิงพลันใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “เหล่าเกา อย่าหมดอาลัยตายอยากแบบนี้เลย ไม่ได้พบสาวงามเทพธิดาที่ชื่นชอบ แต่กลับมีเรื่องสนุกให้ดูนะ”
เกาเหมี่ยนหลุดหัวเราะพรืด “เรื่องสนุก? อย่างหวงเหอน่ะหรือ? ข้าว่าไม่เห็นจะสนุกตรงไหน แต่รอให้คราวหน้าหวงเหอมาถามกระบี่ต่อยอดเขาอีเซี่ยน ข้าจะต้องเดินทางมาดูกับตาตัวเองให้จงได้”
หลิวเหล่าเฉิงเพียงคลี่ยิ้มไม่เอ่ยอะไร
เกาเหมี่ยนถามอย่างสงสัย “เรื่องสนุกแค่ไหน?”
หลิวเหล่าเฉิงยื่นมือชี้ไปที่ยอดเขาอีเซี่ยน
เกาเหมี่ยนเอ่ยอย่างตกตะลึง “เทพเจ้าจากที่ใดถึงได้มีดีสุนัขเช่นนี้?”
หลิวเหล่าเฉิงอมพะนำ “รอดูไปก็พอ”
เกาเหมี่ยนกรอกเหล้าเข้าปากหนึ่งอึก “ไม่ว่าจะอย่างไร ขอแค่กล้ามาก่อเรื่องที่ยอดเขาอีเซี่ยน จะสำเร็จหรือไม่ก็ไม่เป็นไร ข้าก็จะต้องยกนิ้วโป้งให้คนผู้นี้ ถือว่าเขาคือลูกผู้ชาย”
งานเลี้ยงสุราแห่งหนึ่งบนภูเขา ล้วนนัดหมายกันมาล่วงหน้าแล้ว คนรู้จักจึงกลับมาพบเจอกันที่นี่อีกครั้ง
มาถึงภูเขาลูกต่างๆ ของภูเขาตะวันเที่ยง ต่างคนต่างทิ้งผู้อาวุโสในสำนัก จากนั้นก็มาร่วมงานเลี้ยงสุรา หนึ่งในนั้นก็มีหันจิ้งหลิงที่เป็นจักรพรรดิของหนึ่งแคว้น ดังนั้นจึงสามารถมีเรือนพักส่วนตัวบนยอดเขาแห่งนี้ได้
นอกจากหันจิ้งหลิงฮ่องเต้ของแคว้นสือหาวแล้ว หวงเฮ้อที่รับหน้าที่เป็นเจ้ากรมกลาโหมมานานหลายปี และยังมีเถียนหูจวินลูกศิษย์ใหญ่ของหลิวจื้อเม่า บวกกับศิษย์น้องของนางอีกสองคนอย่างฉินแจว๋และเฉาเจ๋อ นอกจากนี้ก็มีลวี่ไช่ซาง หยวนหยวนเจ้าเกาะน้อยของเกาะกู่หมิงที่มีชื่อเล่นว่าหยวนหยวน (อ่านเหมือนกันแต่เขียนคนละแบบ) และยังมีฟ่านเยี่ยนอดีตคนโง่ในสายตาของทุกคน เจ้านครฉือสุ่ยในปัจจุบัน
ดังนั้นนอกจากกู้ช่านแล้ว อันที่จริงทุกคนล้วนมากันครบถ้วน
สุดท้ายเรื่องที่ทุกคนพูดคุยกัน แน่นอนว่าต้องหนีไม่พ้นเรื่องของกู้ช่านที่รวบรวมพวกเขามาไว้ด้วยกัน ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของนครจักรพรรดิขาวผู้นี้
เพียงแต่ว่าทุกคนต่างก็จงใจละเว้นคนอีกคนไปคล้ายตั้งใจคล้ายไม่ได้เจตนา คนต่างถิ่นชุดเขียวที่เป็นนักบัญชีของเกาะชิงเสียคนนั้น
ศิษย์หลานของเซียนเหรินหันเชี่ยวเซ่อและหลิ่วเต้าฉุนแห่งหอแก้วใส ศิษย์น้องฟู่จิ้นจักรพรรดิขาวน้อย…
หลังจากพญามารในร่างมนุษย์อย่างกู้ช่านออกไปจากทะเลสาบซูเจี่ยน ก็เหมือนปลาหลีกระโดดข้ามประตูมังกร เดินก้าวเดียวขึ้นสวรรค์ แล้วนับประสาอะไรกับที่ยังมีข่าวลือบอกว่ากู้ช่านได้กลายเป็นผู้ฝึกตนบนยอดเขาขอบเขตหยกดิบแล้ว อยู่ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็ยังมีฉายาว่า ‘คนวิกลจริต’ …
เรื่องราวทั้งหลายเกี่ยวกับกู้ช่าน ล้วนกลายมาเป็นหัวข้อพูดคุยที่สามารถเอามาแกล้มเหล้าได้ดีที่สุดในคืนนี้
บางทีนอกจากเถียนหูจวินที่มีความคิดต่างออกไปแล้ว คนอื่นๆ ที่เหลือก็คงรู้สึกว่าการที่ได้รู้จักกับกู้ช่านที่ทะเลสาบซูเจี่ยน คือเรื่องที่มีเกียรติ
ในงานเลี้ยงสุรา สตรีแก้วใสที่สวมชุดสีสันสดใสหลายสิบคน แม้จะเป็นหุ่นเชิด แต่ยามที่ร่ายรำกลับงดงามอย่างมาก พอข้อต่อบนร่างบิดหมุนก็จะส่งเสียงแกร่กๆ
ส่วนหลิวจื้อเม่าอาจารย์ของเถียนหูจวิน คนที่เขาไปเยี่ยมหาคืนนี้คือรองเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาหลินลู่แห่งภูเขาพีอวิ๋น อดีตเจียวเฒ่าอายุหมื่นปีแห่งแคว้นหวงถิงที่ดูเหมือนว่าจะจงใจกดขอบเขตเอาไว้ตลอดเวลา
เพราะหลิวจื้อเม่าฝึกวิชาธาตุน้ำ จึงเป็นคนรู้จักเก่าแก่กับเจียวเฒ่าแล้ว และในความเป็นจริงแล้วหลิวจื้อเม่ากับเจียวหลงที่อยู่ในถ้ำเฟิงสุ่ยของแม่น้ำเฉียนถังก็มีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวเช่นกัน
หลิวจื้อเม่าใช้เสียงในใจถามคำถามที่ใคร่รู้มาเนิ่นนาน “ทำไมถึงจงใจเอาโชคชะตาส่วนที่ควรเป็นของเจ้ามอบให้กับหยวนเจินเย่ล่ะ?”
เจียวเฒ่าที่อยู่ในรูปลักษณ์ของลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊ออายุมากยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เผ่าพันธุ์น้ำตัวเล็กๆ ในพื้นที่กันดารห่างไกลอย่างข้า ไหนเลยจะกล้าแย่งฝ่าทะลุขอบเขตก่อนต้าเซิ่งย้ายภูเขาเล่า?”
หลิวจื้อเม่ายิ้มพลางยกจอกขึ้น “มีเหตุผล”
ทางฝั่งของภูเขาโปอวิ๋น เทพภูเขาจากสถานที่ต่างๆ ในหนึ่งทวีปมารวมตัวกันโดยมีเทพภูเขาไฉ่จือภูเขาทายาทของขุนเขาใต้เป็นผู้นำ
ส่วนยอดเขาสุ่ยหลงที่อยู่ใกล้เคียงก็คือภูเขาที่เยี่ยนฉู่บรรพจารย์ผู้คุมกฎของภูเขาตะวันเที่ยง เซียนน้ำเทพวารีของแต่ละฝ่ายนัดหมายกันมาดื่มสุราที่นี่ มีเทพวารีแม่น้ำยงเจียงที่ระดับขั้นสูงที่สุดเป็นผู้นำ
สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำสองกลุ่ม คืนนี้ผลัดกันชนจอกสุรา เพราะในงานเลี้ยงฉลองที่แท้จริง ยามดื่มเหล้ากลับกลายเป็นว่าไม่อาจดื่มได้ตามแต่ใจเช่นนี้แล้ว
บนยอดเขาหม่านเยว่ของบรรพจารย์เซี่ยหย่วนชุ่ย แขกผู้สูงศักดิ์กลุ่มที่มาจากสกุลเจียงอวิ๋นหลินมาเข้าพักที่นี่ อันที่จริงคนที่มาล้วนเป็นลูกหลานรุ่นเยาว์ของสกุลเจียงทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าสถานะของแต่ละคนล้วนพิเศษ เจียงซานวิญญูชนแห่งสำนักศึกษากวานหู เจียงอวิ้นที่มีอาจารย์เป็นหลิวเหล่าเฉิง เจียงเซิงที่แต่งงานไกลไปอยู่นครมังกรเฒ่า นอกจากนี้ก็มีแขกที่ไม่ได้แซ่เจียงอีกสองคน คนหนึ่งในนั้นคือฝูหนันหัวที่ไปพบสหายบนยอดเขาแห่งอื่นแล้ว สองสามีภรรยาภายนอกรักใคร่กลมเกลียว แต่แท้จริงกลับไม่ใช่ พวกเขาเพียงเคารพกันและกันเหมือนแขกที่ห่างไกล ต่างฝ่ายต่างก็ไม่ก้าวก่ายกันและกันเท่านั้น
ส่วนเหวยเลี่ยงที่เดินทีละก้าวจากผู้บัญชาการณ์ใหญ่แคว้นชิงหลวนค่อยๆ เลื่อนขั้นมาเป็นรองเจ้ากรมขุนนางของเมืองหลวงแห่งที่สองต้าหลี ก็ออกไปจากยอดเขาหม่านเยว่เหมือนกับฝูหนันหัว ต่างคนต่างไปหาเหล้าดื่ม
คำพูดตามมารยาทของสตรีสกุลสวี่ก่อนหน้านั้น อันที่จริงก็ไม่ถือว่าเป็นคำประจบเยินยอไปเสียทั้งหมด ฟ้าอำนวยดินอวยพรคนสามัคคี ดูเหมือนว่าล้วนอยู่ที่ภูเขาตะวันเที่ยงทั้งหมดแล้ว ในรัศมีแปดร้อยลี้รอบด้านของยามนี้ มีผู้ฝึกตนเซียนดินมารวมตัวกันมากมายเช่นนี้ก็ช่างเป็นเรื่องที่หาได้ยากอย่างแท้จริง
ดังนั้นในงานเลี้ยงสุราแห่งหนึ่งจึงมีผู้ฝึกตนทำเนียบวงศ์ตระกูลคนหนึ่งที่ดื่มเหล้าเมาแล้วก็สอบถามกับสหายรักข้างกายว่า ต้องใช้หวงเหอกี่คนถึงจะถามกระบี่ได้สำเร็จ
มีคนบอกว่าอย่างน้อยต้องสามคน มีคนบอกว่าต้องมีหวงเหอห้าคนถึงจะได้ เพราะถึงอย่างไรต่อให้หวงเหอจะคุณสมบัติดีแค่ไหน เวทกระบี่สูงเท่าไร ทุกวันนี้ก็เป็นแค่ขอบเขตก่อกำเนิดเท่านั้น ภูเขาตะวันเที่ยงในทุกวันนี้ ต่อให้ไม่พูดถึงแขกที่มาจากฝ่ายต่างๆ ในบ้านพวกเขาเองก็มีผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนสองคนแล้ว บวกกับเซียนกระบี่ผู้เฒ่าก่อกำเนิดสามคนอย่างเจ้าสำนักจู๋หวง เถาแยนโปและเยี่ยนฉู่ บอกว่าห้าคน อันที่จริงก็ให้หน้าหวงเหอมากแล้ว ทุกคนวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้กันอย่างฮึกเหิมสนุกสนาน พูดคุยจนถึงท้ายที่สุดก็ได้ข้อสรุปอย่างหนึ่ง นั่นก็คือแม้แต่ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานก็ยังไม่กล้ามาก่อเรื่องที่นี่
บนเรือข้ามฟากจากทางการของต้าหลีที่แล่นมายังภูเขาตะวันเที่ยง เจ้าของคือทูตผู้ตรวจการคนที่สองในประวัติศาสตร์ของต้าหลี เฉาผิง
กวนอี้หรานนั้นมาขอกินเปล่าดื่มเปล่า เวลานี้กำลังดื่มเหล้าบ๊วยเย็นชามหนึ่งอยู่ในห้องของตัวเรือ อีกสองคนที่นั่งบนโต๊ะสุราก็เป็นสหายกันมานานหลายปีแล้ว หลูซานฝางและชีฉี พวกเขาเองก็เหมือนกวนอี้หรานที่ต่างก็เคยเป็นผู้ฝึกตนติดตามกองทัพของกองทัพชายแดนต้าหลี ชีฉีผู้ฝึกตนหญิงแห่งศาลลมหิมะเรือนกายบอบบาง แต่กลับสะพายกระบี่เล่มใหญ่ที่ฝักกระบี่กว้างอย่างถึงที่สุด ส่วนหลูซานฝางที่ถอยออกจากสนามรบมานานหลายปีแล้วก็ดูเจ้าเนื้อขึ้นไม่น้อย
ในฐานะลูกหลานสกุลกวนแห่งเมืองอวิ๋นไจ้เขตอี้โจว กวนอี้หรานได้เข้าร่วมกองทัพก่อน รับหน้าที่เป็นผู้ฝึกตนติดตามกองทัพชายแดน กระทั่งอาศัยคุณความชอบทางการสู้รบป่ายปีนขึ้นสู่ตำแหน่งสูงในกองทัพต้าหลีทีละก้าว กองทัพม้าเหล็กต้าหลีกรีฑาทัพลงใต้ กวนอี้หรานได้เป็นแม่ทัพบู๊ประจำค่ายทหารที่ประจำการอยู่ในนครอวิ๋นโหลวทะเลสาบซูเจี่ยน ภายหลังก็ได้รับหน้าที่เป็นขุนนางผู้ตรวจตราลำน้ำใหญ่พร้อมกับหลิ่วชิงเฟิงขุนนางบุ๋นและหลิวสวินเหม่ยที่เป็นลูกหลานเมล็ดพันธ์แม่ทัพเช่นเดียวกัน หลังจากที่ปลดระวางจากตำแหน่งผู้ตรวจการลำน้ำฉีตู้แล้ว กวนอี้หรานก็เข้ารับตำแหน่งที่ว่างอยู่ในกรมครัวเรือนเมืองหลวง เพียงแต่ว่าตอนนั้นไม่ได้เลื่อนขั้นเป็นรองเจ้ากรมเหมือนหลิ่วชิงเฟิง ในฐานะหลานชายของเจ้ากรมผู้เฒ่ากวน กลับกลายเป็นว่าระดับขั้นขุนนางของกวนอี้หรานสู้คนต่างถิ่นอย่างหลิ่วชิงเฟิงไม่ได้ ตอนนั้นในเมืองหลวงต้าหลี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตรอกฉือเอ๋อร์และตรอกอี้ฉือจึงเกิดการคาดเดากันไปไม่น้อย ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคำวิพากษ์วิจารณ์ที่รู้สึกไม่เป็นธรรมแทนกวนอี้หราน
ส่วนหลูซานฝางนั้น ภายใต้คำสั่งของกวนอี้หรานในอดีตก็ได้ไปรับหน้าที่เป็นหนึ่งในขุนนางตรวจการการขนส่งที่ปีนั้นต้าหลีเพิ่งก่อตั้งขึ้นใหม่ รับหน้าที่ดูแลเส้นทางเรือข้ามฟากบนภูเขาของเส้นทางมังกรเดินโดยเฉพาะ
ล่างภูเขาการขนส่งเส้นทางน้ำของราชวงศ์ บนภูเขาเส้นทางเดินเรือข้ามฟากของตระกูลเซียน หนึ่งคือคนที่ไหลหลั่งมาไม่ขาดสาย อีกหนึ่งคือเงินเทพเซียนที่ไหลถะถั่งยิ่งกว่า
ขุนนางผู้ตรวจการการขนส่ง ระดับขั้นสูงที่สุดเริ่มต้นก็คือระดับสามชั้นเอกของต้าหลี ภายหลังเลื่อนไปอีกระดับเป็นระดับสองชั้นโท ศูนย์การตรวจตราทางน้ำสร้างขึ้นริมลำน้ำใหญ่ ไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงแห่งที่สองของต้าหลี รับผิดชอบคอยดูแลเส้นทางเดินเรือบนภูเขาน้อยใหญ่สามสิบกว่าเส้นของแจกันสมบัติทวีป รอกระทั่งสงครามใหญ่ปิดฉากลง อาณาเขตของต้าหลีหดหายไปครึ่งหนึ่ง ดังนั้นทุกวันนี้จึงเหลือเส้นทางไม่ถึงยี่สิบสาย
เส้นทางมังกรเดินจากเหนือไปใต้ที่หลูซานฝางดูแลเป็นเส้นทางที่สำคัญมาก ดังนั้นต่อให้ระดับขุนนางจะไม่ถือว่าสูงมากนัก เป็นแค่ระดับสี่ชั้นโท แต่เขาก็ถือว่าเป็น ‘คนเฒ่าคนแก่’ กลุ่มแรกสุดของที่ว่าการการตรวจตราการขนส่ง บวกกับที่ในมือกุมอำนาจที่แท้จริง อีกทั้งเส้นทางเดินเรือของเส้นทางมังกรเดินยังสำคัญอย่างถึงที่สุด คือตำแหน่งที่ได้รับน้ำร้อนน้ำชาเยอะมาก ดังนั้นยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมานี้ หลูซานฝางที่อยู่ในวงการขุนนางท้องถิ่นของต้าหลีจึงมีชีวิตที่ไม่เลว บวกกับที่ภาระหน้าที่ที่มีอยู่ทำให้เขาได้คบค้าสมาคมกับเซียนซือจากแต่ละฝ่ายของหนึ่งทวีปเยอะมาก จึงสะสมความสัมพันธ์ควันธูปส่วนตัวบนภูเขาไว้อีกไม่น้อย
——